ลาพุทธภูมิ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย bosslnwskr10, 18 มิถุนายน 2011.

  1. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    อยากลองทราบว่า คิดว่าทำไมยุคนี้คนลาพุทธูมิเยอะมาก

    อาจจะเกินครึ่งด้วย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ และทำไม

    อยากลองทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น

    อยากทราบว่าพวกท่านที่ถอน มีเหตุอันใดกันหรือ

    ถึงได้พากันลา
     
  2. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ขอแสดงความคิดเห็นนะครับ... คือว่าผู้ปรารถนาพุทธภูมิไม่ได้มีน้อยเลยนะครับ
    เช่น ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงวิวรณปาฏิหารย์เปิดโลก หมู่สัตว์ไม่น้อยเลยที่พากันตั้งปรารถนาพุทธภูมิ ก็ด้วยความปรารถนาแรกที่อยากเป็นพระพุทธเจ้าเนี่ยแหละ แต่พอบำเพ็ญไปเรื่อยๆก็อาจจะกำลังใจตก เกิดความท้อในหนทางอันยาวไกลนี้ ก็เลยปล่อยเสีย...
    ตอนครึ่งๆกลางๆนี้ปล่อยไม่ยากครับ แต่ยิ่งบารมีแก่ๆแล้ว ลายากแน่นอน เพราะน้ำจิตน้ำใจเป็นแบบโพธิสัตว์ไปเต็มๆแล้ว จะตัดให้ขาดมันยากแน่นอนครับ...

    อีกอย่างผู้ปรารถนาพุทธภูมิก็มีมาก แต่ในจักรวาลหนึ่งๆจะมีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นได้ทีละพระองค์ มองในแง่นี้ก็เป็นความสมดุลนะครับ ที่ผู้ปรารถนาพุทธภูมิหลายๆท่านลดกำลังใจเหลือเถรสาวกภูมิ หรือปัจเจกพุทธภูมิ...
     
  3. gandaan

    gandaan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +163
    เหนื่อยหน่ายในทุกข์มั้งครับ....เลยแบกต่อไปไม่ไหว...หรืออาจมีกำลังใจไม่พอ...
     
  4. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    ผมเห็นต่างจากทุกคนนะครับ คนที่ลานี่อาจจะแปลว่า ผ่านแล้วก็ได้ เรื่องราวบางเรื่องลึกลับซับซ้อนยากแก่การอธิบาย คือบารมีเต็มแล้วก็หยุดการสร้างบารมีได้ ถ้ายังไม่เต็มก็ต้องสร้างต่อไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่าท่านเป็นสัพพัญญู รู้ทุกอย่าง ผ่านมาแล้วทุกอย่าง เป็นมาแล้วทุกอย่าง แปลว่าท่านต้องผ่าน สาวกภูมิ กับปัจเจกภูมิมาแล้วหรือเปล่าครับ แล้วถ้าท่านไม่เคยผ่าน จะรู้อารมณ์พระสาวก อารมณ์ของพระปัจเจกพระพุทธเจ้าได้อย่างไร และถ้าหากท่านไม่ผ่านอารมณ์เหล่านี้มา จะเรียกว่าสัพพัญญูได้อย่างไรครับ เป็นอจินไตยจริงๆ รู้สึกขัดกันยังไงก็ไม่รู้ อยากให้ผู้ทรงภูมิธรรมช่วยมาแก้ไขข้อข้องใจกระผมหน่อยซิครับ
     
  5. Ricky

    Ricky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +682
    มีทั้งท้อในทุกข์ พอคิดว่าเราจะต้องเป็นหยั่งงี้ไปอีกนานๆแสนนานมันก้อยิ่งท้อ แล้วก้อท้อเพราะใจคนสมัยนี้เอาความเสื่อมเป็นที่พึ่ง จึงอยู่กันลำบากหน่อย ลากันไปซะเยอะ
     
  6. ณ.วชิรา

    ณ.วชิรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +422
    คิดว่าลาแล้วดี ก็เลยลา
    คิดว่าอยู่แล้วดี ก็เลยไม่ลา
    ทุกอย่างมาจากความคิดความปรารถนา
    ถ้าแค่อยากเป็นอย่างพระพุทธเจ้า โดยไม่ได้ตั้งหวังมานานจนเสียดายสิ่งที่ทำ
    ก็คงต้องลา.....

