บันทึกการฝึกมโนมยิทธิ ครั้งที่ 1 ของข้าพเจ้า ณ ศูนย์พุทธศรัทธา จ.สระบุรี

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย neschu_01, 18 มิถุนายน 2011.

  1. neschu_01

    neschu_01 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +55
    เนื่องจากเมื่อคืน เวลา ประมาณ 22.00 น.ของวันที่ 2 พฤษภาคม 2554 หลังจากพวกเราชาวชมรมแผ่เมตตา เวป www.CosmicNirvana.com และ camfrog ห้อง DhammaNirvana ซึ่งพี่เปี๊ยก หัวหน้าชมรมของเราก็ได้กล่าวสรุปทิปแรกของชาวเวป ที่เดินทางไปร่วมงานบุญผ้าป่ายกช่อฟ้าอุโบสถ วัดใหม่เทพมงคล (บ่อคู่) อ.ท่าหลวง จ.ลพบุรี และกระผมก็ได้พานำเที่ยวต่อไปยัง ต.ห้วยขุนราม อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นตำบลข้างเคียงห่างกัน 15 กิโลเมตร ซึ่งทุกท่านก็จะเจอกับโครงกระดูกมนุษย์โบราณ อายุ 3,500 ปี ณ พิพิธภัณฑ์แหล่งโบราณคดี บ้านโป่งมะนาว ซึ่งตั้งอยู่ที่วัดโป่งมะนาว ต.ห้วยขุนรามนั่นเอง และได้พาคณะไปเที่ยวยัง น้ำตกบ้านสวนมะเดื่อ ซึ่งอยู่ใกล้กับ อบต.ที่ผมทำงานอยู่ เนื่องจากกระผมเป็นนายช่างโยธา อบต.ห้วยขุนราม ( หัวหน้าส่วนโยธา ) ที่ได้รับมอบหมายให้ควบคุมการก่อสร้าง พิพิธภัณฑ์ และ สิ่งก่อสร้างในน้ำตกสวนมะเดื่อ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะพึ่งทราบ กำหนดการของทิปนี่ได้ไม่กี่วัน จึงได้นำพาคณะ ไปสัมผัส ธรรมชาติที่น่าร่มรื่น ติ่นเต้น และสวยงามดังกล่าว
    ซึ่ง หัวข้อที่คุยกันเรื่องสรุปทิปการเดินทางดังกล่าวจบ กระผมก็ได้มีโอกาสขึ้นไมค์ เล่าเหตุการณ์ ประวัติความเป็นมา ซึ่งตำบลผมจะเป็นตำบลที่ห่างไกลความเจริญ สมัยก่อนที่ได้เจอกับชมแผ่เมตตาพี่เปี๊ยก ในโปรแกรมสไคป์ เมื่อ 2 - 3 ปีก่อนหน้าโน้น แล้วเล่าเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์เรื่องวิญญาณ หรือมีการแผ่เมตตาเสร็จ จะมีเสียงหมาหอน ออกไมค์บ่อย ทำให้เกิดอาการขนลุกซู่ เหมือน ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายได้มาร่วมโมทนารับรู้กับพวกเราด้วยที่ช่วยกันแผ่เมตตาให้ สมัยก่อนนั้นผมได้รู้จักหลวงพ่อฤาษี ผ่านทางเวปนั่นเอง ก็ได้ศึกษาพระธรรมจากเทปของหลวงพ่อทั้งเรื่อง วิชชา 3 เรื่อง มโนมยิทธิ เรื่องต่างๆ ผ่านทางโปรแกรมดังกล่าง
    ในสมัยก่อนกระผมได้ศีล 5 ตามที่หลวงพ่อสอน มีจิตเอนเอียงไปในเรื่องธรรมมะขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังรักษาศีลได้ไม่ครบ เผลอฆ่าสัตว์ เช่น ฆ่ามด ฆ่ายุง ตายไปมั่ง หรือ ศีลข้อมุสา ข้อนี้จริงๆ ให้เรารักษาหลายเรื่องเลย เช่นห้ามพูดปด ห้ามพูดส่อเสียด(ยุแยง) ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดเพ้อเจ้อ ห้ามพูดนินทา ผมก็เผลอนินทาคนบ่อยไป เพราะความไม่รู้เรื่องกรรมบท 10 ประการนั่นเอง เหล้าก็ยังกินอยู่ ผิดข้อ 5 สุราอีก รักษาได้ไม่ครบ ซึ่งพี่เปี๊ยก ก็ได้แนะนำว่า การรักษาศีล ต้องเข้มข้น ต้องเอาให้ครบ 5 ข้อ ถึงจะสมบูรณ์ เป็นศีลของเทวดาทั้งหลาย ที่เมื่อเราตายไปจากโลกนี้แล้ว เราได้ขึ้นสวรรค์แน่ แต่กำลังใจของคนไม่เท่ากัน เช่นผม กำลังใจตรงส่วนนี้มีน้อย จึงรักษาได้ไม่เต็มที่ แต่ก็พยายามรักษา ถามว่ารักษาไม่ครบ 5 ข้อ เช่นรักษาศีลแค่ 3 ข้อ ไปสวรรค์ได้ไหม ก็ต้องตอบว่าไปได้ แต่ไปลำบาก เพราะขาเข้าไปเกี่ยวกะนรกครึ่งหนึ่ง หากเวลาใกล้ตายต้องอาศัยกำลังใจ นึกแต่เรื่องดีๆ ถึงจะไปสวรรค์ได้ ไม่เหมือนพวกที่เขารักษา 5 ข้อ เต็มพิกัด เขาไปสวรรค์ ได้สบายเลย ไม่มีอะไรมารบกวนจิตใจ ซึ่งต่อไปนี้ ณ ปัจจุบัน กระผมได้รักษาศีล 5 ข้อครบถ้วนแล้ว จึงขอเล่าประสบการณ์อันน้อยนิดเกี่ยวกับ มโนมยิทธิ ที่ผมได้ไปทดลองฝึกมาครั้งแรก แบบละเอียดยิบ ให้ทุกท่านได้ฟังกันต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 มิถุนายน 2011
  2. neschu_01

