เว็บพลังจิต ปฎิทินพลังจิตธรรมสัญจร 54

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย ญ.ผู้หญิง, 17 ธันวาคม 2010.

  1. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    ขอบคุณครับ

    เข้าใจเจตนาครับ เรื่องการพูดเล่นหรือหยอกล้อในป่า
     
  2. วรุณบุตร

    วรุณบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +1,018
    จริง ๆ ก้ไม่มีไรมากกันหรอกนะครับ ก็เดิน ๆ ปีน ๆ ถาก ๆ เล่นสไลเดอร์เดี๋ยวก็ถึงเองแหละ ใครที่ฝึกวิชาอะไรมาก็เอามาใช้กันได้เลยนะครับ ในทริปนี้ถ้ากำลังภายนอกเราไม่ไหวก็หัดใช้กำลังภายในกันบ้างก็ดีนะครับจะได้ไม่เหนื่อย ที่ ๆ จะไปก็มีแต่ญาติ ๆ เราทั้งนั้นที่เราจะไปพบก็ขอให้ท่านช่วยบ้างก็ได้นะครับ
     
  3. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,718
    ค่าพลัง:
    +5,514
    แค่ตามอ่านกระทู้ก็ยังเหนื่อยครับ
    เดินป่าจริงคงโหดน่าดู
    จะไปเร็วๆต้องแบบข้างล่างนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2011
  4. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    คุณพิชญ์และคุณวรุณบุตร เป็นหนึ่งในสมาชิกที่เคยร่วมเดินทางในในทริปบึงลับแลวาระ ๑ ซึ่งครั้งนั้นเป็นการเดินตอนหน้าแล้ง เดินสบายที่สุดและระยะทางสั้นที่สุดเพราะเดินจากสันเขาไปบึงลับแล ๒ เพียงบึงเดียวไม่ได้ไปพญาไม้และบึงลับแล ๑ สัมภาระมีเพียงข้าวเหนียว-หมูทอด-ปลาทอดคนละ ๑ ห่อและน้ำดื่มคนละ ๒ ขวด (๖๐๐ มล.) แถมยังไม่ได้เข้าไปพักค้างคืน ยังกลายสภาพเป็น "หมาหอบแดด" [​IMG] กันมาแล้ว และเป็นที่มาของคำพูด "เราจะไม่ไปซ้ำรอยเดิม" (เพราะไปไม่ไหว) และ "ครั้งเดียวก็เกินพอ" ฮิ ฮิ ฮิ


    "โหด" ค่ะ รับรองว่า "โหดจริง" และ "โหด" กว่าทุกครั้งที่เคยไป การันตีความโหดโดยพระวัดท่าขนุนที่เมตตาไปสำรวจเส้นทางให้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ละองค์ล้วนสะบักสะบอมและมีสภาพแหว่งวิ่นกลับมา เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยสักจากหนาม และคำพูดยอดฮิต "ครั้งเดียวก็เกินพอ" แอบกระซิบว่าที่ถ่ายรูปกันมาแล้วยิ้มสดชื่น สดใสนะคือเบื้องหลัง เพราะทุกวาระที่ชาวคณะเดินทางไปเวลาถ่ายรูปเรานิยม "สร้างภาพ" กันค่ะ แต่ถ้าลองถามแต่ละคนว่า "แล้วจะไปอีกไหม" คำตอบจากปากคือ [​IMG][​IMG] ฮิ ฮิ ฮิ [​IMG]
     
  5. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    บางบทบางตอนจากบันทึกการเดินทาง "บึงลับแล ๒" ของพระอาจารย์

    ขออนุญาตคัดบางบทบางตอนจากบันทึกการเดินทางของพระอาจารย์ที่ท่านเดินทางเข้าไปในช่วงหน้าแล้งมาให้ได้อ่าน จะเห็นว่าสภาพเส้นทางป่าบึงลับแลยามหน้าแล้งกับหน้าฝนแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด



    "ที่นี่แหละ...ต้นทางไปบึงลับแลที่ใกล้ที่สุดและไปง่ายที่สุด คราวที่แล้วเข้าผิดทางแต่มาออกตรงนี้เลยจำแม่น...

    [​IMG]
    ลงสู่บึงลับแล

    ขนข้าวของลง ช่วยกันฉุดกระชากลากดึงใบไม้ใบหญ้า ให้เป็นช่องว่างกว้างพอที่จอดรถได้ เพื่อเป็นการป้องกันว่าเวลาไฟป่ามา มันจะได้ไม่ไหม้รถวอดวายไปด้วย...
    ล็อกรถแล้วต่างคนต่างแบกของ มีแม่เบ็ญเท่านั้นที่อนุญาตให้ฝากไปกับแดงได้ จ่าไก่จะแบกแกลลอนน้ำไปด้วย อาตมาแนะนำว่าอย่าดีกว่า คนแบกน้ำศูนย์ถ่วงมันเสีย ตกเขาตายมาเยอะแล้ว..!

    ทุกคนเหวี่ยงของขึ้นบ่า บุกไปตามเนินที่ค่อย ๆ ลาดชันขึ้น มีไม้ไผ่ที่ตัดมัดไว้เป็นแพ แต่ไม่มีคนมาชักลาก อาตมาคอยช่วยเหลือแม่เบ็ญอยู่ท้ายขบวน ส่งไม้เท้าให้จับ แล้วก็ลากจูงไป น่าน..ว่าง่าย ๆ โตเร็ว ๆ...

    ลุงปาน นายต๊อก แบกอาวุธและเครื่องครัวตรงไปข้างหน้า ตามมาด้วยแดง แสงชัย จ่าชิต จ่าไก่ แล้วทิ้งช่วงด้วยพี่มุกดา ลูกปลา ยายหนูลูกพ่อเขาแบกกระเป๋าสะพายดูแล้ว น่าเจ็บไหล่แทน กระเป๋าหิ้วเอามาสะพาย มันรัดไหล่คอดไปเลย..!
    ถัดมาเป็นหัวหน้าชาติชาย อาตมา แล้วก็แม่เบ็ญ มีส่างวินเด็กหนุ่มชาวทะวาย แบกเสบียงและกล้องถ่ายรูปรั้งท้าย ให้แกไปก่อนก็ไม่ยอม เลยต้องปล่อยให้ปิดท้ายขบวนตามใจเขา อาจจะของหนักไปได้ช้า เลยไม่อยากขึ้นหน้าก็เป็นได้...

    ถึงที่ราบบนไหล่เขา ช่วงนี้มีแต่พวกว่านยาสมุนไพร ไม้ใหญ่สูงทะยานเยี่ยมเมฆ แสงตะวันแทบลอดลงมาไม่ได

    “ค่อยยังเป็นป่าหน่อย”

    จ่าไก่ว่า ทุกคนสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด อากาศสด ๆ แบบนี้ สมัยนี้เป็นของหายากแล้ว...
    ขบวนมาหยุดตรงเชิงเขา ความชันของมันต้องแหงนคอตั้งบ่า แม่เบ็ญเห็นแล้วตีหน้าปั้นยาก ป่าไม้จอมเฮี้ยบหัวเราะฟันขาว..

    “จวนถึงแล้วน้าเบ็ญ ข้ามยอดนี้ไปก็เป็นบึงลับแล..”

    กระนั้นสีหน้าแม่ก็ดูไม่ดีขึ้นเลย...
    พักพอหายเหนื่อยก็เริ่มปีนเขา รองเท้าอาตมาระเห็จลงไปในย่าม ทางลาดชันซ้ำดินยังร่วนซุย แทบไม่มีอะไรให้ยึด ต้องขึ้นไปทีละคน พอถึงที่มีต้นไม้หรือก้อนหินเป็นหลักได้ ก็หันมารับคนข้างหลังขึ้นไปทีละช่วง...
    ข้าวของเครื่องใช้เป็นตัวถ่วงสิ้นดี ทั้งเกะกะทั้งหนักอึ้ง จ่าไก่พอมาปีนแบบนี้เข้า ค่อยถึงบางอ้อว่า ทำไมอาตมาจึงไม่ให้แบกแกลลอนน้ำมาด้วย อาตมาเลยคุยทับว่า ที่ไหนไม่ลำบาก คณะของเราไม่ไปให้เสียเวลาหรอก...

    มัคคุเทศก์ของเรานำลัดเลาะไปเรื่อย ยอดเขาน่ะแค่ยอดเดียว แต่มันมีหลายตะพัก ขึ้นไปช่วงหนึ่งก็นั่งหอบกันทีหนึ่ง

    “หายใจยาว ๆ ซิแม่..” อาตมาบอกแม่เบ็ญที่นั่งหน้าขาวหมดอาลัยตายอยาก...
    “คราวก่อนมาด้านโน้นข้ามเขาตั้ง ๑๑ ลูกแน่ะแม่..” พี่มุกดาพยายามยั่วให้ไฟลุก “น้าเบ็ญเห็นฟ้าขาว ๆ นั่นมั้ย..? ถึงตรงนั้นก็เห็นบึงแล้ว” หัวหน้าชาติชายกระทุ้งซ้ำอีกแรง

    ลากสังขารโผเผต่อไป จะบรรลุหรือไม่อีงวดนี้แหละ เห็นลูกๆ ไปไหนก็ร้องตาม คราวนี้คงซาบซึ้งแล้วว่า ที่เขามาเล่าให้ฟังสนุก ๆ นั้น ในความเป็นจริงแล้ว เขาต้องแลกเลือดแลกเหงื่อกันขนาดไหน..!

