หลวงพ่อของเรา โดยศ.ดร.ปริญญา นุตาลัยจากลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๑.คนพาลและมิจฉาทิฐิห้ามอ่าน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 23 กุมภาพันธ์ 2007.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ ผู้เขียนมีความประสงค์จะบันทึกคุณวิเศษบางส่วนของหลวงพ่อของเราให้บรรดาศิษย์ทั้งหลายได้ชุ่ม
    ชื่นใจ ในคุณความดีอันยอดยิ่งของท่านที่คุ้มหัวพวกเราอยู่ ท่านที่ไม่ได้เป็นลูกศิษย์จะอ่านก็ได้ ผู้เขียนก็หวังว่าเรื่องนี้คงจะเป็น
    ประโยชน์แก่ท่านบ้าง ส่วนคนพาลห้ามอ่านเด็ดขาด เพราะวิสัยของคนพาลก็ย่อมมีทุคติ เป็นเบื้องหน้าอยู่แล้ว อย่าได้มาหา
    โทษใส่ตนเพิ่มขึ้นอีกเลย หลายๆ เรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังนี้ก็คงเป็นอจินไตย สำหรับผู้ยังไม่ได้ฌาน และไม่มีญาณที่เกิดจากอำนาจ
    ฌานก็ขอให้ฟังหูไว้หูไปพลางๆ ก่อน

    หลวงพ่อเป็นพระขนาดไหน
    ใครก็ตามที่ได้อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน และ หนังสือมโนมยิทธิและประวัติของฉัน ก็คงจะพอรู้ประวัติและปฏิปทา
    ของหลวงพ่อแล้ว ทีนี้ลองมาฟังพระผู้ใหญ่บางท่านพูดถึงหลวงพ่อดูบ้าง หลวงปู่บุดดา ถาวโร เคยปรารภถึงหลวงพ่อของเราเมื่อ
    เปรียบกับองค์ท่านเองไว้ดังนี้ “หลวงปู่น่ะเหมือนหิ่งห้อย หลวงพ่อมหาวีระเหมือนพระอาทิตย์” เป็นไงครับ ท่านผู้อ่านพอรู้
    ขนาดตัวท่านบ้างหรือยัง ถ้าพระสุปฏิปันโนขนาดหลวงปู่บุดดา เปรียบได้แค่หิ่งห้อย เราท่านทั้งหลายก็คงเป็นแค่ไรน้ำที่ติดใจพระ
    อาทิตย์กระมัง หลวงพ่อสิม พุทธาจาโร (พระครูสันติวรญาณ) บอกว่า “หลวงพ่อมหาวีระนั้น ท่านเป็นโลกวิทู แจ้งทั้งโลก
    แจ้งทั้งธรรม” ชัดเจนไหมครับ ครูบาคำแสนเล็ก ท่านบอกว่า “หลวงปู่ บวชมา 60 กว่าพรรษาเข้านี่แล้วยังไม่เคยพบ
    พระองค์ไหนเหมือนหลวงพ่อ”

    เมื่อตอนปลายปี พ.ศ.2517 หลวงพ่อเข้ามาตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจ ผู้เขียนได้มานอนเฝ้าท่านอยู่ ตอนกลางคืนท่านก็
    รับ แขกพวกญาติโยม หมอและพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ (สมัยนั้นพี่หมอสมศักดิ์ ดูเหมือนจะเป็นรองผู้อำนวยการ) หลวงพ่อ
    ท่านก็เล่าเรื่องหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา ให้ฟัง ท่านว่า หลวงพ่อกบนั้นเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณทรงสมาบัติแปดตลอด
    ท่านจึงไม่รู้ร้อนรู้หนาว ตัวผู้เขียนเองนั้นสงสัยหลวงพ่อมานานแล้วและก็ถกเถียงกับลูกศิษย์หลายๆท่านเรื่อยมา ท่านที่อ่านหนัง
    สือประวัติหลวงพ่อปานก็จะอ้างว่า หลวงพ่อทรงวิชชาสามแน่นอน แต่ผู้เขียนว่าไม่ใช่ เพราะหลวงพ่อทรงสมาบัติแปดตั้งแต่
    พรรษาแรก และผู้ที่ทรงสมาบัติแปดนั้นสามารถเป็นพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณได้ภายใน 7 วัน พอแขกกลับไปหมดแล้ว
    ผู้เขียนก็มานอนคิดเปรียบเทียบ หลวงพ่อกบนั้นท่านทรงสมาบัติแปด ท่านก็เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ

    หลวงพ่อของเรานั้นบารมีเดิมท่านเป็นพุทธภูมิวิริยาธิกะ อีก 7 ชาติ บารมีจะเต็ม และก็ทรงสมาบัติแปดตั้งแต่พรรษาแรกที่บวช
    เมื่อท่านลาพุทธภูมิ (เมื่อ พ.ศ. 2504) แล้ว ทุนเดิมมากมายเหลือเฟืออย่างนั้น ถ้าไม่ทรงปฏิสัมภิทาญาณแล้วจะเอาทุนเดิมไป
    ซ่อนที่ไหน พอคิดออกก็แทบจะนอนไม่หลับ รุ่งเช้าหกโมงเช้าหลวงพ่อตื่นแล้ว ผู้เขียนก็รีบเข้าไปกราบๆๆ แล้วเรียนท่านว่า“ผม
    รู้แล้วครับ หลวงพ่อทรงปฏิสัมภิทาญาณแน่นอน” แล้วก็ให้เหตุผลกับท่าน ท่านบอกว่า “จับได้ไล่ทันก็แล้วไป จับไม่ได้
    ไล่ไม่ทันข้าก็ว่าของข้าไปเรื่อยๆ” แล้วท่านก็เมตตาเล่าให้ฟังว่า ท่านสงสัยมาตั้งแต่บวชแล้ว เมื่อได้อ่านพบว่า ท่านพระกิม
    พิละ สำเร็จอรหันต์ปฏิสัมภาทาญาณ ทรงพระไตรปิฎก เมื่อมีดโกนจรดหนังศีรษะเมื่อจะโกนผมบวช ท่านบอกว่า “ทรงพระไตร
    ปิฎกเข้าไปได้ยังไง ยังไม่ได้อ่านได้เรียนสักตัว” แต่เมื่อท่านสำเร็จเองแล้วถึงได้รู้ว่า “นึกจะรู้อะไรแล้วมันรู้ไปหมด ความรู้มัน
    เกิดขึ้นมาเอง นึกจะรู้ก็รู้” ตั้งแต่นั้นมาผู้เขียนก็ทำตนเป็นฆ้องปากแตก เที่ยวได้บอกเขาเรื่อยไป จนกระทั่งหลวงพ่อท่านบ่นว่า
    “ข้าปิดของข้ามาเป็นสิบกว่าปี ไอ้เบื๊อกนี่เอามาเปิดหมด” ดังนั้นผู้เขียนจึงไม่สงสัยเลย (แต่จับใจมาก) เมื่อได้ยินท่านพูดว่า
    “ขึ้นชื่อว่าพระ (หรือคนก็ตาม) อย่าให้ฉันได้ยินชื่อ...รู้หมด”

    ทีนี้ขอเล่าเรื่องที่ผู้เขียนได้ประสบมาแล้วก็ไม่เคยกล้าเล่า เมื่อผู้เขียนฝึกมโนยิทธิสำเร็จครั้งแรกเมื่อปลายปี 21 ขอออกนอก
    เรื่องหน่อยนะครับ เพราะฝึกว่าจะได้ใช้เวลาตั้ง 3 คืน มิหนำซ้ำยังขี้เกียจฝึกฝนซักซ้อมเสียอีก ท่านทั้งหลายที่มาฝึกปุ๊บได้ปั๊บ
    นั้น ขอให้ภูมิใจได้ว่าจิตของท่านดีกว่าผู้เขียนหลายเท่านัก กลับเข้าเรื่องล่ะครับ เมื่อขึ้นไปถึงพระนิพพานได้แล้ว (ใครว่านิพ
    พานสูญก็เชิญตามสบายนะครับเราไม่ว่ากันอยู่แล้ว) ความซนก็บังเกิด แอบไปดูวิมานหลวงพ่อ พอเห็นเข้าก็ตกใจทำไมถึงใหญ่
    โตอย่างนี้ ใหญ่กว่าวิมานของสมเด็จองค์ปัจจุบันมากเป็นไปได้ยังไง ความรู้ปรากฏแก่จิตในขณะที่คิดนั้นเองว่า เศรษฐีมีทรัพย์
    มากกว่าพระราชาได้ หลวงพ่อท่านสั่งสมบารมีมาสิบหกอสงไขยกับอีกแสนกัป วิมานก็ย่อมใหญ่เป็นธรรมดา ตั้งแต่นั้นมาผู้เขียน
    ก็ชอบแอบดูวิมานชาวบ้านเรื่อยมาจนนานๆ เข้าก็เลิกไปเอง ที่โบราณท่านว่าวาสนาบารมีแข่งไม่ได้นั้น มันจริงอย่างนี้