    neschu_01 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +55
    ขอชี้แจงว่าเหตุใด ทำไมกระผมถึงมีกำลังใจรักษาศีล 5 ได้ครบขึ้นมา เนื่องจากเมื่อต้นปีที่แล้ว กระผมได้ประสบกับเคราะห์กรรมใดไม่ทราบ ทำให้ผมเป็นเส้นเลือดในสมองแตก โรคนี้เกิดจากผมสูบบุหรี่เยอะ นอนก็ดึกเพราะเล่นอินเตอร์เนทอยู่ ดึกๆดื่น บ่อย ตี 1 ตี 2 ไม่ค่อยหลับไม่ค่อยนอน ซึ่งเป็นอาการสะสมแบบนี้มานานแล้ว จู่ๆก็เกิดเป็นขึ้นมา มีอาการซีกขวาของร่างการชาไปหมด เดินไม่ได้ พอดีมีคนมาเจอผมหลังจากกระผมเดิน กระเผกออกจากห้องทำงาน ประครองร่างกายไม่ให้ล่ม (ถ้าล้มอาจตายได้ ) เขาก็ช่วยกันอุ้มผมไปส่งโรงพยาบาลรักษาตัวอยู่นาน กว่าอาการจะค่อยทุเลา โรคนี้คนที่เป็นส่วนมากจะไม่รอดกัน เพราะเลือดออกในสมองอันตรายมาก ไม่รู้เส้นไหนแตก และมันอยู่ลึกแค่ไหน การรักษา ก็มีแต่ผ่าตัดสมอง กับ ใช้กินยารักษา ถ้าผ่าสมอง อาจรอดออกมาแต่อาจเป็นเอ๋อได้ แต่ผมรอดมาได้อาการไม่ถึงกับต้องผ่าตัดสมอง โชคดีมากๆที่รอดมาได้อาการตอนนี้ก็ใกล้สมบูรณ์แล้ว เริ่มวิ่งได้แล้ว
    นั้นคือเหตุที่ เขายังไม่ให้ตาย เขาอาจจะให้อยู่ทำบุญทำกุศลต่อไปอีกซักหน่อย ซึ่งทำให้เราไม่ประมาท เร่งทำบุญ ทำกุศล ต่อไป ซึ่งนี่แหละเป็นเหตุให้ผมรักษาศีล 5 ข้อ ครบก็คราวนี้เอง จากที่ได้ฟังธรรมมะของหลวงพ่อในเรื่องมโนมยิทธิ ก็ฟังเยอะพอควรแต่ไม่มีโอกาสไปฝึกมโนมซักที มาครั้งที่แล้วได้มีโอกาสไปที่แรกของผมเลย ก็คือที่ ซอยสายลม แถวๆ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าเขามีการสอนกันทุกๆ เสาร์ – อาทิตย์ สัปดาห์แรกของเดือน ซึ่งผมไปผิดวันไม่เจอใคร พอดีมีคนมาบอกกำหนดการ ให้มาใหม่วันหลัง ถือว่าฟาวล์ไป อาทิตย์ต่อมา ผมจึงเปลี่ยนที่ มายังศูนย์พุทธศรัทรา จ.สระบุรี ซึ่งใกล้กว่า แต่ต้องนั่งรถหลายต่อ แถมตอนกลับก็หารถยาก ต้องขออาศัยเขากลับ
    ขอเรียน เกริ่นให้ทราบซักนิด การฝึกมโนมยิทธิ ฝึกไปเพื่อบรรลุธรรม ไม่ใช่ฝึกไปเพื่อการอยากเห็นโน่น อยากเห็นนี่ ถึงฝึกสำเร็จแล้วก็ไม่ได้วิเศษ วิโสกว่าใคร ไม่ได้มีอำนาจเหนือใคร เพราะมโนมยิทธิเป็นวิชาเพียง เล็กๆน้อยๆ เท่านั้น สิ่งสำคัญกว่านั้นคือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และบรรดาพระอรหันต์ ได้สอนให้เราปฏิบัติ เพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์ ท่านสอนให้ได้ มรรคผลนิพพานนั่นเอง อย่าลืมว่า ทางไป อรหันต์ ตั้งแต่ มี หลายแบบ หลายวิธิ กรรมฐาน มี ตั้ง 40 กอง ทุกกอง สามารถบรรลุอรหันต์ได้หมดหากทำควบกับวิปัสสนา และก็การเป็นพระอรหันต์เป็นได้หลายแบบ แบบแรก 1. สุขวิปัสสโก บรรลุแล้วไม่เห็นผี ไม่เห็นสวรรค์ ไม่เห็นนรก มีแต่จิตสบาย กิเลสแห้งเหือดไป 2.เตวิชโช ( วิชชา 3 ) มีทิพย์จักขญาณ สามารถรู้สัตว์และคนที่ตายไปแล้ว ไปเกิดที่ไหน คนและสัตว์ที่มาเกิดนี้มาจากไหน แล้วมีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ สามารถระลึกชาติของตนเองได้ ( เอาตัวไปไม่ได้ ใช้จิตไป ) ยกตัวอย่างแค่นี้พอ ซึ่งแบบที่ 2 ต้องใช้อภิญญานั่นเอง ส่วนแบบที่ 1 จะง่ายกว่า(ยากสำหรับเรา) ซึ่งอภิญญาใหญ่ การฝึกจะยากมาก ต้องใช้ความตั้งใจในการฝึกมาก และต้องอาศัยบุญเก่า ผู้ฝึกอาจได้กรรมฐานนั้นๆมาก่อน ตั้งแต่อดีตชาติ ครั้นมารื้อฟื้นใหม่ อาจได้กรรมฐานกองนั้นๆ ได้โดยใช้เวลาไม่นานนัก การฝึกมโนมยิทธิก็คืออภิญญาเล็กนั้นเอง ใช้สมาธิแค่ขณิกะสมาธิ เป็นสมาธิขั้นต้น ยังไม่ถึงณาน 1 ด้วยซ้ำ ใช้ระยะเวลาเข้าสมาธิไม่นาน อย่าลืมว่าณาน 1 ถึง ณาณ 4 เป็นเพียงแค่ณานโลกีย์ ผู้ที่ฝึกถึง ณาน 4 ก็ยังไม่ได้บรรลุธรรม อันใด แค่มีสมาธิ ระดับหนึ่งเท่านั้นเอง แม้พระโสดาบัน ที่ได้สมาธิแค่อุปจารสมาธิ ก็ยังมีภาษีดีกว่ามากมาย เพราะพระโสดาบันเกิดอีก 7 ชาติ ก็นิพพาน ส่วนผู้ได้ณานโลกีย์ ถ้าตายไปอาจได้เป็นเทวดา หมดบุญก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดกันต่อไปไม่สื้นสุด ดังนั้นหากใครจะทำสมาธิจนได้ณาน 1 ถึง 4 ควรทำวิปัสสนาควบไปด้วยเพราะการทำสมาธิที่หรือที่เรียกว่าสมถะจะเป็นกำลังอย่างสูงในการเจริญวิปัสสนาณาน เพราะไม่มีนิวรณ์ 5 มา รบกวน เพื่อตัดกิเลสเครื่องร้อยรัดต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2011
  3. neschu_01