    ทางช่วงนี้มีรอยฟันดินเป็นบันไดไว้ เลยขึ้นได้ง่ายหน่อย เพียงแต่ระวังอย่าให้หงายหลังลงไปเท่านั้น หลังจากคราวก่อนแล้ว หัวหน้าชาติชายนำพระจากวัดป่าผาตาดธารสวรรค์มาหาที่ภาวนา คงจะทำบันไดดินไว้ตั้งแต่ตอนนั้น...
    ต้นไผ่ลำใหญ่เกือบโอบขึ้นขวางหน้า แม่เบ็ญกอดลำไผ่หอบแฮ่ก ๆ เห็นทุกข์เห็นโทษของร่างกายหรือยังจ๊ะแม่..? อยู่กับบ้านมันไม่เห็นทุกข์หรอก ต้องมาลำบากลำบนแบบนี้ถึงจะเห็นชัด เห็นแล้วต้องจำด้วยนะจ๊ะ ไม่ใช่เห็นแล้วลืม...
    ฉุดลากแม่เบ็ญไปต่อ ช่วงสุดท้ายแล้ว มีแต่แง่หินคมกริบ ใครพลาดก็ได้เลือดกันล่ะ...ในที่สุด..ก็ขึ้นมาบนยอดสูงสุดของภูเขา มองลงไปลิบลิ่วอยู่ข้างหน้า นั่นคือทางที่ต้องลงไป อย่าเพิ่งหวาดเสียวลมใส่ซะก่อนนะแม่นะ...

    แดงล้วงเชือกถักแบน ๆ ออกมาจากเป้หลัง ความยาวของเชือก ๑๕ เมตร ผูกเอวของแม่เบ็ญไว้ แล้วให้ค่อย ๆ ไต่ลงไป

    “ไม่ต้องกลัวนะแม่ ถ้าพลาดก็ยังติดเชือกนี่อยู่...”

    พี่มุกดากับลูกปลาสองป้าหลาน อาศัยความได้เปรียบที่เคยผ่านมา พาตัวเองลงไปอย่างระมัดระวัง จ่าชิตกับจ่าไก่แม้ไม่คุ้นกับภูมิประเทศก็ไม่น่าห่วง นอกนั้นทุกคนไปสบาย อย่างกับเดินเล่นในสวนลุมพินี...

    ทางลาดทแยงลง เดี๋ยวเลี้ยวไปทางซ้าย เดี๋ยววกไปทางขวา เหตุนี้แหละที่บางคณะมาแล้วหาทางลงไม่ได้ เพราะตะบี้ตะบันลงตรง ๆ ท่าเดียว แล้วไปติดแหง็กแถวหน้าผาชันดิ่ง พอหาทางลงไม่ได้ชื่อเสียงของบึงลับแลก็ยิ่งโด่งดัง

    “เห็นบึงแล้ว...”

    พวกที่ล่วงหน้าไปตะโกนบอก อาตมาค่อย ๆ ผ่อนเชือกหย่อนแม่เบ็ญลงไปทีละนิด กว่าจะไปถึงจุดที่มองเห็นบึงก็เกือบครึ่งช.ม. ประกายระยิบระยับจากแสงแดดสะท้อนน้ำในบึงกระทบกับสายตา...

    “โอ้โฮ..น้ำในบึงทำไมลดลงมากขนาดนี้..?”

    ป่าไม้มือปราบร้องออกมาดัง ๆใช่..ระดับน้ำลดลงไปหลายวา แต่สียังคงดำสนิทเหมือนเดิม...

    [​IMG]

    เห็นจุดหมายปลายทางแม่เบ็ญก็กระปรี้กระเปร่าขึ้น แต่พี่มุกดาหน้าบิดเบี้ยวเหยเกแทน ไม่รู้ว่าไปพลาดข้อเท้าแพลงเข้าตอนไหน ลูกปลาคงทั้งร้อนทั้งเหนื่อย หน้าตาแดงก่ำเหงื่อเปียกไรผมเลย...

    มุดลอดวัชพืชสูงท่วมหัวลงสู่บึง น้ำแห้งจนเดินเลียบขอบบึงได้รอบ ทั้งที่คราวก่อนต้องทำแพข้ามกัน รอยน้ำจากคราวก่อนเป็นคราบอยู่ลิบ ๆ บนหน้าผา
    ปลดสัมภาระลงพักเหนื่อย จอมเพชฌฆาตบอกว่ามีรอยหมีใหญ่สองตัวลงกินน้ำเมื่อคืนนี้ อาตมากับแดงเดินไปดูตามที่แกชี้บอก พอเห็นรอยเข้าก็งง.. นี่นะ..รอยหมีของลุง..?
    รอยขนาดจานข้าว เกือบจะเป็นวงกลม รอยนิ้วทั้งสี่กดประทับลงบนดินนุ่ม ๆ อย่างชัดเจน ฝ่ามือคนโบราณอย่างอาตมากางออกยังต้องเพิ่มอีกสองนิ้วจากมืออีกข้างหนึ่ง จึงจะเท่ากับรอยของมัน..!

    “ฮ่วย..! นี่มันรอยเสือ รอยหมีอยู่โน่น” จอมพรานพูดหน้าตาเฉย

    อาตมาถึงเดาได้ก่อนว่ารอยอะไร ก็ยังเย็นวาบไปทั้งตัว รอยมันใหญ่ขนาดนี้ บรื๊อว์ว์...ไม่อยากจะคิด..!

    “ถึงสามวามั้ย..?” หัวหน้าชาติชายถาม
    “บ่ถึง”

    อาตมาบอกหัวหน้าชาติชายว่า

    “สามวาของลุงปานแกไม่ได้วัดรวมหางอย่างพวกนักวิชาการหรอก แกเอาเฉพาะตัวหัวจรดท้ายเท่านั้น มันก็ไม่ถึงนะซิ...”

    ต่อให้ถึงก็เถอะ..สามวานั่นมันโคตะระเสือแล้ว..!
    รอยหมีทั้งสองรอยขนาดรอยเท้าเด็ก ๗ - ๘ ขวบ นับว่าตัวใหญ่ทีเดียว ทั้งเสือ ทั้งหมีลงมาจากร่องเขาเดียวกัน กินน้ำเสร็จก็ย้อนกลับทางเดิม

    “คืนนี้ผมจะมานั่งเฝ้าดู..”

    จอมพรานพูดอย่างหมายมั่น...

    อาตมาเดินนำทุกคนไปยังเนินผาตรงข้าม จำได้ว่ามีเวิ้งถ้ำเล็ก ๆ หลายแห่ง ดินรอบบึงนุ่มยวบยาบ มีรอยเลียงผา ๓ - ๔ ตัวลงมากินน้ำ รอยของมันมาจากร่องเขาด้านนี้ ที่คราวก่อนพวกเราปีนข้ามมา...
    กว่าจะถึงเชิงผาก็เล่นเอาเหนื่อย ไม่น่าเชื่อว่าน้ำจะลดลงไปมากขนาดนั้น อาตมาจะปักหลักที่เวิ้งถ้ำด้านล่าง แต่หัวหน้าชาติชายกลัวจะอยู่สูงกว่าพระ ขอร้องให้ขึ้นมาบนเนินดีกว่า ตามใจ...ที่ไหนก็นอนได้อยู่แล้ว...
    เลือกเอาเวิ้งถ้ำที่อยู่ตรงกลาง ปูผ้าพลาสติกลง เอาไม้ขัดกับแง่หินเป็นคาน แล้วแขวนกลดกับคานนั่นแหละ ม้วนมุ้งกลดไว้ก่อน เอาของใช้ต่าง ๆ และบริขารออกมาจัดวางให้เป็นระเบียบ จะได้หยิบฉวยง่าย ๆ...

    คนอื่นแบ่งปันเวิ้งถ้ำกัน ปรากฏว่าที่ดีที่สุด ดูท่าจะอยู่สบายที่สุด กลายเป็นเวิ้งถ้ำที่อยู่ใต้เนิน หัวหน้าชาติชายจัดให้แม่เบ็ญ พี่มุกดา ลูกปลา พักกันตรงนั้น แต่ทั้งสามคนอิดออดไปมา อาตมาจัดบริขารเรียบร้อยแล้วทั้งสามยังไม่ได้หยิบอะไรเลย...

    “มานี่ทั้งสามคนนั่นแหละ.. ขึ้นมาพักใกล้ ๆ นี่...” เฮละโลมาตามเสียงเรียกทันที

    ผู้หญิงต่อให้กล้าขนาดไหนก็ตาม ในป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายแบบนี้ก็กลัวด้วยกันทั้งนั้นแหละ ถึงไม่กลัวเสือก็ต้องกลัวผะอี๋..!
    หัวหน้าป่าไม้ค้นเอาถุงพลาสติกสองใบ ที่ใส่ถ้วยจานและของใช้หลายอย่างออกมา เป็นของที่พระจากวัดป่าผาตาดธารสวรรค์เมตตาทิ้งไว้ให้ใช้ ส่งถังให้นายต๊อกกับนายส่างวิน บัญชาให้ไปตักน้ำดื่มมาเพิ่มและจัดการหุงข้าว...
    มีกระสอบซุกอยู่สองใบ อาตมาส่งให้แม่เบ็ญไปทำผ้าปูนอน ตามมีตามได้นะแม่นะ..อยู่ป่าจะให้สบายอย่างอยู่บ้านไม่ได้หรอก พี่มุกดากับลูกปลาช่วยแม่เบ็ญเอากระสอบปูเวิ้งถ้ำถัดไปทางขวา พลางขนของขึ้นมาไว้...

    อาตมาขึงเชือกทำราวผ้า ให้ป่าไม้เสือซุ่มขึ้นมาในนอนเวิ้งถ้ำทางขวา เป็นการคั่นสุภาพสตรีเอาไว้ แล้วให้สิงห์เห่ากับแรดจอมซ่าส์มากระหนาบอยู่เวิ้งถ้ำด้านซ้าย
    สองจ่าทหารฟ้าจัดที่หลับที่นอนอยู่ถัดจากแม่เบ็ญไป อาตมาบอกว่ามีการค้างคืนกลางป่า ทั้งสองเลยจัดเครื่องหลังมาเต็มอัตรา กระทั่งมุ้งยังพกมากันคนละหลัง ควั่นเถาวัลย์เล็ก ๆ ทำสายมุ้งกันอยู่...

    อาตมาขอตัวไปสรงน้ำก่อน ขอถังจากนายต๊อกไป ๑ ใบ เดินไปถึงจุดที่คราวก่อนขึ้นจากแพ ชัยภูมิดีมีก้อนหินบังตาด้วย ลงไปตักน้ำในบึงขึ้นมาอาบข้างบน เสียงค่างกู่อยู่บนสันเขา คงบอกพรรคพวกว่ามีคนมา...

