สวดมนต์เวลาไหนดี

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ผู้ที่_, 6 มิถุนายน 2011.

  1. ผู้ที่_

    ผู้ที่_ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2008
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +83
    มีเรื่องสงสัยครับ คือ มีเพื่อนเขาบอกว่าการไหว้พระก่อนนอนต้องไหว้ก่อน 2 ทุ่ม เพราะถ้าสวดหลังจากเวลาที่ว่า พระหรือสิ่งสักดิ์สิทธิ์เบื้องบนจะพักผ่อน แล้วจะรำคาญ

    จริงหรือเท็จประการใดขอคำแนะนำครับ
     
  2. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    สะดวกตอนไหน ตอนนั้นก็ดีที่สุด การปฏิบัติธรรมนั้นสำคัญที่ใจมากกว่าพิธีรีตรองใดๆทั้งสิ้น อย่ายึดติดกับเปลือกภายนอก จะไม่ได้แก่นไป

    ถ้าจะดีก็ควรเป็นตอนกลางคืนสักสองทุ่มอะไรประมาณนี้ เพราะช่วงนั้นคนจะนอนกันแล้ว จะเงียบสงบมีสมาธิในการสวดมนต์
     
  3. ผู้ที่_

    ผู้ที่_ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2008
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +83
    ขอบคุณครับ ท่านใดมีข้อเสนอแนะอีกก็ขอรับครับ
     
  4. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    ขอเพิ่มจากคุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->lionking2512<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4740368", true); </SCRIPT> นะครับ....

    ผมยึดถือตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้คือ

    สุนักขัตตัง สุมังคะลัง เวลาที่ท่านประพฤติชอบ ชื่อว่า ฤกษ์ดี มงคลดี
    สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สว่างดี รุ่งเรืองดี
    สุขะโณ สุมุหุตโต จะ วันดี และเวลาดี

    ครับ.....ฉะนั้นสำหรับผมแล้ว..ได้ทุกเวลาครับ....
     
  5. วงบุญพิเศษ

    วงบุญพิเศษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +649
    ตามปกติ ทำสิ่งอันเป็นมงคล เวลาใดก็ทำได้เมื่อนั้น เป็นมงคลทั้งหมด

    แต่หากยึดถือตามครูบาอาจารย์ต่างๆ เพื่อให้เทวดามาสวดด้วยล่ะก็

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ก็ควรก่อนเที่ยง

    หลวงปู่ดู่ ก็ควรสองทุ่มครึ่ง

    หลวงพ่อจรัญ ก็ควรเที่ยงคืน

    เหล่านี้คือเวลาที่ได้ยินได้ฟังมาจากครูบาอาจารย์น่ะครับ

    หากเราประพฤติธรรม สวดมนต์ เจริญภาวนา ทำทาน รักษาศีลเป็นนิจ ก็

    จะมีเหล่าเทวดาที่มีอัธยาศัยเหมือนเรามาอยู่ใกล้ มาคุ้มครอง มารักษา มาร่วม

    อนุโมทนาบุญ
     
  6. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    อันนี้ขอเพิ่มเติมหน่อยนะครับอาจตกไป....

    คือหลวงพ่อฤาษีนี่ท่านไม่ได้กำกับนะครับ....

    หลวงปู่ดู่ก็ไม่ได้กำกับเช่นกันครับ ที่มาของสองทุ่มครึ่งคือ เป็นเวลาปฏิบัติของวัดถ้ำเมืองนะ ซึ่งตอนนี้ท่านแบ่งเป็นทั้งวันแล้วครับ.....และถ้าพูดในสมัยหลวงปู่จริงๆ จากที่ผมเคยศึกษามา หลวงปู่ท่านไม่ได้บอกไว้จำกัดนะครับ...โดยเฉพาะภาวนาไตรสรณะคมนี้(ถ้านับว่าเป็นการสวดนะ)หลวงปู่ท่านบอกไม่ขาดเลยนี่ดีมากเลยครับ...
     
