เรื่องเด่น ข้อความจากต่างมิติ - คำพยากรณ์ใดๆเกี่ยวกับวันสิ้นโลก มันจะไม่เป็นจริงอีกต่อไปแล้ว

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 17 มิถุนายน 2011.

  1. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    แอนิต้า - ผู้มีประสบการณ์ตายแล้วฟื้น และหายป่วยจากมะเร็งระยะสุดท้ายเพียงแค่ข้ามวัน

    ที่มา: Anita's Inspiring Near-Death Story

    ตอนที่ 14:

    คำถาม: คุณบอกว่าตอนที่อยู่ในสภาวะเฉียดตาย คุณเห็นอดีตชาติของคุณใช่ไหมครับ
    คุณเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดไหม๊ และคุณคิดว่านั่นเป็นเพราะว่าพื้นฐานความเป็นชาวฮินดูของคุณหรือเปล่า?



    แอนิต้า:

    จริงๆแล้ว ถ้าจะให้ตอบตามตรงหละก็ มันก็คงเป็นเพราะว่าพื้นฐานความเป็นชาวฮินดูของฉันเองนั่นแหละ
    ที่ทำให้ฉันตีความมันไปแบบนั้น ว่ามันเป็นอดีตชาติ

    แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันกำลังประสบอยู่ในสภาวะนั้น
    มันรู้สึกเหมือนกับว่า มันกำลังเกิดขึ้นพร้อมๆกันหมดในเวลาเดียวกัน
    ดังนั้น ตามความเป็นจริงแล้ว มันเหมือนกับเป็นชีวิตในโลกคู่ขนานมากกว่า


    ฉันยังได้เห็นอนาคตของฉันเองด้วย และมันก็รู้สึกว่าเป็นจริงเป็นจังมากๆ

    อดีต ปัจจุบัน และอนาคต มันรู้สึกเหมือนกับว่า
    มันกำลังเกิดขึ้นอยู่พร้อมๆกันหมด ในเวลาเดียวกัน



    ประสบการณ์บางส่วนของฉัน แม้แต่ตัวฉันเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมันเลย แต่ฉันก็หวังว่า
    จะสามารถเข้าใจมันได้ในอนาคต มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับว่า “ช่องว่างและกาลเวลาที่ไม่มีอยู่ในมิตินั้น”

    ดังนั้น ถ้าจะให้ฉันตอบคำถามของคุณจริงๆหละก็ ฉันคิดว่าเราจะต้องเปลี่ยนความคิดของเรา
    ที่มีต่อเรื่องกาลเวลาซะใหม่ก่อน และต้องเปลี่ยนความเข้าใจของเราที่มีต่อเรื่องกาลเวลาซะใหม่ก่อนด้วย

    นั่นคือเราจะต้องเข้าใจมันอย่างที่มันเป็นอยู่จริงๆให้ได้ซะก่อน

    เพราะว่า มันไม่ได้มีความรู้สึกเลยแม้แต่น้อยว่ามันเป็น
    “ภพชาติที่มีการเรียงลำดับก่อนหลังแบบเป็นเส้นตรง” หรือเป็น
    “เหตุการณ์ที่มีการเรียงลำดับก่อนหลังแบบเป็นเส้นตรง”
    อย่างที่พวกเราซึ่งอยู่ในมิติทางกายภาพแห่งนี้ เข้าใจว่ามันเป็น


    ...........................
     
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ที่มา:

    โลกหลังความตาย-จักรวาล-บิ๊กแบง-เรื่องเล่าจากประสบการณ์ตายแล้วฟื้นของนาย-mellen-t-benedict

    http://palungjit.org/threads/โลกหลั...ณ์ตายแล้วฟื้นของนาย-mellen-t-benedict.264647/

    .................................................................

    ท่องไปในโลกหลังความตาย-ประสบการณ์ตายแล้วฟื้น
    โดย Mellen Thomas Benedict



    ที่มา:

    Journey Through the Light and Back

    ตอนที่ 8:

    เหล่านักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายเข้าใจว่าบิ๊กแบง ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของจักรวาล
    เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งแรกเพียงครั้งเดียว แต่สิ่งที่ผมได้เห็นมาในช่วงที่ผมได้ตายไปนั้น ก็คือ

    บิ๊กแบงที่พวกเขากล่าวถึงกันนั้น มันเป็นเพียง 1 ในบิ๊กแบง
    จำนวนนับไม่ถ้วนจนเป็นอนันต์ ที่กำลังให้กำเนิดจักรวาลทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา
    อย่างไม่รู้จบ และก็กำลังเกิดขึ้นอยู่พร้อมๆกันหมดในเวลาเดียวกัน


    ซึ่งสิ่งที่พอจะนำมาเปรียบเทียบเพื่อให้มนุษย์พอมองเห็นภาพได้ใกล้เคียงมากขึ้นอีกหน่อย
    ก็น่าจะเป็นภาพแฟรกตัน (Fractals) ทั้งหลาย ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากสมการเรขาคณิต
    โดยใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์



    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต - แฟรกตัล)



    บรรพชนรู้เรื่องนี้กันดี พวกเขาจึงบอกว่าสร้างจักรวาลใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ
    โดยการหายใจออกเอาจักรวาลใหม่ออกมา และหายใจเข้าเอาจักรวาลอื่นๆเข้าไปสร้างใหม่อีก

    ซึ่งช่วงเวลาสำคัญแห่งการสร้างจักรวาลเหล่านี้เรียกกันว่า “กลียุค” (Yugas)
    ที่วิทยาศาสตร์ยุคใหม่เรียกกันว่าบิ๊กแบงนั่นเอง



    ผมได้มาอยู่ในจิตสำนึกอันบริสุทธิ์และสมบูรณ์แบบหมดจดโดยสิ้นเชิง
    ผมสามารถมองเห็นและรับรู้ถึงการเกิดบิ๊กแบงหรือกลียุคได้ทุกๆครั้ง ซึ่งกำลังสร้างตัวมันเองขึ้นมา
    และรื้อสร้างใหม่อยู่ตลอดเวลา

    ในชั่วขณะนั้นเอง ผมเข้าไปในพวกมันทั้งหมด พร้อมๆกันและในเวลาเดียวกัน

    ผมสามารถมองเห็นได้ว่า ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ ไม่ว่ามันจะมีขนาดเล็กแค่ไหนก็ตามแต่
    พวกมันล้วนแล้วแต่มีพลังอำนาจในการสร้างสรรค์ด้วยเช่นเดียวกัน

    เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ยากมาก ที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ ผมจึงไม่มีคำพูดอะไรที่จะนำมาใช้เพื่ออธิบาย



    หลังจากที่ผมฟื้นคืนชีพมาอีกครั้ง หลังจากที่ได้ผ่านประสบการณ์เฉียดตายนี้มาแล้ว
    ผมต้องใช้เวลาอยู่หลายปี เพื่อพยายามหาถ้อยคำที่พอจะนำมาใช้เทียบเคียง
    เพื่ออธิบายลักษณะของ “ความว่างเปล่า” นี้ให้ได้

    ตอนนี้ผมสามารถบอกคุณได้แล้วว่า

    “ความว่างเปล่าคือสิ่งที่เล็กน้อยซะยิ่งกว่าความไม่มีอะไรเลย
    แต่มันก็มากซะยิ่งกว่าคำว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่ทั้งหมด”

    “ความว่างเปล่าคือความเป็นศูนย์ที่สมบูรณ์แบบ,
    ความว่างเปล่าคือความไร้ระเบียบที่ก่อเกิดความเป็นไปได้ทั้งมวล”

    ความว่างเปล่าคือ ”จิตสำนึกที่บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์แบบ” ที่บริสุทธิ์เหนือระดับกว่า
    ของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาชั้นสูงแห่งจักรวาลใดๆทั้งหมด


    ความว่างเปล่าคือความสูญ หรือ ความปราศจากสิ่งสรรสร้าง
    ที่อยู่ในรูปแบบทางกายภาพใดๆโดยสิ้นเชิง

    ความว่างเปล่าคือช่องว่างที่อยู่ระหว่างอะตอมต่างๆ
    และคือช่องว่างที่อยู่ระหว่างส่วนประกอบต่างๆภายในอะตอมด้วย



    วิทยาศาสตร์ยุคใหม่ได้เริ่มศึกษาช่องว่างที่อยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างนี้มานานแล้ว พวกเขาเรียกมันว่า Zero Point

    แต่เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพยายามจะวัดค่ามัน เครื่องมือวัดของพวกเขาก็จะออกนอกสเกลวัดไป
    หรือไม่ก็ได้ค่าออกมาเป็นอนันต์ อะไรทำนองนั้น ถ้าเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้ พวกเขาไม่มีทางเลย
    ที่จะสามารถวัดค่าที่เป็นอนันต์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ แม้ว่าในร่างกายของพวกคุณเอง และในจักรวาลนี้
    มันจะมีช่องว่างที่เป็นศูนย์อยู่มากกว่าสิ่งอื่นๆก็ตาม



    ......................
     
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    และเรื่องนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวกับกาลเวลาโดยตรง
    แต่ก็เกี่ยวข้องกับกระบวนการรับรู้ของสมองของคนเรา

    เพราะฉะนั้น ก็น่าจะเป็นประโยชน์ และช่วยเปิดโลกทรรศน์ใหม่ๆ
    ให้กับผู้ที่ยังติดอยู่ในกรอบ บางกรอบ ได้ไม่มากก็น้อยนะครับ

    ที่มา:

    ภูมิปัญญาภายใน-กับการทำงานของสมองซีกขวา

    http://palungjit.org/threads/ภูมิปัญญาภายใน-กับการทำงานของสมองซีกขวา.261796/

    .............................................................................

    เนื้อหาจากวีดีโอชุด How it feel to have a stroke

    บรรยายโดย ดร.จิว บอล์ต เทเลอร์ (Dr. Jill Bolte Taylor)
    นักประสาทกายวิภาคศาสตร์ (Neuroanatomist) ผู้มีประสบการณ์ด้วยตัวเอง

    ที่มาของเนื้อหา: Brain Scientist has a Stroke of Enlightenment


    แปลโดย: คุณ Threeam

    ตอนที่ 5

    ในเช้าวันที่เลือดคั่งในสมองของฉัน ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับมีอาการปวดเหมือนถูกตีกระหน่ำ บริเวณหลังตาซ้าย
    มันเป็นอาการปวดที่แบบเสียวแปล๊บๆ คล้ายๆกับเวลาที่ปวดฟันตอนกัดไอศกรีม
    ความปวดนั้นมันบีบรัด แล้วคลายออก แล้วก็บีบอีก และคลายออกอีก
    มันเป็นอาการปวดที่ฉันไม่เคยเป็นมาก่อน

    ตอนนั้นฉันจึงนึกในใจว่า ไม่เป็นไรฉันก็ยังจะไปทำกิจวัตรตามปกติของฉันได้เหมือนเดิม
    ดังนั้นฉันจึงลุกขึ้น แล้วไปที่เครื่อง Cardio glider ซึ่งเป็นเครื่องออกกำลังกายแบบทั้งตัวของฉัน


    ในขณะที่ฉันกำลังง่วนอยู่กับเครื่องฯอยู่นั้น ฉันรู้สึกตัวว่า มือของฉันดูเหมือนกรงเล็บ
    ที่จิกอยู่กับที่จับของเครื่องฯ ตอนนั้นฉันจึงนึกในใจว่า "นั่นดูแปลกประหลาดมากๆ"

    แล้วฉันก็ก้มมองดูร่างกายของตัวเอง และฉันก็คิดในใจว่า "ว้าว..ตัวฉันดูแปลกๆประหลาดพิกล"

    มันเหมือนกับว่าสติสัมปชัญญะของฉัน ได้เปลี่ยนระดับไป
    จากการรับรู้ถึงโลกแห่งความเป็นจริงตามปกติ
    ซึ่งก็คือ ตัวฉันผู้ที่กำลังออกกำลังกายอยู่บนเครื่องฯนี้
    กำลังมีประสบการณ์พิศวงบางอย่าง
    คือฉันกำลังเป็นผู้เฝ้ามองดูตัวฉันเอง กำลังมีประสบการณ์ดังกล่าวนี้อยู่



    และเพราะทุกอย่างที่ดูแปลกประหลาดไปเสียทั้งหมด และความเจ็บปวดของฉันก็เริ่มเลวร้ายมากขึ้น
    ฉันจึงเลิกเล่นเครื่องออกกำลังกาย