    แต่สำหรับผู้ที่หวัง และเดินมาไกลแล้ว....ไม่มีใครอยากลาหรอกครับ
     
  7. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    เพราะท้อ หรือไม่ก็เพราะบำเพ็ญบารมีมาผิดทาง (คือ เพื่อประโยชน์ส่วนตน ไม่ได้เพื่อสรรพสัตว์ เพื่อโพธิญาณ)
     
  8. จักระรัตนะ

    จักระรัตนะ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2007
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +8
    หากมิได้ตั้งกำลังใจเพื่อ เปลื้องทุกข์ให้แก่มหาชน เป็นที่ตั้ง แต่เพื่อตนเองด้วยปรารถนาในความรู้แจ้งในอจินไตยก็ดี อยากมีเพียงอิทธิปาฏิหาริย์ก็ดี มิช้าอาจพบตนเองแบกทุกข์ใหญ่หลวงเพียงลำพังเพื่อตนเอง เมื่อลำบากอย่างยิ่ง จึงท้อแท้อย่างยิ่ง กำลังใจมิอาจทนได้ หลายคนลาเพื่อเข้าสู่สาวกภูมิของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เพื่อเข้าพระนิพพาน บารมีที่ทำไว้จะส่งเข้าสู่ภูมิที่เหมาะสม เช่น บรรลุอริยะพร้อมอภิญญาญาณ หรือปฏิสัมภิทาญาณ

    แม้กระนั้น ระหว่างทาง หนทางสู่พุทธภูมิ ผู้ปรารถนาก็ได้เกื้อกูลสรรพสัตว์ไว้ไม่น้อย การปลูกเชื้อพุทธภูมิแห่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไว้ มีไว้เพื่อดำรงความดีในกาลข้างหน้า ค้ำพระศาสนาและช่วยเหล่าสัตว์ข้ามสังสารวัฏนั่นเอง

    แต่เหล่าสัตว์ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ เปรียบเท่าเม็ดทรายในมหาสมุทรนี้จะมีเม็ดเดียวที่จะบรรลุถึงฝั่งได้ ในมหาห้วงเวลาแห่งการทดสอบอันยาวนาน

    เมื่อผจญมาร หรืออุปสรรค ท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิมีเพียงบารมีสามสิบทัศน์และความดีที่ติดตัวเท่านั้นเป็นอาวุธ เพื่อผ่านพ้นทุกอย่างได้ด้วยกำลังใจอันมั่นคง บางครั้งแม้แลกด้วยชีวิตท่านก็มิได้ไหวหวั่นเพื่อดำรงปณิธาณอันแรงกล้า

    ข้าพเจ้าขอน้อมจิตคารวะกำลังใจของพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ด้วยศรัทธายิ่ง
     
  9. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ที่พระองค์ทราบในสาวกภูมิ และปัจเจกภูมิก็ด้วย"อินทริยปโรปริยัตตญาณ"ครับ
    ในกาลที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์นั้น พระองค์ก็ผ่านระยะเวลาในการบำเพ็ญบารมีมามาก
    เทียบเท่าเถรสาวก ล่วงพ้นเถรสาวกเทียบเท่าปัจเจกโพธิ ล่วงพ้นปัจเจกโพธิ
    ก็ด้วยพระองค์ประกอบพุทธภูมิธรรม คือ อุสสาโห อุมัตโต อวัตถานัง หิตจริยา
    คุณธรรมอันยิ่งยวดทั้ง ๔ นี้มาเหลือประมาณ เหตุใดท่านจะไม่ล่วงรู้ในอัธยาศัยของหมู่สัตว์
     