  7. วงบุญพิเศษ

    วงบุญพิเศษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +649

    ขอบคุณครับที่ชี้แนะ

    ผมศึกษามาน้อย แต่ก็พอได้ยินได้ฟังมา

    อาจมีข้อผิดพลาด ก็ขออภัยครับ

    ที่ผมบอกว่าหลวงพ่อฤาษีลลิงดำ ก็ควรก่อนเที่ยง ผมคงสับสนกับเวลาบวงสรวง

    ที่ผมบอกว่าหลวงปู่ดู่ ก็ควรสองทุ่มครึ่ง คงสับสนกับเวลาของวัดถ้ำเมืองนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2011
  8. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    ไม่เป็นไรครับ....โมทนาสาธุบุญในเจตนาที่ดีนะครับ....
     
  9. 9ศักดา9

    9ศักดา9 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2011
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +3
    ขออนุโมนาบุญกับทุกๆ คำตอบ และคำถามของ จขกท. ซึ่งทำให้ผมได้ทราบข้อมูลดีๆ ด้วยครับ
     
  10. ผู้ที่_

    ผู้ที่_ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2008
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +83
    ขอบคุณทุกท่านสำหรับคำแนะนำอันดีครับ

    ผมจะไปชี้แจงให้เพื่อนผมทราบว่า การสวดมนต์ที่เวลาจิตสงบ จิตตั้งมั่นชอบ ถือเป็นเวลาที่ดี โดยไม่ต้องคำนึงถึงเวลาอันได เพียงแต่คำนึงถึงกาลเทศะบ้าง ขอบคุณครับ
     
  11. toyhonda

    toyhonda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    545
    ค่าพลัง:
    +1,782
    สาธุค่ะ โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าสวดเวลาไหนก็ได้ เพราะบทสวดเป็นมงคลแก่ชีวิตก็เลยไม่เคยกำหนดเวลา
     
  12. chatbong

    chatbong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +120
    ส่วนตัว จะสวดมนต์ช่วงก่อนเข้านอน ประมาณ 5 ทุ่มไปแล้วค่ะ
    รูสึกสงบ เงียบ ไม่มีเสียงรบกวนก้อเวลาประมาณนี้
     
  13. becklawyer

    becklawyer สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +17
    สวดก่อนนอน และตื่นนอน และเวลาอยากจะสวด ครับ!!! ส่วนว่านอนเวลาไหน ตื่นเวลาไหน อยากสวดเวลาไหน ผมไม่ได้ เจาะจง
     
  14. tanawass

    tanawass Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +37
    อนุโมทนาครับ ผมก็ชอบสวดมนต์ นั่งสมาธิประมาณเที่ยงคืน ครับ เพราะเงียบสงบดี
     
  15. ทักกี้

    ทักกี้ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +3
    เคยได้ยินว่า ช่วงเวลาประมาณ3ทุ่ม กำลังดีค่ะ ^^
     
  16. ลักค์

    ลักค์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +141
    ก่อนนอนค่ะ แต่เป็นเวลาตีสอง

    สวดแผ่เมตตา มีเสียงเคาะประตูจากระเบียง 3 ที หยุดสวด หยุดเคาะ ไม่แน่ใจ หูฝาดมั๊ง

    สวดใหม่ก็มีเีสียงเคาะใหม่อีก หันไปดูไม่ไม่หยุดสวด เจออีก 3 ที เอ หยุดแป๊บ ลมพัดมั๊ง

    ลองเอาให้จบบทน่า เคาะอีก 3 ที จบพอดี คืนนั้น เปลืองไฟ (เปิดไฟนอน) เปลืองโทรศัพท์ (กระหน่ำโทรหาเพื่อนทุกคน) แถมโดนเพื่อนด่าให้อีก
     
  17. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,718
    ค่าพลัง:
    +5,514



    สวดมนต์หรือปฏิบัตฺธรรมก็หาห้วงเวลาสงบๆ
    ส่วนจะเป็นเวลากี่โมงกี่ยามก็คงแล้วแต่สถานที่ครับ
    พระพุทธเจ้าก็ทรงแนะนำไว้อย่างนั้นครับ
    ..............................................................



