ชาวใต้ตื่น! ข่าวลือสึนามิจ่อถล่มช่วง 4-15 มิ.ย.

ในที่สุดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ คนในพื้นก้อโดนไปเต็มๆอีกตามเคย... ทั้งเรื่องผลกระทบจากข่าวและการทำมาหากิน...เวรกรรมที่สุด!

 

ก็จะมีสถิติ ทำนายผิด เพิ่มขึ้นอีก 1 รายการ ก็เท่านั้นแหละ... แต่ก็ยังพยายามจะทำนายกันอยู่ ในคิวมีอีกเยอะ ... ยาวไป ยาวไป ถึงปี 2012 2016 โน่นแหละกว่าจะถึง มันก็ต้องมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ซักอย่างแหละ เพราะเกิดอยู่แล้วตามธรรมชาติของมัน ก็จะมีคนทายถูกซักคนแหละน่า ก็จะออกมาพูดว่า เห็นไหม ผม/ฉัน บอกแล้ว... :boo:

การไม่เชื่อคำทำนาย ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไม่เชื่อเขาจะประมาทเสมอไปหรอกครับ เพราะการศึกษาเรื่องแนวโน้มการเกิดภัยพิบัติ มีตั้งหลายทาง ไม่ใช่มาฟังแต่คำทำนายอย่างเดียวนี่นา และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้ก็ทำให้ผู้คนตื่นตัวมากขึ้น คนที่ระนอง ภูเก็ต พังงา ที่เขาเคยเจอสีนามิมาแล้ว เขาคงจะรู้แล้วว่า ต้องทำอย่างไรเมื่อทางการมีการเตือนภัยให้ทราบ หรือเมื่อมีข่าวแผ่นดินไหวรุนแรงในทะเลที่อาจจะเกิดสึนามิได้

การเตือนโดยคำทำนาย บางทีมันก็สุดโต่งเกินไป เช่นบอกให้เขาอพยพเลย หรืออะไรแบบนี้ โดยที่ยังไม่รู้ว่า จะเกิดจริงหรือไม่จริงอย่างไร มันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ เลย (ตัวอย่างก็มีให้เห็นเยอะแยะแล้วว่า ไม่มีใครทำนายถูกซักคนไม่ว่าไทยเทศ) และมันก่อให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ชาวบ้านในพื้นที่ และมีผลกระทบแน่ ๆ ต่อเรื่องการท่องเที่ยว การประกอบธุรกิจ การดำรงชีวิต หรืออะไรอีกหลาย ๆ อย่างมาก คนที่ชอบออกมาทำนาย น่าจะตระหนักให้มากกว่านี้ ... มิฉะนั้นจากความหวังดี มันจะกลายเป็นผลร้ายไปทันที ...

 

ยังไม่ทันหมดเวลาเลย ตัดสินซะแล้ว เท่าที่ผมย้อนกลับไปดูข้อมูลของท่าน ระบุว่า

ระลอกที่ 1 ช่วงวันที่ 4 - 15 มิ.ย. 54 โดยจะเกิดแผ่นดินไหวแถบทะเลอันดามัน ประเทศอินโดนีเซีย ประมาณ 5 ทุ่ม และเกิดคลื่นยักษ์ซึนามิที่มีความรุนแรงมากกว่าปี 47 คลื่นเดินทางถึงชายฝั่งประเทศไทย เวลา ตี 2 50 นาที ........นา.......

แต่ถ้าไม่เกิดอะไรก็ดีแล้ว หน้าแตก ดีกว่าคนตาย เนอะ ๆ</p></p>

 

