ศาสนาพุทธ กับคนทั้งโลก

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ศาสนาใดในโลกนั้น ย่อมมีความดีในตัวเอง....เพราะศาสนาทุกศาสนานั้นย่อมสอนให้คนเป็นคนดีอยู่แล้ว ในพื้นฐานของทุกศาสนาย่อมมีสันติอยู่เป็นลักษณะ.....และความสุขอันเป็นความสุขที่เหนือจากความสุขชั้นกายภาพของมนุษย์ที่สนองสัญชาติญานแห่งความเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง....ถึงความสุขทางใจที่สูงกว่า..หรือความสุขที่เป็นทิพย์แห่งสุขนั้น....

สำหรับในกลุ่มนี้...

จะเป็นอะไรไม...ถ้าผมจะเปรียบเขาเหล่านี้ว่าเหมือนกับ " ทะเลทราย ที่ไม่มีโอเอซิส "

 

..........กราบขอบพระคุณครับ

 

อนุโมทนาสาธุกับท่านภานุเดชค่ะ สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นความจริงที่แม้แต่เราเองพึ่ง
ค้นพบและเข้าใจเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่เราเดินยังไม่ถึงเองที่ผ่านมา 84000 พระธรรมขันธ์ มากมาย แต่ถ้าเข้าถึงได้ กลับมีไม่มากมายเลย ค่ะ
เพียงแต่ยังเดินไปไม่ถึงทั้งหมด

 

ขอให้คุณปังโยะ อ่านข้อความพี่ภานุเดช ที่ยกธรรมของท่านป.อ ประยุตโต เรื่องความสุข5ขั้น
เราเองปฏิบัติมาหลายปี แต่กับเพิ่งเข้าถึงเมื่อไม่นานมานี้
ลองอ่านก่อนน่ะ...............เผื่อจะเห็นอะไรเพิ่ม

 

-หลวงพ่อเชอร์รี่ และหลวงพ่อปัญญา ที่เป็นลูกศิษย์ของ หลวงตามหาบัว แห่งวัดป่าบ้านตาดเป็นมากกว่า พระอนาคามี เมื่อท่านเอ่ยถามผมผมรู้สึกถึงความอบอุ่น ผู้ที่มีปัญญาและมีบุญวาสนาเท่านั้นที่จะศรัทธาในพระพุทธศาสนา ส่วนผู้ที่มีบุญวาสนาก็จะเลื่อมใสในศาสนาพุทธ

 

เจ้านาย มีจำนวนน้อยกว่าลูกจ้าง
คนรวย มีจำนวนน้อยกว่าคนจน
คนสบาย มีจำนวนน้อยกว่าคนไม่สบาย
คนงาม มีจำนวนน้อยกว่าคนไม่งาม
คนประสพโชคดีมีจำนวนน้อยกว่าคนไม่ประสพโชคดี
คนฉลาด มีมีจำนวนน้อยกว่าคนไม่ฉลาด
คนมีคุณภาพ มีจำนวนน้อยกว่าคนมีคุณภาพ
.................................................
คุณภาพ ปริมาณ อย่างนี้ สมดุลนี้ จึงตั้งอยู่อย่างนี้






ไม่ไปอบาย มีจำนวนน้อยกว่าไปอบาย
เป็นธรรมดา

 

เพชร ทอง ของหายาก มีราคา หาได้ไม่ง่าย มีจำนวนน้อยแต่มีคุณภาพมาก มักเป็นที่ใฝ่หาสำหรับผู้รู้ถึงคุณค่าทั้งหลาย

 

ทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีจุดมุ่งหมายคือ ได้อยู่กับพระเจ้า(สวรรค์)
พุทธศาสนาสอนให้ทุกคนหลุดพ้นจากโลกเเละสวรรค์
ไม่ใช่ว่าผู้ที่ไม่นับถือพุทธจะตกนรกนะครับเพียงเเต่ได้ไปสวรรค์ซึ่งเป็นเป้าหมายของเค้า เเต่ผู้นับถือศาสนาพุทธนั้นเป้าหมายจะไปนิพพาน ศาสนาอื่นไปไม่ได้เพราะไม่ได้สอนทางนิพพานไว้
สรุปคนส่วนมากในโลกไปสวรรค์
คนส่วนน้อยได้ไปนิพพาน