    neschu_01 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +55
    จากที่ได้เกริ่นไว้แล้วว่าการฝึก มโนมยิทธิ เพื่อต้องการรู้ธรรม เพื่อเห็น นรก สวรรค์ ว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ตามที่ปรากฏในพระบาลี เป็นเรื่องจริงที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ และสอนให้คนเข้าว่า นรก สวรรค์ มีสภาพอย่างไร เพราะคนเรา ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตามักไม่เชื่อสิ่งต่างๆเหล่านี้ และจะทำให้ไม่เชื่อเรื่องบุญบาปเข้าไปอีก บางคนก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง บางคนไม่เชื่อเลย บางคนเชื่อแค่การปฏิบัติตามปู่ ย่า ตา ยาย ว่าเป็นแต่เพียงทำตามทำเนียม สืบๆกันมา ทำให้เป็นเหตุให้ไม่มีกำลังใจในการปฏิบัติ และเข้าถึงพระนิพพานยากขึ้นไปอีก แต่หากคนผู้นั้น ได้เห็น ได้รู้ ว่ามันมีจริงๆนะไม่ใช่ การสะกดจิต ไม่ใช่ อุปโลกน์ขึ้นมา ทำให้เขามีกำลังใจ ในการปฏิบัติธรรมต่อไป และสำเร็จได้ง่าย ส่วนพระอรหันต์แบบ สุขวิปัสสโก ไม่ต้องใช้การฝึกแบบนี้ เพราะท่านเชื่อในพระพุทธเจ้าอย่างเต็มเปี่ยมในหัวใจของท่าน เรียกว่าหมดจิตหมดใจ ไม่เห็นนรก ไม่เห็นสวรรค์ แต่เชื่อในพระพุทธองค์เต็มเปี่ยม
    กระผมได้เดินทางไปฝึก มโนมยิทธิ ที่ศูนย์พุทธศรัทรา ในวันเสาร์ที่ 23 เมษายน 2554 เดินทางไปถึงก็ประมาณ ช่วงเกือบเที่ยง เพราะรู้ว่ามาว่าเขาเริ่มการฝึกช่วงบ่าย ก็ก้าวแรกที่เข้าไปในศูนย์ พบว่าสถานที่มีความเงียบสงบ สวยงาม ตรงกลางคล้ายโบสถ์ใหญ่โตข้างในคงประดิษฐานสมเด็จองค์ปฐมเป็นแน่ กระผมได้เจอกับพระพุทธรูปขนาดใหญ่ด้านขวาของโบสถ์ ได้เข้าไปกราบไหว้ท่าน และเดินชมศูนย์ เกือบทั่วบริเวณ ได้พบเพียงคุณน้าหญิงคนงานกวาดขยะ ได้สอบถามท่าน ท่านก็บอกว่าให้เข้าไปด้านในไปคุยกับคุณชนะ สิริไพโรจน์ ประธานศูนย์พุทธศรัทธา ซึ่งผมก็ยังไม่เข้าไป และรอท่านออกมา พอเวลาใกล้เที่ยงท่านก็ออกมาจากที่พักเป็นเหมือนศาลาใหญ่ตั้งเรียงรายกันหลายหลัง อยู่ด้านหลังของโบสถ์ ดูแล้วศาลานี้ก็คงจะใช้สอนกรรมฐาน หรือ มโนมยิทธิด้วยนั่นเอง ท่านเป็นฆราวาส และเป็นอาจารย์สอนมโนมยิทธิด้วย ท่านก็สอบถามเรา กินข้าวปลาอาหาร หรือยัง สอบถามผมว่าพักแถวไหน ก็คุยกันท่านบอกว่าจะมีคนมาฝึกมโนม อีก 5 คน รวมผมก็เป็น 6 คน ผมก็ดีใจ การฝึกครั้งนี้มีคนฝึกเป็นเพื่อนหลายคน ท่านถามผมว่าเคยฝึกมโนมหรือไม่ ผมบอกว่าเคยฟังเทปหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แต่ไม่เคยฝึกมาก่อน ท่านว่าคนที่ฝึกมโนมถ้าไม่เคยรู้เรื่องมโนมเลยแล้วมาฝึก ถ้าบังเอิญ ฝึกได้ขึ้นมา จะถือว่ายอดเยี่ยม มาก เพราะไม่โดนอุปาทานกิน ส่วนตัวผมอาจจะโดนอุปาทานกินได้เนื่องจากจิดไปปรุงแต่งให้เห็นภาพต่างๆนา ซึ่งผมก็กังวลเล็กน้อยตรงจุดนี้ เพราะกลัวฝึกไม่ได้เหมือนกัน ท่านให้ทิ้งความรู้ที่ได้เรียนมา ได้ศึกษามา ซึ่งผมก็คิดว่านี่เป็นเรื่องดี เพราะจะเป็นการลดทิฐิ และจะได้เชื่อฟังอาจารย์ คนฝึกไม่ได้เพราะติดตรงนี้แหละ เพราะการไม่เชื่อฟังอาจารย์ ถือว่าตัวเองเก่งรู้แล้ว ก็เลยไม่เจอของจริงซักที ซึ่งผมก็อยากรู้ว่าจะเป็นยังไงต่อว่าถ้าหากเราทำการรับรู้เหมือนคนโง่ๆ คนหนึ่ง เหมือนเด็กหัดใหม่คนหนึ่งจะเกิดอะไรขึ้นมากับเรา น่าตื่นเต้นยิ่งนักผมคิดในใจ อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่อง ศีล 5 ส่วนมากผู้ฝึกไม่สำเร็จ เนื่องจากศีล 5 ไม่ครบ ไม่สามารถ ขึ้นไปพระจุฬามณีเจดียสถาน อาจจะติดตรงตีนสะพานที่ทอดขึ้นไปยังพระจุฬามณี ศีล 5 จึงสำคัญมาก ซึ่งผมก็คิดว่าตรงนี้เราไม่ติดเราได้ครบแล้วค่อยอุ่นใจขึ้นมานิด แต่ก็นั่นแหละ อย่าลืมว่า มโนมยิทธิ เป็นเหมือนกับณานโลกีย์ บางคนศีลไม่ครบอาจฝึกสำเร็จก็ได้ แล้วแต่คน อาจมีของเก่าที่เขาสำเร็จในชาติก่อนหลงเหลืออยู่
     