  10. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    ถ้าเช่นนั้นก็แสดงว่า พระพุทธเจ้าก็สามารถรู้ใจอ่านใจพระพุทธด้วยกันได้ด้วยใช่ไหมครับ
     
  11. jan-ampai

    jan-ampai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2010
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +102
    ในสายมหายาน ทุกครั้งที่สวดมนต์จีน บทกราบไหว้พระรัตนตรัยตอนจบมนต์ จะเป็นบทปรารถนาขอให้สำเร็จอนุตตรสัมมาสัมโพธิ ของผู้สวดเอง และ บทกรวดน้ำมีคำอุทิศให้สรรพสัตว์ในโลกธาตุต่างบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ
    บทสวดมนต์ที่ปรารถนาจิตพุทธภูมิก็คือ
    1.บทสวดมหากรุณาธารณีสูตร ว่าด้วยเรื่อง มนุษยธรรม หิริโอตตัปปะ และอสังขตธรรม และบทสวดซิมเกง พิจารณาอาทิตตะปะริยายะสูตร อนัตตะลักขะณะสูตร
    2.บทสวดมนต์อีกบทคือ มหาปณิธาน 48 พระแม่จุนทิ พุทธมารดา
    : : Navagaprom.Com : :

    ส่วนหินยานทางบาลีบทที่ปรารถนาก็คือ ปัฏฐนฐปนคาถา
    (http://palungjit.org/posts/239380 )
    คือขอให้ได้รับคำพยากรณ์ให้เป็นพระโพธิสัตว์และสั่งสมบุญบารมีไปเรื่อย และปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม...


    พวกเราก็ทำอริยมรรค ตามครูบาอาจารย์สายอรหันตภูมิ โพธิสัตย์ภูมิ พุทธภูมิไปเรื่อยๆ

    โดยมากชาวจีนนั้นที่ไม่อยากท่องเที่ยวในวัฏฏะสงสาร จะอธิษฐานไปสุขาวดีพุทธเกษตร
    http://www.navagaprom.com