 

การเปรียบเทียบ ตัวเอง กับผู้อื่น เรียกว่ามีมานะ คิดว่าตัวเอง เหนือเขา คิดว่าตัวเองเสมอเขา คิดว่าตัวเอง ต่ำกว่าเขา เรียกว่ามีมานะแต่ความจริงแท้มันมีปัจจัยมากกว่านั้น มานะเลยใช้ไม่ได้ ขอให้วางไว้ก่อนแล้วใช้หลักกาลามสูตร ในความเชื่อต่างต่าง นะครับ คุณ แคป่า กล่าวไว้ดีแล้ว

 

ผมเคยอ่านเจอที่ไหนมาไม่รู้ครับเป็น พุทธพจน์
คนลงนรกเท่ากับขนโค คนขึ้นสวรรค์เท่าเขาโค เหมือนเป็นการเทียบเป็นอัตราส่วนของที่ๆคนจะไปหลังตาย ซึ้งพิจารณาแล้วก็จริง มากๆครับ

 

ที่จริงประเด็นนี้เนี่ย เป็นประเด็นหนึ่งที่ละเอียดอ่อนพอสมควร คือ หากจะกล่าวว่ามีเพียงศาสนาพุทธเพียงศาสนาเดียวที่สอนถึงความหลุดพ้นนั้น อาจจะไม่น่ากล่าวได้ว่าเพียงศาสนาเดียว เข้าใจว่าทุกศาสนานั้นสอนเรื่องความหลุดพ้นอยู่ เพียงแต่ความเข้าใจในการหลุดพ้นของแต่ละศาสนานั้นแตกต่างกันออกไป ตามความเข้าใจของผู้สอนศาสนานั้นๆ ก็ขึ้นกับการบำเพ็ญเพียรมาของศาสดาของแต่ละศาสนาเอง แม้ครั้งอดีต พระบรมครูของเราก็เคยเกิดเป็นศาสดาของศาสนาในอดีตเช่นกัน(จำชื่อชาดกไม่ได้ครับ ต้องขออภัยด้วยครับ แต่มีในประชุมชาดก พระเจ้า 500 ชาติ) ก่อนที่จะมาเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คำสอนในครั้งเนื่องจากยังไม่ทรงกระทำให้แจ้งให้พระนิพพาน แต่ทรงแจ้งในการทำให้เป็นพรหม จึงสอนคนให้ไปพรหมโลก

แต่หากจะกล่าวว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวในโลกและจักรวาล ที่สอนให้คนหลุดถึงที่สุด ก็น่าจะว่าได้ เนื่องจากการหลุดพ้นนั้นมีหลายระดับ ตั้งแต่เล็กน้อยเบื้องต่ำ เช่นหลุดพ้นจากคนไปเป็นสัตว์เดรฉาน เปรต อสุรกายต่างๆ

หลุดพ้นเล็กน้อยแต่เบื้องบน ตั้งแต่เป็นเทวดาชั้นล่างสุด ภูมิเทวดา ไปเรื่อยจนกระทั้งท้าวปรนิมมิวสวดี หรือหลุดพ้นที่ไปกันไกล เช่นอรูปพรหมทั้งหลาย เพียงแต่ว่า ยังหลุดไปไม่ถึงที่สุดเท่านั้นเอง เพราะเหตุคือ เชื้อของการต้องเกิดยังมีอยู่

เมื่อกล่าวในเชิงวิชาการทางจิตวิทยาที่เราเคยเรียนกัน ตั้งแต่ลำดับความต้องการของมนุษย์ของมาสโลว ไปจนกระทั่งทฤษฎีใหม่ที่ลูกศิษย์ของมาสโลวช่วยกันเติม จนกระทั่งสูงสุดคือ Spiritual คือ ความต้องการหลุดพ้นทางจิตวิญญาณ ซึ่งหากลองทำความเข้าใจกับความต้องการขั้นสุดท้ายของมนุษย์ตามทฤษฎีนี้ คำกล่าวที่ได้กล่าวไว้แต่ตอนต้นว่า ศาสนาพุทธเป็นเพียงศาสนาเดียวของโลกและจักรวาลที่สอนให้ถึงความหลุดพ้นถึงที่สุด อย่างแท้จริง เพราะปฏิเสธความสุข ความต้องการที่มาจากภายนอก และภายในทั้งหมด ก็ตรงกับความต้องการลำดับสุดท้ายในทฤษฎีนี้