    สรงน้ำ - ซักผ้าเสร็จ ก็ไล่พวกผู้หญิงไปอาบก่อน กำชับซ้ำว่าให้ตักขึ้นมาอาบมาซักกันข้างบน น้ำในบึงจะได้ไม่สกปรก ทั้งสามชักแถวตามกันอย่างกับปลาท่องโก๋ ชาตินี้ไม่ยอมพรากจากกันแน่ ๆ...
    ตากผ้าแล้วขอมีดจากส่างวินมาตัดไม้แห้ง เก็บเอาไว้ก่อไฟคืนนี้ เห็นลุงปานมาขอน้ำปลา แสงชัยที่พกมาทั้งเกลือและน้ำปลา ส่งให้นักล่าไปทั้งขวดเลย กลิ่นบะหมี่ต้มกับปลากระป๋องหอมฉุยมาแต่ไกล...

    นายต๊อกกับส่างวินช่วยกันหาไม้แห้งมาเพิ่มหอบใหญ่ ขณะที่แม่เบ็ญ พี่มุกดา ลูกปลา ขึ้นจากอาบน้ำ คนอื่นผลัดกันลงไปอาบบ้าง คงเหลือนายแรดที่ยังหวงขี้ไคล เพราะหมกยังไม่ได้ที่ ขอซักแห้งไปก่อน...

    ตะวันคล้อยจะลับเหลี่ยมเขา เสียงนกชนิดต่าง ๆ และลิงค่างร้องลาตะวัน กระรอกประท้วงที่มีคนมารบกวนความสงบ แมงหวี่และยุงตอมหึ่ง ๆ... อาตมาจัดแจงก่อไฟไล่ตัวแมลง ทหารอากาศขาดรักทั้งสองโรยปูนขาวกันมด...

    ไฟติดควันโขมงทำให้ตัวแมลงหายไปหมด อาตมาครองผ้า สวดมนต์ - ไหว้พระ อธิษฐานจิตถึงเจ้าของสถานที่ ขอมารบกวนยืมสถานที่ใช้ซักสองคืน ไม่ได้มายึดครองไว้เลย แล้วตั้งใจสวดกรณียเมตตาสูตร...

    ร่างมหึมาปานราหูชูหัวพรวดขึ้นจากบึง หัวสูงเทียมยอดเขา สีดำเป็นเงาราวกับนิล บนหัวมีหงอนเป็นหยัก ๆ ลงไปตามสันหลัง ดวงตาขนาดโอ่งมังกรเห็นจะได้ ลิ้นสีแดงแลบแปลบปลาบราวกับสายฟ้าในนรก..!

    พญางูยักษ์..! เจ้าประคุณเอ๋ย..ทำไมถึงใหญ่มหายักษ์ขนาดนี้ ชูพ้นมาแค่เลยคอนิดเดียว สูงเท่ากับภูเขาซะแล้ว ถ้าแผ่พังพานออกมิบังฟ้าเลยหรือนี่..? จะว่าเป็นพญานาคก็ไม่เหมือนในภาพเขียนเลย..!

    “มาแค่ ๑๑ คนไม่พอกินหรอก” แน่ะ..ขู่กันซะด้วย

    อาตมาหันหลังให้บึงสวดมนต์อยู่สามารถ “มองเห็น” เขาได้ก็รู้อยู่แล้วว่าเป็น “งูลม” ยิ่งมาขู่กันแบบนี้ยิ่งมั่นใจใหญ่ เลยสวดมนต์ต่อไม่รู้ไม่ชี้...

    “วิรูปักเข หิ เม เมตตัง เมตตัง เอราปเถ หิ เม...” ถึงบทขันธปริตร พอดี พอเอ่ยนามท้าววิรูปักข์จอมนาคราช อสรพิษมหายักษ์ก็หดหัวหายวูบในบึงตามเดิม อาตมาสวดมนต์ต่อจนจบ...

    หันกลับมาให้ทุกคนเช็คยอด เพราะอาตมายังไม่ทราบเลยว่า คณะของเรามากันกี่คน ปรากฏว่า ๑๒ คนทั้งอาตมา เออ...ขอบคุณเป็นอันขาดที่ไม่คิดจะกินพระเข้าไปด้วย แล้วเฉลยข้อข้องใจให้ทุกคนฟัง...
    แสงชัยเอะอะโผงผางว่า

    “อย่างนี้ต้องเจอกับ “ปู่ขาว” ของผม”

    ทำพูดดีไปเถอะ..ถูกพ่อแดกซะก่อนปู่จะมาช่วยแล้วจะรู่ซึก..! ไล่ทุกคนไปกินข้าวเย็น เว้นหัวหน้าชาติชาย แดง และจ่าชิต เพราะทั้งสามถือศีลแปด...

    อาตมาตั้งใจแผ่ส่วนกุศลต่อเจ้าของสถานที่ทั้งหลาย จะเป็นอากาศเทวดา รุกขเทวดา ภุมมเทวดาก็ดี สัมภเวสี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานใด ๆ ก็ดี ขอให้ทุกท่านโมทนาในส่วนกุศลของข้าพเจ้านี้เถิด...

    “เห็น” ผู้มาโมทนาคลาคล่ำไปหมด มีรายหนึ่งหน้าดำเป็นนิล โผล่มาใกล้ที่สุดข้างกองไฟ เลยขอให้เขาช่วยดูแลความปลอดภัยของทุกคนตลอดเวลาที่ยังพักอยู่ที่นี่ ขวานฟ้าหน้าดำรับปากโดยไม่ลังเล.. ขอบคุณมาก ๆ...

    ญาติโยมทั้งหมดอิ่มแล้วขึ้นมายังที่พัก นั่งบ้างนอนบ้างคุยกัน จอมพรานแบกปืนหายไปในความมืด นายต๊อกกับส่างวินล้างถ้วยชาม พอเรียบร้อยทั้งสองก็ซุกตัวเงียบ เห็นแต่แสงไฟจากกองอยู่วับแวม...

    อาตมาเห็นเพิ่งจะหัวค่ำ จึงแนะนำกรรมฐานแก่ทุกคน ให้ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่ามีความดีไม่มีประมาณเช่นไร คุณของเทวดาว่าทรงความดีอะไรเป็นแบบอย่างให้เราทำตามบ้าง...

    คุณของศีลช่วยกางกั้นเราไม่ให้ตกอบายภูมิอย่างไร คุณของการบริจาคให้ทานตัดความโลภอย่างไร
    คุณของการระลึกถึงความตาย ช่วยให้เราไม่ประมาทอย่างไร...
    ให้มองเห็นความเป็นจริงในร่างกายนี้ ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างไร... พอมองเห็นความไม่ดีของร่างกาย จิตใจไม่ปรารถนาการเกิดอีกก็ให้ทุกคนยกจิตขึ้นนิพพาน ตั้งใจภาวนาจับนิพพานให้มั่นคงเข้าไว้...

    บรรดา “ผู้สังเกตการณ์” มาเฝ้าดูกันเพียบเลย อาตมาจึงเตือนให้ทุกคนแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล และขอขมาลาโทษต่อพวกเขา ถ้าเราทำอะไรเป็นการล่วงเกินไปบ้าง ทุกคนทำตามโดยพร้อมเพรียงกัน...

    ออกจากกรรมฐานก็นั่งคุยกัน ใคร “พบเห็น” อะไรก็นำมาเล่าสู่กันฟัง มีจ่าชิตนั่งตัวตรงแหน็ว ภาวนาไม่ยอมเลิก แสงชัยนวดขาให้แม่เบ็ญกับพี่มุกดา แม่เบ็ญคงเป็นห่วงบ้านมาก เปรยว่า

    "จะกลับพรุ่งนี้ใช่มั้ย..?"
    " ใช่จ้ะแม่..กลับมะรืนนี้..! "

    เดินทางเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ทุกคนคงเพลียจัด อาตมาลากฟืนท่อนใหญ่ใส่ลงในกอง กะว่าให้มันสุมขอนอยู่ทั้งคืน เตือนให้เอาอาหารแขวนให้พ้นจากมด แล้วดับเทียนนอนภาวนา
    เสียงขยับยุกยิก เสียงบ่นว่ามดชุม ที่นอนของแม่เบ็ญด้านพี่มุกดากับลูกปลามากกว่าเพื่อน ปูนขาวที่โรยไว้กลายเป็นกันมดออก เพราะไปตั้งแค้มป์อยู่บนรูของมันพอดี ผลัดกันผุดลุกผุดนั่ง

    [​IMG]
    แม่เบ็ญ ลูกปลา พี่มุกดา

    อาตมาให้ย้ายที่ไปนอนตรงลานกว้างทางด้านปลายเท้าของอาตมา เลยสงบลงหน่อย ส่วนจ่าชิตถูกมดยึดที่นอนไปหมด หนีมานอนกับหัวหน้าชาติชาย น้ำยากันแมลงใช้ไม่ได้ผล มดมันอ่านหนังสือไม่ออกเลยไม่กลัว...

    เคลิ้ม ๆ จวนหลับถูกกระตุกหัวแม่เท้าให้ตื่น มองดูก็ไม่เห็นใคร พอใกล้หลับก็กระตุกอีก..ทะลึ่งน่า... คนจะนอนมากวนอยู่ได้ เดี๋ยวก็เจอถีบให้เท่านั้น เอาไว้หายง่วงค่อยมากวนซิวะ..!

    ************************

    ฟิวส์ขาดหลับไปเมื่อไรก็ไม่รู้ ? ตื่น ขึ้นมาอีกทีดึกสงัด เสียงกบร้องระงมมาจากชายบึง ตุ๊กแกป่าร้องอยู่บนยอดเขา นาน ๆ ทีจะมีเสียงตัวอะไรไม่รู้ร้องดังประหลาด ไม่เคยได้ยินมาก่อน...