    พระนิพพานเป็นบรมสุขอันใหญ่ยิ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2011
  12. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,717
    ค่าพลัง:
    +5,514
    .................................................................
    ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด(ถ้าผิดก็อย่าว่ากัน)
    คิดว่าพระพุทธเจ้าท่านรู้ใจพระพุทธเจ้าด้วยกันทุกพระองค์--พระปัจเจกพุทธเจ้าที่เคยอุบัติทุกพระองค์--พระอริยะอื่นทุกองค์--และรู้ใจสัตว์ทั้งหมด
    ลองพิจารณาอรรถกถาพระสูตรนี้ครับ รายละเอียดตาม Link ข้างล่างครับ
    .........................................................................
    ครั้นพระองค์ทรงทราบว่าบริษัทจะพึงรู้ได้ด้วยอำนาจคำถาม จึงทรงดำริว่า จะมีใครบ้างไหมหนอที่สามารถจะกำหนดอัธยาศัยของเทวดาทั้งหลาย แล้วถามปัญหาตามจริต ทรงเห็นว่า บรรดาภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปเหล่านั้นแม้แต่รูปเดียวก็ไม่สามารถ. แล้วจึงทรงหวนระลึกถึงพระอสีติ<table valign="Bottom" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" vspace="0" width="760"><tbody><tr><td border="1" bgcolor="white" width="660"><wbr>มหา<wbr>สาวก<wbr>และพระ<wbr>อัคร<wbr>สาวก<wbr>ทั้งสอง ทรงเห็นว่าแม้ท่านเหล่านั้นก็ไม่สามารถ จึงทรงดำริต่อไปว่า หากเป็นพระปัจเจก<wbr>พุทธ<wbr>เจ้า<wbr>เล่า จะสามารถหรือไม่หนอ ทรงทราบว่าแม้พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ไม่สามารถ จึงหวนระลึกถึงท้าวสักกะและท้าวสุยามะเป็นต้นองค์ใดองค์หนึ่งจะพึงสามารถ บ้าง หากท้าวสักกะและท้าวสุยามะองค์ใดองค์หนึ่งสามารถก็จะให้ถาม พระองค์จะแก้ด้วยพระองค์เอง. แต่ท่านเหล่านั้นก็ไม่มีใครสามารถ.
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่าพระพุทธเจ้าเช่นเราเท่านั้นพึงสามารถ แต่ยังมีพระพุทธเจ้าองค์อื่นในที่ไหนอีกบ้างไหม. พระองค์จึงแผ่พระญาณอันหาที่สุดมิได้ไปในโลกธาตุอันไม่มีที่สุด ตรวจดูโลก มิได้ทรงเห็นพระพุทธเจ้าองค์อื่นเลย ข้อที่พระ<wbr>องค์<wbr>มิได้ทรงเห็น ผู้เสมอด้วยพระองค์ในบัดนี้ไม่น่าอัศจรรย์เลย แม้ในที่พระองค์ประสูติก็มิได้ทรงเห็นผู้เสมอด้วยพระองค์ ตามนัยดังกล่าวแล้วในอรรถ<wbr>กถา<wbr>พรหม<wbr>ชาล<wbr>สูตร จึงได้ทรง<wbr>บันลือ<wbr>สีห<wbr>นาทแม้ในธรรมที่ใครๆ ให้เป็นไปไม่ได้ว่า อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เราเป็นผู้เลิศแห่งโลกดังนี้.
    ครั้นพระองค์มิได้ทรงเห็นผู้อื่นเสมอด้วยพระองค์อย่าง นี้จึงทรงดำริว่า หากเราถามแล้วตอบด้วยตนเอง เทวดาเหล่านั้นก็ไม่สามารถจะรู้แจ้งแทงตลอดได้ ก็เมื่อพระพุทธ<wbr>เจ้า<wbr>องค์<wbr>อื่น<wbr>ถาม และเมื่อเราตอบจักน่าอัศจรรย์กว่า และเทวดาทั้งหลายก็จักสามารถรู้แจ้งแทงตลอดได้ เพราะฉะนั้น เราจักเนรมิตพระพุทธนิมิต

    ....................................................................................
    .. อรรถกถา ขุททกนิกาย มหานิทเทส อัฏฐกวัคคิกะ ๑๐. ปุราเภทสุตตนิทเทส
    อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] [๓]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=29&A=4612&Z=5616
    </td></tr></tbody></table>
     
  13. Pompaka

    Pompaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    380
    ค่าพลัง:
    +351
    ระยะทางอันแสนไกล+กำลังใจอ่อนระโหยโรยแรง...มั้งครับ
     
  14. power30

    power30 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2007
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +104
    - ผมคิดว่าถึงท่านทั้งหลายที่ลาพุทธภูมิแล้ว

    - ถึงจะเป็นสาวกภูมิแต่ก็ยังคงต้องทำงานของพุทธภูมิต่อไป

    - ถือเป็นกำลังในการช่วยพระศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันตต่อไป

    - เพราะอย่างน้อยการบำเพ็ญบารมีทางสายพุทธภูมินั้นย่อมมีพวกพ้องตามมาช่วยกันมาก
    บ้าง - น้อยบ้างตามระยะเวลาในการบำเพ็ญบารมีมา
    (ตัวอย่างหลวงพ่อพระราชพรหมยาน )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2011
  15. kenzoo2522@hotmail.c