    และในขณะที่ฉันกำลังเดินผ่านห้องนั่งเล่นไปนั้น ฉันก็รู้สึกว่า ทุกๆอย่างภายในร่างกายของฉัน
    ได้เริ่มช้าลงเรื่อยๆแล้ว และทุกย่างก้าวที่ฉันเดิน ก็เริ่มเป็นไปอย่างแข็งเกร็ง และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก

    ฉันก้าวเท้าได้ไม่คล่องเอาซะเลย และขอบเขตการรับรู้ของฉันก็หดตัวลง
    ดังนั้นฉันจึงจดจ่อการรับรู้ของฉันอยู่แต่กับระบบภายในเท่านั้น


    ในขณะที่ฉันกำลังยืนอยู่ในห้องน้ำ กำลังเตรียมตัวจะก้าวเข้าไปใต้ฝักบัวอาบน้ำ
    ฉันแน่ใจว่า ฉันได้ยินเสียงคำพูดสนทนากันของส่วนต่างๆภายในร่างกายของฉันเอง
    ฉันได้ยินเสียงเล็กๆเสียงหนึ่งพูดว่า

    "โอเค..พวกคุณกล้ามเนื้อ พวกคุณต้องหดตัว, พวกคุณกล้ามเนื้อ พวกคุณต้องคลายตัว”


    ฉันเริ่มสูญเสียการทรงตัว ฉันจึงยันตัวเองไว้กับข้างฝาผนัง แล้วฉันก็มองดูที่แขนของฉัน

    ตอนนั้นฉันพบว่า ฉันไม่สามารถที่จะระบุขอบเขตของร่างกายของตัวฉันเองได้เหมือนเดิม
    ฉันไม่สามารถบอกได้ว่า ร่างกายของฉันเริ่มต้นจากตรงไหน และไปสิ้นสุดที่ตรงไหน
    เพราะว่าอะตอมและโมเลกุลของแขนของฉัน ได้หลอมรวมเข้ากับอะตอม
    และโมเลกุลของฝาผนังไปซะแล้ว

    และสิ่งเดียวที่ฉันสามารถสัมผัสได้ก็คือ “พลังงาน” และ “พลังงาน”


    [​IMG]


    แล้วฉันก็ถามตัวเองว่า "เกิดอะไรขึ้นกับฉัน ฉันเป็นอะไรไป ?"

    และในขณะนั้นเอง เสียงพูดคุยกันในสมองของฉัน, เสียงพูดคุยกันในสมองซีกซ้ายของฉันก็เงียบสนิทลง
    อย่างกับว่ามีใครไปหยิบรีโมทคอนโทรขึ้นมาแล้วกดปุ่มปิดเสียงอย่างนั้นแหละ..มันเงียบสนิทจริงๆ


    ตอนแรก ฉันตกใจมากที่พบว่าตัวเองตกอยู่ภายใต้ความเงียบสนิทของจิตใจ
    แต่หลังจากนั้นฉันก็เริ่มประทับใจในความมหัศจรรย์ของพลังงานรอบๆตัวฉัน

    และเพราะว่าฉันไม่สามารถระบุขอบเขตของร่างกายของฉันเองได้อีกต่อไป
    ฉันจึงรู้สึกถึงความกว้างใหญ่ไพศาล และการแผ่ขยายออกไป

    ฉันรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันกับพลังงานทั้งหมด และนั่นช่างเป็นสิ่งที่สวยงามเหลือเกิน


    และทันใดนั้น สมองซีกซ้ายของฉันก็กลับเข้ามาในสาย และพูดกับฉันว่า

    "เฮ้ !..เรามีปัญหานะ เรามีปัญหา เราต้องการความช่วยเหลือ"

    ก็ประมาณว่า OK OK ฉันกำลังมีปัญหา แต่แล้ว ในทันใดนั้น ฉันก็ถูกพัดพาให้กลับออกมาสู่จิตสำนึกนั้นอีกครั้งหนึ่ง
    ซึ่งฉันปรารถนาจะเรียกสภาวะความว่างเปล่านี้ว่า ลาลาแลนด์
    (La La Land – ที่ที่สบายๆเรียบง่าย เรื่อยๆมาเรียงๆ ยกตัวอย่างเช่น
    มีคนเรียกเกาะที่ผู้แปลอยู่ตอนนี้ว่า la la land.../ผู้แปล)

    แต่มันก็สวยงามมากเหลือเกิน ลองจินตนาการดูสิว่า มันจะเป็นอย่างไร ถ้าได้ตัดขาดการติดต่อกับเสียงในสมอง
    ที่เชื่อมคุณไว้กับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง


    ดังนั้น ณ.สถานที่แห่งความว่างเปล่าแห่งนี้ ความเครียดทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับตัวฉัน
    และงานของฉัน ได้มลายหายไปสิ้น และฉันก็รู้สึกว่าตัวเบาหวิว

    ลองจินตนาการดูเถิดว่า สัมพันธภาพทั้งหมด ที่มีอยู่กับโลกภายนอก
    และสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความเคร่งเครียดทั้งหลาย ที่เกี่ยวข้องกับพวกมัน ต่างมลายหายไปสิ้น

    ฉันจึงรู้สึกได้ถึงสันติสุข

    และลองจินตนาการดูอีกว่า มันจะเป็นความรู้สึกอย่างไร ที่ได้ปลดปล่อยอารมณ์ขยะที่มีมาตลอด 37 ปีของฉัน
    ทิ้งไปจนหมด ฉันรู้สึกเคลิ้มสุข เป็นความรู้สึกที่ช่างสวยงามเหลือเกิน


    และแล้วสมองซีกซ้ายของฉันก็กลับเข้ามาอยู่ในสายอีกครั้ง แล้วพูดกับฉันว่า

    "เฮ้ !..เธอต้องตั้งใจฟังหน่อยนะ เราต้องการความช่วยเหลือนะ"

    แล้วฉันก็คิดว่า "ฉันต้องหาคนมาช่วย ฉันต้องมีสติ" ฉันจึงออกจากที่อาบน้ำและแต่งตัวเหมือนหุ่นยนต์

    แล้วฉันก็เดินไปรอบๆอพาร์ทเม้นท์ของฉัน และเริ่มคิดต่อว่า

    "ฉันต้องไปทำงาน ฉันต้องไปทำงาน ฉันจะขับรถได้ไหม? ฉันจะขับรถได้ไหม?"


    และในขณะนั้นเอง แขนขวาของฉันก็เริ่มเป็นอัมพาตและตกอยู่ข้างตัวฉัน
    และฉันก็ตระหนักว่า

    "โอ้ พระเจ้าช่วย ! ฉันมีเลือดคั่งในสมอง ฉันมีเลือดคั่งในสมอง"

    แล้วสมองก็พูดกับฉันต่ออีกว่า
    "ว้าว ! มันเจ๋งมากเลย มันเจ๋งจริงๆเลย จะมีนักวิทยาศาสตร์ด้านสมองซักกี่คนกันนะ
    ที่จะมีโอกาสได้วิจัยสมองของตัวเอง จากภายในแบบนี้"


    [เสียงหัวเราะจากคนดู]


    ........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2011
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เนื้อหาจากวีดีโอชุด How it feel to have a stroke

    บรรยายโดย ดร.จิว บอล์ต เทเลอร์ (Dr. Jill Bolte Taylor)
    นักประสาทกายวิภาคศาสตร์ (Neuroanatomist) ผู้มีประสบการณ์ด้วยตัวเอง

    ที่มาของเนื้อหา: Brain Scientist has a Stroke of Enlightenment


    แปลโดย: คุณ Threeam

    ตอนที่ 7
    (จบ)

    เมื่อฉันตื่นขึ้นมาในบ่ายวันนั้น ฉันตกใจมากที่พบว่าฉันยังมีชีวิตอยู่
    เมื่อตอนที่ฉันสัมผัสได้ถึงการยอมจำนนทางจิตวิญญาณ
    ฉันได้กล่าวคำอำลากับชีวิตของฉันไปเรียบร้อยแล้ว

    และจิตใจของฉันในตอนนี้ ได้แขวนอยู่ระหว่างความเป็นจริงสองด้านที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง
    การกระตุ้นได้ผ่านเข้ามาทางระบบประสาทสัมผัสของฉัน ที่ช่างเจ็บปวดเหลือเกิน

    มันมีแสงสว่างส่องเผาสมองของฉันเหมือนไฟไหม้ป่า และมันก็มีเสียงที่ดังและยุ่งเหยิงมาก
    จนทำให้ฉันไม่สามารถแยกแยะเสียงใดๆออกจากเสียงรบกวนฉากหลังได้
    ฉันจึงอยากหนีไปเสียให้ไกล


    เนื่องจากฉันไม่สามารถบอกตำแหน่งแห่งหนของร่างกายของฉันในอวกาศได้
    ฉันจึงรู้สึกว่าตัวเองขยายใหญ่ออกไปอย่างมหึมา เหมือนยักษ์จีนี่ที่ออกมาจากขวดของเธอ
    จิตวิญญาณของฉันลอยทะยานอย่างอิสระ เหมือนปลาวาฬที่ว่ายร่อนในทะเลแห่งความเคลิ้มสุขเงียบงัน
    ทุกอย่างสอดคล้องประสานกัน ฉันจำได้ว่าฉันคิดในตอนนั้นว่า

    “ไม่มีทางที่ฉันจะยอมบีบร่างกายอันมหึมาของฉัน ให้กลับเข้ามาอยู่ในร่างกายเล็กๆนี้อีกอย่างเด็ดขาด”


    แต่แล้วฉันก็ตระหนักว่า "แต่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันยังไม่ตาย และฉันได้พบแดนสุขาวดี
    และถ้าฉันได้พบแดนสุขาวดี แล้วฉันก็ยังไม่ตาย ดังนี้ คนอื่นๆที่ยังมีชิวิตอยู่
    ก็สามารถที่จะพบแดนสุขาวดีนี้ได้เหมือนกัน"


    ฉันจินตนาการถึงโลกที่เต็มไปด้วยผู้คนที่น่ารัก ที่สวยงาม ที่สงบ
    ที่มีแต่ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ผู้ซึ่งรู้ดีว่าพวกเขาสามารถมาที่ดินแดนแห่งนี้ได้ทุกเวลา

    และพวกเขาก็สามารถ เลือกที่จะก้าวเข้ามาอยู่ในสมองซีกขวาของตนเองได้ เพื่อพบกับสันติสุขนี้

    และฉันก็ประจักษ์ว่า ประสบการณ์นี้มันช่างเป็นของขวัญที่พิเศษสุดๆจริงๆ
    การได้มาล่วงรู้ถึงปัญญาที่แท้จริงนี้ จะสามารถนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์แก่การดำเนินชีวิตของเราได้
    และสิ่งนี้เองที่ผลักดันให้ร่างกายฉันหายป่วย


    สองสัปดาห์ครึ่งหลังจากการตกเลือดในสมอง ศัลยแพทย์ได้นำก้อนเลือดคั่งขนาดเท่าลูกกอล์ฟ
    ที่กดศูนย์กลางภาษาในสมองของฉันออกไป

    [​IMG]

    นี่เป็นรูปของฉันกับคุณแม่ ผู้เป็นนางฟ้าตัวจริงในชีวิตฉัน
    และฉันใช้เวลาทั้งหมดแปดปีสำหรับการฟื้นฟูสภาพร่างกาย

    [​IMG]

    สรุปแล้ว เราคือใคร?