    เสียงใบไม้ร่วงกรอบแกรบ มองไปทางปลายเท้า เห็นแม่เบ็ญพลิกแล้วพลิกอีก อาตมาจุดเทียนขึ้นสว่าง บอกแม่เบ็ญว่า...

    “นอนเถอะแม่ ไม่ต้องอยู่ยามหรอกจ้ะ...”

    ลุกไปสุมไฟจนสว่างโพลง คนโน้นขยับคนนี้ขยับ นี่พวกเขาไม่มีใครหลับเลยเรอะ..? อาตมาเลยต้องนั่งภาวนา เป็นหลักประกันให้ทุกคน จะได้ไม่หวาดกลัว เพราะมีทั้งพระทั้งไฟอยู่เป็นเพื่อนแล้ว...

    วิธีนี้ได้ผลดี ทุกคนหลับกันเงียบ อาตมาดูนาฬิกาเห็นตีหนึ่งกว่า เลยสวดมนต์ - ไหว้พระ นั่งภาวนายาวไปเลย พอไฟใกล้มอดก็ลุกไปสุมใหม่ จนตีสี่กว่าก็ลุกไปหาที่ปัสสาวะ...
    ล้างหน้า - แปรงฟัน เช็ดตัวด้วยน้ำในกระติก ทุกคนทยอยกันตื่น พบครบหน้าก็โวยกันให้ขรม ว่ายามกิตติมศักดิ์ขยันฉิ..หายเลย เดินทั้งคืนจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน..ฮ่า..ฝีมือนายหน้าดำกับพรรคพวกละ..!

    จ่าไก่กับนายแรดถูกลากจากที่นอนไปเป็นเมตร อยากนอนขี้เซากันดีนัก คนอื่นโดนกระตุกขากันทุกคน โกรธก็โกรธ กลัวก็กลัว ลูกสาวปลาบอกว่า เสียงคนเดินอย่างกับยกทัพมาเลย...

    อรุณรางพอมองกันเห็น เลยชวนกันเล่นรอบกองไฟ เอากุนเชียงของจ่าไก่มาเสียบไม้ปิ้ง แม่เบ็ญกับพี่มุกดาปอกมะม่วง แล้วขนขนมออกมาแบ่งใส่จานเตรียมถวายพระ นี่เขาขนกันมาได้มากขนาดนี้เชียวเรอะ..?

    นายต๊อกกับส่างวินก่อไฟหุงหาอาหาร จอมพรานแบกเจ้าโคนเหลี่ยมตราเสือขึ้นมาสมทบ หักหางเหยี่ยวดีดลูกจากลำกล้อง ไปซุ่มมาทั้งคืนแมวซักตัวก็ไม่เข้า มันกลัวคนมากกว่าคนกลัวมันซะอีก..!

    อาตมาฉันเช้าด้วยมะม่วงกับขนม มีกุนเชียง ๑ ชิ้นเป็นกับแกล้ม คนอื่นรองท้องด้วยขนมก่อน ลุงปานเล่าเรื่องป่าให้ฟังว่า เสียเพื่อนแพ้ท้องอยากกินตับช้าง ช้างเลยมาถึงบ้าน คว้ากางเกงในไปกินซะเกลี้ยง..!
    อาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว บะหมี่กับปลากระป๋องตามเคย แม่ตักราดข้าวเพิ่มมาให้ รสชาติเด็ดขาดมาก ฉันเสร็จวิ่งเข้าป่าแทบไม่ทัน ทุกคนนั่งหาที่กินตามภูมิประเทศ...

    หลังอาหารลุงปานขอตัวกลับก่อน มากับพวกเราไม่ได้ยิงอะไรซักตัว แกครั่นเนื้อครั่นตัวจะแย่ ไม่มีเนื้อสดให้กิน ฟาดบะหมี่กับปลากระป๋อง แกก็แทบบ้าไปเท่านั้น อาตมาเลยอนุญาตให้รีบ ๆ ไปให้พ้นหน้า...
    เฮ้อ..แกฆ่าจนเป็นฌานซะแล้ว บอกเองว่านอนบ้านมันร้อน ต้องนอนป่าถึงสบาย กินข้าวมื้อไหนไม่มีเนื้อมีคาว แกแทบจะกลืนไม่ลงเลย... แบบนี้ก็ดีนะลุง..พระยายมไม่ต้องตัดสินให้เสียเวลา ลงตรงไปเล้ย..!

    พักผ่อนกันตามอัธยาศัย ลูกปลาแสดงวิธีนอนบนเถาวัลย์ให้ทุกคนดู อาตมาเอา
    “เขี้ยวเสือกลวง” มาลงอักขระ นายแรดเขาถวายมา แปลกตรงที่คนเขาหากัน เขี้ยวหมูต้องตัน ส่วนเขี้ยวเสือดันหาไอ้ที่กลวง..นี่แหละตัณหาของมนุษย์...

    ลงเสร็จให้นายแรดเอาไปลอง ยิงโป้งปลิวว่อนเห็นไม่เป็นอะไร ความเร็วต้นของกระสุนกว่าพันฟุตต่อวินาที เขี้ยวก็บางเป็นกระดาษ น่าจะแหลกกระจุย แต่กลับไม่เป็นอะไรเลย เสือซุ่มของเราขอลองบ้าง...
    โป้งเดียวแตกกระจาย แล้วบอกเหตุที่ยิงพังได้เป็นเพราะว่า ตั้งใจอาราธนาบารมีพระออกซะก่อน คิดว่ากำลังยิงเขี้ยวสัตว์เดรัจฉานธรรมดา แบบนี้มีร้อยก็หมดทั้งร้อย ลองไปก็เสียของ เปลืองกระสุนเปล่า ๆ...

    เกิดอาการมันเขี้ยวขึ้นมา เลยเอากระป๋องเปล่าวางบนกิ่งไม้ คราวนี้ผลัดกันยิง เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว มีหวังแถวนี้ปลอดสัตว์ป่าไปนาน นกกาที่บรรเลงเพลงระงมป่าหายเงียบไปหมดด้วยความตกใจ...

    จ่าไก่ซึ่งพกพระหลวงพ่อมาแทบทุกรุ่น เอาพระใส่กระเป๋าเสื้อกั๊กแขวนกางกับเถาวัลย์ แล้วขออนุญาตลองยิง จึงได้เห็นความอัศจรรย์ของพุทธานุภาพชัดเจนกับสายตา...
    ระยะเผาขนแค่ ๕ - ๖ เมตร นายแรดซึ่งยิงโค้ลท์โกลด์คัพแทบจะร้อยเป็นรูเดียวกันยิงผิด..! จ่าไก่มือทดสอบอาวุธของ สพ.ทอ. ยิงผิด..! ป่าไม้เสือซุ่มของเราก็มือระดับเอ๊กซ์เปิร์ตยิงผิดอีก..!
    อะไรมันจะมือห่วยขนาดนั้น... แสงชัยขอลองบ้าง เจอมือระดับครูฝึกราบอากาศ แถมพุทธภูมิระดับเข้มซะด้วย ซัดเปรี้ยงเป็นรูเลย แต่มันกินต่ำลงมาโดนแถบชายเสื้อ ถ้าเป็นเป้ากระดาษก็เกือบหลุดขอบเลยล่ะ..!
    คราวนี้จ่าชิตที่ภาวนามาทั้งวัน กำลังใจกำลังทรงได้ระดับ ล่อตูมเข้าให้ถูกเหมือนกันแต่กินต่ำกว่าแสงชัยอีก จ่าไก่ขอลองใหม่ ตกอยู่บริเวณเดียวกัน แสงชัยอีกนัด อยู่ระดับเดียวกันหมด..!

    ทุกคนกราบขอขมาพระรัตนตรัย จ่าไก่ไหว้ท่วมหัวด้วยความมั่นใจ นายแรดสงสัยว่านัดหลัง ๆ ทำไมยิงถูก อาตมาเลยเฉลยว่า ก็ขอลองแค่สามนัด แล้วเสือกยิงเกินเองนี่หว่า..! ยอดโชเฟอร์จึงนึกถึงสัญญาขึ้นมาได้...

    อาตมาเองไม่สงสัยมานานแล้ว ปีกว่าที่ชายแดน ปะทะ ๒๐ กว่าครั้ง ที่หนักที่สุด คือ โดนปูพรมด้วยปืนใหญ่กว่าสี่ร้อยนัด แถมรถเสบียงโดนถล่มด้วยอาร์.พี.จี.สามนัดรวด ไม่มีอะไรแผ้วพานเลยแม้แต่น้อย..!

    แนะนำเท็คนิคการทำความสะอาดปืน ด้วยเครื่องมือที่จะพึงหาได้ตามภูมิประเทศ แล้วนั่งคุยกันสัพเพเหระ นายต๊อกกับส่างวินเตรียมอาหารเพล หมู่วิหคนกกาหายตกใจเสียงปืนกลับมาร้องระงมไพรเช่นเดิม...

    ชัยภูมิตรงนี้ดีมาก ตะวันขึ้นจะถูกบดบังด้วยภูเขาที่เราพัก กว่าจะส่องแสงมาได้ก็ต้องถึงเที่ยงไปแล้ว แต่ก็ติดร่มไม้ใบบังหมด ดังนั้น อากาศที่ร้อนถึงสี่สิบองศา จึงทำอะไรพวกเราแทบไม่ได้เลย...

    หลังจากบะหมี่กับปลากระป๋องลงไปในท้องแล้ว กำลังปรึกษากันว่าจะไปดูต้นทองหลางยักษ์กันดีหรือไม่...? ก็ปรากฏแขกไม่ได้รับเชิญกลุ่มใหญ่โผล่มาถึง เป็นพวกการไฟฟ้าฝ่ายผลิต มาสำรวจพื้นที่สร้างเขื่อนเขาแหลมตอนล่าง...
    เขามีแผนที่และภาพถ่ายทางอากาศมาด้วย อาตมาเลยงัดเอาเข็มทิศขึ้นมาทาบกับแผนที่ บึงลับแลแห่งที่ ๑ คือที่เราอยู่นี่ แห่งที่ ๒ ก็คือบึงแห้งที่เราเคยผ่านมาครั้งก่อนแห่งที่สามอยู่ตรงไหนหว่า..?
    อาศัยความรู้เก่าที่สอบแผนที่ทหารได้อันดับหนึ่งของรุ่น อาตมาก็ระบุอย่างมั่นใจว่า บริเวณบึงลับแลแห่งที่สาม ก็คือหุบเขากว้างใหญ่ซึ่งเป็นที่สิงสถิตย์ของบรรดาต้นไม้ยักษ์ที่เราไปดูกัน ครั้งก่อนนั่นเอง...