    ขอเล่าเรื่องฟังเทศน์ที่พระจุฬามณี ให้ฟังสักนิดราวกลางปี พ.ศ. 2517 ผู้เขียนมาฝึกกรรมฐานกับหลวงพ่อที่ตึกขาว พอหมด
    เวลาหลวงพ่อก็บอกว่า “คุณปริญญา ฉันเจออาจารย์คุณบนดาวดึงส์” ผู้เขียนได้ยินก็นึกไม่ออกว่าองค์ไหน เพราะเวลานั้นผู้เขียน
    ไปมาหาสู่พระอาจารย์หลายองค์ด้วยกันก็พอนึก ๆ เอาเองว่า คงเป็นหลวงพ่อสิม ดังนั้นพอผู้เขียนกลับไปถึงเชียงใหม่ก็รีบขึ้น
    ไปถ้ำผาปล่องไปถามหลวงพ่อสิมว่า “วันนั้นหลวงพ่อขึ้นไปดาวดึงส์ใช่ไหม” หลวงพ่อสิมถามว่า “ใครบอก” ผู้เขียนก็ตอบว่า
    “หลวงพ่อมหาวีระบอก” หลวงพ่อสิมขอดูรูปหลวงพ่อ ผู้เขียนก็นำขึ้นไปถวาย และผู้เขียนก็เล่าใฟ้ท่านฟังว่า หลวงพ่อมหาวีระ
    บอกว่า “ฉันชอบหลวงพ่อสิมอยู่สองอย่าง คือท่านเคารพพระพุทธเจ้าอย่างจริงใจและท่านมีกตัญญูสูง” หลวงพ่อสิมก็ปรารภว่า
    “ท่านไม่รู้จักเราท่านยังสามารถรู้ในจิตในใจเราได้” หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า “พระทุกองค์ที่ได้ตั้งแต่วิชชาสามจะ
    ขึ้นไปฟังพระพุทธเจ้า เทศน์ที่พระจุฬามณีทุกๆ วันพระ” และการเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้าที่พระจุฬามณีพระทั้งหลายก็จะ
    นั่งเรียนลำดับใกล้ไกล จากพระพุทธองค์ตามอริยผล อริยมรรค และกำลังฌานที่ได้และตามบารมีที่สั่งสมมา

    หลังจากฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว ผู้เขียนก็เคยอธิฐานขอดูลำดับพระที่มีชื่อเสียงหลายองค์ว่าท่านขนาดไหนกันบ้าง เมื่อท่านเข้าเฝ้า
    พระพุทธเจ้าที่พระจุฬามณี (ด้วยความอยากรู้เท่านั้น) ทุกๆครั้งที่ขึ้นไปขอดู เห็นหลวงพ่ออยู่ชิดด้านขวาพระพุทธองค์เป็นเบอร์
    หนึ่งทุกที พระหลายองค์ที่มีชื่อเสียง ท่านก็นั่งอยู่ในแถวพระอรหันต์ก็มี พระอนาคามีก็มี แต่ขอโทษทีบรรดาพวกจิตว่างท่านไปอยู่
    ไหนกันหมดก็ไม่ทราบ ไม่เคยเห็นสักที

    ขอปรารภเรื่องจิตว่างสักนิด หลวงพ่อท่านพูดทุกครั้งที่มีผู้มาถามเรื่องจิตว่าง ท่านว่า คำว่า จิตว่าง คือ ว่างจาก โลภะโทสะ โมหะ แต่จิตไม่ได้ว่างแบบไม่เสวยอารมณ์ใดๆ จิตว่างแบบนั้นมีเฉพาะพระอนาคามี และพระอรหันต์ที่เข้านิโรธสมาบัติเท่านั้น จิตคนทั่ว
    ไปต้องเสวยอารมณ์ เมื่อจิตละอกุศล จิตก็ยึดกุศล

    ผู้เขียนขอยกคาถา 4 ที่พวกจิตว่างส่วนใหญ่ยึดอยู่ (เอ๊ะ ถ้าว่างก็ต้องไม่ยึดสิ) โดยไม่รู้จริงมาให้พิจารณาดูสักนิด พระบาลีที่ว่า
    สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ นั้น หลวงพ่อท่านบอกว่า ควรจะแปลว่า “สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นโลกียวิสัย ไม่ควรยึด
    มั่นถือมั่น” ไม่ใช่ไม่ยึดแม้กระทั้ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพระนิพพาน ลองคิดพิจารณากันดูนะครับ

    กลับเข้าเรื่องใหม่นะครับ เมื่อผู้เขียนรู้เสียแล้วว่าหลวงพ่อท่านเป็นพระขนาดไหน ความวางใจอย่างเต็มที่ในครูบาอาจารย์ก็บริบูรณ์
    และก็เป็นเหตุที่ทำให้ผู้เขียนถูกพระองค์ที่สิบทักเมื่อคราวฉลองวัดฃผู้เขียนขอเอาความอวดดีของตัวมาเล่าสู่กันฟังสักเรื่อง ที่จริง
    ไอ้เรื่องมานะถือตัวอวดดีนั้นผู้เขียนไม่เป็นรองใคร ผู้เขียนถือตัวอยู่เสมอว่ามีอาจารย์ดีใครอย่าได้มาบอกบุญให้ทำที่วัดอื่นเลย ใจมันไม่อยากทำ ถ้าทำก็เพราะเกรงใจคนไม่ใช่เพราอยากทำบุญ ผู้เขียนรู้ว่าเนื้อนาบุญของผู้เขียนนั้นเป็นอุดมมงคลแล้วจะไปโง่
    ทำนาดอน นาแล้งทำไม ตอนวันฉลองวัดก็รู้ๆ กันอยู่ (เพราะหลวงพ่อบอกล่วงหน้า) ว่าจะมีพระชั้นเยี่ยมๆ มาวัด ผู้เขียนไม่ได้ตื่น
    เต้นตามไปด้วยเลย เพราะเรารู้ของเราอยู่ว่าแค่นี้เราพอแล้ว พอผู้คนตื่นเต้นกันมากๆ ผู้เขียนก็ผสมโรงหลอกชาวบ้านว่า ท่านพระ
    โมคคัลลาน์ และท่านพระสารีบุตร มาที่อาคารเสริมศรีแล้ว ไปดูซิ (ที่จริงท่านนั่งพนมมืออยู่นั้นหลายปีแล้ว) ก็บอกเขาไปเรื่อยๆ
    จนกระทั่ง น้าน้อย (กานดา อมาตยกุล) มาบอกว่า เธอไปดูซิ มีพระดีที่ศาลาหลังเก่าน่ะ ผู้เขียนนั้น รู้มานานแล้วว่าในบรรดาศิษย์ทั้ง
    หลายของหลวงพ่อ น้าน้อยมีทิพจักขุญาณแจ่มใสไม่เป็นรองใคร ก็เลยแอบไปดู พบรัชนีกลางทางก็ชวนไปดูด้วย เธอก็เย้าเอาว่า
    ไหนว่ามีอาจารย์ดีองค์เดียวไง ก็เลยตอบไปว่า น้าน้อยให้ไปดู ก่อนจะถึงผู้เขียนอธิษฐานว่า ถ้าท่านเป็นพระดีจริง ก็ขอให้ท่านทัก
    เราโดยอย่าให้คนอื่นรู้ พอผู้เขียนก้าวพ้นบันได้ขึ้นไปบนชานก็ได้ยินเสียงมาทีเดียวว่า “ไอ้คนบางคนมันถือตัวว่ามีอาจารย์ดี แล้วตัว
    มันเองดีเหมือนอาจารย์หรือเปล่า” พอได้ยินเข้าก็ซึมไปเลย รีบเข้าไปกราบสุดตัวเลยทีเดียว

