วิเคราะห์กระทู้เตือนภัยพิบัติรอบ2เดือนนี้

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ดาวบุ๋น5, 13 พฤษภาคม 2011.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ไปฝึกที่วัดท่าซุงดีที่สุดครับ จะมีพระสงฆ์ที่วัดคอยควบคุมกรรมฐานให้ ถ้าฝึกเองโดยไม่มีครูบาอาจารย์คอยควบคุม อาจเจอมารเข้าแทรกจนเป็นบ้าไปได้ครับ คนอื่นเขาไปฝึกกันแค่ไม่กี่วันก็สามารถถอดจิต ออกไปท่องเที่ยวนรก สวรรค์ และดวงดาวต่างๆ ได้แล้วครับ ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของตัวคุณเองว่าเคยสร้างสมมามากน้อยแค่ไหน

    ผมก็บอกคุณได้เท่านี้ ส่วนคุณจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของตัวคุณเองครับ แต่อย่างไรก็ตามผมขอเตือนสติคุณเป็นครั้งสุดท้ายว่า วจีกรรมที่คุณได้กล่าววาจาล่วงเกินผู้มีคุณธรรมทั้งหลายในเว็บพลังจิตแห่งนี้ เป็นโทษภัยอันใหญ่หลวงยิ่งนัก หากไม่รีบขอขมาลาโทษเสียแต่เดี๋ยวนี้ คุณจะต้องได้รับทุกข์โทษจากผลกรรมนี้ไปอีกนานแสนนาน.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2011
  2. เทพเมรัย

    เทพเมรัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +81
    แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่า คนไหนมีคุณธรรมมากกว่าเรา
     
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ผู้ที่มีคุณธรรม คือผู้ที่ประกอบด้วยสัปปุริสธรรม 7 และ สัปปุริสธรรม 8

    ในเสขปฏิปทาสูตรซึ่งบรรยายโดยพระอานนท์ ได้กล่าวถึงคุณสมบัติของผู้ที่ประกอบด้วยสัปปุริสธรรม ไว้ 7 ประการคือ
    1. เป็นผู้มีศรัทธา คือเชื่อความตรัสรู้ของพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม.
    2. เป็นผู้มีหิริ คือ ละอายกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ละอายต่อการถึงพร้อมแห่งอกุศลธรรมอันลามก.
    3. เป็นผู้มีโอตตัปปะ คือ สะดุ้งกลัวกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต สะดุ้งกลัวต่อการถึงพร้อมแห่งอกุศลธรรมอันลามก.
    4. เป็นพหูสูต ทรงธรรมที่ได้สดับแล้ว สั่งสมธรรมที่ได้สดับแล้ว ธรรมเหล่าใดงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ธรรมทั้งหลายเห็นปานนั้น อันท่านได้สดับมามาก ทรงจำไว้ได้ สั่งสมด้วยวาจา ตามเพ่งด้วยใจ แทงตลอดด้วยดี ด้วยความเห็น.
    5. เป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อถึงพร้อมแห่งกุศลธรรม มีความเข้มแข็ง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย.
    6. เป็นผู้มีสติ คือ ประกอบด้วยสติและปัญญาเครื่องรักษาตนอย่างยิ่ง ระลึกได้ตามระลึกได้ แม้ซึ่งกิจการที่ทำไว้แล้วนาน แม้ซึ่งถ้อยคำที่พูดไว้แล้วนาน.
    7. เป็นผู้มีปัญญา คือ ประกอบด้วยปัญญา อันเห็นความเกิดและความดับ อันเป็นอริยะ ชำแรกกิเลสให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ
    คุณสมบัติของผู้ที่ประกอบด้วยสัปปุริสธรรม 7 ประการ นี้ เรียกว่า สัทธัมมสมันนาคโต บางทีก็เรียก สัปปุริสธรรม 7 และในจูฬปุณณมสูตร ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสบรรยาย ความแตกต่างระหว่าง สัตบุรุษและอสัตบุรุษ ทรงแสดงถึง สักษณะของผู้ประกอบด้วย ธรรมของสัตบุรุษ 8 ประการ (ในพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม เรียกธรรมของสัตบุรุษ 8 ประการ นี้ว่า สัปปุริสธรรม 8) ได้แก่
    1. เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมของสัตบุรุษ คือ เป็นผู้มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ มีสุตะมาก มีความเพียรปรารภแล้ว มีสติตั้งมั่น มีปัญญา (คือ สัทธัมมสมันนาคโต ดังกล่าวไปแล้ว นั่นเอง)
    2. เป็นผู้ภักดีต่อสัตบุรุษ คือ มีสมณพราหมณ์ชนิดที่มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ มีสุตะมากมีความเพียรปรารภแล้ว มีสติตั้งมั่น มีปัญญา เป็นมิตร เป็นสหาย
    3. เป็นผู้มีความคิดอย่างสัตบุรุษ คือ ย่อมไม่คิดเบียดเบียนตนเอง ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น ไม่คิดเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย
    4. เป็นผู้มีความรู้อย่างสัตบุรุษ คือ ย่อมไม่รู้เพื่อเบียดเบียนตนเอง ไม่รู้เพื่อเบียดเบียนผู้อื่น ไม่รู้เพื่อเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย
    5. เป็นผู้มีถ้อยคำอย่างสัตบุรุษ คือ เป็นผู้งดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากคำพูดส่อเสียด งดเว้นจากคำหยาบ งดเว้นจากการเจรจาเพ้อเจ้อ
    6. เป็นผู้มีการงานอย่างสัตบุรุษ คือ เป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาต งดเว้นจากอทินนาทาน งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร
    7. เป็นผู้มีความเห็นอย่างสัตบุรุษ คือ เป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชาแล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่ว มีอยู่โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้า ให้แจ่มแจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกมีอยู่
    8. ย่อมให้ทานอย่างสัตบุรุษ คือ ย่อมให้ทานโดยเคารพ ทำความอ่อนน้อมให้ทาน ให้ทานอย่างบริสุทธิ์ เป็นผู้มีความเห็นว่ามีผล จึงให้ทาน
    ที่มา http://th.wikipedia.org