  4. neschu_01

    neschu_01 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +55
    เมื่อถึงเวลาประมาณบ่ายโมงกว่าก็เริ่มทยอยกันมา ทุกท่านมีรถส่วนตัว มากัน 2 คัน กลุ่มแรกมีพี่ผู้หญิงกะพี่ผู้ชาย แล้วก็เด็กหนุ่มลูกชาย มากัน 3 คาดว่าจะเป็นเพื่อนกัน ผมพึ่งมารู้ทีหลังว่า พี่ผู้หญิง กับ ลูกชาย ฝึกมโนมยิทธิสำเร็จแล้ว วันนี่มาเพื่อเรียนขั้นต่อไป ส่วนพี่ผู้ชายพึ่งมาครั้งแรก พี่ผู้ชายคนนี้สารภาพหมดว่าเคยทำบาปอะไรไว้มั่ง แกบอกว่า ศีล 5 แกผิดเกือบทุกข้อ แต่อยากมาฝึกมโนมยิทธิด้วย เอาหละมาดูกันว่าแกจะได้ไหม ก็นั่งสนทนากับคุณชนะ สิริไพโรจน์ อยู่พักหนึ่ง ก็มาอีกกลุ่ม อีกคันหนึ่ง คราวนี้เป็นพี่ผู้หญิงกับลูกสาววัยรุ่น มาครั้งแรกเช่นกัน ไม่เคยฝึกมโนมมาก่อนทั้งคู่ ทุกคนเตรียม ดอกไม้ สามสี และเทียนหนัก 1 บาท มากันครบ ก็สนทนากันครู่หนึ่ง อาจารย์ชนะ ก็ได้โทรติดต่อเรียก ครูผู้ฝึกมาอีก 1 คน ระหว่างรอครูอีกท่าน ก็เข้าในโบสถ์ชั้นล่าง ข้างในกว้างขวางมากมีพระพุทธรุปเต็มไปหมด ที่ผมสังเกตเห็นก็มี พระพุทธชินราช และสมเด็จองค์ปฐม และมีรูปหลวงพ่อ รูปใหญ่ ตั้งอยู่ด้านซ้าย ผมมองดูแล้วช่างสวยงามยิ่งนัก โดยเฉพาะพระพุทธชินราช และสมเด็จองค์ปฐมซึ่งมีเครื่องประดับทรงจักพรรดิเต็มรูปแบบสวยจริงๆ นี่แค่โบสถ์ด้านล่างนะ ด้านบน เขาว่ามีสมเด็จองปฐมองค์ใหญ่สวยงามยิ่งกว่า
    ระหว่างนี้ อาจารย์ชนะได้เปิดเทปหลวงพ่อให้ฟัง เริ่ม ตั้งแต่ มีเสียงหลวงพ่อสวดมนต์ สมาทานศีล 8 จนถึงสมาทานพระกรรมฐาน เนื่องจากการฝึกมโนมต้องฝึกโดยใช้ศีล 8 เราก็มาสมาทานกัน เสร็จแล้วก็เป็นการสอนมโนมยิทธิโดยใช้เวลาไม่นานนัก ใจความสำคัญของการสอนมโนมยิทธิ คือไม่ต้องใช้สมาธิสูงนัก และน้อมจิตคิดตามคำแนะนำท่านแนะนำให้เห็นทุกข์ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนเป็นทุกข์ แนะนำให้ตัดขันต์ 5 ให้เห็น ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายนี่ไม่มีในเรา ต่อมาก็ทำสมาธิให้ ภาวณาไปด้วย ใช้คำภาวณาว่า นะ มะ พะ ทะ หายใจเข้า นึกนะมะ หายใจออกนึก พะทะ ภาวณาแบบไม่ต้องออกเสียง จนกว่าครูผู้สอนจะเริ่มมาฝึกเราต่อไป
    เมื่อครูผู้สอนอีก 1 ท่าน มาแล้วก็แยกไปฝึกเป็น 2 กลุ่ม ซึ่งผมก็ได้ฝึกกับครูคนใหม่นี้ เป็นผู้ชาย ผมก็จำชื่อท่านไม่ได้ก็ขออภัยด้วย พี่ผู้หญิงกับลูกชายก็ไปฝึกกับอาจารย์ชนะ เพราะเขาผ่านขั้นแรกไปแล้วอาทิตย์นี้เขาจึงมาฝึกขั้นต่อไป กลุ่มผมมี 3 คน มีพี่ผู้ชายคนที่บาปเยอะๆนั่นแหละ กับพี่ผู้หญิง กะลูกสาว แยกออกมานั่งสอนกันที่ศาลาด้านนอก ก็มีการพูดคุยกัน แนะนำตัวกัน พี่ผู้ชายเขาก็สาธยายบาปเขาว่ามีอะไรมั่ง พี่ผู้หญิงกับลูกสาวนั่งติดกัน อาจารย์จึงจับแยกเว้นระยะห่างกันพอสมควร เสร็จก็มาถามผม ท่านรู้ว่าผมนั่งสมาธิเกือบทุกวัน วันนึงไม่เยอะ แค่วันละ 10 นาที และจะจับภาพของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระที่อยู่ในหิ้ง ที่ห้องนอน เพื่อฝึกพุทธานุสติเล็กน้อยทุกวัน ท่านก็โมทนาด้วย ส่วนการฝึกมโนม ท่านให้ระวังอุปาทานมันจะกินเอา ให้ทิ้งความรู้ที่ได้เรียนมา การตอบคำตอบให้เชื่ออารมฌ์แรก รู้สึกอย่างไร ให้ตอบไปอย่างนั้น จากนั้นจึงเริ่มฝึกทุกคนเริ่มหลับตา
     