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ นิพพานายะ
เห็นใจผู้ที่นำข่าวภัยพิบัติมาบอกนะ ผมเชื่อว่าทุกท่านทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยใจที่อยากจะช่วยเหลือผู้อื่น การที่เราไปพูดไปว่ากล่าวทำลายน้ำใจเขา ผมว่าไม่เหมาะ ไม่ควร..เรื่องเหล่านี้ มันมีความซับซ้อน และต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจและศึกษากันนาน บางคนอาจจะเข้าใจ ได้เร็ว ช้า ไม่เหมือนกัน(หรืออาจจะไม่เข้าใจเลย) การเอาวิทยาศาสตร์ เอาตรรกตะทางโลกมาวิเคราะห์ บางเรื่องบางราวไม่สามารถทำได้ อย่างเรื่องพื้นๆ เช่น รูป นาม วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้เลย ..ในเรื่องทางจิต ศาสนาพุทธ ไปไกลเกินกว่าวิทยาศาสตร์ จะตามทัน ...จิตเป็นธรรมชาติรู้ ซึ่งโลกปัจจุบันเขาไม่ทราบกันหรอก พวกเราชาวพุทธหรือผู้ปฏิบัติมาทางสมาธิ ทราบกันดีทุกคน (เป็นเรื่องพื้นๆ) แต่การรู้เห็นทางจิต มากน้อย ชัดเจน ถูกต้องเพียงใด อยู่ที่การปฏิบัติและสร้างสมมาของแต่ละคน..สำหรับการทำนายหรือคาดการณ์เกี่ยวกับคนหมู่มาก จะไม่ค่อยแม่น จะมีความคลาดเคลื่อนกันมาก เพราะเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับคนหมู่มาก มีปัจจัยต่างๆมาเกี่ยวข้องเยอะมาก ...คนที่ปฏิบัติมาทางนี้เขาทราบกันดี แต่ก็ยังเสี่ยงที่จะออกมาบอกกล่าวกัน เพราะเขาคิดกันว่า ผิดไปบ้าง คลาดเคลื่อนไปบ้าง ก็ไม่เป็นไร ยอมถูกด่าถูกว่ากล่าว ดีกว่ารู้เห็นแล้วเก็บเงียบไว้ จนผู้คนต้องมาบาดเจ็บล้มตายโดยที่ไม่ได้ออกมาบอกเตือนกันเลย หัวอกผู้ปฏิบัติซึ่งแต่ละท่าน (ซึ่งมีศีล ทาน ภาวนาเป็นพื้น) ท่านรู้สึกกันอย่างนี้....สิ่งใดที่เรายังปฏิบัติกันไม่ถึง ยังรู้ไม่มาก (มีแต่ความรู้ทางโลก) ก็ต้องฟังๆ กันไว้ก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้เชื่อในทันที ให้ท่านพิจารณากันให้ดีก่อน อย่าประมาท และอย่าตื่นตระหนก สิ่งใดที่เรายังไม่พร้อมก็รีบๆ ทำกันทันที ยังไม่มีศีล ก็ให้หันมาถือศีล มาทำทาน ปฏิบัติภาวนา เท่าที่จะทำได้....เมื่อเราพร้อมทั้งทาน ศีล ภาวนา และเตรียมตัวทางโลกบ้างพอสมควร เราก็สามารถรับกับภัยพิบัติหรือสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีสติ ...
</p>ขออนุญาตคุณนิพพานายะ อ้างอิงข้อความครับ เห็นว่ามีข้อคิดที่ดีครับ</p></p>

 

บางทีการออกมาเตือน....เพื่อให้เกิดการเลื่อนออกไปก็ได้....บางอย่างอาจต้องแลกมาด้วยความหนักหน่วง...ของผู้เสียสละในการเตือน ถ้าไม่มีการเตือน...อาจจะไม่มีการเลื่อน...ความสูญเสียอาจจะเกิดน้อยกว่าเพราะมีการตั้งรับอยู่บ้าง

 

เอาอะไรมายืนยันค่ะ ....ในความเชื่อนี้?

 

ผู้ที่ออกมาเตือน ส่วนใหญ่ท่านเหล่านี้จะเป็นนักปฏิบัติด้านสมาธิ กรรมฐาน เมื่อฝึกกรรมฐานจนชำนาญสิ่งที่ตามมาคือ นิมิต ซึ่งจะเห็นนิมิตรขณะกำลังทำสมาธิอยู่ หรือขณะหลับ อาจะเป็นจิตปรุงแต่งขึ้นเอง หรืออะไรก็แล้วแต่ และผมเองเชื่อว่า ท่านเหล่านั้นต้องมีประสบการณ์กับนิมิตรของท่านมามากแล้วจึงกล้าจะออกมาเตือน แต่ประสบการณ์ของท่านเหล่านั้นที่แม่นอาจเป็นเรื่องรอบตัว เรื่องที่มีผู้มีส่วนร่วมไม่มาก จึงค่อนข้างแม่น แต่เมื่อออกมาเตือนภัยสาธารณะ ภัยพิบัติระดับชาติ ซึ่งมีผู้เกี่ยวข้องเยอะมาก จึงอาจคลาดเคลื่อนหรือผิดพลาดย่อมเป็นธรรมดา