    เราคือพลังชีวิตแห่งจักรวาล ที่มีความหลักแหลม และมีจิตใจที่สามารถรู้สึกนึกคิดได้ทั้งสองแบบ
    และเราก็มีพลังอำนาจที่จะเลือกอยู่ตลอดเวลา ว่าเราจะเป็นใครและเป็นอย่างไรในโลกใบนี้


    ณ.ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ฉันสามารถก้าวเข้าไปอยู่ในจิตสำนึกของสมองซีกขวาของฉัน
    ที่ซึ่งพวกเราเป็น -- ฉันเป็น – พลังชีวิตแห่งจักรวาล และเป็นพลังชีวิตของโมเลกุลอัจฉริยะ
    ทั้ง 50 พันล้านโมเลกุลที่สวยงาม ซึ่งประกอบกันขึ้นมาเป็นร่างกายของฉัน
    และเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มีอยู่เป็นอยู่

    หรือไม่ก็ ฉันสามารถเลือกที่จะก้าวเข้าไปอยู่ในจิตสำนึกของสมองซีกซ้ายของฉัน
    ที่ซึ่งฉันกลายมาเป็น ตัวตนหนึ่ง ที่แยกขาดจากกระแสพลังดังกล่าว แยกขาดจากพวกคุณ

    ฉันคือ ดร.จิว บอล์ต เทเลอร์ ผู้มีสติปัญญา ผู้เป็นนักประสาทกายวิภาคศาสตร์

    เหล่านี้คือสิ่งที่เป็น "เรา" ที่อยู่ในตัวฉัน

    [​IMG]
    (Dr. Jill Bolte Taylor)

    แบบไหนล่ะที่คุณจะเลือก ?
    แบบไหนล่ะที่คุณเลือกอยู่ ?
    และเมื่อไหร่ที่คุณจะเลือก ?


    ฉันเชื่อว่า ยิ่งเราใช้เวลาในการเลือกที่จะก่อวงจรแห่งความสงบสุขอันลุ่มลึก
    ขึ้นในสมองซีกขวาของเราเองมากเท่าไหร่ ความสงบสุข ก็จะยิ่งถูกฉายเข้ามาในโลกใบนี้มากเท่านั้น
    และสันติสุขก็จะเกิดขึ้นบนดาวพระเคราะห์ดวงนี้ มากขึ้นเท่านั้นด้วย


    และฉันก็คิดว่า แนวความคิดนี้ มีค่าควรแก่การเผยแพร่ออกไป



    ........................
     
  5. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,227
    ค่าพลัง:
    +10,593
    ขอลองยกเอาข้อความเก่าๆ มาโพสอีกทีนะฮะ เพราะเห็นว่ามันก็เกี่ยวกับเรื่องกาลเวลาเหมือนกัน อันนี้จากลิงค์นี้ <a href="http://palungjit.org/threads/%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%9E-%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-@%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B2-%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%A2@-[writer].86527/page-155">เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง-มิติ-ความฝัน-ชาติภพ-จิตวิญญาณ-โดย-@โนวา-อนาลัย@-วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ - PaLungJit.com[writer]</a>
    <hr>
    <font color="Purple">คุณ zipper เข้าใจถูกต้องตามที่พี่นักเขียนพยายามจะอธิบายค่ะ

    ตามสาระที่พี่นักเขียนรับมาจากการสื่อสารนี้ พี่นักเขียนเข้าใจว่าภาวะที่เป็นไปของจิตวิญญาณในอนาคต ที่พี่นักเขียนเรียกท่านว่าอาจารย์อนาลัยนั้น ไม่ใช่การเป็นบุคคลตัวตนบุคคลตัวตนในอนาคตที่เราเรียกกันว่ากาลสมัยข้างหน้า แต่เป็นภาวะของจิตวิญญาณที่กว้างขวางหรือมีความรู้มากกว่าบุคคลตัวตนอย่างพี่นักเขียน เพราะธรรมชาติความเป็นจริงข้อหนึ่งที่เราต้องนำมาไว้ในสติสัมปชัญญะเพื่อทำความเข้าใจในสาระนี้คือ อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป-พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน

    กล่าวได้ว่าจิตวิญญาณของเราทั้งหลายเป็นจิตวิญญาณที่มีความเชื่อมากกว่าความรู้ หากไม่นึกคิดถึงจิตวิญญาณอันเป็นแก่นแท้ของตัวตนของเราว่าบรรจุอยู่ในรูปกายหรือร่างกายอันจำกัด พี่นักเขียนเข้าใจว่าภาวะของของท่านอาจารย์อนาลัยเป็นภาวะรวมของจิตวิญญาณที่รวบรวมเอาความรู้จากบุคคลตัวตนทั้งหลายเข้าด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นตัวตนรวมหรือจิตวิญญาณรวม<br /> <br /> <font color="Gray">diagram ของคุณ zip ทำให้พี่นักเขียนหวลคิดถึงความฝันที่พี่นักเขียนได้เริ่มต้นจากการ sketch ไว้เป็นภาพและถอดความบางส่วนมาเขียนเป็นหนังสือ โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติภาคต้นและภาคปลาย sketch จากความฝันดูยากและไม่สวย พี่นักเขียนเห็น diagram ของคุณ zip ดูเข้าใจง่ายดี เลยลองทำ diagram ใหม่ด้วย photoshop ตามคำแนะนำของคุณ zip โดยวาดทีละ layer จาก sketch ความฝันบ้าง<br /> </font><br /> <img src="http://palungjit.org/attachments/a.248086/" border="0" alt="" />

    พี่นักเขียนฝันเห็นบุคลิกภาพของบุคคลตัวตนที่มีรูปกายเหมือนพวกเรามากมายเป็นอนันต์ ซึ่งประกอบกันเหมือนวงกลมในภาพ แต่ละคนชูมือขึ้นไปเหนือศีรษะ ซึ่งพี่นักเขียนตระหนักว่าเป็นหน้าที่ของเราแต่ละคนที่จะสนับสนุน ช่วยเหลือเกื้อกูลและถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้ที่อ่อนแอกว่าทั้งทางกายทางจิตวิญญาณหรือปัญญา<br /> <br /> <font color="Gray">ในความฝันได้ยินท่านอาจารย์อนาลัยบรรยายเหมือนอย่างที่คุณ axzon47 และน้องลูกเกดใช้คำว่า บรรยายสารคดี เพราะมีเนื้อหาสาระที่ดำเนินไปพร้อมกับภาพเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยรายละเอียด</font>

    ท่านกล่าวว่า <font color="DarkRed">เมื่อจิตวิญญาณเรียนรู้ที่จะรักอย่างปราศจากเงื่อนไขด้วยการให้ สนับสนุน ช่วยเหลือเกื้อกูลและถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้ที่อ่อนแอกว่าทั้งทางกายทางจิตวิญญาณหรือปัญญาแล้ว จิตวิญญาณจะก้าวลง หรือถอยกลับไปสู่ภาวะต้นกำเนิด พี่นักเขียนได้ยินท่านพูดด้วยอารมณ์ขันว่า พี่นักเขียนคงรู้จักแต่คำว่าก้าวหน้าหรือก้าวขึ้น จนแทบจะจินตนาการไม่ออกว่า ความก้าวหน้าจะทำให้ก้าวลงหรือถอยกลับได้อย่างไร</font>

    แต่ท่านก็อธิบายต่อไปว่า <font color="DarkRed">การก้าวลงหรือถอยกลับ ทำให้จิตวิญญาณขยายตัว โดยรวมตัวกับจิตวิญญาณอื่นๆ ทำให้ความเป็นบุคคลตัวตนลดน้อยถอยลงหรือจางหายไป จนในที่สุดจิตวิญญาณรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวกับต้นกำเนิดหรือศูนย์กลางของจักรวาล แต่กระบวนการทั้งหมดไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบ แต่ดำเนินไปตลอดเวลาอย่างสม่ำเสมอและถาวรที่สุด<br /> </font><br /> <font color="DarkRed">ในขณะเดียวกันจิตวิญญาณก็แตกแขนงออกไปสู่วงนอก หรือแตกตัวแยกย่อยออกไปเพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์อย่างไม่มีวันสิ้นสุด ตามภาพในความฝันที่เป็นภาพเคลื่อนไหวนั้น วงกลมที่ประกอบด้วยตัวตนเหล่านี้ขยายออกไปอย่างต่อเนื่องไม่มีวันสิ้นสุด พร้อมกันกับที่บุคลิกภาพทั้งหลายก็เคลื่อนเข้าสู่ศูนย์กลางของวงกลมด้วยพร้อมๆกัน

    ณ จุดที่แลเห็นบุคลิกภาพที่ไม่ได้ชูแขนขึ้นเหนือศีรษะเพื่อสนับสนุน ช่วยเหลือเกื้อกูลและถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้ที่อ่อนแอกว่าทั้งทางกายทางจิตวิญญาณหรือปัญญา ท่านอาจารย์อนาลัยได้ระบุว่า เป็นจุดแห่งความเสื่อม ซึ่งหมายถึงปราศจากการถ่ายทอดความรู้ ปราศจากการให้ ปราศจากความรักและสนับสนุน ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น</font>

    ตามที่พี่นักเขียนเข้าใจและสัมผัสรู้จากความฝันคือ ท่านอาจารย์อนาลัยปราศจากตัวตน และอยู่ในมิติที่ตาม diagram แสดงด้วยสีชมพู ท่านกล่าวว่าท่านยังต้องเรียนรู้ธรรมชาติความเป็นจริงของจักรวาลต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นภาวะของท่านก็จะเปลี่ยนแปลงต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้นเช่นกัน เพราะวิวัฒนาการของจิตวิญญาณปราศจากจุดเริ่มตนและจุดสิ้นสุด<br /> <br /> <font color="Gray">หากท่านพัฒนาเข้าไปสู่ศูนย์กลางของจักรวาล ซึ่งใน diagram แสดงด้วยสีฟ้า ท่านกล่าวว่า ในมิติที่กว้างไกลกว่าจักรวาลทางกายภาพหรือมิติที่เรารู้จัก ศูนย์กลางนี้จะกลายเป็นเพียงจุดหนึ่งในระบบใหม่ ซึ่งตำแหน่งหรือจุดยืนของท่านอาจเปรียบได้กับบุคลิกภาพที่อยู่ในรัศมีรอบนอกสุดในระบบนี้ หรือใน diagram นี้ และจะต้องพัฒนาเข้าไปสู่ศูนย์กลางของระบบใหม่นั้นต่อไปอีก</font>

    แต่ระบบต่อไปที่ท่่านจะไปสู่ไม่ใช่ระบบจักรวาลทางกายภาพ และเป็นระบบที่เกินกว่าที่เราทั้งหลายจะเข้าใจได้

    จาก diagram นี้ พี่นักเขียนพยายามจะแสดงให้พวกเราเห็นตามความฝันของพี่นักเขียนว่า การเป็นบุคคลตัวตนจะลดน้อยหรือจากหายไป ตัวตนย่อยที่อยู่วงรอบนอก จะมีวิวัฒนาการอันเกิดจากการรวมตัวกันของจิตวิญญาณหรือรวมตัวกันของความรู้<br /> <br /> <font color="Gray">ยิ่งการรวมตัวเกิดขึ้นมากเท่าไร ภาวะอันเป็นกายภาพก็จะลดน้อยลงเท่านั้นเป็นลำดับ ยิ่งรวมตัวหรือมีวิวัฒนาการรุดหน้าไปเท่าไร การเป็นบุคคลตัวตนซึ่งมีภาวะเป็นกายภาพก็จะลดน้อยลงเท่านั้น </font>

    ท่านอาจารย์อนาลัยคือบุคลิกภาพใดใน diagram พี่นักเขียน หรือพวกเราแต่ละคน คือตัวตนใดใน diagram พี่นักเขียนขอให้พวกเราใช้จินตนาการกว้างไกลต่อไปอีก เพราะ diagram นี้เป็นเพียง 2D หากทำ 3D ได้ มันก็คงจะซ้อนกันทุกระนาบจนกลายเป็นระบบเครือข่ายที่ทุกบุคคลตัวตนหรือทุกบุคลิกภาพประสานกัน หรือติดต่อสื่อสารกันได้ทั้งหมดเป็นระบบ คุณ zip ทำ 3D animation เก่งๆ หากลองนำ diagram นี้ไปทำตามจินตนาการมาถ่ายทอดให้พวกเราดูกันบ้างคงจะน่าสนใจมากทีเดียวค่ะ<br /> <br /> <font color="Gray">ในขณะที่กำลังพิมพ์ข้อความนี้ พี่นักเขียนทำงานอยู่ในห้องชั้น basement ของบ้านซึ่งไม่มีหน้าต่าง จู่ๆก็มีแมลง<font color="DarkOrange">เต่าทอง</font>ตกลงมาจากไหนไม่ทราบ มาเกาะบนหลังมือซ้าย ทำให้ฉุกคิดขึ้นมาได้อีกอย่างว่า ในความฝันนั้นท่านอาจารย์อนาลัยได้บรรยายว่า การปราศจากร่างกายตัวตนหรือการปราศจากรูปกาย หมายถึงอิสรภาพของจิตวิญญาณที่จะเป็นอะไรก็ได้ เป็นน้ำค้าง ใบหญ้า สายลม แสงแดด สายรุ้ง ดาวฤกษ์ ฯลฯ และก็น่าจะรวมถึงเต่าทองตัวนี้ด้วย</font>