    หมายเหตุ

    การที่เราจะทราบได้อย่างไรว่า คนไหนมีคุณธรรมมากกว่าเรา ต้องดูที่ตัวเราเองก่อนว่ามีคุณธรรมในสัปปุริสธรรม 8 นี้ครบถ้วนแล้วหรือยัง ถ้ายังก็ต้องไม่ประมาทในธรรมของผู้อื่น แม้เขาจะมีอายุน้อยกว่าเรา หรือมีคุณวุฒิทางการศึกษาด้อยกว่าเรา แต่เขาอาจจะมีคุณธรรมในสัปปุริสธรรม 8 นี้ครบถ้วนแล้วหรืออาจมีมากกว่าเราก็ได้ สังเกตุได้จากการพฤติกรรมที่เขาแสดงออกมา จะเป็นไปเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ยอมเสียสละประโยชน์ความสุขส่วนตัว เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมได้ทุกขณะจิต

    ผู้ใดที่มีจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความ เมตตากรุณา และปรารถนาดีต่อผู้อื่นเช่นนี้ จึงจะสมควรเรียกว่าเป็นผู้มีคุณธรรมในสัปปุริสธรรม 8 ที่ตัวเราและใครๆก็ไม่ควรไปปรามาส ไปล่วงเกิน ด้วยประการใดๆทั้งสิ้น เพราะจะบังเกิดทุกข์ภัยอันใหญ่หลวงแก่ผู้ที่บังอาจไปล่วงเกิน นับเนื่องยาวนานไปชั่วกัปป์กัลล์เลยทีเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2011
  4. paitoon01

    paitoon01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,483
    ค่าพลัง:
    +4,160

    ผมขออนุโมทนากับท่านเกษมด้วยครับ
     
  5. ปธ6

    ปธ6 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    349
    ค่าพลัง:
    +292
    นี่ซิคือข้อคิดจากผู้รู้จริง
     
  6. ดาวบุ๋น5

    ดาวบุ๋น5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +375
    - จริงๆผมก็ได้บอกกล่าวเรื่องอโหสิกรรมไว้แต่แรกแล้วนะครับ

    ผมว่าถ้าผมก็มีเจตนาดี และคนอื่นก็เจตนาดี ก็คงจะรู้ผลว่าอะไรดีไม่ดีตอนสุดท้ายเอง..ว่าตกลงอาจจะไม่ใครผิด

    ส่วนคนที่ผิดอาจจะมองเจตนาไม่ดีของคนอื่นมากว่ามั้งครับ({)
     