    ปราศรัยกันครู่หนึ่งพวกเขาขอตัวไปพักผ่อน อาตมาชวนแสงชัย แดง จ่าชิต จ่าไก่ไปดูต้นไม้ยักษ์กัน แม่เบ็ญกับพี่มุกดาขาเจ็บไปไม่ไหว ลูกปลานั้นถูกความจำเป็นของผู้หญิงบังคับ ควรจะอยู่พักผ่อนดีกว่า...
    ให้หัวหน้าชาติชายอยู่เป็นหลักทางนี้ แล้วพวกเราออกเดินทาง เห็นสาว ๆ การไฟฟ้าไปเด็ดดอกไม้ในถ้ำพักประจำของหัวหน้าชาติชาย มีคนเจิมบ้านให้แบบนี้ ถ้ามางวดหน้า เสือซุ่มของเราเขาจะกล้าพักหรือเปล่าหนอ..?

    ข้ามสันเขาลงไปยังบึงแห้ง ไฟป่าเผาผลาญรอบบึงจนเตียนโล่ง “เลือดผา” ก็แห้งสนิท จ่าชิตลองหัดเดินป่าเท้าเปล่าดูบ้าง ผลคือเต้นเหย็ง ๆ เป็นผีกอง กอยไปเลย...
    ลัดเลาะตามร่องเขาที่เคยผ่านมา แต่จำภูมิประเทศไม่ได้ หลงไปเกือบสุดหุบเขา จึงแหวกทางลงไปในหุบได้ พญาไม้ใหญ่เบียดเสียดกันแน่นทึบ แต่ละต้นสูงทะยานแทบทะลุฟ้า นี่คือป่าที่เป็นป่าจริง ๆ...

    นายแรดยอดโชเฟอร์ ชี้ให้ดูรอยเท้าประหลาดบนพื้น ดินแข็งขนาดนี้รอยยังชัดเจนมาก พลางบอกว่า

    “รอยเท้าช้าง”

    แต่อาตมาคัดค้าน พลางยกเหตุผลขึ้นมาว่า รอยเท้าช้างขนาดนี้เล็กไป...
    ช้างเล็กจะไม่แตกฝูงหากินตัวเดียว น่าจะเป็นรอยเท้าแรดมากกว่า รอยเท้าของสัตว์ทั้งสองคล้ายกันมาก และแรดมีนิสัยหากินตัวเดียว ป่าบริเวณนี้รกทึบ มีหนามที่แรดชอบกินขึ้นอยู่มาก ควรจะเป็นไปได้ว่ายังมีแรดหลงเหลืออยู่...

    เดินหาต้นทองหลางยักษ์เป็นการใหญ่ วนอยู่ในหุบสองรอบหาไม่เจอซักที ยอดโชเฟอร์บอกว่าควรจะข้ามเขาไปอีกลูกสองลูก แต่อาตมาเห็นตะวันบ่ายลงมากแล้ว กลัวจะค่ำกลางทาง จึงชวนกลับกันก่อน...
    มีแต่ผู้ชายล้วน ๆ จึงเดินทางได้เร็ว กลับมาถึงทุกคนทางนี้หลับแข่งกัน นายต๊อกกับส่างวินที่ถูกกวนด้วยเสียงเดินทั้งคืนก็หลับ เอ้า..หลับกันให้พอ คืนนี้จะได้ถูกกวนกันอีก หลับแบบนี้ช้างมาทั้งโขลงก็ไม่ตื่น..!
    อาตมาไปสรงน้ำ - ซักผ้า เสร็จแล้วคนอื่นผลัดกันไปบ้าง เว้นนายแรดที่บอกว่า

    “หมามันยังไม่อาบเลย..!”

    มิน่าล่ะ..ถึงเข้ากับหมาได้ดี ที่แท้ก็พวกเดียวกันนี่เอง..!
    จ่าไก่เอาถั่วแดงมาแช่น้ำ เตรียมทำของหวาน จ่าชิตย้ายที่นอนมานอนกับหัวหน้าชาติชาย ส่วนแม่เบ็ญ พี่มุกดา ลูกปลา ย้ายกลับที่เดิม เพราะขนขี้เถ้าไปปูซะหนาเลย มดมันคงหมดอารมณ์ที่จะกวนแล้วล่ะ...

    ลูกหาบทั้งสองเตรียมอาหารเย็น อาตมาสุมไฟกันแมลง จ่าชิตตักน้ำดื่มมาเตรียมไว้ทั้งถัง อาตมาจัดการปลงผม แม่ขอลองโกนดูแค่ทีสองทีก็บอกไม่ไหว แสงชัยเลยช่วยลากซะล้านเลี่ยนเงาวับไปเลย...

    “..ดวงตะวันลับทิวแมกไม้ ใจพี่ก็หาย หายลับไปกับตะวัน..”

    (แฮ่..เคยโดนถีบลงน้ำไปก็เพราะไอ้เพลงนี้แหละ..) ความมืดเริ่มปกคลุมลงมา อาตมากับสองทหารฟ้าหาฟืนมากองเบ้อเร่อ เตรียมพร้อมไว้สำหรับคืนนี้
    คนอื่นลงไปกระเดือกบะหมี่ต้มกับปลากระป๋องกันตาย อาตมาสวดมนต์ - ไหว้พระ คิดถึงลูกปุ๊กขึ้นมาตอนนี้ ลูกสาวคนนี้ขยันสวดมนต์ - ไหว้พระมาก เรื่องขอติดหนี้ไปใช้วันหน้า ไม่เคยประพฤติ เสียดายที่ติดงานมาด้วยกันไม่ได้...

    แม่เบ็ญต้มน้ำถั่วแดงใส่น้ำตาล ยกมาให้พวกศีลแปดรองท้อง ปรากฏว่าทั้งแปดทั้งไม่แปดรุมซดกันใหญ่ แล้วเรียกหาว่าเม็ดถั่วอยู่ไหน เขาเอาไว้ต้มกินพรุ่งนี้จ้ะ...

    หมดภาระเรื่องกินอาตมาก็บอกให้ทุกคนนั่งภาวนา เสียงหรีดหริ่งเรไรดังอยู่ทั่วราวป่า นาน ๆ เสียงสัตว์ใหญ่ก็ดังแทรกมาที หนูตัวใหญ่วิ่งเข้ามาจนใกล้ มันคิดแต่จะหาอาหารกิน เลยไม่กลัวคนทั้งกลุ่มที่นั่งอยู่ซักนิดเดียว...

    [​IMG]
    ค้างคืนในบึงลับแล

    อารมณ์ทรงได้ที่อาตมาก็เอนกายนอน ร่างกายพอทอดยาวลงก็เหมือนกับซากศพ จะมีโอกาสเห็นตะวันขึ้นพรุ่งนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้...? ถ้าหากมันตายลงตอนนี้ เราก็ขอไปเพียงที่เดียวคือ พระนิพพาน...
    ************************

    หูดับตัดขาดจากโลกภายนอก ประสาทสัมผัสกลับคืนมาอีกทีก็ดึกโข ขืนนอนต่อญาติโยมคงแย่แน่ นักเลงดีตีฝ่าแนวเข้ามาอัดเอาถึงที่นอนเลย สิงห์เห่าอยากไปท้าเขาเข้า ไม่ถูกเหยียบตายก็นับว่าเกรงใจแล้ว เตือนแล้วเตือนอีกก็ไม่ฟัง อยากปากหมาดีนัก..สม..!

    [​IMG]
    นายแรดกับสิงห์เห่า

    ลุกขึ้นเติมฟืนเข้ากองไฟ จุดเทียนเพิ่มขึ้นอีกที่ พลังลึกลับยังคงปกคลุมทั่วบริเวณ ทำให้รู้สึกหนาวจับใจ นอกจากลูกปลาที่นอนหลับปุ๋ยแล้ว ทุกคนก็เพิ่งคลายใจ เริ่มนอนได้ตอนอาตมาตื่นนี่เอง...

    ความจริงสิ่งลึกลับทั้งหลาย นับว่าให้เกียรติในความเป็นเพศแม่ ในวาระที่ร่างกายอ่อนแอที่สุดเช่นนี้ เขาไม่มาแผ้วพานรบกวน แม่หนูก็เลยวางยาสลบตัวเอง หลับยาวชนิดที่คนอื่นอิจฉา...เสียงแมลงกลางคืนกรีดปีกแข่งกัน ชวนให้ทุกคนตกในห้วงนิทรารมย์...

    “เวลานอนยังมีอีกมาก ตอนอยู่ในหลุมฝังศพ...”

    คำพูดของผู้กองพิสัย(ร.อ.พิสัย สมบัติเปี่ยม) ครูฝึกทหารดังขึ้นในใจ เสียงใบไม้ร่วงหล่นตรงโน้นบ้าง ตรงนี้บ้าง

    ต้นไม้ก็เหมือนกับพวกเรา เกิด..แก่..เจ็บ..ตายเช่นกัน...
    มีเมล็ดมีเชื้อมันก็งอกขึ้นมา เติบใหญ่แก่เฒ่าไปเรื่อยๆ ลำบากลำบนกับการหาอาหารเลี้ยงตัวเอง ทุกข์ทรมานกับหนอนแมลง และโรคร้ายที่คอยเบียดเบียน ในที่สุดก็ล้มตายเน่าเปื่อยผุพังจมดินไป...