    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" height="50" width="100%"><tbody><tr><td vspace="0" hspace="0" align="center" valign="center">[​IMG]</td> </tr><tr><td vspace="0" align="center" bgcolor="mistyrose" valign="bottom" width="100%">บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ </td></tr> <tr><td hspace="0" vspace="0" bgcolor="peachpuff" height="1" width="100%">
    </td></tr></tbody></table> <table valign="Bottom" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" vspace="0" width="760"><tbody><tr><td bgcolor="white">[​IMG]</td> <td bgcolor="white">[​IMG]</td></tr> <tr><td bgcolor="white" width="50">
    </td> <td border="1" bgcolor="white" width="660">
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG] <center><big>อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ ๔</big><center class="D">๗. โสณโปฏิริยปุตตเถรคาถา</center></center><center> อรรถกถาโสณโปฏิริยปุตตเถรคาถา </center> คาถาของท่านพระโสณโปฏิริยบุตรเถระ เริ่มต้นว่า น ตาว สุปิตุ ํ โหติ.
    เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
    แม้พระเถระนี้ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เป็นพรานป่าเลี้ยงชีพ ใน<wbr>กาล<wbr>ของ<wbr>พระ<wbr>ผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าสิขี วันหนึ่งเห็นพระศาสดา แล้วมีจิตเลื่อมใสได้ถวายผลมะหาดแด่พระศาสดา.
    ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดเป็นบุตรของนายบ้าน ชื่อว่าโปฏิริยะ ในเมืองกบิลพัสดุ์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้มีนามว่าโสณะ. เขาเจริญวัยแล้วได้เป็นเสนาบดีของพระราชาพระนามว่า ภัททิยะ สากิยะ.
    ครั้นต่อมา เมื่อพระเจ้าภัททิยะทรงผนวชแล้วโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง เสนาบดีก็บวชตามด้วยคิดว่า ขึ้นชื่อว่าแม้พระราชาก็ยังทรงออกผนวช การอยู่ครองเรือนของเราจะมีประโยชน์อะไร? ก็ครั้นบวชแล้วเป็นผู้มีการนอนหลับเป็นที่มายินดี ไม่หมั่นประกอบภาวนา.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับอยู่ในอนุปิยอัมพวันวิหาร ทรงแผ่โอภาสของพระองค์ไป ยังสติให้เกิดแก่พระโสณโปฏิริยเถระ ด้วยพระโอภาสนั้น เมื่อจะทรงโอวาทพระเถระด้วยพระคาถานี้ ได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถาความว่า
    ราตรีอันประดับด้วยฤกษ์มาลินีเช่นนี้ ย่อมไม่เป็นราตรี
    เพื่อจะหลับโดยแท้ ราตรีเช่นนี้ย่อมเป็นราตรีอันผู้รู้แจ้ง
    ปรารถนาแล้ว เพื่อประกอบความเพียร.
    ถ้าช้างพึงเหยียบเรา ผู้ตกลงจากคอช้าง เราตายเสียใน
    สงคราม ประเสริฐกว่าแพ้แล้ว เป็นอยู่จะประเสริฐอะไร ดังนี้.