    หลวงพ่อชี้ทางนิพพาน
    ผู้เขียนได้พบหลวงพ่อเมื่อปลายปี พ.ศ. 2516 หลังจากซาบซึ้งตรึงใจกับหนังสือสองเล่มที่ท่านเขียนคือ ประวัติหลวงพ่อปาน และ
    คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน มาหลายเดือน มาหาท่านที่วัดสองครั้งก็ไม่พบ จนกระทั่งท่านขึ้นไปเชียงใหม่จึงได้พบท่านที่นั่น ผู้
    เขียนสนใจพระพุทธศาสนามานานแล้ว ได้เคยอ่านหนังสือแนะนำวิธีฝึกพระกรรมฐานตั้งแต่วิสุทธิมรรคลงไปอยากจะพูดว่าทุกเล่ม
    ทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษ พอมาพบหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานของหลวงพ่อ ก็บังเกิดความซาบซึ้งตรึงใจมาก คิดว่าไม่มีหนัง
    สือใดที่วิเศษไปกว่านี้อีกแล้ว แล้วก็เลยขโมยท่านพิมพ์แจกในงานแซยิดแม่และเอาไปถวายที่วัด 200 เล่ม แต่ไม่ได้พบหลวงพ่อ
    พอพบท่านที่เชียงใหม่ท่านก็สอนทั้งสองคืน พูดเรื่องโทษของการกินเหล้าจนผู้เขียนเลิกเหล้าตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และสอนว่า
    ใครก็ตามที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนาและมีจิตศรัทธาเลื่อมใส ท่านว่าบารมีเต็มแล้ว สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้ในชาติปัจจุ
    บัน แล้วท่านก็บอกให้พิจารณาละสังโยชน์สาม และกำหนดว่าอย่างน้อยจะต้องเป็นพระโสดาบันให้ได้ ผู้เขียนอายุ 34 ปี ในขณะนั้น
    หัดฝึกกรรมฐานสัมมาอรหังกับหลวงปู่สดวัดปากน้ำตั้งแต่อายุ 10 ขวบ เทกระโถนหลวงปู่บุดดา มาตั้งแต่เล็กๆ ได้พบพระอาจารย์
    ดีๆ มาก็มากมาย แต่สงสัยในเรื่องนิพพานมาตลอดเวลาว่า จะต้องสั่งสมบารมีไปอีกเท่าไหร่กันจึงจะถึงสักที มีอะไรเป็นเครื่อง
    หมายเครื่องกำหนด พึ่งจะได้พบแสงสว่างจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อวันนั้นเอง เหมือนกับมีคนมาเปิดโลกยันพระนิพพานให้ดู
    ทั้งหมด ใจฟูเป็นอันมาก พอหลวงพ่อกลับไปแล้วก็รีบไปเล่าให้หลวงพ่อสิมฟังว่าได้พบพระที่บอกให้ผู้เขียนเร่งให้ถึงนิพพานใน
    ชาตินี้ให้ได้ ผู้เขียนมีหวังแล้ว

    หลังจากครั้งนั้นก็ยังได้ยินท่านประกาศว่า “ถ้าเชื่อฉัน ทุกคนถึงนิพพานหมดในชาติหน้า แต่หลายคนจะถึงในชาตินี้” ท่าน
    ทั้งหลายเคยได้ยินพระองค์อื่นกล้าคิดหรือกล้าพูดเช่นนี้บ้างไหม