    อากาศหนาวจนเต่าทองไม่มีมานานเกือบสองเดือนแล้วค่ะ จะปล่อยเขาออกไปข้างนอกก็ไม่ได้แล้งเพราะ snow กำลังตกหนัก และจะตกติดต่อกันอีกหลายวัน พี่นักเขียนเลยขึ้นไปชั้นบนบ้านเอาเขาไปปล่อยไว้ที่ต้นมะลิ ซึ่งเลี้ยงในกระถางและตั้งไว้ในห้องอาหารเช้าในบ้าน ต้นสูงเลยศีรษะค่ะ คงจะพออยู่ได้อีกนานวัน เพราะนอกจากมะลิแล้วยังมีต้นโป๊ยเซียนอีกหลายต้นซึ่งออกดอกเต็มต้นตลอดปี

    นับว่า<font color="DarkOrange">เต่าทอง</font>เป็นความบังเอิญที่มีความหมายอีกอย่างนะคะสำหรับวันนี้<img src="http://palungjit.org/images/smilies/rose.gif" border="0" alt="" title="Red rose" class="inlineimg" /></font>
    <img src=http://palungjit.org/attachments/a.247610/" height="200px"/>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2011
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ zipper


    ได้ลองเปิดอ่านผ่านๆ ดูในเล่ม โลกแห่งความจริงหลากมิติ(ภาคปลาย)
    ก็ไปเจอข้อสงสัยเลยขออนุญาตกระโดดไปถามในเล่มนั้นหน่อยครับ

    ขอยกข้อความในหนังสือมา หน้า 315-316


    ในนัยอัน จำเพาะกล่าวได้ว่า ฉันคือบุคลิกภาพ หรือบุคคลตัวตนในอนาคตของนักเขียนผู้เป็นล่ามและเลขาของฉัน
    แต่ในขณะเดียวกัน อดีตของเขาก็ยังคงดำเนินไปอย่างสร้างสรรค์ แต่ประสบการณ์ชีวิตของนักเขียน
    ก็ไม่ได้อยู่ในความทรงจำของฉัน เพราะเมื่อฉันมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปในชาติภพที่ฉันเป็นเขา
    ฉันก็มีประสบการณ์ชีวติที่แตกต่างไปจากเขา โลกแห่งความเป็นจริงของเขาไม่ได้ถูกกำหนดโดยฉัน
    และโลกแห่งความเป็นจริงของฉัน ก็ไม่ได้ถูกกำหนดโดยเขา

    ฉันมีความจำว่า ฉันเคยเป็นเขา แต่เขาในความทรงจำของฉัน ก็ไม่ใช่เขาในโลกแห่งความเป็นจริงของนักเขียน
    นักเขียนทำให้ฉันประหลาดใจเสมอๆ เพราะความคิดและการกระทำในปัจจุบันของเขาพลิกผันอดีตของฉัน

    ในนัยของนักเขียน-ฉันคือบุคลิกภาพหรือบุคคลตัวตนในอนาคตของเขา ซึ่งมีความรู้ มากมายกว่าเขาเป็นอันมาก
    แต่เขาก็ใช้ความรู้ของฉันพลิกผันโลกแห่งความเป็นจริงของเขาในปัจจุบัน
    เมื่อฉันเคยเป็นเขา-ฉันไม่ได้มีความรู้ความสามารถที่จะทำเช่นนี้ได้

    กล่าวได้ว่า เมื่อนักเขียนนำความรู้จากฉันมาพลิกผันโลกแห่งความเป็นจริงของ เขาในปัจจุบัน
    มันทำให้อดีตของฉันพลิกผันไปด้วย และประสบการณ์ชีวิตในปัจจุบันของนักเขียนก็พลิกผันประสบการณ์ชีวิต
    ในปัจจุบันของฉันด้วยเช่นกัน


    หน้า 320


    หากเปรียบบุคลิกภาพหรือบุคคลตัวตนที่ เกิดในพ.ศ. ๒๓๒๓ ว่าเปรียบเสมือนพืชพันธุ์ที่งอกงาม
    อยู่ ณ ตำแหน่งความสูงหนึ่งๆ ของภูเขาหรืองอกงามอยู่ ณ หน้าผาชั้นหนึ่งๆ บุคลิกภาพ
    หรือบุคคลตัวตนที่เกิดในปี พ.ศ. ๒๓๒๓ ไม่จำเป็นจะต้องเกิดเวลาเดียวกันเสมอไป

    เธอนึกคิดถึงปีพ.ศ. ๒๓๒๓ เปรียบเสมือนฤดูกาลหน้าหนึ่ง ที่พืชพันธุ์งอกงามขึ้นบนหน้าผา
    ดอกไม้ที่บานในฤดูร้อนของปีหนึ่ง ไม่อาจมองเห็น หรือปะปนกับดอกไม้ที่บานในฤดูร้อนของปีต่อมา หรือปีก่อนหน้านั้น
    ในนัยเดียวกันนี้ บุคลิกภาพหรือตัวตนที่เกิดในปี พ.ศ. ๒๓๒๓ ในฤดูกาลหนึ่งๆ
    ก็ไม่อาจรู้เห็น หรือปะปนกับบุคลิกภาพ หรือบุคคลตัวตนที่เกิดต่างฤดู-ในปี เดียวกันได้

    แต่ฤดูกาลของโลกก็อาจทำให้เธอเข้าใจอย่างผิดๆ เพราะในอุปมาอุปมัยของกาลเวลา
    หน้าผาแต่ละชั้นจะเปรียบเสมือนปีหนึ่งๆ แต่ละหน้าผามีไม้ดอกคุณลักษณะต่างๆ มากมายหลายหลากเกิดขึ้น
    ปีพ.ศ. ๒๓๒๓ ที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง และปีพ.ศ.อื่น เช่นปี พ.ศ. ๒๓๒๔ หรือปีพ.ศ.๒๓๒๕
    มีเส้นทางของพัฒนาการของมันเอง


    และหน้า 326-237


    กลับไปสู่อุปมาอุปมัยของดอกไม้ บนหน้าผาอีกครั้ง ดอกไม้บนหน้าผาแต่ละดอก
    มองเห็นหุบเหวที่อยู่เบื้องล่าง จากมุมมองของมัน และมันก็มองเห็นสภาพแวดล้อมที่มันคุ้นเคยได้ไกลออกไปพอสมควร
    กล่าวโดยรวมได้ว่า ดอกไม้ที่เบ่งบานในฤดูร้อน ย่อมจะบานและเหี่ยวแห้งตายไปในเวลาใกล้เคียงกัน

    ในฤดูร้อนปีต่อไป ดอกไม้ดอกใหม่ที่เจริญงอกงามและเบ่งบาน ณ หน้าผาเดิมจะมีมุมมองที่แตกต่างไปเล็กน้อย
    แต่แบบแผนโดยรวมของมัน ก็จะคล้ายคลึงกับดอกไม้พันธุ์เดิม ต้นไม้พันธุ์เดิมจะกลับมาเจริญงอกงามในตำแหน่งเดิม
    บ้านเรือน และกระต๊อบหลังเดิมที่อยู่เชิงเขาจะดูเสมือนว่าอยู่ในตำแหน่งเดิม

    หากเธอมองดูภูมิประเทศหนึ่งๆ ในฤดูร้อนปีนี้และปีต่อไป เธออาจกล่าวว่า
    "เออ! ต้นดาวเรืองกลับมาออกดอกใหม่ ตรงที่เดิมที่มันเคยอยู่เมื่อปีก่อน"

    แต่เธอก็อาจจะกล่าวว่าดอกไม้ที่เธอเก็บมา เป็นคนละดอกกับที่เธอเก็บมาเมื่อปีที่แล้ว
    แต่ธรรมชาติการจดจ่อของเธอ จะทำให้เธอเห็นความแตกต่างได้ก็ต่อเมื่อเธอถูก บังคับให้เห็นเท่านั้น
    มิฉะนั้น เธอก็จะคิดว่าดอกดาวเรืองก็คือดอกดาวเรือง มันกลับมาออกดอกทุกหน้า ร้อน

    ความแตกต่างของดอกไม้ที่มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป แต่ไม่อาจอธิบายได้เกี่ยวพันกับสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย
    ในขอบข่ายของดอกไม้ที่เธอเด็ดมาชื่นชม มันเป็นดอกไม้ในโลกแห่งความเป็นจริงของมัน
    ซึ่งเธอไปเก็บมันมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงของเธอ

    หากดอกดาวเรืองสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมของมันเมื่อปีก่อนได้ ความแตกต่างทั้งหมดที่เธอมองข้ามไป
    จะกลายเป็นความแตกต่างที่เด่นชัดจน กระทั่งเจ้าดอกดาวเรืองอาจคิดว่ามันเกี่ยวพันกับโลกแห่งความเป็นจริงหลายโลก

    หากเปรียบดอกดาวเรืองที่กลับมาเบ่งบาน ณ หน้าผาเดิมทุกฤดูร้อน กับบุคลิกภาพหรือบุคคลตัวตนที่ถือกำเนิดในปีรศ.๑๑๒
    กล่าวได้ว่า บุคลิกภาพหรือบุคคลตัวตนเหล่านั้น ถือกำเนิดบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่หลากหลายเป็นอนันต์
    ฤดูร้อนแต่ละปี เปรียบได้กับเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นหนึ่งๆ ดอกไม้ที่เบ่งบานในแต่ละครั้ง
    แม้ว่าจะเป็นเดือนเดียวกัน ปีเดียวกัน ก็แตกต่างกันไป ไม่ใช่แต่เพียงในนัยของภาวะภายนอกเท่านั้น
    แต่แตกต่างกันในนัยของภาวะภายในด้วย


    ตามความเข้าใจ อ. โนวา อนาลัย ก็คืออนาคตของพี่นักเขียนในอีกเส้นทางแห่งความเป็นไปได้นึง
    ที่มาติดต่อกับพี่นักเขียน ในเส้นทางแห่งความเป็นไปได้นี้ อย่างในรูปที่วาดมา ใช่หรือเปล่าครับ??


    แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นจริงๆ ก็คือว่า อย่างนี้ก็หมายความว่า ชีวิตในชาติภพนี้ ไม่ใช่ว่าจบไปแล้วก็จบไปแล้ว
    แต่มันก็จะมีการ rerun ใหม่ เหมือนอย่างละครที่เรื่องเดียวกัน เอามาแสดงซ้ำหลายๆ รอบ
    แต่ละรอบ ก็อาจจะมีรายละเอียดปลีกย่อยอะไรแตกต่างกันไป อย่างนั้นหรือครับ??