  5. neschu_01

    neschu_01 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +55
    เมื่อทุกคนหลับตาเพื่อเริ่มฝึกมโนมยิทธิ โดยครูได้ให้เราท่อง นะ มะ พะ ทะ ให้ท่องในใจหายใจเข้า นะ มะ หายใจออก พะ ทะ ประมาณ 10 นาที โดยครูได้พูดให้ทุกคนหลับตาห้ามลืมตา แล้วครูจึงเริ่มสอนให้พิจารณาร่างกาย การมีร่างกายนี้มันทุกข์แค่ไหน มันต้องเกิด ต้องแก่ไปตามเวลา ต้องเจ็บ ต้องตาย ไม่เที่ยง ต้องหาอาหารให้มันประคบประหงมมัน มันยังไม่วายมาเจ็บไข้อีก ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ถ้าร่างกายนี้ตายไป จะไม่ขอเกิดอีกต่อไป ขอไปที่เดียวคือนิพพาน เราก็รู้สึกว่าอยากพ้นทุกข์จริงๆ ไม่อยากเกิดอีกแล้ว เราก็น้อมจิตเห็นจริงไปตามนั้น แล้วก็ให้พวกเราน้อมจิตเข้าไปในโบสถ์ ท่านก็ถามว่าพวกเราเห็น พระประธานในโบสถ์ด้านล่างที่พวกเราเข้าไปกราบหรือไม่ พวกเราก็ตอบว่าเห็น เนื่องจากท่านถามเรียงตัวก็ตอบว่าเห็นกันหมด อย่าลืมว่าการฝึกมโนมให้ใช้ใจเรามอง ใจเราเห็นอะไรให้ตอบไปอย่างนั้น ใช้ความรู้สึกแรกตอบครู ครูก็ถามอีก ว่า ทุกคนจำสมเด็จองค์ปฐมได้ไหม ซึ่งจะเล็กกว่าพระประทานซึ่งเป็นพระพุทธชินราชลงมาหน่อยนึง สมเด็จองค์ปฐมสวยไหมเราก็ตอบว่าสวย ท่านก็ถามอีกว่า เห็นเครื่องประดับ ทรงเครื่องจักพรรดิขององค์ปฐมที่เป็นเพรชนิลจินดาไหม สวยไหม เงางามไหม ให้ทุกคนสมมุติว่ามือของเรามีผ้าอยู่ผืนหนึ่งผืนเล็ก แล้วให้ช่วยกันขัดเครื่องประดับนั้น โดยท่านให้สมมติว่ามีดวงแก้วใสปรากฏขึ้นในกายตรงเหนือสะดือขึ้นมา 2 นิ้ว ยิ่งเราขัดเครื่องประดับเพรชนิลเหล่านั้นเท่าไร ดวงแก้วเราก็มีความสว่างไสวใสมากขึ้นเรื่อย ตรงนี้ผมรู้สึกว่ากำลังเอาผ้าปักดิ้นทองขัดอยู่ แล้วดวงแก้วก็เปลี่ยนจากสภาพ ขุ่นๆ ไป จน ถึง ใสมากจนใสเหมือนกระจกเลยทีเดียว ทุกคนก็ตอบว่าใสกันหมด แต่พี่ผู้หญิง กับลูกสาวไม่ค่อยจะตอบเท่าไรแล้ว ส่วนพี่ผู้ชายตอบว่าดวงแก้วเริ่มใสแล้ว ซักพักอาจารย์ก็หยุดและก็ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ยกจิตของพวกข้าพเจ้าเข้าสู่เขตของพระจุฬามณีเจดียสถานนี้ด้วยเทอญ ซักพักอาจารย์ก็เริ่มถามทีละคน ถามว่าไปกันได้ไหม ถึงพระจุฬามณีหรือยัง พี่ผู้ชายตอบดูเหมือนจะไปได้แต่เริ่มติด ๆ ขัดๆ แล้วเริ่มเงียบไป พี่ผู้หญิงกะลูกสาวเริ่มเงียบแล้วไม่ตอบแล้ว ส่วนผมตอบเป็นคนสุดท้าย ซึ่งจริงๆแล้วผมไม่เคยเห็นพระจุฬามณีมาก่อน แต่ตอนมาครั้งแรกผมได้เดินดูทั่วบริเวณ จึงเห็นว่าโบสถ์นี่แปลกตาเพราะมีความใหญ่โต แล้วทรงก็เป็นลักษณะมณฑป จัตุรมุข ผมจึงรู้ได้ด้วยใจเลยละว่านั่นหละนี่คือ จุฬามณีเจดียสถาน ตั้งอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ รู้เดี๋ยวนั้นเลย เพราะตอนเดินเข้ามาที่ศูนย์ยังไม่แน่ใจ มารู้เอาเมื่ออาจารย์ได้ให้ยกจิตขึ้นไปยัง จุฬามณี ซึ่งผมก็ดีใจ เพราะได้มโนมภาพแล้ว รู้แล้วว่าเป็นไง
    ( ทุกวันนี้ยังไม่ได้ถามใครเลยว่าโบสถ์สร้างตามแบบพระจุฬามณีใช่หรือไม่ แต่รู้ด้วยใจว่าใช่แน่ ไว้วันหลังจะถามอาจารย์อีกที ) ก็ขณะกำลังเดินขึ้นพระจุฬามณี ผมก็บอกอาจารย์ว่ากำลังเดินขึ้นจุฬามณีไป ผมก็นึกว่าขึ้นได้แน่แล้วแต่มโนมภาพบางอย่างผุดขึ้นมา นั่นคือเห็นเป็นรูปเทวดาใสเป็นสีทองสว่างอยู่ 2 องค์ยืนขวางที่บันไดขึ้นสุดท้าย รูปร่างสวยเหมือนที่เราเห็นภาพแกะสลักตามประตูนั่นแหละ ผมจึงหยุดอยู่กะที่ คิดในใจว่า เอ หลวงพ่อ หรือ อาจารย์ ไม่เคยได้บอกว่า มีใครยืนขวางประตู ส่วนมากคนที่ได้มโนมเขาก็เดินขึ้นไปได้เลย แต่ของผมมีเทวดาขวาง ก็คิดในใจ
    อย่างนี้ดีเลย นี่คงจะเป็นของจริงเป็นแน่แท้ อย่างที่หลวงพ่อว่าไว้ “ถ้าวางจิตเป็น อุเบกขารมณ์ จะพบกับของจริง”
     