    นอกจากนี้ในการพบท่านครั้งแรกนั้น ท่านยังเล่าเรื่องอื่น ๆ ให้ฟังอีกและบอกว่า “คุณมาเกิดชาตินี้ คุณลงมาไม่ครบอายุขัยนะ เข้า
    ใจไหม” ก็ตอบท่านว่าเข้าใจครับ แต่ไม่ยักกะถามท่านว่า “อายุเท่าไหร่จะตาย” ต่อมาลงมากราบท่านที่วัด พอสบโอกาสก็กราบ
    เรียนท่านว่า “หลวงพ่อครับ หลวงพ่อเอาผมไปนิพพานด้วยนะครับ” ท่านตอบว่า “เอาไปซี่ ไม่งั้นฉันจะไปตามคุณรึ” ผู้เขียนก็กราบ ๆๆ หลังจากนั้นอีกหลายปี ได้ติดตามท่านไปเก็บลูกศิษย์อีกหลายๆ แห่ง (เล่าได้อีกมากไว้เล่าในเล่มต่อไปแล้วกัน) เห็นลีลาต่าง ๆ
    ของท่านด้วยความซาบซึ้งในมหากรุณา แล้วก็เกิดความสงสัยว่า ท่านจะตัดตอนหยุดเก็บลูกศิษย์แค่ไหน ก็กราบเรียนถามท่านว่า
    “หลวงพ่อครับ หลวงพ่อจะตัดตอนหยุดเก็บลูกศิษย์แค่ไหนครับ” ท่านบอกว่า “ฉันจะเก็บของฉันไปจนหมด ฉันเก็บลูกศิษย์ของ
    ฉันครบแน่” ผู้เขียนได้ยินแล้วสะท้อนใจในกำลังใจและมหากรุณาที่ยิ่งใหญ่ไพศาลหาประมาณมิได้ขององค์ท่าน และลูกศิษย์ทุก
    ท่านก็คงจะอุ่นใจได้นะครับ

    หลวงพ่อต่อชีวิตให้
    ในปี พ.ศ. 2521 ผู้เขียนมาฝึกมโนมยิทธิ พอขึ้นไปได้วันที่สอง ชักจะสนุกสนานและจิตทิ้งขันธ์ 5 ได้เป็น เมื่อเสร็จแล้วมากราบ
    หลวงพ่อ หลวงพ่อเล่าว่า ท่านพระกาฬถือขวานสองเล่มมายืนอยู่ข้างหลังผู้เขียน หลวงพ่อก็ถามท่านว่ามาทำไม ท่านพระกาฬตอบ
    ว่า “ผมไม่มีอะไรกับพระคุณท่าน แต่ไอ้นี่” แล้วชี้มาที่ผู้เขียน “ผมต้องจัดการ” หลวงพ่อก็ขอให้ท่านอโหสิให้ และขอชีวิตผู้เขียน
    ไว้โดยให้ทำบุญสร้างพระพุทธชินราชหน้าตัก 30 นิ้วถวาย อุทิศส่วนกุศลเฉพาะพระกาฬ ก็เลยรอดตายมาได้จนทุกวันนี้

    ดังนั้นพูดจริงๆ แล้วชีวิตผู้เขียนนี้ก็เป็นของท่านแต่ความเลวของผู้เขียนยังมาก ไม่ค่อยจะสำนึกบุญคุณของท่านที่ท่วมหัวท่วมตัว
    อยู่ แต่บางครั้งเมื่อใจสะอาดก็ระลึกได้เสียที อย่างเมื่อตอนบวชที่วัดท่าซุงครั้งแรก พอออกมาจากโบสถ์มากราบท่านที่ศาลานวราช
    เดิม ความรู้เดิมมันท่วมเข้ามาว่า สัญญากับท่านเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะลงมาช่วยท่านเป็นมือเป็นเท้าให้กับท่าน แต่พอลงมาแล้ว
    ก็มาดื้อกับท่าน มาเบี้ยวกับท่าน ความเสียใจก็ขึ้นมาจุกที่คอ น้ำตาไหลห้ามไม่หยุด ญาติโยมก็นึกว่าปีติจนน้ำตาไหล แต่ผู้เขียนเอง
    รู้ว่า เสียใจที่เป็นลูกที่เลวเลยร้องไห้

    หลวงพ่อให้ปัญญา
    หลวงพ่อองค์นี้ถ้าได้อยู่ใกล้ๆ ท่านดูเหมือนว่า กิเลสเราจะหมดลงไปโดยไม่รู้ตัว แลปัญญาเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ผู้เขียนจึงชอบ
    อยู่ใกล้ๆ ท่านเพื่อให้ตัวเองมีความรู้เกิดขึ้นมากๆ และก็จริงๆ ว่าทุกๆ ครั้งที่อยู่กับท่านดูมันจะรู้ๆๆๆ ไปหมด เวลาหลวงพ่อจะสั่ง
    อะไรก็ตามแต่ ท่านจะสั่งเพื่อให้เราใช้ปัญญาของตัวเองประกอบ เพื่อให้เราภูมิใจว่าเราคิดได้เอง เพราะฉะนั้นผู้เขียนจึงชอบดู
    ท่านสั่งงานและก็ดูเหมือนว่าจะรู้ใจท่านไปด้วย