    ตัวอย่างเช่น อดีตในช่วงอยุธยา เราคิดว่ามันผ่านช่วงนั้นและมันจบลงไปแล้ว แต่ว่าจริงๆ แล้ว
    มันก็จะยังสามารถวนไปดำเนินซ้ำอีกได้ โดยที่อาจจะมีรายละเอียดอะไรต่างกันไปอีก


    หรือว่าจริงๆ แล้วเรื่องดอกไม้บนหน้าผาที่ยกมา ต้องการสื่อแค่ว่าในช่วงเวลานึงๆ
    จะมีเส้นทางแห่งความเป็นไปได้หลากหลาย โดยหน้าร้อนแต่ละปี ก็เปรียบเหมือนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ในอีกเส้นทางนึง
    ไม่ได้หมายความว่าเหตุการณ์ในแต่ละชาติภพสามารถวนเกิดซ้ำๆ กันได้


    จริงๆ แล้วมันต้องอ่าน โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ ภาคต้นมาก่อน แล้วค่อยมาอ่าน ภาคปลาย
    นี่ดันกระโดดมาอ่านภาคปลายมาก่อนเลย ถ้าอ่านภาคต้นมาก่อนอาจจะไม่งงก็ได้


    <------------------------------------------------------------------>


    คิดไปคิดมา อ.โนวา อนาลัย ก็เหมือนกับโดราเอมอนที่ย้อนอดีตมาหาโนบิตะเลย เพื่อมาทำให้อนาคตของโนบิตะดีขึ้น
    [​IMG]

    [​IMG]

    คุณ zipper เข้าใจถูกต้องตามที่พี่นักเขียนพยายามจะอธิบายค่ะ

    ตามสาระที่พี่นักเขียนรับมาจากการสื่อสารนี้ พี่นักเขียนเข้าใจว่าภาวะที่เป็นไปของจิตวิญญาณในอนาคต
    ที่พี่นักเขียนเรียกท่านว่าอาจารย์อนาลัยนั้น ไม่ใช่การเป็นบุคคลตัวตน บุคคลตัวตนในอนาคตที่เราเรียกกันว่ากาลสมัยข้างหน้า
    แต่เป็นภาวะของจิตวิญญาณที่กว้างขวาง หรือมีความรู้มากกว่าบุคคลตัวตนอย่าง พี่นักเขียน
    เพราะธรรมชาติความเป็นจริงข้อหนึ่ง ที่เราต้องนำมาไว้ในสติสัมปชัญญะเพื่อทำ ความเข้าใจในสาระนี้คือ
    อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป-พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน

    กล่าวได้ว่า จิตวิญญาณของเราทั้งหลาย เป็นจิตวิญญาณที่มีความเชื่อมากกว่าความ รู้
    หากไม่นึกคิดถึงจิตวิญญาณอันเป็นแก่นแท้ของตัวตนของเราว่าบรรจุอยู่ในรูปกาย หรือร่างกายอันจำกัด
    พี่นักเขียนเข้าใจว่า ภาวะของของท่านอาจารย์อนาลัยเป็นภาวะรวมของจิตวิญญาณ
    ที่รวบรวมเอาความรู้จากบุคคลตัวตนทั้งหลายเข้าด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นตัวตนรวมหรือจิตวิญญาณรวม

    diagram ของคุณ zip ทำให้พี่นักเขียนหวลคิดถึงความฝันที่พี่นักเขียนได้เริ่มต้นจากการ sketch ไว้เป็นภาพ
    และถอดความบางส่วนมาเขียนเป็นหนังสือ โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติภาคต้นและภาคปลาย
    sketch จากความฝันดูยาก และไม่สวย พี่นักเขียนเห็น diagram ของคุณ zip ดูเข้าใจง่ายดี
    เลยลองทำ diagram ใหม่ด้วย photoshop ตามคำแนะนำของคุณ zip โดยวาดทีละ layer จาก sketch ความฝันบ้าง

    [​IMG]

    พี่นักเขียนฝันเห็นบุคลิกภาพของบุคคลตัวตนที่มีรูปกายเหมือนพวกเรามากมาย เป็นอนันต์
    ซึ่งประกอบกันเหมือนวงกลมในภาพ แต่ละคนชูมือขึ้นไปเหนือศีรษะ ซึ่งพี่นักเขียนตระหนักว่า
    เป็นหน้าที่ของเราแต่ละคน ที่จะสนับสนุน ช่วยเหลือเกื้อกูลและถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้ที่อ่อนแอกว่า
    ทั้งทางกาย ทางจิตวิญญาณ หรือปัญญา

    ในความฝันได้ยินท่านอาจารย์ อนาลัยบรรยายเหมือนอย่างที่คุณ axzon47 และน้องลูกเกดใช้คำว่า
    บรรยายสารคดี เพราะมีเนื้อหาสาระที่ดำเนินไปพร้อมกับภาพเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยรายละเอียด


    ท่านกล่าวว่า เมื่อจิตวิญญาณเรียนรู้ที่จะรักอย่างปราศจากเงื่อนไข ด้วยการให้ สนับสนุน ช่วยเหลือเกื้อกูล
    และถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้ที่อ่อนแอกว่า ทั้งทางกาย ทางจิตวิญญาณ หรือปัญญาแล้ว
    จิตวิญญาณจะก้าวลง หรือถอยกลับไปสู่ภาวะต้นกำเนิด พี่นักเขียนได้ยินท่านพูดด้วยอารมณ์ขันว่า
    พี่นักเขียนคงรู้จักแต่คำว่าก้าวหน้าหรือก้าวขึ้น จนแทบจะจินตนาการไม่ออกว่า ความก้าวหน้า
    จะทำให้ก้าวลง หรือถอยกลับได้อย่างไร


    แต่ท่านก็อธิบายต่อไปว่า การก้าวลงหรือถอยกลับ ทำให้จิตวิญญาณขยายตัว โดยรวมตัวกับจิตวิญญาณอื่นๆ
    ทำให้ความเป็นบุคคลตัวตนลดน้อยถอยลง หรือจางหายไป จนในที่สุดจิตวิญญาณรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวกับต้นกำเนิด
    หรือศูนย์กลางของจักรวาล แต่กระบวนการทั้งหมดไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบ
    แต่ดำเนินไปตลอดเวลาอย่างสม่ำเสมอและถาวรที่สุด

    ในขณะเดียวกัน จิตวิญญาณก็แตกแขนงออกไปสู่วงนอก หรือแตกตัวแยกย่อยออกไป
    เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์อย่างไม่มีวันสิ้นสุด ตามภาพในความฝันที่เป็นภาพเคลื่อนไหวนั้น
    วงกลมที่ประกอบด้วยตัวตนเหล่านี้ ขยายออกไปอย่างต่อเนื่องไม่มีวันสิ้นสุด พร้อมกันกับที่บุคลิกภาพทั้งหลาย
    ก็เคลื่อนเข้าสู่ศูนย์กลางของวงกลมด้วยพร้อมๆกัน

    ณ จุดที่แลเห็นบุคลิกภาพที่ไม่ได้ชูแขนขึ้นเหนือศีรษะเพื่อสนับสนุน ช่วยเหลือเกื้อกูล
    และถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้ที่อ่อนแอกว่าทั้งทางกาย ทางจิ วิญญาณ หรือปัญญา ท่านอาจารย์อนาลัยได้ระบุว่า
    เป็นจุดแห่งความเสื่อม ซึ่งหมายถึงปราศจากการถ่ายทอดความรู้ ปราศจากการให้
    ปราศจากความรัก และสนับสนุน ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น


    ตามที่พี่นักเขียนเข้าใจ และสัมผัสรู้จากความฝันคือ ท่านอาจารย์อนาลัยปราศจากตัวตน
    และอยู่ในมิติที่ตาม diagram แสดงด้วยสีชมพู ท่านกล่าวว่า ท่านยังต้องเรียนรู้
    ธรรมชาติความเป็นจริงของจักรวาลต่อไป อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นภาวะของท่านก็จะเปลี่ยนแปลงต่อไป
    อย่างไม่มีวันจบสิ้นเช่นกัน เพราะวิวัฒนาการของจิตวิญญาณ ปราศจากจุดเริ่มตนและจุดสิ้นสุด

    หาก ท่านพัฒนาเข้าไปสู่ศูนย์กลางของจักรวาล ซึ่งใน diagram แสดงด้วยสีฟ้า
    ท่านกล่าวว่า ในมิติที่กว้างไกลกว่าจักรวาลทางกายภาพหรือมิติที่เรารู้จัก ศูนย์กลางนี้
    จะกลายเป็นเพียงจุดหนึ่งในระบบใหม่ ซึ่งตำแหน่ง หรือจุดยืนของท่านอาจเปรียบได้กับ
    บุคลิกภาพที่อยู่ในรัศมีรอบนอกสุดในระบบนี้ หรือใน diagram นี้ และจะต้องพัฒนาเข้าไปสู่ศูนย์กลางของระบบใหม่นั้นต่อไปอีก


    แต่ระบบต่อไปที่ท่่านจะไปสู่ ไม่ใช่ระบบจักรวาลทางกายภาพ และเป็นระบบที่เกินกว่าที่เราทั้งหลายจะเข้าใจได้

    จาก diagram นี้ พี่นักเขียนพยายามจะแสดงให้พวกเราเห็นตามความฝันของพี่นักเขียนว่า
    การเป็นบุคคลตัวตน จะลดน้อยหรือจากหายไป ตัวตนย่อยที่อยู่วงรอบนอก
    จะมีวิวัฒนาการอันเกิดจากการรวมตัวกันของจิตวิญญาณ หรือรวมตัวกันของความรู้

    ยิ่งการรวมตัวเกิดขึ้นมากเท่าไร ภาวะอันเป็นกายภาพ ก็จะลดน้อยลงเท่านั้นเป็นลำดับ
    ยิ่งรวมตัว หรือมีวิวัฒนาการรุดหน้าไปเท่าไร การเป็นบุคคลตัวตนซึ่งมีภาวะเป็นกายภาพก็จะลดน้อยลงเท่านั้น


    ท่านอาจารย์อนาลัยคือบุคลิกภาพใดใน diagram พี่นักเขียน หรือพวกเราแต่ละคน คือตัวตนใดใน diagram
    พี่นักเขียนขอให้พวกเราใช้จินตนาการกว้างไกลต่อไปอีก เพราะ diagram นี้เป็นเพียง 2D
    หากทำ 3D ได้ มันก็คงจะซ้อนกันทุกระนาบ จนกลายเป็นระบบเครือข่ายที่ทุกบุคคลตัวตนหรือทุกบุคลิกภาพประสานกัน
    หรือติดต่อสื่อสารกันได้ทั้งหมดเป็นระบบ คุณ zip ทำ 3D animation เก่งๆ หากลองนำ diagram นี้
    ไปทำตามจินตนาการ มาถ่ายทอดให้พวกเราดูกันบ้างคงจะน่าสนใจมากทีเดียวค่ะ

    ในขณะที่กำลังพิมพ์ข้อความนี้ พี่นักเขียนทำงานอยู่ในห้องชั้น basement ของบ้าน ซึ่งไม่มีหน้าต่าง
    จู่ๆก็มีแมลงเต่าทองตกลงมาจากไหนไม่ทราบ มาเกาะบนหลังมือซ้าย ทำให้ฉุกคิดขึ้นมาได้อีกอย่างว่า
    ในความฝันนั้น ท่านอาจารย์อนาลัยได้บรรยายว่า การปราศจากร่างกายตัวตน หรือการปราศจากรูปกาย
    หมายถึงอิสรภาพของจิตวิญญาณที่จะเป็นอะไรก็ได้ เป็นน้ำค้าง ใบหญ้า สายลม แสงแดด สายรุ้ง ดาวฤกษ์ ฯลฯ
    และก็น่าจะรวมถึงเต่าทองตัวนี้ด้วย


    อากาศหนาวจนเต่าทองไม่มีมานานเกือบสองเดือนแล้วค่ะ จะปล่อยเขาออกไปข้างนอก ก็ไม่ได้แล้ว
    เพราะ snow กำลังตกหนัก และจะตกติดต่อกันอีกหลายวัน พี่นักเขียนเลยขึ้นไปชั้นบนบ้านเอาเขาไปปล่อยไว้ที่ต้นมะลิ
    ซึ่งเลี้ยงในกระถาง และตั้งไว้ในห้องอาหารเช้าในบ้าน ต้นสูงเลยศีรษะค่ะ คงจะพออยู่ได้อีกนานวัน
    เพราะนอกจากมะลิแล้ว ยังมีต้นโป๊ยเซียนอีกหลายต้นซึ่งออกดอกเต็มต้นตลอดปี

    นับว่าเต่าทองเป็นความบังเอิญที่มีความหมายอีกอย่างนะคะสำหรับวันนี้(rose)


    [​IMG]

    __________________
     
  7. tawansongsaeng

    tawansongsaeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +423
    อดีต ปัจจุบัน และอนาคต มันรู้สึกเหมือนกับว่า
    มันกำลังเกิดขึ้นอยู่พร้อมๆกันหมด ในเวลาเดียวกัน



    ประสบการณ์บางส่วนของฉัน แม้แต่ตัวฉันเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมันเลย แต่ฉันก็หวังว่า
    จะสามารถเข้าใจมันได้ในอนาคต มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับว่า “ช่องว่างและกาลเวลาที่ไม่มีอยู่ในมิตินั้น”

    ดังนั้น ถ้าจะให้ฉันตอบคำถามของคุณจริงๆหละก็ ฉันคิดว่าเราจะต้องเปลี่ยนความคิดของเรา
    ที่มีต่อเรื่องกาลเวลาซะใหม่ก่อน และต้องเปลี่ยนความเข้าใจของเราที่มีต่อเรื่องกาลเวลาซะใหม่ก่อนด้วย