  7. ดาวบุ๋น5

    ดาวบุ๋น5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +375
    -เห็นด้วยอีกเหมือนเดิมครับ :cool:
     
  8. ดาวบุ๋น5

    ดาวบุ๋น5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +375
    -ขอบคุณสำหรับข้อคิดเห็นครับ
     
  9. ดาวบุ๋น5

    ดาวบุ๋น5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +375
    -อ่านแล้วไม่โกรธหรอกครับ
    เพราะที่บอกนั้นสามารถมองได้2ด้านครับ

    ผมคิดว่าหากศรัทธาความเชื่อมาก่อนเหตุผล ก็จะเสื่อมไปเอง ..ก็ต้องวกกลับมาหาเหตุผลให้เกิดศรัทธาอีกนั้นล่ะครับ

    แต่หากว่าเหตุผลมาก่อน..ศรัทธาจะตามมาเองและจะอยู่ยั่งยืนนานครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2011
  10. ดาวบุ๋น5

    ดาวบุ๋น5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +375
    -ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ({)
     
  11. ดาวบุ๋น5

    ดาวบุ๋น5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +375
    - ขอบคุณสำหรับข้อธรรมที่บอกกล่าวมาครับ :cool:
     
  12. azalia

    azalia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    626
    ค่าพลัง:
    +579
    เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ ..จริงตามนั้น เป็นเรื่องปกติที่ผู้มีปัญญามักจะไม่หลงเชื่ออะไรตามๆกันในสิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ โดยขาดปัญญาพิจารณาหาเหตุผล หรือเชื่อเพราะศรัทธาอย่างงมงาย... ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสสอนไว้เช่นกัน
    แต่ขณะเดียวกัน...ต่างก็ไม่รู้จริงในเรื่องที่วิเคราะห์เช่นกัน อาจทำให้คนบางคนได้สร้างกรรมต่อผู้อื่นทางวจีและมโนกรรมโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้เช่นกันค่ะ ^__^

    ปล. เจ้าของกระทู้มีลักษณะเของผู้มีปัญญาดีท่านหนึ่ง เพียงแต่ยังไม่สามารถพัฒนาประสาทสัมผัสพิเศษ ให้สามารถรับรู้ได้พิเศษๆ เหมือนคนกลุ่มนั้น (กลุ่มด็อกเตอร์พิเศษ และพระอริยสงฆ์หลายๆท่านที่อาจอยู่เบื้องหลังการเตือนนั้น) จึงสรุปว่าต้องอาศัยวิทยาศาสตร์หาเหตุผลต่อความเชื่อนั้นๆ ... ก็ไม่ผิดหรอกค่ะ
    .........................

    ที่จริงก็ไม่เกี่ยวกับตัวเองเลยนิ อยู่ดีๆเข้ามาแล้วนึกถึงนิทานเรื่องนั้นได้ ก็เท่านั้นเองค่ะ ขออภัยจริงๆ ที่อ่านแล้วรู้สึกขำๆ โดยไม่เจตนาจะกล่าวร้ายผู้ใดเลย
     
  13. ปธ6

    ปธ6 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    349
    ค่าพลัง:
    +292
    สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดจะเกิดปัญหา...หาอะไรก็ไม่เจอ แม้กระทั่งตัวเอง
     
  14. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,518
    ค่าพลัง:
    +27,187
    มนุษย์ต่างดาวหน้าตาเหมือนกับมนุษย์ร่วมดาว
    ความแตกต่างมีบ้างเทียบได้ใกล้เคียงกับความแตกต่างของมนุษย์ต่างประเทศ
    แต่มีลักษณะแห่งความเป็นมนุษย์ทุกประการ
    จึงเรียกว่ามนุษย์ต่างดาว ไม่เรียกว่าตัวประหลาดต่างดาว
    มาเดินตามถนนก็ไม่ค่อยจะมีใครสามารถสังเกตได้ว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว

    มนุษย์ต่างดาวสามารถเดินทางข้ามเวลาไปอนาคตได้
    แต่ไปแล้วกลับไม่ได้ จึงไม่มีใครคิดจะไปกัน
    เดินทางข้ามเวลาไปอดีตไม่ได้ แต่ดูอดีตได้
    วิธีดูอดีต - ดูได้จากแสงสะท้อนตกค้างที่เดินทางข้ามอวกาศ
    วิธีไปอนาคต - รักษาสภาพร่างกายเก็บซ่อนเอาไว้ ถึงเวลาที่ต้องการก็ปลุก