    ทุกครั้งที่เรามีเรื่องสงสัยท่านจะตอบโดยไม่ต้องถาม เรื่องนี้ศิษย์ทุกคนพูดเหมือนกันหมดและเดากันว่า เจโตปริยญานท่านชัด
    เจนแจ่มใส ผู้เขียนเองโดนเรื่องนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งเรื่องสอนและเรื่องแก้สงสัย เมื่อเร็วๆ นี้เองมีความสงสัยว่า ปัญญาบารมี
    นี่เขาสั่ง สมกันอย่างไรไปอ่านดูในทศชาติ ท่านพระมโหสถ ท่านเกิดมาท่านก็ฉลาดเลย แล้วจะสั่งสมปัญญาบารมีกันอย่างไรเล่า
    ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง เสียงเทศน์มาแล้ว “การทำสมาธิ คือการสั่งสมปัญญาบารมี” ผู้เขียนมีความเห็นว่า เรื่องแก้สงสัย
    ในใจลูกศิษย์นี้หลวงพ่อไม่ได้ใช้เจโตปริยญานขณะที่ท่านรับแขก ถ้ามัวแต่ใช้เจโตปริยญาณดูใจลูกศิษย์ทุกๆ คนก็ไม่ทันกิน หลวง
    พ่อนั้นท่านมีปฏิสัมภิทาญาณของพระอนุพุทธซึ่งครอบทั้งจักรวาลในขณะใดขณะหนึ่งก็ได้ นอกจากนี้ท่านยังมีผู้บอกบทอีกนับไม่
    ถ้วน ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา

    เพราะฉะนั้นเรื่องนัตถิปัญญาสมาอาภาแสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มีขององค์หลวงพ่อท่านสว่างทั้งโลกจริง เรื่องนี้จึงเป็นเรื่อง
    อาเทศนาปาฏิหาริย์และอนุสาสนีปาฎิหาริย์ อันอาศัยปฏิสัมภิทาญาณของหลวงพ่อและไม่ใช่เจโตปริยญาณ ถ้าใครอยากจะดูอา
    เทศนาปาฏิหาริย์ ก็ขอให้ตั้งใจดีๆ แล้วดูหลวงพ่อรับแขกเถิด จะเห็นได้ทุกๆ วัน

    ทีนี้ก็ขอเล่าเกร็ดต่างๆ อีกเล็กน้อยปิดท้ายเรื่องก็แล้วกันนะครับ...

    หลวงพ่อแจกพระ
    เวลาประมาณบ่ายสี่โมงเย็นของวันอาทิตย์วันหนึ่ง ปลายปี 2517 ขบวนลูกศิษย์ 8 คนได้เข้าไปกราบหลวงพ่อเพื่อจะกลับกรุงเทพฯ
    ที่กุฎิริมน้ำ หลวงพ่อท่านนั่งอยู่บนเก้าอี้พับ ท่านบอกให้ผู้เขียนหยิบพานพระเครื่องส่งให้ท่าน ตอนนั้นเพิ่งออกพรรษาใหม่ๆ และ
    หลวงพ่อทำพิธีพุทธาภิเษกรุ่นแรกของท่าน (เหรียญสีเงิน) และเหรียญหลวงปู่ปาน (เหรียญสีทอง) ตลอดทั้งพรรษาเสร็จใหม่ๆ
    ใครๆ จึงอยากได้เหรียญรุ่นนี้กันมาก พานพระเครื่องเป็นพานขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8 นิ้ว ก้นตื้น ปากบาน ในพานมี
    เหรียญหลวงพ่อสีเงิน 15 เหรียญ และเหรียญหลวงปู่ปานสีทอง 3 เหรียญ หลวงพ่อเริ่มหยิบเหรียญทองและเหรียญเงินส่งให้ลูก
    ศิษย์ตั้งแต่คนที่หนึ่ง คนที่อยู่หลังๆ ก็หน้าเสียเพราะทุกคนเห็นกันอย่างชัดเจนว่า เหรียญทองมีอยู่ 3 เหรียญเท่านั้น ผู้เขียนรับคน
    แรกแล้วก็นั่งรออยู่ข้าง ๆ ท่าน หลวงพ่อก็หยิบพระแจกเป็นคู่ เหรียญทองเหรียญเงินไปเรื่อยจนครบคน พอหมดคนท่านก็พูดว่า “หมดพอดี” ผู้เขียนก็กราบเรียนท่านว่า “หยิบได้พอดีอย่างนี้ มีหลวงพ่อหยิบได้องค์เดียวเท่านั้น” ทุกคนก็พูดกันใหญ่ว่าหลวงพ่อ
    หยิบได้อย่างไร แต่ท่านก็ได้หยิบให้ดูแล้ว ทั้ง 8 คนเห็นอย่างชัดเจน