    นั่นคือเราจะต้องเข้าใจมันอย่างที่มันเป็นอยู่จริงๆให้ได้ซะก่อน

    เพราะว่า มันไม่ได้มีความรู้สึกเลยแม้แต่น้อยว่ามันเป็น
    “ภพชาติที่มีการเรียงลำดับก่อนหลังแบบเป็นเส้นตรง” หรือเป็น
    “เหตุการณ์ที่มีการเรียงลำดับก่อนหลังแบบเป็นเส้นตรง”
    อย่างที่พวกเราซึ่งอยู่ในมิติทางกายภาพแห่งนี้ เข้าใจว่ามันเป็น

    ----------------------------------------------------------------


    ข้อความเหล่านี้ ผมอ่านมานานแล้ว ซึ่งมันก็คือข้อเขียนที่คุณแปลมาลง
    เมื่อนานมาแล้วนั่นเอง ผมถึงบอกไงว่าผมติดตามคุณ เรียกว่าเป็นแฟนคลับของ
    คุณมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาอ่านเพียงปี 2 ปีนี้หรอก
    ในข้อความข้างต้นนั้น อ่านอย่างไร อ่านเมื่อไหร่ก็เข้าใจ ไม่เห็นว่ามันจะเข้า
    ใจยากตรงไหน ผู้ใดก็ตามที่สามารถทำจิตให้เข้าถึงสมาธิได้จริงก็จะเห็นทั้ง
    อดีต-ปัจจุบัน-และอนาคต ในชั่วเวลาแป๊บเดียว (ในขณะเดียวกัน) โดยรู้เห็น
    ไปหมดตลอดทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

    ทั้งนี้เพราะจิตมันมีความสามารถรู้เห็น-เรียนได้อย่างรวดเร็วเหลื่อเชื่อนั่นเอง
    แต่ที่ผมค้านคุณก็เพียงเรื่อง อดีตมันก็คืออดีต มันไม่ใช่ปัจจุบัน แต่เราเข้าไป
    เห็นอดีต-ปัจจุบัน-และอนาคตได้ในเวลาเดียวกัน
    เรียกว่าขณะเดียวกัน-ไม่ใช่เป็นเส้นตรงก็ได้ แต่อดีต-ปัจจุบัน-และอนาคต ไม่ใช่
    อันเดียวกันครับ (จิตไปรู้เห็นได้ทั้งหมดในเวลาชั่วแว๊บเดียว)

     
  8. สมพิศเปรม

    สมพิศเปรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +361
    แปลกแต่ดีค่ะ ขอบคุณที่นำมาแบ่งปัน จะได้มองโลกในแง่ดีดีบ้างค่ะ สบายใจ
     
  9. Issara

    Issara เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    506
    ค่าพลัง:
    +433
    อันนี้ก็น่าสนนะ (kiss)(kiss)(kiss)

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=h6ydm42Pfz0]YouTube - ‪An Urgent Message from Supreme Master Ching Hai‬&rlm;[/ame]
     
  10. somemaybe

    somemaybe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2009
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +143
    สำหรับเรา "เวลา" คือห้วงคิดที่มีจุดเริ่มจากอะไรสักอย่าง
    และเกิดทับซ้อนพัวพันกันอย่างที่ไม่สามารถจำกัดมิติได้

    อดีต ปัจจุบัน และอนาคต..ขึ้นกับสถานะที่กำลังเฝ้ามอง

    อดีต ปัจจุบัน และอนาคต สามารถเกิดขึ้นอยู่พร้อมๆกันหมด
    ในเวลาเดียวกัน ถ้าหากว่า
    สถานะในการตื่นรู้เพื่อจะตระหนักคิดพิจารณานั้น
    เกิดจากการมองภายในห้วงคิดซึ่งในความเป็นเรานั้น
    คือเจ้าของ

    อาจมีทางเริ่มง่ายๆด้วยการมีความรักอันปราศจากเงื่อนไข
    ซึ่งถ้าหากเรายังยึดมั่นความเป็นตัวเรา ของเรา
    ยังมองเห็นความเป็นตัวของคนอื่น ของอื่น แยกไปจากเรา
    เราก็คงไม่สามารถจะรักได้โดยปราศจากเงื่อนไข
    และคงไม่สามารถละทิ้งในความมีตัวตนต่างๆ
    สถานะก็คงจะไม่สามารถกลับเข้าไปรวมกับทุกๆสิ่ง
    ภายในห้วงคิดซึ่งความเป็นเราในทั้งหมดกำลังมีอยู่
    เป็นอยู่ และดำเนินอยู่
    -----

    แต่เราว่า ภัยพิบัติใหญ่ ยังไงก็จะต้องเกิดมีแน่ๆ
     
  11. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    กระแสวันสิ้นโลกปี 2012 กำลังมาแรง
    ก็เลยอยากจะให้บางท่านได้มาอ่านข้อความเหล่านี้ดูบ้างหนะครับ
    เผื่อจะได้มีข้อมูลด้านดีเอาไว้พิจารณาบ้าง

    แต่ก็อย่างว่าหนะนะครับ..คนเราบางคน
    ก็ชอบข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี เชื่อเรื่องเลวร้ายมากกว่าเรื่องดีๆ
    แม้ว่า ทั้งสองข่าวนี้ ก็ยังหาหลักฐานพิสูจน์อะไรไม่ได้พอๆกันก็ตาม

    ฟังหูไว้หูเถิดท่านทั้งหลาย..และหากมันจะเกิดเรื่องร้ายๆอย่างที่ท่านเชื่ออยู่นั้นจริงๆ
    แล้วท่านจะไปทำอะไรได้ สู้ทำจิตให้สงบ คิดบวก ทำความดีให้มากที่สุดไม่ดีกว่าหรือ?

    .................................................................
     
  12. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +10,239
    อ่านแล้วมีกำลังใจขึ้นมากครับ ขอบคุณครับ
     
  13. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
  14. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อีกข้อความหนึ่ง ที่กล่าวถึงเรื่องนี้ด้วย ในทำนองเดียวกันครับ
    ที่มาภาคภาษาไทย:


    http://palungjit.org/threads/ข้อควา...ลน์-144-ของโลก-และกระบวนการ-ascension.364187/

    ...............................................................................


    ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจากมหาเทพเมตาตรอน (Archangel Metatron)
    เรื่อง: The Ascension & the 144-Crystaline Grid

    ผู้รับสาส์น: นาย Jame Tyberonn
    วันที่รับสาส์น: 1 กรกฎาคม 2007
    ที่มา:
    The Ascension & the 144- Crystal Grid > Earth Keeper


    ตอนที่ 11: ข้อความสื่อสารจากท่านเมตาตรอน (ต่อ)


    คราวนี้..ผู้รับสาส์นได้ถามว่า ก่อนที่จะเกิดปรากฎการณ์
    Harmonic Convergence ขึ้น ดาวเคราะห์โลก
    เคยอยู่บนเส้นทางที่จะนำไปสู่การสิ้นสุดใช่หรือไม่


    คำตอบก็คือใช่แล้ว และมันก็ได้ถูกพยากรณ์เอาไว้แล้ว
    โดยผู้คนมากมาย แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้หมายความว่า
    ดาวเคราะห์โลกได้ถูกออกแบบมา ให้ต้องถูกทำลายล้างไป
    ก่อนที่จะเกิดปรากฎการณ์ Harmonic Convergence ขึ้นหรอกนะ


    เพราะว่าโลกจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่มันจะเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
    แล้วสร้างตัวมันเองขึ้นมาใหม่
    (ตรงนี้ไม่รู้แปลถูกหรือเปล่านะครับ เพราะเขาใช้คำว่า
    the Earth would have survived,
    inverted and recreated itself – ผู้แปล)

    เพราะมันถูกออกแบบมา ให้กลายไปเป็นสิ่งมีชีวิต
    ที่จะแตกต่างออกไปจากเดิมเท่านั้นเอง

    แต่มนุษย์โลกต่างหากหละ ที่เคยถูกเสนอให้ต้องถึงจุดจบ
    ไม่ใช่ดาวเคราะห์โลก พวกคุณเข้าใจไหม๊?

    โดยอาศัยการพุ่งชนโลกของอุกกาบาตลูกหนึ่ง
    ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 1 กิโลเมตร
    ซึ่งจะสามารถทำให้มนุษย์โลกส่วนใหญ่
    ถูกกวาดล้างให้สาบสูญไปจากโลกได้
    และทำให้ดาวเคราะห์โลกกลายเป็นสถานที่ๆอาศัยอยู่ไม่ได้อีก

    ดาวเคราะห์โลกคือสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง และเธอก็มีความตระหนักรู้
    ในทุกๆรูปแบบของตัวตนของเธอ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบไหนก็ตาม
    ดังนั้นในความหมายของพวกคุณ สมัยที่เธอยังเป็นกลุ่มแก็สที่ร้อนระอุอยู่
    เธอก็มีความตระหนักรู้เช่นเดียวกันกับที่เธอมีอยู่ในขณะนี้นี่แหละ

    ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องตลกมากสำหรับพวกเรา ที่ได้ยินมนุษย์โลกพูดถึงการช่วยชีวิตโลก
    และพวกเราก็อยากจะแนะนำบรรดานักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่อยู่บนโลกของพวกคุณด้วยว่า
    สิ่งที่กำลังถูกช่วยให้รอดชีวิตอยู่นี้หนะ แท้ที่จริงๆแล้ว ก็คือความสามารถในการดำรงชีวิต
    อยู่บนโลกใบนี้ให้รอด ของมนุษย์เองต่างหากหละ

    เพราะว่าพวกคุณรู้ไหมว่า ถึงแม้ว่ามนุษย์จะทำลายทรัพยากรณ์
    ที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตรอดของตัวเองไปจนหมดสิ้นแล้วก็ตาม
    ดาวเคราะห์โลกก็จะยังคงอยู่


    ผู้รับสาส์นได้พูดถึงวันพิเศษต่างๆ ที่เขาเรียกว่าวันตรีเอกานุภาพ (trinity date)
    ซึ่งได้แก่วันที่ 01-01-01 ไปจนถึงวันที่ 12-12-12 พวกเราอยากจะขอยืนยันว่า
    วันเหล่านี้ มีความสำคัญจริงๆ และพวกมันก็ถูกกำหนดไว้ให้เป็นวันที่จะมีการใช้คลื่นความถี่
    กระตุ้นการทำงานของโครงข่ายพลังงานของโลกด้วยจริงๆ

    แต่พวกเราก็อยากจะบอกว่า มันไม่ได้ถูกกำหนดไว้แน่นอนตายตัวแต่อย่างใดเลย
    หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ยิ่งการกระตุ้นจิตสำนึกของโครงข่ายพลังงานของโลก
    มีความสำคัญมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งขึ้นอยู่กับอัตราการวิวัฒน์ของมนุษย์โลกมากเท่านั้นด้วย

    ดังนั้น พวกเราจึงอยากจะบอกว่า วันที่ 12-12-12 และวันที่ 21-12-12
    (พวกคุณเห็นไหมว่ามันเป็นตัวเลขเดียวกัน) คือวันที่ๆมีความสำคัญมาก
    ทั้งทางด้านเลขศาสตร์และด้านดาราศาสตร์ สำหรับดาวเคราะห์โลก
    และสำหรับการกระตุ้นให้ระบบโครงข่ายพลังงานของโลกทำงานด้วย

    แต่ว่า..สิ่งที่มีพลังอำนาจมากกว่า
    ที่จะสามารถไปกระตุ้นการทำงาน
    ของระบบโครงข่ายพลังงานของโลกได้ดีกว่า
    ก็คือ ระดับการเลื่อนระดับขึ้นของจิตใจมนุษย์

    เพราะว่า เจตจำนงค์และความตั้งใจของมนุษย์
    มีพลังอำนาจเข้มข้นรุนแรงมากกว่า
    ผลกระทบด้านโหราศาสตร์และเลขศาสตร์เป็นไหนๆ
    พวกคุณรู้ไหม?