แต่การที่ใครจะนับถือคำสอนของใคร และนำมาปฏิบัตินั้น ต้องขึ้นกับบุญวาสนาของเขาต่อเจ้าของศาสนานั้นๆ ว่ามีบุญวาสนาต่อกันอย่างไร มีความสัมพันธ์ดึงดูดจนกระทั่งมานับถือและนำไปปฏิบัติได้ขนาดไหน เมื่อเขาไปสู่ในอีกภพนั้นๆ และได้มีอายุในภพนั้นๆ นานพอ ก็คงจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่อยู่ตรงนั้นเอง และคงจะพัฒนาตัวของเขาเหล่านั้นเพื่อให้ไปสู่ทางที่ดีกว่าเอง เรื่องนี้มีตัวอย่างที่เคยได้ยินมา เป็นเรื่องที่มีเทวดาฝรั่งเข้ามาพบกับหลวงปู่มั่น และมีคำถามต่างๆ มากมายเกี่ยวกับเรื่องการเกิด การตายของเทวดา นิพพาน และอีกหลายๆ เรื่องซึ่งเป็นพื้นฐานความเชื่อของชาวพุทธเรา ซึ่งก็เป็นไปได้ เพราะว่าไม่ใช่สัตว์ทั้งหลายจะนับถือพระพุทธศาสนาทั้งหมด แม้แต่เทวดา

ดังนั้นขอสรุปโดยรวมว่า ที่จริงทุกศาสนาก็พยายามสอนถึงความหลุดพ้น ไปสู่ความสุขที่แท้ที่มนุษย์ควรได้ตามความเข้าใจของเขาทั้งหลาย แต่คงมีเพียงพระพุทธศาสนาเท่านั้นในปัจจุบันที่สอนถึงการหลุดพ้นถึงที่สุด หากมีผิดพลาดประการใด ก็ขอน้อมรับไว้ครับ

 

หลายท่านตอนไว้ได้อย่างดีมาก....โมทนาสาธุธรรมครับ.....

 

เกิดเป็นมนุษย์ว่ายาก เกิดมาพบพระพุทธศาสนาว่ายากกว่า
เกิดมาพบพระพุทธศาสนาว่ายาก เกิดมาได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงว่ายากกว่า

วาระนี้อีกไม่ถึง 2500 ปี
ขณะนี้ วันนี้ มีโอกาส อันเป็นของหายากแล้ว ใช้โอกาสอย่างไร

คนส่วนใหญ่อยากรวย แต่ไม่ใช่ทุกคนสมใจ เพราะไม่ใช่ทกคนมีโอกาส ไม่ใช่ทุกคนรู้จักโอกาส และไม่ใช่ทุกคนที่ใช้โอกาส
คนอยากรวยจำนวนมาก จึงมีเพียงเล็กน้อย ที่ได้สมใจ

ความสำเร็จที่แท้ มีแด่ ผู้มีความพร้อม อย่างแท้จริง
อนุโมทนาธรรมกับทุกท่านด้วยครับ

 

นี่ๆ คนพุทธเท่านั้นที่จะเจอสุขอย่างยิ่งได้เท่านั้น หรือไม่ ปังโยะ อย่าพึ่งไปสนใจ

มาดูกันดีกว่า ว่า ปังโยะ จัดอยู่ในส่วนไหน จาก

ทีนี้ ปังโยะ นี่ เกิดเป็นคนไทยแน่ๆ และ ก็ต้องได้ยินได้ฟัง อะไรๆ เกี่ยวกับ
ศาสนาพุทธแน่ๆ ไม่อย่างนั้น จะเอา ตัวชื่อศาสนามากล่าวได้หรือ