    หลวงพ่อแตกฉานทุกภาษา
    ครั้งหนึ่งมีผู้เอาสีกระป่องหลายกระป๋องอยู่มาถวายท่าน ท่านก็ให้ช่างเอาไปทา ช่างก็ใช้ไม่เป็น ฉลากก็เป็นภาษาต่างประเทศ
    ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เข้าไปถามหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านนั่งอยู่ในกุฎิริมน้ำองค์เดียว ท่านก็หยิบกระป๋องขึ้นมาอ่านฉลากข้างกระป๋อง
    แล้วก็บอกวิธีใช้ให้ช่าง พอผู้เขียนไปที่วัด น้าน้อยกานดา ก็รีบมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง

    อีกครั้งหนึ่งผู้เขียนตามท่านไปเชียงราย ไปพักอยู่ที่วัดเม็งราย หลวงพ่อท่านนอนอยู่บนกุฎิ ผู้เขียนก็นอนเฝ้าท่านอยู่ที่ใต้ถุน
    พอตกดึกก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อเปิดวิทยุฟังภาษาต่างประเทศ ซึ่งผู้เขียนเองก็ไม่รู้ว่าเป็นภาษาพม่า ภาษาแม้ว หรือภาษาอะไร
    ท่านก็ฟังของท่าน พอผู้เขียนเล่าเรื่องนี้ให้หลวงพี่ที่ไปด้วยฟัง ท่านก็บอกว่า หลวงพ่อฟังบ่อยแต่จะไม่ทำให้ใครรู้

    ตอนไปที่ชิคาโก พวกเราไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ฟิลด์มิวเซียม ก็มีเจ้าหน้าที่ที่รู้ภาษาอียิปต์โบราณมารับจ้างเขียนชื่อใครก็ได้เป็น
    ภาษาอียิปต์โบราณอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ผู้เขียนก็เข้าไปจ้างให้เขาเขียนชื่อ “พระมหาวีระ ถาวโร” เขาก็เขียนมาให้ พอกลับมาถึง
    ที่พัก ก็เอาไปถวายท่านแล้วกราบเรียนถามท่านว่า หลวงพ่อทราบไหมว่าอะไร ท่านบอกว่า “มันเขียนผิดนี่หว่า ชื่อข้าต้องมีตัว ……”
    แล้วท่านก็ทำท่าเขียนในอากาศให้ดู ผู้เขียนก็กราบเรียนถามท่านว่า ท่านทราบได้อย่างไร ท่านก็บอกว่า “ปุโรหิตเขามาบอก”

    ครั้งหนึ่งหลวงพ่อลงมาสอนกรรมฐานที่กรุงเทพฯ พอกลับไปถึงกุฎิที่วัด คนเลี้ยงแมวก็มารายงานว่า “พอหลวงพ่อไปกรุงเทพฯ
    แมวก็ไม่กินข้าว” หลวงพ่อก็ย้อนทันทีว่า “แกเรียกมันว่าอีใช่ไหมล่ะ” คนเลี้ยงแมวก็ถามว่า “หลวงพ่อรู้ได้ยังไง” ท่านตอบว่า
    “ก็มันฟ้องข้าอยู่นี่ไง”

    เรื่องนี้ยังไม่จบ ไว้อ่านต่อใน ลูกศิษย์บันทึก เล่ม 2 นะครับ

    จากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๑


     
  2. pong-sit

    pong-sit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,626
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,781
    อ่านแล้วยิ่งชื่อมั่นหลวงพ่อมากขึ้น .....เคารพรักหลวงพ่อด้วยความจริงใจครับ
    สาธุ
    สาธุ
    สาธุ
     
  3. LiveDhamma

    LiveDhamma เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +198
    อนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ ครับ ชอบอ่านมากครับ สำหรับ บทความของท่าน ศ.ดร.ปริญญา นุตาลัย และ ท่านคุณลุงหมอสมศักดิ์ (พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน) อ่านแล้วนำมาใคร่ครวญ พิจารณา ได้ความคิด เกิด ปัญญา กับตัวผมเองก็นำไปใช้ตลอด กราบขอบพระคุณล่วงหน้าครับ สำหรับบทความดีีดี ผมติดตามอ่านอยู่นะครับ สาธุครับ และด้วยสำนึกของความกตัญญู รักและเคารพในคุณงามความดีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานอันสุดประมาณ กระผมขออนุญาตนำภาพที่เป็นสิริมงคล มาให้ชมกันครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. Starpegasus

    Starpegasus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +826
    ใครจะว่ายังไงก็ช่าง แต่กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่เยี่ยมที่สุดกระทู้หนึ่งที่ผมเคยอ่านมาเพราะ

    - สร้างศรัทธาในหลวงพ่อให้มากขึ้น
    - สร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้มากขึ้น
    - สร้างศรัทธาในการปฎิบัตให้มากขึ้น
    - มีความปลื้มปีติ ยินดีเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่ได้อ่านกระทู้

    ขอบคุณผู้ตั้งกระทู้เป็นอย่างสูง และอยากทราบว่าจะหาหนังสือ "ลูกศิษย์บันทึก" อ่านต่อได้ที่ไหน? ที่ซอยสายลมมีหรือเปล่าครับ?
     