    ดังนั้น พวกคุณรู้แล้วใช่ไหมว่า วันที่เป็นเลขตองเหล่านี้มีความสำคัญ
    แต่พวกมันก็ไม่ได้มีความสำคัญไปมากกว่าการขับเคลื่อน หรือการกระตุ้น
    จากเจตจำนงค์เสรี (free will) ของมนุษย์โลกไปได้หรอก
    ซึ่งจะสามารถช่วยเร่งกระบวนการกระตุ้นของโครงข่ายพลังงานรูปทรงเรขาคณิตนี้
    ให้มีระดับคลื่นความถี่แบบคริสตัลไลน์ได้

    ศักยภาพอันนั้นจะไปเร่งกระบวนการทำงานร่วมกันของพวกมัน
    ศักยภาพอันนั้นจะทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้น ให้โครงข่ายคริสตัลไลน์ทำงานได้มากขึ้น
    และเร็วขึ้น กว่าที่ถูกกำหนดเอาไว้

    ดังนั้นพวกเราจะบอกพวกคุณว่า อย่าเพิ่งเชื่อว่ากระบวนการเลื่อนระดับขึ้น
    จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ก่อนปี 2012 เพราะว่ามันสามารถเป็นไปได้

    ดังนั้น ถ้ามนุษย์โลกตระหนักรู้ถึงความเป็นไปของเอกภพ
    ที่เกี่ยวข้องกับโครงข่ายพลังงานคริสตัลไลน์ 144 นี้
    มากมายแพร่หลายอย่างที่คาดหมายไว้หละก็..ใช่แล้วด้วยวิธีนี้แหละ..
    วันที่เหล่านี้จึงได้ถูกโปรแกรมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

    อย่างที่ได้อธิบายไปแล้วว่า มันเกี่ยวข้องกับด้านทั้ง 12 แต่ละด้านของรูปทรงเรขาคณิตของมัน
    เพื่อนำไปสู่ปี 2012. พวกเราอยากจะบอกพวกคุณว่า ณ.ปี 2007 นี้
    พวกคุณได้มาไกลกว่าที่ได้วางแผนการณ์เอาไว้เล็กน้อยแล้ว

    .............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2014
  15. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขออนุญาตดันกระทู้นี้หน่อยนะครับ
    เพื่อเป็น "ข้อมูล" ประกอบ และ
    เปรียบเทียบกับอีกกระทู้หนึ่ง
    ซึ่งผมกำลังจะดันขึ้นมาเหมือนกัน

    เพราะเห็นว่ากำลังมีคนสนใจอยู่พอดีหนะครับ
    ก็เลยอยากจัดให้ครับหนะครับ

    เลือกชอบ หรือ ไม่ชอบกันเอาเองนะครับ
    เพราะว่าเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของท่านแล้วครับ

    ...................................
     
  16. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขออนุญาตขุดกระทู้นี้ขึ้นมาหน่อยนะครับ
    เพราะว่ามีบางคนกำลังตามหามันอยู่หนะครับ


    ............................................
     
  17. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ก็..คอยดูกันไปนะครับ ว่า.."โลกแห่งความเป็นจริง" เวอร์ชั่นนี้
    มันจะถูกทำให้ปรากฎออกมาสู่ชีวิตของพวกเราได้หรือเปล่า
    เพราะว่าอนาคต "ไม่ใช่" และ "ไม่เคย" เป็นสิ่งที่
    ถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าแล้วแต่อย่างใดเลย

    อนาคตแบบใดแบบหนึ่ง เป็นแต่เพียง
    "ศักยภาพแห่งความเป็นไปได้ เส้นทางหนึ่ง"
    ในบรรดาศักยภาพแห่งความเป็นไปได้ที่มีอยู่นับอนันต์
    ของ "เหตุ" ที่กำลังเกิดอยู่ใน "ปัจจุบันขณะนั้นๆ" เท่านั้นเอง

    ดังนั้น ถ้าระดับพลังงานของศักยภาพแห่งความเป็นไปได้
    บนเส้นทางใดมีมากกว่า..เส้นทางนั้น ก็มีโอกาส
    ที่จะกลายไปเป็นเหตุการณ์ในอนาคตได้มากกว่าด้วย เช่นเดียวกัน

    แล้วพลังงานที่ว่านี้ จะมาจากไหนหละ..
    ก็มาจาก "กระแสจิตมวลรวมของคนทั้งโลก" นั่นเอง
    ที่จะทำให้มันเป็นไปแบบใดก็ได้
    เพราะว่ารูปธรรมชีวิตจากต่างมิติทั้งหลาย
    พูดไว้ตรงกันทั้ง 100% ว่า
    ความคิด, อารมณ์ความรู้สึก และเจตจำนงของเรา
    คือผู้สร้างโลกแห่งความเป็นจริงขึ้นมาให้กับเรา

    ปล. ปีที่แล้ว ปี 2012 และรวมถึงปีอื่นๆด้วย
    ที่มีผู้คนมากมายทั่วโลกรวมถึงเกจิอาจารย์
    รวมถึงนักวิชาการ ด็อกเตอร์ และผู้ทรงเกียรติ
    ผู้ทรงธรรม ทั้งหลาย ได้พยากรณ์เกี่ยวกับวันสิ้นโลก
    และภัยพิบัติครั้งใหญ่เอาไว้

    มีใครเคยทำข้อสรุปเอาไว้ไหมครับว่า
    ในจำนวนคำพยากรณ์เหล่านั้นหนะ
    ในแต่ละปี มีกี่ % ที่กลายมาเป็นความจริง?

    เพราะฉะนั้นแล้ว ผมจึงอยากจะให้ท่านถามตัวท่านเองว่า
    ถ้าสมมุติว่า คำกล่าวที่ผมยกมากล่าวข้างบนนั้น
    เกี่ยวกับเรื่องของ "อนาคต" มันเป็นอย่างนั้นจริงๆหละ
    อะไรจะเกิดขึ้น จากการที่เที่ยวเผยแพร่
    แต่ข่าวร้ายๆอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแบบนี้?

    เพราะการที่เราเผยแพร่ข่าวพวกนี้ออกไป
    หรือไปพยากรณ์แต่ข่าวแบบนี้ออกมา
    นั่นก็แสดงว่า อย่างน้อยที่สุด ตัวเราเอง
    ก็มีความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแล้ว ถูกไหมครับ
    ดังนั้น เราจึงใช้คำว่า "ไม่ประมาทจะดีที่สุด"

    ซึ่งนั่นก็แสดงว่า "ตัวเราเอง" เห็นด้วย
    และยินยอมพร้อมใจไปอย่างน้อยก้ครึ่งหนึ่งแล้วหละ
    ที่จะให้ "โลกแห่งความเป็นจริงเวอร์ชั่นนั้น" มันเกิดขึ้นมาจริงๆ
    คือเวอร์ชั่นที่เกิดภัยพิบัติขึ้นหนะนะครับ

    เพราะว่าอย่าลืมว่า..ตามนัยยะนี้..จิตสำนึกมวลรวมของมนุษย์
    คือผู้ที่ก่อให้เกิดความเป็นไปในรูปแบบต่างๆขึ้น
    ดังนั้น ถ้าตัวเราเอง ก็คือผู้หนึ่งหละ
    ที่มีส่วนไปเติมพลังงานให้กับเหตุการณ์ด้านลบที่ว่านั้น
    ด้วย "ความเชื่อ" ของเรา...ดังนั้น..

    แล้วแบบนี้ มันเป็นการหวังดี หรือ หวังร้ายต่อโลกกันแน่?
    แล้วแบบนี้หนะ เราคือ "ฝ่ายมืด" หรือ "ฝ่ายสว่าง" กันแน่?

    ย้ำอีกครั้งนะครับว่า อันนี้..ผมสมมุติขึ้นตามนัยยะที่ว่า
    ถ้าความเป็นจริงเกี่ยวกับเรื่องของ "อนาคต" มันเป็นดังที่ผมว่ามานี้จริงๆ

    แต่ถ้ามันไม่เป็นจริงตามนี้ ก็แล้วไป..ซึ่งก็เป็นไปได้เหมือนกัน
    เพราะว่าผมเองก็ไม่สามารถที่จะยืนยันหรือชี้ขาดให้กับท่านได้
    แต่ตัวผมเอง ผม "เลือก" ที่จะเชื่อแบบที่ผมว่ามานี้แหละครับ
    ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม

    และผมยังเลือกที่เชื่ออีกนะครับว่า "กฎแห่งกรรม"
    ไม่ใช่และก็ไม่เคยเป็นกฎเพียงกฎเดียว
    ที่มีอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้แต่อย่างใดเลย
    เพราะว่ามันน่าจะต้องมีกฎอื่นๆทำงานร่วมกับมันไปด้วยอย่างแน่นอน

    และเพราะฉะนั้นแล้ว ผมก็จะทำสุดความสามารถของผมต่อไป
    ในอันที่จะ "สร้าง" หรือ "โน้มน้าว" หรือ "เหนี่ยวนำ"
    ให้กระแสจิตมวลรวมของคนจำนวนมากที่สุด
    เท่าที่ผมจะทำได้ หันมา "จดจ่อ" อยู่กับโลกเวอร์ชั่นที่ดีกว่า
    หันมามีความหวัง และ กำัลังใจ
    หันมาเชื่อใน "พลังอำนาจ" ที่อยู่ภายในตนเอง
    หันมาเชื่อว่า "อนาคตที่ดีกว่า" จะรออยู่ข้างหน้า
    ถ้าเราทำวันนี้ของเราให้เป็นเหตุเกื้อกูลไปในทางนั้น

    ซึ่งอุปสรรคใหญ่ของกระแสจิตด้านบวก ก็คือ "ความกลัว"
    ดังนั้น อะไรก็ตามแต่ที่เป็นสิ่งที่จะปลุกเร้า
    ให้จิตใจของผู้คนหันไป "จดจ่อ" อยู่กับมันด้วยความกลัวหละก็
    ผมก็จะออกมาโพสต์ทำนองนี้แหละครับ
    ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก แม้ว่าใครๆจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม

    เพราะว่า ผมเชื่อว่า "ผมกำลังทำดีที่สุดอยู่"
    ซึ่งก็คงเป็นความเชื่อเดียวกันกับของทุกๆท่านกระมังครับ
    ที่เชื่อว่า "ตัวท่านเอง ก็กำลังทำในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดอยู่"
    เช่นเดียวกัน ใช่ไหมหละครับ?

    .................................................................


    .........................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2014
  18. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางท่านอาจจะไม่ได้นำเอาข้อความจากต่างมิติพวกนี้
    มาเชื่อมต่อกับโลกแห่งความเป็นจริงของตัวเองเท่าที่ควรหนะนะครับ
    ก็เลย..อาจจะต่อไม่ติดซักเท่าไหร่ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเองนั้น
    มันมีที่มาที่ไปอย่างไร..

    อันนี้ไม่นับกรณีที่ท่าน "เลือก" ที่จะเชื่อแบบนั้นๆเองหนะนะครับ
    ดังนั้น ผมเลยว่าจะขออนุญาตต่อจิ๊กซอให้ท่านดูซะหน่อย

    สมมุติว่า "ความเป็นจริง"
    มันเป็นอย่างที่ข้อความจากต่างมิติทั้งหลายกล่าวไว้จริงๆ
    ซึ่งนั่นก็คือ "กำลังมีกระบวนการเลื่อนระดับขึ้น" เกิดขึ้นอยู่จริงๆ
    บนโลกของเราใบนี้ และทั้งจิตสำนึกและร่างกายเนื้อของเรา
    ก็กำลังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่จริงๆอีกด้วย..

    ด้วยเหตุนี้..
    ชาวโลกหลายคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ที่ได้ฝึกจิต
    หรือปฏิบัติจิต/ปฏิบัติธรรม มาพอสมควรแล้ว
    ซึ่งเรียกรวมๆว่า ได้ชำระสะสางตัวเองมาพอสมควรแล้ว
    ดังนั้น เมื่อถึงวันเวลานี้แล้ว "ความตระหนักรู้/จิตสำนึก"
    จึงขยายตัวออกมามากขึ้น ใช้คำว่า "ขยายตัว" นะครับ
    เพราะว่ามันหมายความว่า "ขยายกว้างขึ้น" ทั้งขึ้นบนและลงล่าง

    ดังนั้น การที่จะไปรู้ ไปเห็น ไปได้ยิน ความเป็นไปของมิติอื่นๆ
    และของโลกแห่งความเป็นจริงอื่นๆ มันก็เลยมีมากขึ้นตามไปด้วย
    ไม่ว่าจะเป็นในสมาธิ หรือ ในฝัน หรือ ในเวลาที่จิตสงบ
    เช่น ตอนที่นั่งอยู่เงียบๆคนเดียว หรือตอนเคลิ้มๆอยู่ก็ตาม

    ซึ่งการเข้าไปรู้ เข้าไปเห็น เรื่องราวความเป็นไปของมิติอื่นๆ
    อย่างที่ว่ามานี้ ข้อความจากต่างมิติพูดมาตลอด บอกเอาไว้ตลอด
    ว่ามันกำลังเกิดขึ้นอยู่ กับมนุษย์โลกจำนวนมากมายในขณะนี้

    แต่สิ่งที่มนุษย์โลกจะต้องเข้าใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ
    เรื่องราวของมิติ และ โลกแห่งความเป็นจริงทั้งหลาย
    รวมถึงเรื่องราวของ "กาลเวลา" ด้วย ว่ามัน "ไม่ได้เป็นเส้นตรง"

    ว่า..โลกแห่งความเป็นจริงหนะ มันไม่ได้มีอยู่โลกเดียว!!
    ว่า..สิ่งที่ท่านไปเห็นมาหนะ มันเป็นหนึ่งในเวอร์ชั่น
    ที่มีอยู่จำนวนนับอนันต์ ของเวอร์ชั่นที่เป็นไปได้ทั้งหมด
    ของโลกแห่งความเป็นจริงนั้นๆเท่านั้นเอง!!