แต่ผมมองเจตนาของผู้เตือนมากกว่า ท่านเหล่านั้นน่าจะมีเจตนาดี การออกมาเตือนโอกาสพลาดสูงมาก ท่านเองน่าจะรู้ และเมื่อพลาดคนบ่น คนว่า คนด่า คนสาปแช่งย่อมมีแน่นอน ท่านเหล่านั้นก็น่าจะทำใจพร้อมจะยอมรับจึงกล้าออกมาเตือน

ผมไม่อยากให้พวกเราเหล่าสมาชิก ไปสบประมาทท่านเหล่านั้น ภัยไม่เกิดก็ดีแล้ว มีคนเตือนแล้วภัยไม่เกิด น่าจะดีกว่าภัยเกิดแล้วไม่มีใครเตือน

 

อุปทานเล่นงานอะสิ.....กรรมฐานเค้ามีไว้เจริญ(สติ) ไม่ใช่ปล่อยให้นิวร-อุปาทานมันเล่นงานเอาแบบนี้....อย่ามั่ว

 

หวังดีมากนักอ่านซะ...

ความคิดเห็นที่ 2
กลางๆ
Fatboyslim2011-05-18 17:09:17
เห็นด้วยกับ คห.ข้างบน ผมเป็นคนในพื้นที่ ทุกคนรู้ดีว่าซักวันมันก้อต้องเกิด แล้วจะให้พวกเราทำยังไงนั่งงอมืองอเท้าไม่ต้องทำมาหากินอย่างนั้นรึ เหมือนกับคนที่มีบ้านติดแม่นำ้ก็รู้ดีว่าซักวันนำ้มันต้องท่วม ท่านๆคุณๆทั้งหลายไม่รู้หรอกว่าเวลามีข่าวออกมาแต่ละครั้งมันกระทบต่อการทำมาหากินของคนในพื้นที่แค่ไหน ท่านแค่ออกข่าวมาเพื่อความดังความเด่นของท่าน ทำนายผิดไม่เป็นไร เกิดถูกขึ้นมาก็โด่งดัง อยากจะพูดตรงๆเลยว่า 'ท่านเอาความฉิบหายของเรามาหากิน' นักข่าวก็เหมือนกันเมื่อไหร่จะเลิกเสนอข่าวแบบนี้ซักที ไม่มีใครรู้หรอกว่าการมีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลามันเป็นอย่างไร แล้วนี้ยังจะมาทุบหม้อข้าวของเราอีก ประทานโทษ พวกคุณก็ไม่ต่างอะไรกับพวก 'มือไม่พายเอา ีนรานำ้'

 

อย่าเครียดกันไปเลย การเตือนของผู้หวังดีก็เหมือน เรากำลังจะเดินข้ามสะพานแล้วมีคนเตือนว่า ระวังสะพานจะถล่มลงมานะ เขาเห็นหรือรู้ความผิดปกติของสะพานแต่ก็คงบอกไม่ได้ตรงเป๊ะว่าจะถล่มเมื่อไหร่ แต่เจตนาคือ อยากเตือนให้ระมัดระวังกันมากกว่า เพราะหากเขารู้แล้วไม่บอกไม่เตือน แล้วมีคนเดือดร้อน ตัวเขาเองนั่นแหละที่จะรู้สึกผิดมากกว่า แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญานของแต่ละบุคคลว่าจะเชื่อ หรือ ไม่เชื่อตามที่เขาเตือน

 

ดูสิค่ะว่า...ความหวังดีของเราไปทำร้ายใครเค้าบ้าง ? ต้องฟังเสียงของคนที่เค้าได้รับความเดือดร้อนจากความหวังดีของคุณๆด้วย ...คุณๆกำลังไปฆ่าเค้าทางอ้อม รู้ตัวกันบ้างไหม?

 

ผมก็ไม่เห็นใครเขาจะหนีกันซักหน่อยชาวบ้านเขาก็อยู่กันปกติ...