    kenzoo2522@hotmail.c Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +99
    ชีวิตที่เต็มแม็ก เต็มไปด้วยอะไรไม่รู้...รอบทิศทางแบบกรุเข้ามา ตูมๆๆๆๆ เห็นทางออกเล็กๆในการเอาตัวรอดเพื่อตั้งหลักปรับฐาน แต่ก็เหมือนมีบางสิ่งปิดทางไว้..หน่วงดึงไว้สุดๆ
    แล้วก็รุมยำกันต่อไปอีก ชีวิตที่เป็นเช่นนี้อยู่เรื่อยๆทุกเมื่อเชื่อวัน....เราจักทานทนได้นานเท่าใด
    แม้คนใกล้ตัวจะฟังในสิ่งที่บอกและอธิบายอย่างตรงไปตรงมาสักกี่ร้อยครั้งก็ตาม ก็ไม่อาจ
    จะเข้าใจได้เลย แถมยังต้องแบกภาระอันบ้าบอคอแตกไม่จบสิ้น ฐานะก็ร่อแร่ ภาวนาก็หา
    โอกาสยาก สรุปว่า..เหมือนกับเกิดมาเพื่อแบกและโดนยำ อยู่ร่ำไป...ท่านว่าควรทำงัยล่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 มิถุนายน 2011
  16. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ไม่น่าจะเรียกว่ารู้ใจนะครับ แต่เรียกว่า " หยั่งรู้อัธยาสัยของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย "
    เพราะพระองค์ทรงเป็น " พระสัพพัญญู "

    สัพพัญญุตญาณ

    เกิดจาก การบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการทั้ง ๓ ระดับคือ บารมี ๓๐ ทัศน์ เป็นเวลา ๒๐,๔๐,๘๐ อสงไขยกับเศษ ๑๐๐,๐๐๐ มหากัปป์(แต่ละประเภท)

    เป็นความรู้แจ้งในสิ่งต่างๆๆ อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด(ทั้งในอดีต และอนาคต) โดยเฉพาะความรู้เรื่องโลก ซึ่งหมายรวมทั้ง
    - สัตวโลก อันได้แก่ หมู่สัตว์ชนิดต่างๆๆ รวมทั้งเทวดา มนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน
    - โอกาสโลก อันได้แก่ โลกคือที่อยู่อาศัย หมายถึงระบบจักกรวาลและดวงดาวต่างๆๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันกำลังศึกษาค้นคว้ากันอยู่
    - สังขารโลก อันได้แก่ โลกคือสังขารที่เกิดจากการปรุงแต่งซึ่งเมื่อสรุปให้แคบเข้า ก็ได้แก่นามรูป