การถือว่า ได้ฟังนี้ ก็ถือเอา มีคำว่า พุทธ หรือ นิพพาน ไปสะกิดหูให้เกิด
เสียงเข้าสู่สมอง อะเนาะ แล้วต้อง สดับเข้าไปแล้ว เกิดความสนใจ หันมาฟัง
เพิ่มด้วย ซึ่งจะต่างจากฟังแล้วก็ทะลุหูซ้ายออกหูขวา(ซึ่งถือเสมือนว่า ไม่เคยได้ยิน)

ดังนั้น ปังโยะ ก็คือ 6% ของ พลโลก ที่รู้จัก หรือ ได้ยิน พุทธศาสนา

ทีนี้ ปังโยะ ของเรา ดิ้นออกไปจากความเป็น 6% ไม่ได้แล้วหละ จะปฏิเสธอย่า
ไรก็ไม่ขึ้น เราถือกันว่า ปังโยะ คือ จิตหนึ่งในในบรรดาวิญญาณที่วนเวียนตายเกิด
ในโลกธาตุ( เรานับ หมา แมว นก หนู และ เทวดา พรหม และไม่ใช่ในจักรวาล
ที่รู้จักเท่านั้น นับหมด นับโลด)

ดังนั้น นอกจาก ปังโยะ จะเป็น ส่วนหนึ่งของ 6% แล้ว ปังโยะ ยังนับว่า เป็นผู้
ที่ฟังแล้วมีแนวโน้มปฏิเสธอีก โอ้ย!!! 6% นี่ก็ถือว่า เป็นส่วนน้อยแล้วนะ ที่จะโชคดี
(หรือโชคร้ายก็แล้วแต่มุมมองปังโยะ) แต่การได้ยินแล้วกล่าวปฏิเสธอีกนี่ โอ้โห น้อยนะ

เรียกว่า กว่าจะได้เป็นส่วนหนึ่ง ใน 6% นี้ยากแล้ว

การที่ได้เป็น 6%แล้ว ก็เสียโอกาสไปอย่างสิ้นเชิง นี้ยิ่งยากใหญ่ ไม่ง่ายเลยเนาะ

* * * *

ผมเคยฟัง การพูดเกี่ยวกับเรื่อง โอกาสทางศาสนา จาก ดร.วรภัทร ภู่เจริญ* ท่านนั้น
มีโอกาสเกิดในครอบครัวศาสนาคริสต์ แต่ดันเกิดในไทย ท่านก็เลยบอกว่า ไหนๆ
ก็ได้โอกาสแล้ว ก็เอา 33 บวกมันกับ 6 โอ้ย ได้ตั้ง 39 น้องๆ 50/50

จะโง่ปฏิเสธ ไปทำไม รับเพิ่มไปเลย!!! เว้นแต่ ตกเลข ไม่ชอบ เลข แล้วท่าน
ก็หันมาชี้ การศึกษาของไทย ที่คนไทย อ๋อน!!! เลข

เพราะถ้า ทุกศาสนา สอนให้เป็นคนดี ได้ดี นี่มีโอกาส เพิ่มเป็น 39% เราก็
มีโอกาสเป็นคนดีได้มากขึ้น

* * * * *

ดร.วรภัทร ภู่เจริญ* เกี่ยวกับ คลิปที่ ดร. ท่านนี้พูด ให้เห็นตัวเลข ได้เพิ่ม
ดีกว่า ตัดขาด อันนี้สงสัยต้อง อาศัย k.kwan สมาชิ จัดใหญ่ให้แหละเนาะ

 

<TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>นิวรณ์*, ปังโยะ </TD></TR></TBODY></TABLE>

ว้าว ได้ถ่ายรูปกับ คนที่หาได้ยากที่สุดในโลกธาตุ

 

ระหว่างที่รอพี่นิวรณ์มาแนะนำ(ในกระทู้) ขอมาเป็นพยานนะที่นี่ครับ

 

รีบไปใหนครับคุณ เลข โนนสูง?