    คนเราก็เกิดขึ้นในเบื้องต้น เจริญเติบโตเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ทนทุกข์ยาก หนาวร้อน หิวกระหาย เจ็บไข้ได้ป่วย ในที่สุดก็แก่เฒ่าล้มตายไป ร่างกายสลายเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ กลับคืนไปเป็นสมบัติของโลกตามเดิม...

    สาเหตุของความทุกข์ยากทั้งปวง มาจากการมีร่างกายนี้ ถ้าไม่มีร่างกายเสียอย่างมันก็ไม่ทุกข์ การจะไม่มีร่างกายนี้ได้ก็ต้องไม่เกิดอีก การจะไม่เกิดได้อีกก็ต้องมีปัญญา เห็นความไม่ดีของร่างกายนี้ให้ได้...

    พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า ร่างกายของเราไม่เที่ยง ไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ดังใจเราต้องการ มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด บังคับบัญชามันให้เป็นอย่างใจนึกไม่ได้...

    ขณะดำรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ เศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ ปรารถนาไม่สมหวังเป็นทุกข์ กระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจเป็นทุกข์ ความทุกข์ท่วมทับเราอยู่ทุกวัน ตั้งแต่ตื่นยันหลับ...

    แต่ละวันต้องกระทบความหนาว ความร้อน ต้องหิวกระหาย ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องปวดอุจจาระปัสสาวะ ต้องบริหารร่างกาย บริหารหมู่คณะ มีแต่ความทุกข์ยากลำบากตั้งแต่ตื่นจนหลับ...

    อุตส่าห์ทะนุถนอม ประคับประคองมันเป็นอย่างดี แต่มันจะรู้คุณเราแม้แต่น้อยก็หามิได้ ถึงเวลาของมันแล้วไซร้ จะเด็กจะผู้ใหญ่ก็ตายทั้งสิ้น เน่าเปื่อยผุพัง ทับถมจมดิน กลายเป็นดินน้ำลมไฟไปตามเดิม...

    ในเมื่อร่างกายมันมีแต่ความทุกข์ยากเช่นนี้ เราจะมาปรารถนาการเกิดอีกทำไม..? โลกมนุษย์ที่ทุกข์ยากเร่าร้อนเช่นนี้ ไม่ขอมาเกิดอีกแล้ว เทวโลก พรหมโลก ที่มีความสุขเพียงชั่วคราว ต้องเกิดมาทุกข์ใหม่เราก็ไม่ต้องการ...

    สถานที่เดียวที่เป็นเอกันตบรมสุข ปราศจากทุกข์โทษเวรภัย ดำรงคงอยู่โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง สะอาด สว่าง สงบ เยือกเย็น สดใส สถานที่นี้จึงเป็นที่หมายของเรา... พระนิพพาน...

    พิจารณาไปรู้สึกว่าเพียงครู่เดียว แต่ฟ้าขาวซะแล้ว ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้าที่เจ้าทางและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอบใจมากในความกรุณา โอกาสหน้าจะมารบกวนใหม่ ขอให้อยู่เย็นเป็นสุขโดยทั่วหน้ากันเถิด...

    ขณะที่ทุกคนจัดเก็บข้าวของเตรียมเคลื่อนย้าย แสงชัยก็เปิดเผยผลแห่งความปากเสียของตนว่า ถูกเจ้าที่ร่างยักษ์เอากระบองกดคอแทบขาดใจตาย แถมขู่ว่าจะลากไปเป็นอาหารของงูยักษ์ในบึงซะเลย...

    “ไอ้งูมันโผล่หัวมาอ้าปากรอ หัวขนาดรถปิ๊คอัพแน่ะ ถ้าหลวงพี่ไม่เข้ามาช่วยไว้ ผมคงตายแน่ ๆ...”

    นายสิงห์เห่าสาธยายเป็นฉาก ๆ นี่ถ้าเล่าซะตั้งแต่แรก อาตมาคงไม่ต้อง ตื่นคนเดียวหรอก เพราะทุกคนคงนอนไม่หลับกันแน่ ๆ...
    เตือนไม่รู้กี่หนว่า

    “อย่าอวดดีกับผี อย่าลองดีกับพระ”

    ไม่เห็นเชื่อซักที คราวนี้คงจะสำนึกบ้างนะ...อาตมาล้างหน้าล้างตา ขณะที่นายต๊อกกับส่างวินทำอาหารเช้า...
    บะหมี่ต้มกับปลากระป๋องตามเคย มื้อสุดท้ายแล้ว มีเท่าไรใส่ลงไปให้หมด อาตมากับลูกปลาตามเก็บเศษขยะ กระป๋อง ทั้งเก่าทั้งใหม่ ที่เผาได้ก็เผา เผาไม่ได้ตั้งใจจะขุดหลุมฝังให้มิดชิด...

    หัวหน้าชาติชายชี้หลุมธรรมชาติให้ เขาทำเป็นส้วมกันอาตมาก็ไม่รู้ ปล่อยให้วิ่งเข้าป่าอยู่ได้คนเดียว ชัยภูมิดีซะด้วย มีก้อนหินบังแทบทุกด้าน ขนาดของมันบรรจุของเสียได้เป็นตันเลยล่ะ...
    หอบกระป๋องเปล่าไปเทใส่หลุม ดูแลกองไฟให้อยู่ในสภาพที่ไม่อาจจะลุกลามได้ แล้วขนสัมภาระลงจากเนิน ของใช้บางอย่าง เช่น เทียน ถ่านไฟฉาย ยากันแมลง ยาหม่อง ยากันมาเลเรีย เข็ม ด้าย มีดโกน รวบรวมซุกซ่อนไว้ที่นี่ ใครมาจะได้มีใช้...

    ถ้าเราทุกคนไปที่ ไหน รู้จักเก็บกวาดทำความสะอาด รู้จักเผื่อแผ่ข้าวของให้คนหลังมาใช้ อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่ผีสางเทวดาก็ยินดีต้อนรับ ถ้าตนเองย้อนกลับไปใหม่ ก็จะพบแต่ความสะอาดสะอ้าน สะดวกสบายด้วย...

    มีซากงูสามเหลี่ยมถูกตีตายอยู่ ถามดูจึงรู้ว่าเป็นฝีมือของนายต๊อกกับส่างวิน ตอนสองทุ่มขณะอาตมาหูดับ มีพรานสองคนมาล่าสัตว์ พบงูเข้า เลยบอกให้ลูกหาบทั้งสองของเราตีตายแหงแก๋ไปเลย...
    อาตมาเขี่ยซากงูไปบนเนิน เอาฌาปนกิจในกองไฟ บังสุกุลให้เสร็จแถมอุทิศส่วนกุศลให้ด้วย พอโดนไฟร่างกายหดตัว ไข่ของมันก็ทะลักพรูออกมา เวรกรรมแท้ ๆ ซากเดียว แต่เป็นสิบชีวิต..!

    เสียงปืนดังสะท้านมาจากสันเขา ทางนั้นเป็นบ้านลุงปาน คงจะซัดตัวอะไรเข้าแล้ว สักครู่ก็ลั่นเปรี้ยงป่าสะเทือนมาทางบึงแห้ง พรานสองคนเมื่อคืนคงจะได้ทำบาปเพิ่มขึ้นอีกราย กรรมใครก็กรรมมัน...

    แม่เบ็ญซ้อมเดินเป็นการอุ่นเครื่อง แดงเดินถือรองเท้าข้างเดียวมาจากหลุมส้วม เจ้าไนกี้คู่ละพันแปดหายลงหลุมส้วมไปข้างหนึ่ง กลับเท้าเปล่ากันละวันนี้...
    ตักอาหารเช้าแยกย้ายกันหาที่นั่ง บรรจุท้องใครท้องมัน ตามด้วยถั่วแดงต้มน้ำตาล นายต๊อกถูกป่าไม้จอมเฮี้ยบเทศน์อานิสงส์การฆ่าสัตว์ จนตื้นตันใจกินข้าวไม่ลง นั่งซึมกระทืออยู่คนเดียว...

    ข้าวสารหมดเกลี้ยง เหลือข้าวเหนียวถุงใหญ่ที่ไม่ได้แตะต้อง เก็บบรรจุกระสอบ ซุกไว้ในเวิ้งถ้ำ เก็บขยะไปทิ้ง ล้างถ้วยชาม ดับไฟให้เรียบร้อย ข้าวของที่จะทิ้งไว้ที่นี่ เอาไปไว้รวมกันทั้งหมด...

    พร้อมแล้วเคลื่อนขบวน เดินเลียบบึงลับแลกลับทางเก่า บนก้อนหินที่ปริ่มน้ำข้างบึงนั้น ลูกสาวใครไม่รู้นั่งโบกมืออำลาอย่างร่าเริง...

    “ขอบใจมากหนูเอ๊ย... บอกพ่อด้วยนะคราวหน้าจะมาใหม่...”

    บอกให้ทุกคน “ดู” เธอ ใครจะตาดีเห็นบ้างก็ไม่รู้ อาตมาพาลัดเลาะขอบบึงขึ้นเขา เอาไม้เท้าให้แม่เบ็ญจับแล้วลากขึ้นไป ช่วงไหนชันมากก็ผูกเชือกสาวขึ้นไปทีละช่วง ไม่นานนักก็ขึ้นมาอยู่บนยอดเขา...

    [​IMG]
    เดินทางกลับ

    ขาลงแม้จะหวาดเสียวแต่ก็นับว่าง่ายแล้ว รู้สึกว่าแม่เบ็ญจะเก่งเป็นพิเศษ ไปยาวรวดเดียวถึงรถเลย... ปลดสัมภาระลงในกระบะ หาที่นั่งกันเอาเอง นายแรดจอมลุยเข้าประจำที่คนขับ เคลื่อนรถออกจนฝุ่นตลบ...

    รอยงูใหญ่ตัวเดิมยังคงเลื้อยข้ามถนนให้เห็น ถึงบ้านลุงปานส่งนายต๊อกลง หัวหน้าชาติชายจ่ายค่าแรงให้ แล้วรับนายรินผู้พี่ชายขึ้นมาแทน แกจะไปพิษณุโลก ขอติดรถไปลงขนส่งหมอชิตด้วยคน...