  5. ฟูฟู

    ฟูฟู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +139
    ที่เวบแดนนิพพานมีให้อ่าน แต่ว่าต้องสมัครสมาชิกให้ได้ก่อนเพื่อกันคนปรามาส เพราะมีเรื่องฤทธิ์ๆเยอะ โดยเฉพาะเล่ม 2 3 ที่จะเอาลงหลังจากเล่ม ๑ ใกล้เสร็จเห็นว่าส่วนใหญ่มีเรื่องเกี่ยวกับอภิญญา ๖ เยอะมาก

    ป.ล. ภาพปกหนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑ น่ะ เอามาจากเวบแดนนิพพานนะจ๊ะ เวปมาสเตอร์เวบแดนนิพพาน แกนั่งทำภาพปกหนังสือนั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2007
  6. pattarawat

    pattarawat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,671
    ค่าพลัง:
    +7,981
    ขอบคุณน้องรินจริงๆ สำหรับกระทู้นี้ ยอดเยี่ยมครับ
    ไม่เคยสงสัยในความดีของหลวงพ่อ
    ยิ่งพออ่านกระทู้นี้เสร็จก็ยิ่งรักหลวงพ่อมากขึ้นไปอีก
     
  7. jchai4

    jchai4 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    212
    ค่าพลัง:
    +1,075
    "ท่านจะตัดตอนหยุดเก็บลูกศิษย์แค่ไหน ก็กราบเรียนถามท่านว่า
    “หลวงพ่อครับ หลวงพ่อจะตัดตอนหยุดเก็บลูกศิษย์แค่ไหนครับ” ท่านบอกว่า “ฉันจะเก็บของฉันไปจนหมด ฉันเก็บลูกศิษย์ของ
    ฉันครบแน่” ผู้เขียนได้ยินแล้วสะท้อนใจในกำลังใจและมหากรุณาที่ยิ่งใหญ่ไพศาลหาประมาณมิได้ขององค์ท่าน และลูกศิษย์ทุก
    ท่านก็คงจะอุ่นใจได้นะครับ
    "


    เข้ามากราบหลวงพ่อ อ่านแล้วชื่นใจ

    [​IMG]
     
  8. เงินไหลมา

    เงินไหลมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +3,412
    อนุโมทนาสาธุครับ หลวงพ่อ เป็นที่1อยู่ในใจลูกเสมอ
    อ่านแล้วชื่นใจมากมายครับ
     
  9. กราฟ

    กราฟ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +85
    อ่านแล้วตื้นตันใจมากครับ ขอบคุณมากครับ
     
  10. Whitedeangle

    Whitedeangle เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2007
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +342
    เสียดายที่เกิดมาไม่ทัน

    แต่รู้สึกปลามปลื้มใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อครับ
     
  11. kammatanclub

    kammatanclub สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +7
    กระผมซาบซึ้งใจในความเมตตาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่งครับ
     
  12. ธัมมัง

    ธัมมัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2011
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +140
    เป็นเรื่องแปลกมาก ถ้าถามลูกศิษย์หลวงพ่อทุกคน(ลูกศิษย์แท้) ทุกคนจะมุ่งมั่นปฏิบัติเพื่อนิพพานอย่างเดียว และทุกคนจะรักและเทอดทูนหลวงพ่อแบบไม่สามารถหาคำอธิบายได้
    เหมือนทุกคนสร้างบารมีติดตามท่านมาทุกชาติจริงๆ ทางไหนไม่ยอมไปขอหยุดที่คำสั่งสอนของหลวงพ่อท่านเดียวเท่านั้น
     
  13. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ใช่ลูกหลานแท้นี่ทางใหนไม่ยอมไป เมื่อพบพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็หยุดเลยไปตามหลวงพ่อเท่านั้น โมทนาสาธุอย่างยิ่ง กับพี่ๆ น้องๆทุกคนที่เคยเกิดร่วมกันมาในอดีต และทุกคนจะจบหลักสูตรกันแล้วในชาตินี้
     
  14. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    ...
    ...อ่านแล้วก็ขนลุกขนพอง...ปลาปปลื้มน้ำตาไหล...
    ..หลวงพ่อไปอยู่ที่ไหนก็ขอให้ลูกได้ตามไปอยู่ที่แดนแห่งนั้นด้วยเถอด
    ..ไม่เคยมีใครทำให้ผมเชื่อเรื่อง กรรมดี กรรมชั่ว มีจริง
    .. และลงมือปฏิบัติได้เช่นหลวงพ่อสอนมาก่อน..

    ..หลวงพ่อสอนให้ผม หาทางพ้นทุกข์เจอ
    ..โดยที่คำสั่งสอนเหล่านั้น
    ..เป็นพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้า..
    ..
    ...คำนี้..

    .ใครก็ตามที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนาและมีจิตศรัทธาเลื่อมใส ท่านว่าบารมีเต็มแล้ว สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบัน..

    ...ชอบสุดๆเลยครับ จับจิตจับใจมาก..
    . สาธุๆๆๆๆๆๆๆร้อยล้านพันล้านครั้ง..ก็ยังไม่พอ..
    ..สาธุๆๆๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...