    นิสัยใจคอแตกต่างกันไปในแต่ละดาว นิสัยดีกว่ามนุษย์ร่วมดาวเป็นส่วนใหญ่

    อารยธรรมแตกต่างกันไปในแต่ละดาว ทั้งหมดมีเทคโนโลยีก้าวหน้ากว่ามนุษย์ร่วมดาว

    ภัยพิบัติจากมนุษย์ต่างดาวไม่มีในเขตพุทธศาสนา เพราะดาวที่มีเทคโนโลยีสูงสุดอันดับ ๑ - ๓ จัดกองกำลังป้องกันรักษาอยู่

    วิธีศึกษาจากพระไตรปิฎก
    ทวีป - แปลว่าดาวในความหมายเชิงรัฐศาสตร์
    โลกธาตุ - แปลว่าดาวในความหมายเชิงวิทยาศาสตร์

    ผมผ่านมาดู พอรู้ก็บอก และจะไม่กลับมาอีกในเวลาอันใกล้
    ดังนั้นโปรดอย่าถามอะไรต่อ เพราะเปล่าประโยชน์
    และไม่รับข้อความส่วนตัวใด ๆ ทั้งสิ้นครับ
     
  15. GeniAnesque

    GeniAnesque สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +5
    เท่าที่ผมทราบมา นักวิเคราะห์นักวิจารณ์ จะเป็นผู้เชี่ยวชาญ
    และชำนาญการในเฉพาะเรื่องนั้นๆ เช่นถ้าวิเคาระห์ภัยพิบัติ
    หรือแผ่นดินไหว น้ำท่วมต่างๆ ก็ต้องเล่าเรียน หรือมีประสบการณ์
    ในด้านนั้นๆ จนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป หรือผู้ทรงศีลทรงอภิญญา
    ซึ่งมองเห็นด้วยจิต

    ...เหมือนกับเราเอาเด็กอนุบาลไปวิเคราะห์ ไปวิจารณ์
    ในระดับมหาวิทยาลัย....มันเป็นไปได้หรือ
    ส่วนมากผู้วิเคราะห์วิจารณ์ จะแนะนำตัวเองก่อนว่าความรู้
    และประสบการณ์ในด้านนี้ มากน้อยแค่ใหน อย่างไร

    ขออนุญาตให้ความเห็นเล็กน้อยนะ...อย่าโกรธกันละ
     
  16. CopperOxide

    CopperOxide เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    321
    ค่าพลัง:
    +289
    บ๊าย บ่าย ไปดีมาดีครับ
     
  17. Yurichan

    Yurichan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +97
    ผมมองว่า การปรามาสผู้อื่น โดยเพราะความไม่รู้ รู้ไม่เท่าทัน ถือว่าไม่ผิด เพราะการจะเชื่อย่อมต้องมีเหตุมีผลมารองรับ โดยเฉพาะการบอกกล่าวด้วยญาณของแต่ละคนอันเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลเท่านั้นจะรับรู้ได้

    หากมีข้อสนับสนุนสอดคล้องกับญาณนั้น ก็อาจจะเชื่อไม่ได้ทั้งหมด หรือเชื่อได้เพียงบางส่วน ท่านเกษมบอกให้เรียนรู้ฝึกญาณให้สำ้เร็จ ก็อาจเป็๋นหนทางเดียวที่จะหาหลักฐานให้รู้ได้ด้วยตนเอง

    แต่หากวันนี้เรายังไม่ได้ฝึกถึงขั้นดังกล่าว ก็ขอให้คิดไว้ก่อนว่ายังไม่เชื่อเต็มที่หรือเชื่อเพียงบางส่วนเท่านั้น นี่เป็นหนทางเดียวที่เราจะสร้างปัญญาโดยไม่หลงงมงายไปกับสิ่งลี้ลับทั้งหลายได้