    <center>พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓
    ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค</center> <table width="90%" align="center" background="" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr><td>[​IMG]</td> </tr><tr><td vspace="0" hspace="0" width="100%" bgcolor="darkblue">[​IMG]</td></tr></tbody></table>
    [๒๘๖] สัพพัญญุตญาณของพระตถาคตเป็นไฉน ฯ
    ชื่อว่าสัพพัญญุตญาณ เพราะอรรถว่า รู้สังขตธรรมและอสังขตธรรม
    ทั้งปวง มิได้มีส่วนเหลือ ชื่อว่าอนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณนั้นไม่มี
    เครื่องกั้น ชื่อว่าสัพพัญญุตญาณ เพราะอรรถว่า รู้ธรรมส่วนอนาคตทั้งหมด ...
    รู้ธรรมส่วนอดีตทั้งหมด ... รู้ธรรมส่วนปัจจุบันทั้งหมด ... รู้จักษุและรูปทั้งหมดว่า
    อย่างนี้ ... รู้หูและเสียง ฯลฯ จมูกและกลิ่น ลิ้นและรส กายและโผฏฐัพพะ
    ใจและธรรมารมณ์ทั้งหมดว่าอย่างนี้ ชื่อว่าอนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณ
    นั้นไม่มีเครื่องกั้น ฯ
    [๒๘๗] ชื่อว่าสัพพัญญุตญาณ เพราะอรรถว่า รู้สภาพไม่เที่ยง สภาพ
    เป็นทุกข์ สภาพเป็นอนัตตา ตลอดทั้งหมด ชื่อว่าอนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า
    ในญาณนั้นไม่มีเครื่องกั้น ... รู้สภาพไม่เที่ยง สภาพเป็นทุกข์ สภาพเป็นอนัตตา
    แห่งรูป ตลอดทั้งหมด ... รู้สภาพไม่เที่ยง สภาพเป็นทุกข์ สภาพเป็นอนัตตา
    แห่งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตลอดทั้งหมด ... รู้สภาพไม่เที่ยง สภาพ
    เป็นทุกข์ สภาพเป็นอนัตตาแห่งจักษุ ฯลฯ แห่งชราและมรณะ ตลอดทั้งหมด
    ชื่อว่าอนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณนั้นไม่มีเครื่องกั้น ฯ
    [๒๘๘] ชื่อว่าสัพพัญญุตญาณ เพราะอรรถว่า รู้สภาพธรรมที่ควรรู้ยิ่ง
    ด้วยอภิญญาทั้งหมด ชื่อว่าอนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณนั้นไม่มีเครื่องกั้น
    ... รู้สภาพที่ควรกำหนดรู้ด้วยปริญญา ... รู้สภาพที่ควรละด้วยปหานะ ... รู้สภาพ
    ที่ควรเจริญด้วยภาวนา ... รู้สภาพที่ควรทำให้แจ้งด้วยสัจฉิกิริยาตลอดทั้งหมด ... รู้
    สภาพที่เป็นกองแห่งขันธ์ตลอดทั้งหมด ... รู้สภาพที่ทรงไว้แห่งธาตุตลอดทั้งหมด
    ... รู้สภาพเป็นที่ต่อแห่งอายตนะตลอดทั้งหมด ... รู้สภาพที่ปัจจัยปรุงแต่ง
    แห่งสังขตธรรมตลอดทั้งหมด ... รู้สภาพที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่งแห่งอสังขตธรรมตลอด
    ทั้งหมด ชื่อว่าอนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณนั้นไม่มีเครื่องกั้น ฯ
    [๒๘๙] ชื่อว่าสัพพัญญุตญาณ เพราะอรรถว่า รู้กุศลธรรมตลอดทั้งหมด
    ชื่อว่าอนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณนั้น ไม่มีเครื่องกั้น ... รู้อกุศลธรรม
    อัพยากตธรรม กามาวจรธรรม รูปาวจรธรรม อรูปาวจรธรรม โลกุตตรธรรม
    ตลอดทั้งหมด ... รู้สภาพที่ทนได้ยากแห่งทุกข์ สภาพเป็นเหตุเกิดแห่งสมุทัย
    สภาพเป็นที่ดับแห่งนิโรธ สภาพเป็นทางแห่งมรรค ตลอดทั้งหมด ชื่อว่า
    อนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณนั้นไม่มีเครื่องกั้น ฯ
    [๒๙๐] ชื่อว่าสัพพัญญุตญาณ เพราะอรรถว่า รู้สภาพปัญญาอัน
    แตกฉานดีในอรรถแห่งอรรถปฏิสัมภิทา ตลอดทั้งหมด ฯลฯ รู้สภาพปัญญา
    อันแตกฉานดีในธรรมแห่งธรรมปฏิสัมภิทาสภาพปัญญาอันแตกฉานดีในนิรุตติแห่ง
    นิรุตติปฏิสัมภิทา สภาพปัญญาอันแตกฉานดีในปฏิภาณปฏิสัมภิทา ตลอดทั้งหมด
    ... รู้อินทรียปโรปยัตตญาณ รู้ญาณในฉันทะอันมานอน และกิเลสอันนอน
    เนื่องของสัตว์ทั้งหลาย รู้ยมกปาฏิหาริยญาณ รู้มหากรุณาสมาปัตติญาณ ตลอด
    ทั้งหมด ชื่อว่าอนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณนั้นไม่มีเครื่องกั้น ฯ
    [๒๙๑] ชื่อว่าสัพพัญญุตญาณ เพราะอรรถว่า รู้อารมณ์ที่ได้เห็น ที่