  6. neschu_01

    neschu_01 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +55
    ที่ว่าจิตเป็นอุเบกขารมณ์ ก็คือ จิตเราต้องไม่อยากได้ ไม่อยากเห็นใดๆ วางใจเป็นกลาง จะสำเร็จวิชานี้ก็ช่าง จะไม่สำเร็จก็ช่าง สภาวะของจิตในที่นี่ เมื่อบวกกับการตัดความยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย จิตใจเราจะเบาสบาย เมื่อร่างกายนี้ตายไป ก็ขอไปที่เดียวคือนิพพาน ห้วงเวลานั้นจะเกิดทิพยจักขุญาณขึ้นกับเรา ทำให้เราสัมผัสสภาวะที่เป็นทิพย์ได้ นั่นเอง
    เมื่อผมเดินไปหยุดที่ปลายบันได ซึ่งเป็นขั้นสุดท้าย จึงเห็นภาพเทวดา 2 องค์ปรากฏกายขึ้นมา ยืนขวางผมไว้ ลักษณะร่างกายของท่านมีสีทองสว่างเหลืองอร่าม ทำให้ผมหยุดกึกยืนนิ่ง เนื่องจากไม่ว่าเทป หลวงพ่อหรือ เรื่องเล่าเกี่ยวกับมโนมเรื่องไหน ไม่มีเขียนว่ามีเทวดาเฝ้าทางขึ้นลง มีแต่บอกว่าเดินขึ้นบันไดแล้วเข้าไปในพระจุฬามณีได้เลย ผมก็อดตื่นเต้นไมได้ จึงบอกกับอาจารย์ว่าผมเดินขึ้นไม่ได้ครับ เพราะมีเทวดาท่านเฝ้าอยู่ อาจารย์จึงแนะนำให้ผมขอ อนุญาติเทวดาท่านเข้าไปในพระจุฬามณี ผมจึงตั้งจิดขออนุญาตเข้าไปข้างใน พอเท่านั้นแหละเหมือนฉากเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ผมได้ไปยืนหยุดอยู่ภายในอาคารใหญ่โตมาก มีลักษณะคล้ายโบสถ์ ที่ตื่นเต้นกว่านั้นคือ ตรงใจกลางของโบสถ์มีองค์พระพุทธรูป ทรงเครื่องจักพรรดิ ขนาดใหญ่มากปรากฏอยู่ในลักษณะนั่นแท่นที่ประทับ แล้วรายล้อมด้วยพระพุทธรูปขนาดใหญ่รองลงมา แล้วที่น่ายินดีคือเห็นเทวดารายล้อมทรงเครื่องสวยงามมาก ขณะที่ยืนตะลึงมองอยู่อย่างนั้น อาจารย์ได้เรียกให้ผมไปกราบพระท่าน องค์ตรงกลางใหญ่ๆนั่นแหละแล้ว ให้แยกกายกราบทุกๆองค์ ผมก็ได้แยกกายออกกราบ ขณะกราบแทบเท้าท่านกายหลักของเราจะก้มกราบองค์สมเด็จองค์ปฐม ผมคิดในใจ นี่คือสมเด็จองค์ปฐมแน่ อาจารย์ก็ไม่ได้บอกว่าท่านคือใคร เพียงแต่บอกว่าเข้าไปกราบองค์ใหญ่สุด และแยกกายรองไปกราบพระพุทธรูปรองลงมา นั่นก็คือพระพุทธเจ้านั่นเอง ส่วนเทวดาท่านอื่นผมก็ได้นึกแยกกายกราบท่านพร้อมกัน ขณะกราบผมเคยถูกสอนมาจากอาจารย์คณานันท์ ทวีโชค บอร์ดภัยพิบัติ เวปพลังจิด เรื่องการ บำเพ็ญบุญ ท่านก็เคยสอนว่า เวลายกจิดขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพาน ขณะกราบท่านก็ให้นึก ถวายดอกบัวแก้ว ผมก็จึงนึกถวายดอกบัวแก้วให้กับทุกท่าน เมื่อถวายเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมา อาจารย์ก็ได้ถามผมว่าท่านสวยไหม ผมตอบว่าสวย แล้วผมก็บอกอาจารย์อีกว่าท่านใหญ่โตมาก อาจารย์ก็บอกอีกว่าให้เงยหน้าดูท่าน ผมก็ไม่กล้าเงย เพราะเฉพาะเท้าท่านก็ใหญ่โตมาก เมื่อไปกราบเราจะเห็นตัวเองเล็กมาก ตัวเราจะใหญ่พอๆกับเท้าของท่านเพราะไปกราบใกล้เกินไป แต่ดวงหน้าของท่านผมเห็นตั้งแต่แรกแล้วที่เดินเข้าในยังพระจุฬามณี อาจารย์ท่านให้ผมลูบเท้าท่านผมก็ลูบรู้สึกเหมือนกำลังลูบผ้าไหมนิ่มมากๆ อาจารย์ถามอีกรองเท้าท่านเป็นทรงไหน ผมก็เห็นก่อนท่านถามอีก เป็นทรงปรายแหลมปรายงอนโค้งขึ้นมา ซักพักอาจารย์จึงถามอีก ว่าร่างกายเรามีลักษณะเป็นอย่าง โอ้โหเมื่อหันมามองตนเองทรงเครื่องเทวดาเต็มรูปแบบเลย น่าตื้นตันใจมาก มีสีสัน ระยิบระยับสวยงามมาก อาจารย์ท่านก็ถามอีก ว่าเรามีวิมานอยู่แถวนั้นบ้างไหม ก็เกิดมโนมเห็นว่า มีวิมานของเราอยู่หลังหนึ่งแต่ไม่ใหญ่ ลักษณะ กว้าง 2 ห้อง 4 หน้าต่าง ด้านหลังทึบ เป็นทรงไทยสวยงามพอดู อาจารย์ท่านหยุดแล้วให้ผมขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ให้ได้พบเจอกับผู้ที่สร้างบารมีมาร่วมกันตั้งแต่อดีตชาติที่แล้วๆ มา แล้วท่านก็ถามว่าเจอใครบ้างใหม่ ผมเจอครับมีชายหนุ่มคนหนึ่งหน้าตาหล่อมาก ในความรู้สึกของผมเหมือนเป็นเพื่อน พี่น้องรู้จักกันมานานมา แต่ไม่ได้ถามเขาว่าชื่ออะไร เขามาไหว้พนมมือใกล้ๆผม ผมเห็นสีหน้าเขา ปรากฏว่าเขาดีใจมากเมื่อเจอผม ผมก็นึกในใจคงเป็นผู้ที่ทำบุญร่วมกันมานานแล้วเค้าคงอยู่บนสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่ง ผมก็ดูเขา อาจารย์ก็ถามว่าเขาใส่เสื้อสีอะไร ผมเห็นสีเขียวปีกแมลงทับเป็นสีเสื้อที่เขาใส่อยู่ สวยงามมาก อาจารย์ก็ถามอีกแขนสั้นหรือแขนยาว ผมตอบแขนสั้นครับ อาจารย์ก็ถามอีก แล้วของเราเสื้อสีอะไร ผมเห็นเป็นสีรุ้งเลยครับ สวยงามมาก เป็นที่น่ายินดียิ่งที่ได้มาเจอเพื่อนเก่าอีกครั้ง
     