 

กระทบแน่ๆ คือ แหล่งท่องเที่ยว

 

สองคน ยลตามช่องคนหนึ่งมอง เห็นโคลนตม

คนหนึ่งตาแหลมคมเห็นดวงดาว อยู่พราวพราย </p></p></p>คนสองคนมองผ่านช่องเดียวกัน คนหนึ่งมองเห็นโคลนตมสกปรก</p></p> อีกคนกลับมองเห็นผืนฟ้าพร่างพรายด้วยดวงดาว </p></p></p>ทำไมทั้งสองคนเห็นต่างกัน ทั้งๆที่มองผ่านกรอบเดียวกัน นั่นเป็นเพราะวิธีการมองของทั้งคู่ต่างกัน สิ่งที่เห็นจึงไม่เหมือนกัน คนหนึ่งมองต่ำ ก็เห็นแต่โคลน อีกคนมองสูง ก็จะเห็นแผ่นฟ้ากว้าง </p></p></p>เช่นเดียวกับปัญหา โดยสภาพของมันเอง ปัญหาก็เป็นเพียงอะไรบางอย่างที่เรียกร้องการเอาใจใส่ คล้ายๆกับการที่แฟนคุณเรียกร้องเอาจากคุณ หากคุณสามารถจัดการกับปัญหาได้อย่างเหมาะสม ปัญหาก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป </p> </p></p> และถ้าหากว่าปัญหานั้น ไม่ได้เกิดขึ้นกับคุณคนเดียว หากแต่เกิดขึ้นกับทุกคนในธุรกิจเดียวกับคุณ การที่คุณสามารถหลุดออกจากปัญหาได้ แต่คนอื่นในธุรกิจที่ไม่สามารถดิ้นหลุดจากบ่วงปัญหา กลายเป็นวิกฤติรัดคอคนนั้น นั่นก็จะกลายเป็นโอกาสของคุณในธุรกิจไปในทันที </p> </p></p>ทัศนคติของคุณต่อสิ่งที่มองจึงมีความสำคัญ เพราะมันจะกำหนดปฏิกิริยาโต้ตอบต่อสิ่งนั้นของคุณ </p></p></p> มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง ความว่า บริษัทผู้ผลิตรองเท้าสองแห่งที่เป็นคู่แข่งกัน ได้ส่งตัวแทนขายของตนไปสำรวจตลาดยังเกาะแห่งหนึ่ง ผู้แทนของบริษัทแรกรายงานกลับมาว่า คนที่นี่ไม่นิยมสวมรองเท้า บริษัทไม่มีโอกาสขยายตลาดที่นี่แต่อย่างใด </p></p>ในขณะที่ผู้แทนของอีกบริษัทหนึ่งรายงานกลับมาว่า คนที่นี่ยังไม่มีรองเท้าสวมเลย โอกาสของบริษัทจึงมีอยู่มาก สิ่งที่ผู้แทนทั้งสองมอง เป็นสิ่งเดียวกัน แต่สิ่งที่เห็นกลับต่างกัน </p></p>เราคงไม่อาจบอกได้ว่าใครเห็นถูก ใครเห็นผิด แต่เราสามารถบอกได้ว่า บริษัทแรกไม่มีโอกาสได้การค้าเพิ่มขึ้น สิ่งที่สูญเสียไปก็คือโอกาส(ที่อาจจะมีหรือไม่มีจริงก็ได้) แต่ก็ไม่ต้องเสียอะไรกับการลงทุนนอกจากค่าเดินทางของผู้แทนคนนั้น ส่วนบริษัทที่สอง มีโอกาสที่จะได้การค้าเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับโอกาสที่จะขาดทุนจากการลงทุนที่ไปไม่ถึงเป้าหมายที่เห็น การมองแบบผู้แทนคนแรก เป็นการมองแบบอนุรักษ์ พยายามรักษาสภาพเดิมไว้ ไม่ชอบความเสี่ยง ส่วนผู้แทนคนที่สองจะมองแบบนักปฏิรูป เน้นการมองไปข้างหน้า พยายามมองหาสิ่งที่ทำได้ ไม่มีวิธีไหนผิด หรือถูกทั้งหมด </p></p></p>หากคุณไปเดินเล่นในสวนไม้ดอกนานาพรรณ แล้วผมถามคุณว่า คุณเห็นดอกไม้สีม่วงหรือไม่ อยู่ที่ไหนบ้าง บางคนอาจเห็น บางคนอาจไม่เห็น แต่ถ้าให้คุณกลับไปหา เกือบทุกคนจะได้เห็น (ก็คงต้องยกเว้นบางคนที่ไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้ว่าดอกไม้คืออะไร สีม่วงเป็นยังไง หรือไม่ก็ขี้เกียจเดินกลับไปกลับมา) </p></p></p>และเมื่อคุณกลับมาตอบคำถามนี้ ถ้าผมถามต่อไปว่า คุณเห็นลายแทงขุมทรัพย์ที่ผมซุกไว้โคนต้นเจ้าไม้ดอกสีม่วงต้นนึงหรือไม่ เช่นเดียวกัน บางคนอาจเห็น บางคนอาจไม่เห็น แต่ถ้าให้กลับไปหา เกือบทุกคนจะเห็น </p></p></p>เครดิตจาก- - ภราดา ฟ. ฮีแรห์ แห่งอัสสัมชัญ - - </p></p>