    ในอดีตบรรพบุรุษเราก็สร้างหนทางเดินด้วยตนเองทั้งสิ้น สร้างด้วยกำลังและปัญญาของตน เฉกเช่นพระพุทธเจ้าบรรลุอรหันต์ด้วยพระองค์เอง ถ้าการปรามาสผู้ที่อาจจะมีคุณธรรมเป็นกรรมชั่ว ก็ยังถือว่าดีกว่าเชื่อโดยปราศจากความสงสัย เมื่อเราค้นคว้าหาความจริงจนสิ้นความสงสัย สิ้นความไม่รู้ เมื่อนั้นเราถึงจะเกิดปัญญา ดังเช่นเหล่าพระอัครสาวกปัญจวัคคีย์สงสัยในธรรมของพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุืทธเจ้าทรงแสดงธรรมจึงสิ้นสงสัย
     
  18. gamemaster

    gamemaster Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2010
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +62
    ระบบสังสารวัฏ ประกอบด้วย หมื่นโลกธาตุอนันตจักรวาล จักรวาลมีการแตกดับ และเกิดใหม่อยู่เสมอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ หมื่นโลกธาตุจักหวั่นไหว พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดสัตว์ในหมื่นโลกธาตุ ดวงดาวในจักรวาลที่เกิดใหม่ เมื่อเย็นตัวลงอุณหภูมิพอเหมาะ เหล่าอาภัสสรพรหมจะจุติลงมา ในลักษณะโอปาติกะ ไฉนเจ้าคิดว่า มีแค่ดาวโลกดวงเดียวที่มีอุณหภูมิพอเหมาะเล่า พระพุทธเจ้าในกัปป์นี้ มีเพียง 5 พระองค์ ผ่านไปแล้ว 4 พระองค์ 1 กัปป์ คือการดับล้างของจักรวาลนั้น หลังยุคพระศรีอริยเมตไตร ไปจึงจะหมดกัปป์นี้ พระพุทธเจ้าที่มีบันทึกไว้ได้มี 28 พระองค์ องค์ก่อนกัปป์นี้ ก็ไม่ใช่ดาวดวงนี้แล้วครับ งั้นก็เป็นมนุษย์ต่างดาวสิ แล้วมีมนุษย์ในจักรวาลหรือดาวอื่น มันจะแปลกตรงไหน พระพุทธเจ้าตั้งแต่องค์ปฐม จนถึงปัจจุบันมีมากว่า 3ร้อยล้านพระองค์ ที่รอคิวอยู่ชั้นดุสิตอีกเพียบ ดวงดาวแตกดับมาเป็นพันล้านรอบ การวนไปวนมาในการเกิด ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ทำให้มีผู้ หาทางออกจากระบบนี้ นั่นคือ พระพุทธเจ้า อยู่มาก่อนจักรวาลนี้จะเกิด ดาวคนละดวง คุณเรียกว่าพระพุทธเจ้าต่างดาวรึเปล่า
     
  19. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379

    ความสงสัย กับการปรามาสนั้นแตกต่างกัน ด้วยเจตนา ถ้อยคำและเหตุผล
    การไม่ด่วนเชื่อ ตามกาลามสูตรไม่ได้แปลว่า ไม่ให้เชื่อ หรือห้ามเชื่อ
    แต่ท่านสอนว่าให้พิจารณาก่อนจะเชื่อ
    และเมื่อไม่ด่วนเชื่อ หรือยังสงสัยก็ควรพิสูจน์ ไม่ใช่ไปปรามาส

    การปรามาสมีแต่เสียหาย
    เพราะหากท่านที่ถูกปรามาส ไม่ดีจริง ก็ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไร
    แต่หากท่านไม่ได้เป็นดังที่ปรามาส ผู้ปรามาสก็มีโทษ

    ส่วนที่กล่าวว่าไม่รู้ย่อมไม่ผิดนั้นเป็นการเข้าใจเอาเอง
    ไม่มีธรรมข้อใดเป็นเครื่องยืนยัน (ลองค้นดูในพระสูตร พระธรรมต่าง ๆ ดู)

    กล่าวคือแม้ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นถ่านไฟ
    หากขืนเอามือไปจับเข้าย่อมได้รับผลคือต้องทุกข์ทรมานจากความร้อนนั้น
     
  20. จาคา

    จาคา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +27
    ผู้ที่มีคุณธรรม คือผู้ที่ประกอบด้วยสัปปุริสธรรม 7 และ สัปปุริสธรรม 8