  7. neschu_01

    neschu_01 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +55
    เมื่อกำลังปลาบปลื้มใจ ได้พบเจอเพื่อนเก่า ยังไม่ได้ถามชื่อเขาเลย อาจารย์ก็ถามอีกว่ามีผู้ที่บำเพ็ญบารมี หรือมีบริวารที่เคยทำบุญร่วมกันมาอีกหรือไม่ ก็เห็นอีกหลายคนนั่งกันล้อมรอบเลยเกือบ 10 คนได้ ไม่เยอะมาก ผมก็นึกในใจทำไมตื้นตันใจอย่างนี้เหมือนงานรวมญาติเลย ซักพักอาจารย์ก็ถามนำว่าไหนลองดูคนที่ไกลที่สุดที่นั่งอยู่ซิเป็นใคร ผมก็ดึงภาพมาดู ปรากฏเป็นผู้หญิงครับแต่งชุดสวยงามก็ยังไม่ได้ถามชื่อเช่นกัน ซักพักอาจารย์ก็ถามผมว่าวิมานคุณคับแคบไปหรือไม่ ผมคิดในใจ จริงแหะมันคับแคบไป พอคิดดังนั้น วิมานผมกลับมีการขยายตัวงอกจัตุรมุข ออกมาทั้ง 4 ด้านเลย รองรับความจุกับทุกคนทั้งหมดได้สบายมีพื้นที่ให้กับทุกคนอยู่อย่างสบายเลย โอ้วอะไรจะสะดวกสบายเช่นนี้ ผมก็บอกอาจารย์ว่าวิมานผมขยายตัวงอกจัตุรมุขออกมาแล้วดีใจอย่างยิ่ง ซักพักอาจารย์หยุดแล้วเอ่ยขึ้นว่า เอาหล่ะพวกเราทั้งหมดที่อยู่ที่นี้ จงไปเที่ยวนิพพานกันเถอะ ผมก็ตกใจ เอาหละวา ปกติ ผมก็พอรู้มาบ้างว่าการมาครั้งนี้มาเพื่อมาชมพระจุฬามณีเจดีย์สถาน มิได้หวังผลว่าต้องมานิพพาน ซึ่งการฝึกมโนม ผู้ที่มีกำลังใจไม่สูงนัก จึงหยุดอยู่แค่พระจุฬามณีซะส่วนใหญ่ กระผมไม่นึกว่าจะได้แดนนิพพานจริงๆ อาจารย์ก็นำขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ยกจิตพวกเราที่อยู่ที่นี้ขึ้นไปยังพระนิพพาน ผมก็ได้น้อมจิตคิดตามอาจารย์ในใจก็ตื่นเต้นมาก ซักครู่เหมือนฉากทั้งหมดได้เปลี่ยนไปหมด โอเมื่อมองดูตัวเราทำไมชุดที่เราใส่เปลี่ยนไป กลับกลายเป็นแก้วใสปิ้งๆทั้งหมด โอทำไมทีนี้จึงมีแต่แก้วเต็มไปหมด เป็นดินแดนที่สวยอย่างสุดใจ แล้วคณะเราทั้งเกือบ 10 คน ก็เกือบมาได้ทั้งหมดแต่ มาไม่ได้ คน หรือ 2 คน ผมดูพวกเขามีสีหน้าแปลกใจ ผมรู้ด้วยจิตว่าพวกเขาไม่รู้ตัวว่ากำลังอยู่ที่ไหน ซึ่งบางคนก็รู้แล้วว่าตัวเองอยู่แดนนิพพานนั่นเอง แล้วชุดที่พวกเขาใส่ก็เปลี่ยนไปเป็นแก้วกันทั้งหมดเลย น่าปลื้มใจยิ่งนัก และสภาพที่ผมเห็นในดินแดนนี้มีอาคารใหญ่มากๆ เป็นแก้วทั้งหลังสวยงามประทับใจ เป็นทรงจัตุรมุขเช่นกัน ในอาคารนั้น มีสมเด็จองปฐม และพระพุทธเจ้าของเรา และที่เห็นเพิ่มมาคือ พระอรหันต์ครับ โอ้โหสวยงาม เป็นสภาพแก้วทั้งหมด เลย สุขสว่างมากๆ กระผมก็ได้แยกกายกราบแทบเท้า ทุกๆท่านตามคำแนะนำของอาจารย์อีกครั้งหนึ่งครับ ก็กำลัง งงๆ ยังไม่ได้สังเกตว่าพระอรหันต์มีใครมั่ง อาจารย์ก็ได้ถามผมว่า ไหนดูซิคุณมีวิมานอยู่บนนี้หรือไม่ ผมก็น้อมจิตคิดตาม ปรากฏว่า ผมเห็น วิมานเต็มไปหมดเลย เยอะมาก ไม่รู้ของใครบ้างก็ไม่รู้ ก็บอกอาจารย์ไปว่า ผมไม่เห็นวิมาณของผมเลย แต่เห็นของคนอื่นเยอะแยะไปหมด อาจารย์บอกถูกต้องแล้ว คุณเห็นถูกแล้ว