    แวะเอาข้าวของตกค้างที่แปลงหก แล้วลุยยาวไปสถานีวิจัยไผ่ผาตาด ให้หัวหน้าชาติชายสั่งงาน พี่มุกดาลืมกระเป๋ามหาสมบัติไว้ที่แปลงหก มาไกลแล้วขี้เกียจย้อนกลับ ฝากเทวดาไว้ก่อนแล้วกัน...

    ติดปีกบินมาฉันเพลแถวไทรโยคน้อย อาหารอร่อยผิดกับหลายมื้อในบึงลับแล หมดปัญหาปากท้องแล้วก็ไปต่อ ส่งแม่เบ็ญต่อรถไปอู่ทองที่บ.ข.ส.เมืองกาญจน์ รถมาจ่อท้ายพอดี สบายเลยพระมารดา...

    เห็นป้ายติดเต็มไปทั้งเมือง เขาประท้วงการที่ทางการเอาสารพิษจากคลองเตยมาทิ้งที่นี่ บอกลาและขอบพระคุณเจ้าพ่อเมืองกาญจนบุรีและบริวารที่ตามมาส่ง แล้วเหินไปกับสายลมสู่กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร...

    ๘ เมษายน ๒๕๓๔
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ



    ขอบคุณที่มา : �֧�Ѻ�� (�)
     
  6. itipizo

    itipizo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +86
    สังเกต ภาพที่นายแรดกับสิงห์เห่า นอนให้ดี ๆ
    อาจจะมีประโยชน์สำหรับ คณะผู้เดินทางในทริปนี้ครับ...
     
  7. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,378
    ค่าพลัง:
    +12,917
    เคยคิดใว้ สักวันหนึ่ง เมื่อมี วาระเพลา อันใดจัดสรรค์ เยี่ยงธุดงส์ คงใด้แบกกลด พักพิงสัก ๑ หรือ ๒ ราตรี ชิวี แห่ง เสียงลมเพรียกหา
     
  8. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,718
    ค่าพลัง:
    +5,514
    อนุโมทนากับคณะผู้แสวงบุญครับ
    ขอพลังของหลวงพี่ฯอำนวยพรให้ทุกท่านได้บุญอย่างปลอดภัยไร้แม้รอยข่วน


    [​IMG]
     
  9. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    <table><tbody><tr valign="top"><td class="alt1"> :)</td></tr> </tbody></table>
    เสียงนาคา ร้องร่ำ พร่ำเพรียกร้อง
    ดังกู่ก้อง ใจกลางบึง กลางป่าใหญ่
    หวนละห้อย ร่ำหา ยอดยาใจ
    จำจากไกล เพราะธารา มาแห้งพลัน
    ต่อแต่นี้ ไม่มี เห็นอีกแล้ว
    น้ำทิพย์แก้ว มรกต สีสดใส
    เหลือแต่เพียง ดินแดง แห้งแล้งไป
    ต้องลาไกล จากถิ่น ไปอีกนาน.....



    <table><tbody><tr valign="top"></tr><tr valign="top"><td><label>[​IMG]</label></td><td align="right">
    </td></tr></tbody></table>

     
  10. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,378
    ค่าพลัง:
    +12,917
    เสียงนาคา ร้องร่ำ พร่ำเพรียกร้อง ดังกู่ก้อง ใจกลางบึง กลางป่าใหญ่
    หวนละห้อย ร่ำหา ยอดยาใจ จำจากไกล เพราะธารา มาแห้งพลัน
    ต่อแต่นี้ ไม่มี เห็นอีกแล้ว น้ำทิพย์แก้ว มรกต สีสดใส
    เหลือแต่เพียง ดินแดง แห้งแล้งไป ต้องลาไกล จากถิ่น ไปอีกนาน.....


    วันนี้ วันหนึ่งตรึงวันหน้า พงพารา เขียวขจีส่องสีสัน
    นาคาน้อย กลอยเจ้าเฝ้าคอยวัน ฟ้าบันดาล หยาดธาราหล่อลงบึง
    ลับแลแค่เพียงพักวังบาดาล ใจ บ่ พาล โศกโยกวิเวกให้โลกเศร้า
    ผ้องเราเฝ้าธาราอ้อมโอบชโลมบึง ถิ่นพลับพลึงคนึงถึง จึงยืนมั่น
    คืนดวงจันทร์ แจ้มแย้มยิ้มปิ่มนภา นาคา ว่า าราล้นจนเหมือนเดิม


    [​IMG] [​IMG]
     
  11. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    บทกลอนจากลับแล....


    [​IMG]

    เสียงนาคา ร้องร่ำ พร่ำเพรียกร้อง
    ดังกู่ก้อง ใจกลางบึง กลางป่าใหญ่

    หวนละห้อย ร่ำหา ยอดยาใจ
    จำจากไกล เพราะธารา มาแห้งพลัน
    ต่อแต่นี้ ไม่มี เห็นอีกแล้ว
    น้ำทิพย์แก้ว มรกต สีสดใส
    เหลือแต่เพียง ดินแดง แห้งแล้งไป
    ต้องลาไกล จากถิ่น ไปอีกนาน.....


    .....วันนี้ วันหนึ่ง ตรึงวันหน้า
    พงพารา เขียวขจี ส่องสีสรร
    นาคาน้อย กลอยเจ้า เฝ้าคอยวัน
    สายฝนหลั่ง คืนความหลัง มาสู่บึง
    ลับแลแค่ เพียงพัก ในวันนี้
    รอวันที่ ฟ้าประทาน หยาดฝนหลั่ง
    ธาราเคลื่อน หยาดคล้อย หยดลงวัง
    บาดาลพรั่ง เพียบพร้อม คืนกลับมา

    แต่ว่า อนิจจา กฎไตรลักษณ์
    ช่างประจักษ์ หน้าที่ ดีหนักหนา
    น้ำเต็มบึง แห้งเหลือ เพียงน้ำตา
    ใจผู้กล้า เฝ้าเพียร ได้แต่มอง
    มนต์เสน่ห์ มิได้คลาย ไปสักนิด
    เพราะดวงจิต มองลงไป เห็นเป็นสอง
    มีเสื่อมดับ รุ่งเรือง ตามครรลอง
    คงต้องตรอง ความจริง ให้เข้าใจ.....



    .....วังบาดาล ใจพาลโศก วิโยคเศร้า
    ผ้องเราเฝ้า ธาราใหญ่ หลายสมัย
    ถึงเวลา มีดับ ล่วงลับไป
    สิ้นสลาย บึงลับแล ในวันวาน
    อีกไม่นาน วันใหม่ มาพานพบ
    ธาราโอบ ชโลมบึง ให้สดใส
    ถิ่นพลับพลึง คนึงถึง ยั่งยืนไกล
    นาคาไหว เริงร่า อยู่เต็มบึง

    กวีกระวาด โดย ญ.ผู้หญิง
     
  12. itipizo

    itipizo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +86
    กวีขอแจม...

    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    hp_day

    [FONT=&quot] ...สรรพสิ่งหมุนเวียนวนเปลี่ยนผัน[/FONT]
    [FONT=&quot]อย่าจาบัลย์เฝ้าตรมชมความหลัง[/FONT]
    [FONT=&quot]จิตเคลื่อนคล้อยลอยวนรู้หรือยัง [/FONT]
    [FONT=&quot] ตกภวังค์อย่าพะวงออกนอกกาย[/FONT]

    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]...สรรพสิ่งเกิดเองดับเองตามไตรลัษณ์ [/FONT]
    [FONT=&quot]เห็นประจักษ์ให้รู้แจ้งตามนี้หนา[/FONT]
    [FONT=&quot]อย่าเสียดายกับสิ่งที่โรยลา [/FONT]
    [FONT=&quot]ตื่นเถิดหนาเฝ้ามองกลางจิตตน ฯ[/FONT]

    [FONT=&quot].......จบที่ใจ........[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
     
  13. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    hp_day

    ก็เพราะเห็น ถึงได้ ออกมาพูด
    ให้เห็นรูป นามธรรม จับต้องได้
    ว่าเกิดขึ้น มีอยู่ และดับไป
    ไม่เห็นใคร จีรัง ได้สักที

    บึงลับแล เคยยิ่งใหญ่ ในอดีต
    ที่เคยกรีด ความทรงจำ ให้หวั่นไหว
    มาวันนี้ เหลือเพียงร่อง รอยของใจ
    ว่าข้าฯ ไชร้ เคยไปเยือน ยังถิ่นเดิม

    ได้พบเห็น ความเปลี่ยนแปลง มาตลอด
    เลยยอกย้อน มองดูตน เทียบเคียงหนา
    บึงแห้งลง ข้าฯ แก่ลง ทุกเวลา
    อีกไม่นาน คืนชีวา ลงสู่ดิน

    .....จบที่กาย.....

     
  14. itipizo

    itipizo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +86
    5555...แม่เจ้ายอดเยี่ยม ไม่เคยเปลี่ยน....