 

เป็นสิ่งที่กำหนดไว้แล้วครับ ว่าจะปิดกระทู้ สิบแปด นาฟิกาครับ พี่ paetrix

 

ผมเข้าใจครับ สมัยก่อนผมก็สงสัยบ่อยๆ ...
ไม่ใช่ว่าคนที่ถือว่าเป็นพุทธโดยทะเบียนราษฎร์จะเป็นพุทธมามกะจริงๆนะครับ
อย่างชาวต่างชาติหลายๆคน โดยเฉพาะชาวยุโรป ก็มีโอกาสได้มาศึกษา และปฏิบัติธรรม ซึ่งดีกว่าคนเมืองพุทธหลายๆคนด้วยซ้ำไปครับ... สมัยนี้โลกไร้พรมแดนแล้ว ใครก็มีโอกาสได้ศึกษาพุทธธรรมได้ แม้แต่ในสมัยก่อนปราชญ์ชาวกรีกยังอุตส่าห์มาศึกษาถึงอินเดียเลยครับ

อีกข้ออย่าลืมครับ มนุษย์เราขึ้นอยู่กับนิยามทั้ง ๕ นะครับ ถ้าอุตุนิยาม พีชนิยาม ไม่อำนวย บางสิ่งบางอย่างก็เกิดขึ้นไม่ได้นะครับ ถ้าไม่อธิษฐานกันจริงๆ แม้มีบุญก็ใช่จะได้ศึกษาและปฏิบัติกันจริงๆจังๆนะครับ

 

ปังโยะเชื่อใหม ถ้าเราได้เข้ามาศึกษาและปฏิบัติอย่างจริงจัง
เราจะเห็นได้ชัดเลยว่า ในร่างกายที่เคยคิดว่าเป็นของเรา
มันแยกเป็นสองส่วน คือ กาย กับจิต (เอาแค่กว้างๆ ไว้ก่อน
รายละเอียด ของจิต ยังมีอีกเยอะ)ซึ่งแยกส่วนกันอย่างชัดเจน
มีแต่ศาสนาพุทธเท่านั้นที่สอนและจำแนกไว้อย่างละเอียด มีแนวทาง
การปฏิบัติ และสามารถเห็นผลจากการปฏิบัติได้ ซึ่งไม่ได้เชื่อตามๆกัน
มาเพราะศรัทธาเพียงอย่างเดียว แต่สามารถเห็นผลและพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง

ผู้ที่ปฏิบัติมาถูกต้องและเห็นผลจากการปฏิบัติ จะศรัทธาในพระพุทธศาสนา
อย่างสุดหัวใจ เพราะเป็นเพียงคำสอนเดียว(ขอย้ำว่า หนึ่งเดียวจริงๆ) ที่ทำให้
ผู้ปฏิบัติตาม(อย่างถูกต้อง) พ้นทุกข์ได้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ทุกข์
เบาบางลง และมองเห็นเป้าหมายและหนทางที่จะต้องเดินต่อไป...

ปังโยะลองอ่านดูนะ หลายท่านเขียนมาดีมาก ผมนึกถึงตอนที่ผมยังหนุ่มๆ
ซึ่งยังลังเลสงสัย ผมค้นหาความหมายของชีวิต ค้นหา ?? อะไรก็ไม่รู้
ผมไม่รู้ว่า ผมหาอะไรด้วยซ้ำ ...แต่เมื่อผมได้ฟังธรรมจากพระอาจารย์ท่านหนึ่ง
แค่ไม่กี่ประโยค ...ผมรู้เลยว่านี้แหละ คือสิ่งที่ผมค้นหา ผมเกิดมาเป็นมนุษย์
ก็เพื่อมาปฏิบัติให้หลุดพ้นจากทุกข์ ..

อริยสัจสี่ คือหัวใจหรือหลักคำสอนของศาสนาพุทธ
มรรคแปด เป็นแนวทางการปฏิบัติของศาสนาพุทธ
ฯลฯ

...พวกเราโชคดีมากแล้วที่ได้เกิดมาในพระพุทธศาสนา ซึ่งพระธรรมคำสอน
ของพระศาสดายังคงอยู่ ยังมีร่องรอยให้เราเดินตามได้....

นาทีทองแห่งสังสารวัฏไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง....อย่าให้เสียโอกาสนะ....
ขอให้พลิกจากความสงสัยลังเล เป็นการลงมือพิสูจน์เพื่อให้ได้รู้แจ้งเห็นจริง
ทุกสิ่งที่เคยสงสัยก็จะกระจ่างแก่ใจตนเอง....