ดินแดนนี้คือดินแดนนิพพานมีอณาเขตไม่มีประมาณ เป็นที่ประทับของององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ และพระอรหันต์ทั้งหลาย และผู้ที่บรรลุธรรมหลุดพ้นอีกเป็นจำนวนมาก นับไม่ได้ ไม่มีประมาณ ดังนั้นคุณจึงเห็นวิมานเหล่านี้เต็มไปหมด แต่คุณยังไม่เห็นของตัวเอง ให้ตั้งจิตเรียกวิมานของตัวเองมา ณ บัดนี้ ผมก็ตั้งจิตคิดตาม ซักพัก มีวิมานหลังหนึ่งค่อยๆลอยเข้ามา ๆ สวยมากเป็นแก้วทั้งสิ้น ทรงจัตุรมุข เช่นกัน ลอยมาเทียบกับที่ผมยืนอยู่ ผมก็บอกอาจารย์ว่า วิมานผมมาแล้วครับ อาจารย์ก็ให้ผมกับคณะขึ้นไป แล้วถามผมว่าใช่วิมานของคุณหรือปล่าว ไหนลองนั่งซิ ผมก็ลองนั่ง ไหนลองนอนซิ ผมก็ลองนอน เอ๊ะ นั่งนอนได้ นั่นแหละวิมานของคุณหละ ผมก็ดีใจมาก และอาจารย์ก็แนะนำอีก ในทุกๆวัน หลังเข้านอนให้คุณยกจิตมาบนนิพพานนี้ และก็มานอนหลับที่นี่เลย และท่านก็ได้แนะนำให้เดินเล่นดูรอบๆ วิมาน ท่านถามว่าแถวนี้มีสระน้ำไหม ผมก็เดินดูไปทั่วๆ แล้วก็จึงพบว่ามีสระครับ สวยงามอีก ท่านถามว่ามีปลาไหม โอ้ว มันโดดมา เป็นรูปร่างเหมือนปลาที่อาจารย์เฉลิมชัยวาด ยังไงยังงั้นเลย แล้วท่านถามอีกว่าน้ำในสระร้อน หรือ เย็น ผมก็เอามือวักดู ผมตอบไปว่า ไม่ร้อนและไม่เย็นครับ อาจารย์บอกว่าคุณถูกต้องแล้วหละคุณ เห็นไหมหละว่า “ นิพพานัง ปรมัง สุขัง “แปลเป็นใจความว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง จบแล้วครับ พบกับบันทึกการฝึกมโนมยิทธิ ครั้งต่อไป ในโอกาสต่อไปครับ
     
  8. ข้ามากะพระ

    ข้ามากะพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +2,013
    โมทนา สาธุค่ะ ที่ฝึกครั้งแรกก็สามารถไปพระนิพพานได้ และเห็นได้ และคุณก็บรรยายได้ละเอียดมากด้วย
     
  9. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    อนุโมทนาด้วยค่ะ อาจารย์ที่สอนคุณ น่าจะเป็น อาจารย์เล็กนะคะ ถ้าเดาไม่ผิด อาจารย์เล็กจะมีหนวดค่ะ ไม่ทราบว่าใช่ท่านหรือเปล่า
     
  10. alline

    alline เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,324
    อนุโมทนาด้วยค่ะ บรรยายเหมือนได้เห็นภาพไปด้วยเลยค่ะ แล้วมาเล่าต่ออีกนะคะ
     
  11. babyboy2527

    babyboy2527 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +5
    ยังไม่เคยฝึกสักครั้งเลยครับ ใจตั้งใจอยากไปฝึกเหมือนกันครับ แต่ไม่มีใครชักนำพา
     
  12. Yapana

    Yapana สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +22
    ขออนุโมทนาด้วยครับ อ่านแล้วรู้สึกอิ่มใจมากเลย ขอบคุณครับ
     
  13. คนหลงเงา

    คนหลงเงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +541
    ขอบคุณมากครับที่เล่าประสบการณ์ให้ฟัง โอกาสหน้านำมาเล่าใหม่นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...