    ได้ฟัง ที่ได้ทราบ ที่ได้รู้แจ้ง ที่ได้ถึง ที่แสวงหา ที่เที่ยวตามหาด้วยใจ
    แห่งโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก แห่งหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ
    พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ตลอดทั้งหมด ชื่อว่าอนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า
    ในญาณนั้นไม่มีเครื่องกั้น ฯ
    บทธรรมที่พระตถาคตไม่ทรงเห็นแล้ว ไม่มีในโลกนี้ อนึ่ง
    บทธรรมน้อยหนึ่งที่ควรรู้ พระตถาคตไม่ทรงรู้แล้ว ไม่มี
    พระตถาคตทรงทราบยิ่ง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องนำไปทั้งปวง
    เพราะเหตุนั้น พระตถาคตจึงเป็นพระสมันตจักษุ (ผู้ทรง
    เห็นทั่ว) ฯ
    [๒๙๒] คำว่า สมนฺตจกฺขุ ความว่า ชื่อว่าสมันตจักษุ เพราะอรรถ
    ว่ากระไร ฯ
    พระพุทธญาณ ๑๔ คือ ญาณในทุกข์ ๑ ญาณในทุกขสมุทัย ๑ ญาณ
    ในทุกขนิโรธ ๑ ญาณในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ๑ ญาณในอรรถปฏิสัมภิทา ๑
    ญาณในธรรมปฏิสัมภิทา ๑ ญาณในนิรุตติปฏิสัมภิทา ๑ ญาณในปฏิภาณ
    ปฏิสัมภิทา ๑ ญาณในความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ ๑ ญาณในฉันทะเป็นที่
    มานอนและกิเลสอันนอนเนื่องของสัตว์ทั้งหลาย ๑ ญาณในยมกปาฏิหาริย์ ๑
    ญาณในมหากรุณาสมาบัติ ๑ สัพพัญญุตญาณ ๑ อนาวรณญาณ ๑ บรรดา
    พระพุทธญาณ ๑๔ ประการนี้ พระญาณ ๘ ข้างต้น เป็นญาณทั่วไปด้วย
    พระสาวก พระญาณ ๖ ไม่ทั่วไปด้วยพระสาวก ฯ
    [๒๙๓] ชื่อว่าสัพพัญญุตญาณ เพราะอรรถว่า สภาพที่ทนได้ยาก
    แห่งทุกข์ พระตถาคตทรงทราบแล้วตลอดทั้งหมด ที่มิได้ทรงทราบไม่มี ชื่อว่า
    อนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณนั้น ไม่มีเครื่องกั้น สภาพที่ทนได้ยาก
    แห่งทุกข์ พระตถาคตทรงเห็นแล้ว ทรงรู้แจ้งแล้ว ทรงทำให้แจ้งแล้ว ทรงถูกต้อง
    แล้วตลอดทั้งหมดด้วยพระปัญญา ที่มิได้ทรงถูกต้องแล้วด้วยพระปัญญาไม่มี ...
    สภาพเป็นเหตุเกิดแห่งสมุทัย สภาพเป็นที่ดับแห่งนิโรธ สภาพเป็นทางแห่งมรรค
    สภาพปัญญาอันแตกฉานดีในอรรถแห่งอรรถปฏิสัมภิทา สภาพปัญญาอันแตกฉานดี
    ในธรรมแห่งธรรมปฏิสัมภิทา สภาพปัญญาอันแตกฉานดีในนิรุตติแห่งนิรุตติ
    ปฏิสัมภิทา สภาพปัญญาอันแตกฉานดีในปฏิภาณแห่งปฏิภาณปฏิสัมภิทา พระ-
    *ตถาคตทรงทราบแล้ว ทรงเห็นแล้ว ทรงรู้แจ้งแล้ว ทรงทำให้แจ้งแล้ว ทรงถูกต้องแล้ว
    ตลอดทั้งหมดด้วยด้วยพระปัญญา ที่มิได้ทรงถูกต้องแล้วด้วยพระปัญญาไม่มี ...
    ญาณในความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ ญาณในฉันทะอันมานอนและกิเลสอันนอน
    เนื่องของสัตว์ทั้งหลาย ญาณในยมกปาฏิหาริย์ ญาณในมหากรุณาสมาบัติ
    พระตถาคตทรงทราบแล้ว ทรงเห็นแล้ว ทรงรู้แจ้งแล้ว ทรงทำให้แจ้งแล้ว
    ทรงถูกต้องแล้วตลอดทั้งหมดด้วยพระปัญญา ที่มิได้ทรงถูกต้องด้วยพระปัญญา
    ไม่มี ... ชื่อว่าสัพพัญญุตญาณ เพราะอรรถว่า อารมณ์ที่ได้เห็น ที่ได้ฟัง
    ที่ได้ทราบ ที่ได้รู้แจ้ง ที่ได้ถึง ที่แสวงหา ที่เที่ยวตามหาด้วยใจ แห่งโลก
    พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก แห่งหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์
    เทวดาและมนุษย์ พระตถาคตทรงทราบแล้ว ทรงเห็นแล้ว ทรงรู้แจ้งแล้ว ทรงทำ
    ให้แจ้งแล้ว ทรงถูกต้องแล้วตลอดทั้งหมดด้วยพระปัญญา ที่มิได้ทรงถูกต้องแล้ว
    ด้วยพระปัญญาไม่มี ชื่อว่าอนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณนั้นไม่มี
    เครื่องกั้น ฯ
    บทธรรมที่พระตถาคตไม่ทรงเห็นแล้ว ไม่มีในโลกนี้ อนึ่ง
    บทธรรมน้อยหนึ่งที่ควรรู้ พระตถาคตไม่ทรงรู้แล้วไม่มี
    พระตถาคตทรงทราบยิ่งซึ่งธรรมเป็นเครื่องนำไปทั้งปวง เพราะ
    ฉะนั้น พระตถาคตจึงเป็นพระสมันตจักษุ ฉะนี้แล ฯ
    <center>จบญาณกถา ฯ
    </center>
     