    ในเสขปฏิปทาสูตรซึ่งบรรยายโดยพระอานนท์ ได้กล่าวถึงคุณสมบัติของผู้ที่ประกอบด้วยสัปปุริสธรรม ไว้ 7 ประการคือ
    1. เป็นผู้มีศรัทธา คือเชื่อความตรัสรู้ของพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม.
    2. เป็นผู้มีหิริ คือ ละอายกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ละอายต่อการถึงพร้อมแห่งอกุศลธรรมอันลามก.
    3. เป็นผู้มีโอตตัปปะ คือ สะดุ้งกลัวกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต สะดุ้งกลัวต่อการถึงพร้อมแห่งอกุศลธรรมอันลามก.
    4. เป็นพหูสูต ทรงธรรมที่ได้สดับแล้ว สั่งสมธรรมที่ได้สดับแล้ว ธรรมเหล่าใดงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ธรรมทั้งหลายเห็นปานนั้น อันท่านได้สดับมามาก ทรงจำไว้ได้ สั่งสมด้วยวาจา ตามเพ่งด้วยใจ แทงตลอดด้วยดี ด้วยความเห็น.
    5. เป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อถึงพร้อมแห่งกุศลธรรม มีความเข้มแข็ง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย.
    6. เป็นผู้มีสติ คือ ประกอบด้วยสติและปัญญาเครื่องรักษาตนอย่างยิ่ง ระลึกได้ตามระลึกได้ แม้ซึ่งกิจการที่ทำไว้แล้วนาน แม้ซึ่งถ้อยคำที่พูดไว้แล้วนาน.
    7. เป็นผู้มีปัญญา คือ ประกอบด้วยปัญญา อันเห็นความเกิดและความดับ อันเป็นอริยะ ชำแรกกิเลสให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ
    คุณสมบัติของผู้ที่ประกอบด้วยสัปปุริสธรรม 7 ประการ นี้ เรียกว่า สัทธัมมสมันนาคโต บางทีก็เรียก สัปปุริสธรรม 7 และในจูฬปุณณมสูตร ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสบรรยาย ความแตกต่างระหว่าง สัตบุรุษและอสัตบุรุษ ทรงแสดงถึง สักษณะของผู้ประกอบด้วย ธรรมของสัตบุรุษ 8 ประการ (ในพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม เรียกธรรมของสัตบุรุษ 8 ประการ นี้ว่า สัปปุริสธรรม 8) ได้แก่
    1. เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมของสัตบุรุษ คือ เป็นผู้มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ มีสุตะมาก มีความเพียรปรารภแล้ว มีสติตั้งมั่น มีปัญญา (คือ สัทธัมมสมันนาคโต ดังกล่าวไปแล้ว นั่นเอง)
    2. เป็นผู้ภักดีต่อสัตบุรุษ คือ มีสมณพราหมณ์ชนิดที่มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ มีสุตะมากมีความเพียรปรารภแล้ว มีสติตั้งมั่น มีปัญญา เป็นมิตร เป็นสหาย
    3. เป็นผู้มีความคิดอย่างสัตบุรุษ คือ ย่อมไม่คิดเบียดเบียนตนเอง ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น ไม่คิดเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย
    4. เป็นผู้มีความรู้อย่างสัตบุรุษ คือ ย่อมไม่รู้เพื่อเบียดเบียนตนเอง ไม่รู้เพื่อเบียดเบียนผู้อื่น ไม่รู้เพื่อเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย
    5. เป็นผู้มีถ้อยคำอย่างสัตบุรุษ คือ เป็นผู้งดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากคำพูดส่อเสียด งดเว้นจากคำหยาบ งดเว้นจากการเจรจาเพ้อเจ้อ
    6. เป็นผู้มีการงานอย่างสัตบุรุษ คือ เป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาต งดเว้นจากอทินนาทาน งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร
    7. เป็นผู้มีความเห็นอย่างสัตบุรุษ คือ เป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชาแล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่ว มีอยู่โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้า ให้แจ่มแจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกมีอยู่
    8. ย่อมให้ทานอย่างสัตบุรุษ คือ ย่อมให้ทานโดยเคารพ ทำความอ่อนน้อมให้ทาน ให้ทานอย่างบริสุทธิ์ เป็นผู้มีความเห็นว่ามีผล จึงให้ทาน
    ที่มา http://th.wikipedia.org

    ขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ คุณเกษม "ใช้วิธีอ้างอิงคำพูดจากกระทู้ไม่เป็นค่ะ ผู้รู้แนะนำด้วยนะคะ"
     

แชร์หน้านี้

Loading...