 

มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง ความว่า บริษัทผู้ผลิตรองเท้าสองแห่งที่เป็นคู่แข่งกัน ได้ส่งตัวแทนขายของตนไปสำรวจตลาดยังเกาะแห่งหนึ่ง ผู้แทนของบริษัทแรกรายงานกลับมาว่า คนที่นี่ไม่นิยมสวมรองเท้า บริษัทไม่มีโอกาสขยายตลาดที่นี่แต่อย่างใด


ในขณะที่ผู้แทนของอีกบริษัทหนึ่งรายงานกลับมาว่า คนที่นี่ยังไม่มีรองเท้าสวมเลย โอกาสของบริษัทจึงมีอยู่มาก สิ่งที่ผู้แทนทั้งสองมอง เป็นสิ่งเดียวกัน แต่สิ่งที่เห็นกลับต่างกัน


เราคงไม่อาจบอกได้ว่าใครเห็นถูก ใครเห็นผิด แต่เราสามารถบอกได้ว่า บริษัทแรกไม่มีโอกาสได้การค้าเพิ่มขึ้น สิ่งที่สูญเสียไปก็คือโอกาส(ที่อาจจะมีหรือไม่มีจริงก็ได้) แต่ก็ไม่ต้องเสียอะไรกับการลงทุนนอกจากค่าเดินทางของผู้แทนคนนั้น ส่วนบริษัทที่สอง มีโอกาสที่จะได้การค้าเพิ่มขึ้น

หากเหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด บริษัทแรกทำการวิเคราะด้วยเหตุ ผล และ ความเป็นไปได้ ว่า ยังไม่ควรเข้าทำการค้ากับ เกาะ แห่งนั้น เนื่องจาก ปัจจัยยังไม่ครบ แล้ว ไปมองหาช่องทางขายยังพื้นที่แห่งใหม่ เพื่อทำกำไรให้ได้มากๆก่อน โดยปล่อยให้บริษัทที่สอง เข้าไปเปิดตลาด สร้างค่านิยมการใส่รองเท้า ซึ่งก็คงจะใช้เวลามิใช่น้อย เมื่อคนส่วนใหญ่ของเกาะเห็นความสำคัญ ของรองเท้าเรียบร้อย บริษัทแรกจึงนำกำไรที่ได้จากการทำตลาดจากแหล่งอื่น มาทุ่มพร้อมข้อเสนอที่ดีกว่า คุณคิดว่าบริษัทใดจะประสบความสำเร็จ ครับ

มันขึ้นอยู่กับ ข้อมูล เหตุ ผล จังหวะ และ การพิจารณา การวิเคราะข้อมูล ก่อนตัดสินใจครับ
.............................................................................

การที่มีการเตือนภัยเป็นสิ่งที่ดีครับ เช่น

ระวังอาจจะเกิดซึนามิ .................

กับ จะเกิดซึนามิขนาดใหญ่ใครไม่เคยพบเห็นมาก่อน หากไม่เกิดขึ้นจริงให้..............