  17. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188

    ผิดทางคงไม่ใช่แน่นอนครับ แต่ว่าท่านอาจจะไม่รับคำพยากรณ์ที่ได้รับต่อหน้าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง คือไม่ได้เป็นนิยโพธิญาณมากว่าครับ

    ปัญญาของผู้ปรารถนาสัมมาสัมโพธิญาณนั้นถึงแม้เดินหลงทางก็จะเกิดระลึกได้ว่านั่นไม่ใช่ทาง

    ลองศึกษาเรื่องพุทธวงศ์ดูนะครับ
     
  18. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512

    ^^
    ผมก็เหนด้วยเช่นนั้นแล

    เพราะโพธิญาณ ส่วนใหญ่ต้องเจอทุกอย่าง

    แม้กระทั่งลิ้มรส ชาติของนรกก็ด้วยเช่นกัน

    ไม่เคยมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ไม่เคยตกนรก^^
     
  19. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ขอถามนะคับ

    เพื่อนผมเขาอยากทราบว่า
    ทำไมดูเหมือนผู้ปรารถนา พระปัจเจก
    จะเข้าใจโลกมากกว่าผู้ปรารถนา โพธิญาณ
    เสียอีก

    ต้องขออภัยณ ที่นี้
     
  20. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    อืม...
    ที่บอกว่าเข้าใจเรื่องโลกมากกว่านะ
    เรื่องโลกเกี่ยวกับอะไรละท่าน??? ต้องถามละเอียดนิดนะครับ
    ถึงจะตอบได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...