    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ตาว สุปิตุ ํ โหติ รตฺติ นกฺขตฺตมาลินี ความว่า เมื่อภิกษุผู้มีชาติแห่งวิญญูชน ได้ขณะที่ ๙ อันเว้นจากขณะที่ไม่ใช่กาล ๘ อย่าง ตั้งอยู่แล้ว ยังทำพระอรหัตให้อยู่ในเงื้อมมือไม่ได้ตราบใด ตราบนั้นราตรีอันประกอบด้วยฤกษ์มาลินีเช่นนี้ ย่อมไม่เป็นราตรีเพื่อจะหลับโดยแท้ คือไม่ใช่เวลาจะมามัวนอนหลับ.
    อีกประการหนึ่งแล ราตรีเช่นนี้ย่อมเป็นราตรีอันผู้รู้แจ้งปรารถนาแล้ว เพื่อจะประกอบความเพียร โดยอรรถได้แก่ ขึ้นชื่อว่าราตรีเช่นนี้เป็นเวลาที่มีเสียงสงัดเงียบเป็นพิเศษ เพราะเป็นเวลาที่พวกมนุษย์เหล่ามฤคและปักษีทั้งหลาย ย่างเข้าสู่ความหลับ จึงเป็นเวลาอันวิญญูชนผู้รู้แจ้ง ปรารถนาเพื่อเอาใจใส่ดูแลข้อปฏิบัติในตน คือเพื่อจะขวนขวายบำเพ็ญความเพียรของผู้มีธรรมเป็นเครื่องตื่นอยู่นั่นเอง.
    พระโสณเถระฟังพระโอวาทนั้นแล้ว เป็นผู้มีใจสลดแล้ว เริ่มตั้งหิริโอตตัปปะ อธิษ<wbr>ฐานอัพ<wbr>โภ<wbr>กา<wbr>สิ<wbr>กังค<wbr>ธุดงค์ (องค์<wbr>คุณ<wbr>ของภิกษุผู้ถือการอยู่ในที่แจ้งเป็นวัตร) กระทำกรรมในวิปัสสนา กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า หตฺ<wbr>ถิกฺ<wbr>ขนฺ<wbr>ธา<wbr>ว<wbr>ป<wbr>ติตํ ดังนี้ เป็นอาทิ.
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อวปติตํ ได้แก่ ตกคว่ำหน้า คือมีเท้าขึ้นเบื้องบน มีหน้าลงเบื้องล่าง ตกไปแล้ว.
    บทว่า กุญฺชโร เจ อนุกฺกเม ความว่า ถ้าช้างพึงเหยียบเรา.
    ท่านกล่าวอธิบายไว้ดังนี้ว่า
    ถ้าในเวลาที่เราขึ้นคอช้างเข้าสู่สงคราม ตกจากคอช้าง ได้ถูกช้างนั้นเหยียบตายในสงคราม ความตายนั้นของเราประเสริฐกว่า พ่ายจากกิเลสทั้งหลายในบัดนี้แล้วเป็นอยู่ จะประเสริฐอะไร คือความเป็นอยู่นั้นไม่ประเสริฐเลย.
    เมื่อพระเถระกล่าวคาถานี้อยู่นั่นแล ขวนขวายวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว.
    สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า<sup>๑-</sup>
    เมื่อก่อนเราเป็นพรานเนื้อ ครั้งนั้น เราเที่ยวอยู่ในป่าใหญ่ ได้เห็นพระ<wbr>พุทธ<wbr>เจ้า<wbr>ผู้<wbr>ปราศ<wbr>จาก<wbr>กิเลส<wbr>ธุลี ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง เราเลื่อมใสได้เอาผลมะหาดมาถวายพระ<wbr>พุทธ<wbr>เจ้า<wbr>ผู้<wbr>ประเสริฐ<wbr>สุด เป็นเขตแห่งบุญ ผู้แกล้วกล้า ด้วยมือทั้งสองของตน.
    ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายผลไม้ใดในกาลนั้น ด้วยการถวายผลไม้นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำ<wbr>สอน<wbr>ของ<wbr>พระ<wbr>พุทธ<wbr>เจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
    ____________________________
    <sup>๑-</sup> ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๙๐

    ก็พระเถระบรรลุพระอรหัตแล้ว กล่าวทบทวนคาถาทั้งสองนั่นแล คือ (คาถาที่ ๑) อันพระศาสดาตรัสแล้ว (และคาถาที่ ๒) อันตนกล่าวแล้วโดยนัยมีอาทิว่า หตฺถิกฺ<wbr>ขนฺ<wbr>ธา<wbr>วป<wbr>ติตํ ดังนี้.
    ด้วยการกล่าวซ้ำคาถานั้น เป็นอันพระเถระพยากรณ์พระอรหัตผลนี้แล้วทีเดียว. <center>
    จบอรรถกถาโสณโปฏิริยปุตตเถรคาถา
    ----------------------------------------------------- </center>
    .. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ ๔ ๗. โสณโปฏิริยปุตตเถรคาถา จบ.
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=5939&Z=5947
    </td></tr></tbody></table>
     

แชร์หน้านี้

Loading...