คุณคิดว่าสิ่งใหนคือการเตือนภัยที่ยังมาไม่ถึง และ ยังมองไม่เห็น

.................................................................
โดยส่วนตัวกระผมก็เป็นผู้นับถือ ศาสนาพุทธ อย่างชัดเจน และก็มีความเชื่อเช่นเดียวกับคุณ ก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า

1. เห็นนิมิตจริงก็น่าจะมี
2. อยากดังก็น่าจะมี

มีพระผู้ทรงคุณวิเศษหลายท่านอยู่ในประเทศไทยเรา ท่านยังไม่ออกมาเตือนขนาดนี้เลย ครับ

หากข้อความใดล่วงเกิน โปรดอภัย ครับ

 

ใช่ครับคุณควายเผือก

ผู้ที่เห็นนิมิตจริง จะต้องทรงอุเบกขาครับ ท่านเหล่านั้นจะไม่ก้าวล่วงกรรมโดยเด็ดขาด

แต่ถ้าจิตของผู้เห็นนิมิตยังไม่ผ่านพรหมวิหาร ๔ ยังมีอารมณ์โลกเกี่ยวข้องอยู่มาก ต้องพิจารณาให้มากครับ

โดยปกติทั่ว ๆ เรื่องเกี่ยวกับโลก ๆ นี่เอาแบบว่าแม่น ๆ นี่ ส่วนมากไม่เกิน ๓ วัน ๗ วัน

ผู้ที่เคยผ่านเรื่องแบบนี้มาแล้วต่างเห็นว่านิมิตพวกนี้มีผลให้ผู้ที่เห็นนั้นมีความรู้สึกอย่างไร ยังมีความกลัวเกรงต่าง ๆ แค่ใหนเพียงใด เพียงเพื่อ เพียงเพื่อ ถึงมรณานุสติ แล้วปล่อยวาง เป็นกำลังเพื่อก้าวไปสู่โลกุตตระ

ส่วนเรื่องอยากเด่น อยากดัง ไม่ขอกล่าว ณ ที่นี้

 

ขอบคุณครับ สำหรับข้อคิดดีๆ

หากข้อความใดที่ผมนำมาลง กระทบกับผู้ใดผมขออโหสิไว้ ณ ที่นี่ด้วยนะครับ

 

รองอ่านดูนะคะ......(ได้โปรดอ่านหลายๆรอบ) ความในใจของคนในพื้นที่ เค้าระบายความรู้สึกออกมาจนหมดเปลือกแล้ว.... นี่คุณกะว่าจะให้เค้าย้ายไปอยู่ที่ไหนดีค่ะ ? อพยพมาอยู่กรุงเทพกันดีไมค่ะ? ถ้าเป็นคุณ คุณจะทิ้งถิ่นฐานคุณได้ไม?

ความคิดเห็นที่ 2
กลางๆ
Fatboyslim2011-05-18 17:09:17
เห็นด้วยกับ คห.ข้างบน ผมเป็นคนในพื้นที่ ทุกคนรู้ดีว่าซักวันมันก้อต้องเกิด แล้วจะให้พวกเราทำยังไงนั่งงอมืองอเท้าไม่ต้องทำมาหากินอย่างนั้นรึ เหมือนกับคนที่มีบ้านติดแม่นำ้ก็รู้ดีว่าซักวันนำ้มันต้องท่วม ท่านๆคุณๆทั้งหลายไม่รู้หรอกว่าเวลามีข่าวออกมาแต่ละครั้งมันกระทบต่อการทำมาหากินของคนในพื้นที่แค่ไหน ท่านแค่ออกข่าวมาเพื่อความดังความเด่นของท่าน ทำนายผิดไม่เป็นไร เกิดถูกขึ้นมาก็โด่งดัง อยากจะพูดตรงๆเลยว่า 'ท่านเอาความฉิบหายของเรามาหากิน' นักข่าวก็เหมือนกันเมื่อไหร่จะเลิกเสนอข่าวแบบนี้ซักที ไม่มีใครรู้หรอกว่าการมีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลามันเป็นอย่างไร แล้วนี้ยังจะมาทุบหม้อข้าวของเราอีก ประทานโทษ พวกคุณก็ไม่ต่างอะไรกับพวก 'มือไม่พายเอา ีนรานำ้'<!-- google_ad_section_end -->

 

(||)(||)(||)

หากล่วงเกินสิ่งใด ขออภัยด้วย ครับ

 

แต่ยังไง ก็ขอขอบคุณท่านผู้เตือน
และ ขอบคุณท่านผู้ช่วย

อนุโมทนากับกุศลจิตทุกกระแส ค่ะ สาธุ