    สาธุ...
    ข้าน้อยขอคารวะ 1 ไห (ปลาแดก)...เอิก้ ๆ
     
  15. ใจหม่น

    ใจหม่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2008
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +1,926
    อุแม่เจ้า...ลำนำคำกลอน ดั่งจะอำลาไม่ย้อนคืน
    ไม่แน่นาหากเป็นดั่ง...นาคา ว่า าราล้นจนเหมือนเดิม
    อาจวอนแม่หญิง พาเยือนถิ่นลับแลอีกสักครา

    ลูกทีมอย่าเอาแต่เคลิ้มตามลำนำเน้อ...
    เตรียมกาย เตรียมใจ ให้พร้อมกับการบำเพ็ญวิริยะบารมี ขันติบารมี สุดท้ายเมตตาบารมีสู่เพื่อนพ้องน้องพี่ที่ร่วมทีม ทั้งเหล่าญาติกาต่างมิติ

    ขออนุโมทนากับกุศลเจตนาในครั้งนี้ กับทริปเสียงเพรียกจากลับแล ค่ะ

    อนุโมทนากับคุณ bhothisata..แม้อยู่ต่างแดนก็ไม่ลืมน้องๆ

    กอล์ฟ-หวาน..สู้ สู้ (จะมีเก็บภาพมาฟ้องกันมั้ยหนอ..)
    เอาน่า...คุณ bhothisata จัดอาหารมื้อใหญ่ รอเป็นรางวัลความเพียรของน้องๆ อยู่นะ
     
  16. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    ขออนุโมทนาทุกท่านที่ร่วมงานบุญ..สว้สดีคุณ ญ. ผู้หญิง เห็นภาพทริปบึงลับแลแล้วนึกถึงอดีตสมัยทำงานที่กองร้อยตชด.ที่136 อ.ไทรโยค เลยอยากไปร่วมแต่สภาพร่างกาย ตอนนี้เขาเรียกว่าอย่างไรล่ะยกเครื่องใหม่กระมัง..น่าจะใช่ ตอนนี้ยังพักอยู่เลย(หลังออกจากรพ.ที่เจอกันเมื่อเป่ายันต์เกราะเพชร)และได้เปิดเครื่องคอมโพส์ ข้อความนี่แหละ ยังเจ็บในทรวงอกอยู่เลย ขอให้ทุกท่านแคล้วคลาดจากอันตรายอุบัติเหตุอุบัติภัยทุกๆสิ่งทุกๆอย่างปลอดภัยทุกท่าน เอาภาพมาโพส์ให้เพื่อนๆชมเยอะๆเน้อ........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,378
    ค่าพลัง:
    +12,917
    [​IMG]

    เสียงนาคา ร้องร่ำ พร่ำเพรียกร้อง
    ดังกู่ก้อง ใจกลางบึง กลางป่าใหญ่

    หวนละห้อย ร่ำหา ยอดยาใจ
    จำจากไกล เพราะธารา มาแห้งพลัน
    ต่อแต่นี้ ไม่มี เห็นอีกแล้ว
    น้ำทิพย์แก้ว มรกต สีสดใส
    เหลือแต่เพียง ดินแดง แห้งแล้งไป
    ต้องลาไกล จากถิ่น ไปอีกนาน.....


    วันนี้ วันหนึ่งตรึงวันหน้า
    พงพารา เขียวขจีส่องสีสัน
    นาคาน้อย กลอยเจ้าเฝ้าคอยวัน
    ฟ้าบันดาล หยาดธาราหล่อลงบึง
    ลับแลแค่เพียงพักวังบาดาล
    ใจ บ่ พาล โศกโยกวิเวกให้โลกเศร้า
    ผ้องเราเฝ้าธาราอ้อมโอบชโลมบึง
    ถิ่นพลับพลึงคนึงถึง จึงยืนมั่น
    คืนดวงจันทร์ แจ้มแย้มยิ้มปิ่มนภา
    นาคา ว่า าราล้นจนเหมือนเดิม

    เสียงนาคา ร้องร่ำ พร่ำเพรียกร้อง
    ดังกู่ก้อง ใจกลางบึง กลางป่าใหญ่
    หวนละห้อย ร่ำหา ยอดยาใจ

    จำจากไกล เพราะธารา มาแห้งพลัน
    ต่อแต่นี้ ไม่มี เห็นอีกแล้ว
    น้ำทิพย์แก้ว มรกต สีสดใส
    เหลือแต่เพียง ดินแดง แห้งแล้งไป
    ต้องลาไกล จากถิ่น ไปอีกนาน.....


    .....วันนี้ วันหนึ่ง ตรึงวันหน้า
    พงพารา เขียวขจี ส่องสีสรร

    นาคาน้อย กลอยเจ้า เฝ้าคอยวัน
    สายฝนหลั่ง คืนความหลัง มาสู่บึง
    ลับแลแค่ เพียงพัก ในวันนี้
    รอวันที่ ฟ้าประทาน หยาดฝนหลั่ง
    ธาราเคลื่อน หยาดคล้อย หยดลงวัง
    บาดาลพรั่ง เพียบพร้อม คืนกลับมา

    แต่ว่า อนิจจา กฎไตรลักษณ์
    ช่างประจักษ์ หน้าที่ ดีหนักหนา

    น้ำเต็มบึง แห้งเหลือ เพียงน้ำตา
    ใจผู้กล้า เฝ้าเพียร ได้แต่มอง
    มนต์เสน่ห์ มิได้คลาย ไปสักนิด
    เพราะดวงจิต มองลงไป เห็นเป็นสอง
    มีเสื่อมดับ รุ่งเรือง ตามครรลอง
    คงต้องตรอง ความจริง ให้เข้าใจ.....


    .....วังบาดาล ใจพาลโศก วิโยคเศร้า
    ผ้องเราเฝ้า ธาราใหญ่ หลายสมัย

    ถึงเวลา มีดับ ล่วงลับไป
    สิ้นสลาย บึงลับแล ในวันวาน
    อีกไม่นาน วันใหม่ มาพานพบ
    ธาราโอบ ชโลมบึง ให้สดใส
    ถิ่นพลับพลึง คนึงถึง ยั่งยืนไกล
    นาคาไหว เริงร่า อยู่เต็มบึง

    ...สรรพสิ่งหมุนเวียนวนเปลี่ยนผัน
    [FONT=&quot]อย่าจาบัลย์เฝ้าตรมชมความหลัง[/FONT]

    [FONT=&quot]จิตเคลื่อนคล้อยลอยวนรู้หรือยัง [/FONT]
    [FONT=&quot]ตกภวังค์อย่าพะวงออกนอกกาย[/FONT]

    [FONT=&quot]...สรรพสิ่งเกิดเองดับเองตามไตรลัษณ์ [/FONT]
    [FONT=&quot]เห็นประจักษ์ให้รู้แจ้งตามนี้หนา[/FONT]
    [FONT=&quot]อย่าเสียดายกับสิ่งที่โรยลา [/FONT]
    [FONT=&quot]ตื่นเถิดหนาเฝ้ามองกลางจิตตน ฯ[/FONT]

    [FONT=&quot].......จบที่ใจ........[/FONT]

    ก็เพราะเห็น ถึงได้ ออกมาพูด
    ให้เห็นรูป นามธรรม จับต้องได้
    ว่าเกิดขึ้น มีอยู่ และดับไป
    ไม่เห็นใคร จีรัง ได้สักที

    บึงลับแล เคยยิ่งใหญ่ ในอดีต
    ที่เคยกรีด ความทรงจำ ให้หวั่นไหว
    มาวันนี้ เหลือเพียงร่อง รอยของใจ
    ว่าข้าฯ ไชร้ เคยไปเยือน ยังถิ่นเดิม

    ได้พบเห็น ความเปลี่ยนแปลง มาตลอด
    เลยยอกย้อน มองดูตน เทียบเคียงหนา
    บึงแห้งลง ข้าฯ แก่ลง ทุกเวลา
    อีกไม่นาน คืนชีวา ลงสู่ดิน

    .....จบที่กาย.....


    บึงลับแล แลแต่ภาพ และ กาพย์กลอนสด
    ภาพน้ำลดหดแห้งหายกลางพงพี
    เนตรนที นี้ไหลหลั่งดั่งวารี
    เพื่อนน้องพี่ หนีหายคลายโศกตรม

    ดั่งวังวน คนในวัฏฏะส่งสาร
    เกิดดับนานพาลพบ ไม่จบสิ้น
    พินิจคิดสะกิดที่ติดนิวรณ์ดิ้น
    ลด ละ สิ้นในกาย สังขารา

    รูป เวทนา สัญญา สังขาร
    วิญญาณตัวมาร ในขันธ์ทั้งห้า
    มันหนักหนา ลาเสียทีนี่ ชีวา
    สังโยชน์ ห้า ข้าขอลาพาจิตดิ่ง

    ดั่งธาราไหลย้อนคืนคลอนถิ่น
    ลับแล ยิ่ง แลลับ กับชาวบังบด
    หลบเข้าภพ บำเพ็ญเย็นในธรรมบท
    ให้หมดจด ลดกิเลสสิ้น กลิ่น สังโยชน์

    เพ็ญสิบค่ำ เดือน มิย.พอบำเพ็ญ ( 11 มิย.54 )
    มองให้เห็น กาย เวทนา จิต ธรรม
    กลั่น จิต นำพาสู่ คู่กุศลโมกธรรม
    ให้ทุกท่านเข้าพบประสบ อริยสัจ

    โมทนา ครับ
     
  18. itipizo

    itipizo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +86
    ทริปแอ่วหละปูน อิ่มบุญอิ่มรัก ...
    รักน้องแทนไม่หวานชื่นซะละ...เอิก้ ๆ

    ....พี่หญิงครับ ผมขอยกเลิกการจองครับ


    มาแจ้งล่วงหน้าจะได้ไม่เป็นการกันสิทธิ์ท่านอื่น


    ...ขออภัยพี่หญิงด้วยนะครับ...


    น้องแทน..
     
  19. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    นับถอยหลังอีก ๕ ชั่วโมง
    กับการเดินทางไปสู่เสียงเพรียกของลับแล



    ขออนุโมทนากับทุกคำพรและคำกลอน เหล่าผู้กล้า ๓๐ ชีวิตจะบำเพ็ญบุญให้สมดั่งเจตนารมณ์ที่ตั้งใจ


     
  20. กอล์ฟ-หวาน

    กอล์ฟ-หวาน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +8
    สวัสดีคร๊าา
    โอ้ โห่ เจ้าบทเจ้ากล่อนกันหมดเลยอะ อยากเขียนบ้างแต่กึดบ่ออกอ้าา
    วันนี้แล้วอีกชั่วโมงเจอกันกับผม

    @ พี่ร่มบุญคะ คราวนี้เราจะภาพและเสียง มาฟ้องท่าน 555 กะจะถ่าพเป็นวีดีโอเล่นๆไว้จะตัดต่อแล้วส่งให้ดูเน้อ


    หวานหวาน
    ส่งแรงบุญไปช่วยด้วยนะคะ 5555
     

แชร์หน้านี้

Loading...