    ถ้าท่านงงตรงจุดนี้ ผมอยากขอให้ท่านกลับไปอ่านทบทวนเรื่อง
    "โลกแห่งความเป็นจริงคู่ขนาน" และ "โลกฯบนเส้นทางเลือกอื่น" ใหม่
    เพื่อที่ท่านจะได้รู้ว่า มันยังมีโลกฯเวอร์ชั่นอื่นๆ
    ที่กำลังดำเนินไปพร้อมๆกับโลกของเราอยู่ในขณะนี้
    อีกจำนวนมากมายก่ายกอง จนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว..

    ดังนั้น หนึ่งในเวอร์ชั่นที่ท่านเป็นเห็นมานั้น มันก็มีอยู่จริง ในแบบของมัน
    แต่ว่า มันจะถูกดึงเข้ามาสู่โลกฯเวอร์ชั่นที่เรากำลังอยู่นี้หรือไม่
    ก็ขึ้นอยู่กับพวกเราด้วยว่า..จะยินยอมหรือไม่..
    ว่าจะเออออห่อหมกไปกับมันด้วยหรือไม่..
    ว่าจะเอาพลังงานความคิดของเรา
    ไปจดจ่ออยู่กับมันมากน้อยแค่ไหน..ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

    ยิ่งจดจ่อมาก เช่น กลัวว่ามันจะเกิดมาก มันก็จะยิ่งมีโอกาสเกิดมาก
    และเกิดเร็ว ตามไปด้วยมากเท่านั้นด้วย
    เพราะว่าพลังงานหนะ มันไม่รู้หรอกว่า อันไหนเราชอบ อันไหนเราไม่ชอบ
    มันรู้แต่ว่า ใส่พลังงานไปเยอะ
    มันก็จะมีโอกาสเกิดเยอะตามไปด้วยเท่านั้นเอง

    ดังนั้น ผมจึงอยากจะบอกว่า การที่เราสามารถไปรู้ไปเห็น
    ความเป็นไปของโลกฯอื่นๆ ของมิติอื่นๆได้นั้น
    มันกำลังจะกลายเป็นปรากฎการณ์ตามปกติของคนยุคนี้
    มันเป็นไปเพราะว่าระดับพลังงานของโลกกำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
    มันเป็นเพราะว่าจิตสำนึกของเรากำลังขยายตัวอยู่
    มันเป็นเพราะว่าจิตวิญญาณของเรา กำลังค่อยๆลงมารวมกับเราอยู่
    มันเป็นเพราะว่าร่างกายเนื้อของเรากำลังถูกปรับปรุงอยู่
    ในทุกๆด้านของมัน ซึ่งลึกลงไปจนถึงระดับ DNA เลยทีเดียว
    มันเป็นเพราะว่า "ม่านพราง" ระหว่างมิติกำลังบางลงเรื่อยๆอยู่

    มันไม่ใช่เพราะว่า..เราเป็นผู้วิเศษวิโสแต่อย่างใดเลย!!

    เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อเราไปรู้ไปเห็นอะไรมา
    ก็อย่าเพิ่งคิดไปว่า นั่นหนะ คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจริงๆ
    เพราะว่าเรื่องของอนาคตของโลกนั้น มันขึ้นอยู่กับคนทั้งโลก
    มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "การรู้-การเห็น" ของท่านเพียงคนเดียว!!...

    ปล..

    แต่ว่า..การที่จะให้โลกในอนาคต เป็นไปในแบบที่เราต้องการนั้น
    เคล็ดลับก็คือ..

    "ให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราต้องการ..
    อย่าไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราไม่ต้องการ"


    คุ้นๆไหมครับ..สำหรับผู้ที่ติดตามข้อความจากต่างมิติมาโดยตลอด
    เพราะว่าประโยคนี้หนะ พวกเขาเน้นมาตลอด พูดอยู่เสมอ
    จนกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเราไปแล้ว

    แต่ว่าสำหรับผู้ที่ไม่เคยอ่านข้อความต่างมิติมาก่อนเลย
    ก็อาจจะไม่รู้ ดังนั้น ก็เลยเป็นหน้าที่ของพวกเรานี่แหละครับ
    ที่จะต้องค่อยๆอธิบายให้พวกเขาเข้าใจ เมื่อพวกเขาพร้อมที่จะรับฟัง

    และผมก็เข้าใจอยู่ว่า..หลายท่านอาจจะคิดว่า
    เพราะว่าชาวโลกส่วนใหญ่ กำลังยังคงหลับไหลอยู่เลย
    ยังไม่ตื่นขึ้นมาชำระสะสางตัวเองเลย
    ยังไม่รู้จักหันมาใส่ใจเรื่องของจิตวิญญาณของตัวเองเลย

    ดังนั้น ถ้าเรานำข่าวภัยพิบัติเหล่านี้ไปบอกพวกเขา
    บางทีพวกเขาอาจจะตื่นขึ้นมาบ้างก็ได้
    เพราะว่าพวกเขาจะได้ตระหนักรู้ว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง
    ซึ่งถ้าพวกเขายังไม่ได้เริ่มหันมาทำความดีเลย
    และถ้าภัยพิบัติเกิดขึ้นจริงๆหละก็
    พวกเขาก็อาจจะไปสู่ทุกขคติภูมิก็ได้

    นี่คือวิธีการ "ปลุกให้ตื่น" อีกแบบหนึ่ง คือโดยการทำให้กลัว
    โดยการชี้ให้เห็นความจริงที่ว่า "ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง"

    พูดตามตรงเลยนะครับ..ผมก็เคยเห็นด้วยกับแนวคิดนี้
    แต่ว่า..มันก็จะมีผลร้าย และ ผลดี ปนๆกันอยู่
    ดังนั้น ผมจึงคิดว่า เราน่าจะมีวิธีการปลุกที่ดีกว่านี้
    โดยที่ไม่ต้องไปอาศัยความกลัวเป็นเครื่องมือแต่อย่างใดเลย


    เมื่อวานนี้ ผมก็เพิ่งอ่านข้อความจากต่างมิติข้อความหนึ่งไป
    พวกเขาก็บอกไว้เหมือนกันนะครับว่า เราไม่ควรปฏิเสธความกลัว
    เพราะว่าความกลัวนั้น มาจาก ego ของเรา
    และเพราะว่า ego ของเรา ทำหน้าที่ปกป้องเราจากอันตรายอยู่
    ดังนั้น เราจึงไม่ควรที่จะปฏิเสธมัน
    เพราะว่ามันก็สามารถที่จะช่วยให้เรา
    หันกลับมาสู่โลกภายในของเราได้ด้วยเช่นกัน

    แต่ว่า..มันก็มีวิธีที่จะ "รับมือกับความกลัว" ที่ถูกต้องอยู่
    ซึ่งมันไม่ใช่ด้วยวิธีที่พวกเราส่วนใหญ่คุ้นเคยกันแต่อย่างใดเลย
    เพราะว่า "พลังงานของความกลัว" ไม่อาจที่จะดำรงอยู่ได้
    ในโลกยุคพลังงานใหม่ ซึ่งจะเป็นโลกที่มีระดับความสั่นสะเทือนสูงขึ้น
    และเป็นโลกที่จะมีแต่ความรัก มิตรไมตรี และสันติสุขเท่านั้น

    ดังนั้น ใครก็ตามที่ยังคงเล่นสนุกอยู่กับพลังงานของ "ความกลัว" อยู่หละก็
    นั่นก็หมายความว่า..ท่านกำลังเดินสวนทาง
    กับความเป็นไปของโลกยุคใหม่อยู่แล้วหละครับ

    ซึ่งเดี๋ยว ผมจะค่อยๆหาเวลาเอามาโพสต์ให้อ่านหนะนะครับ



    ................................................
     
  19. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เรื่อง: ความกลัว (Fear)

    ที่มา: http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    สัวสดี ฉันคือตัวตนในอนาคตของคุณ

    ที่ฉันท่องกาลเวลาย้อนกลับมา ก็เพื่อที่จะย้ำเตือนให้คุณรู้ว่า คุณ/ฉัน/พวกเรา
    ได้สร้างให้เกิดการเลื่อนระดับขึ้น ในกาลเวลาที่เป็นอนาคตของคุณ
    แต่เป็นกาลเวลาในปัจจุบันของฉัน ได้อย่างไร..

    ซึ่งความลับมันก็คือ;

    “การจดจ่ออยู่กับสิ่งที่คุณต้องการ
    ไม่ไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่คุณกลัว!”


    เพราะว่าถ้าคุณจดจ่อความสนใจไปที่สิ่งใด ก็จะทำให้แสงสว่างพุ่งตรงไปที่สิ่งนั้นทันที
    เพื่อไปสร้างโฮโลแกรมที่คุณกำลังอาศัยอยู่นั้นขึ้นมา

    ดังนั้น การจดจ่อของคุณจึงเป็นเหมือนเลนส์ของกล้องถ่ายรูป ที่มันจะเลือกรูปภาพต่างๆ
    ซึ่งหมายถึงโฮโลแกรมจำนวนมากมายมหาศาลขึ้นมา เพื่อเอามาประกอบขึ้นเป็นชีวิตของคุณเอง

    ชีวิตบนโลกที่อยู่ในมิติที่ 3 นี้ของคุณ จะคล้ายๆกับภาพเคลื่อนไหวบนจอภาพยนตร์
    ที่เกิดจากการฉายภาพนิ่งจำนวนหลายๆเฟรมที่เรียงต่อติดกันอยู่

    เพียงแต่ว่า เครื่องฉายภาพยนตร์ของคุณ
    ไม่ใช่เฉพาะดวงตาของคุณเท่านั้น
    แต่ยังรวมถึง “ทางเลือก” ของคุณอีกด้วย


    ดังนั้น อะไรก็ตามที่คุณยินยอมให้มันคงอยู่ในการรับรู้,
    ในความคิด และ ในอารมณ์ของคุณได้
    สิ่งนั้นก็จะไปสร้างโฮโลแกรมของชีวิตของคุณขึ้นมาให้กับคุณ

    มันมีภาพหลายภาพมากที่สามารถส่งผลกระทบต่อจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคุณได้
    ทั้งในยามหลับและยามตื่น แต่คุณก็ยังมีพลังอำนาจที่จะเลือกอยู่ว่า จะให้ภาพไหน,
    ความคิดไหน, อารมณ์ไหน, สัญลักษณ์ไหน, และเสียงไหน อยู่ในความสนใจของคุณได้บ้าง

    การให้ความสนใจ ก็คือการไปยึดเกาะมันไว้
    เพราะว่าเมื่อใด ที่คุณไปให้ความสนใจกับ “สิ่งที่ได้รับรู้มา” ใดๆแล้ว
    นั่นก็เท่ากับว่าคุณได้ทำให้มัน “มีความตระหนักรู้” ขึ้นมาแล้วหละ
    คุณได้นำมันเข้ามาในชีวิตของคุณเองแล้วหละ
    คุณได้นำมันเข้ามาใส่ในเครื่องฉายภาพยนตร์ของคุณแล้วหละ
    เพื่อที่จะฉายมันออกไปสู่ “จอภาพยนตร์” ของคุณเองต่อไป

    แต่สิ่งกระตุ้นบางอย่าง ก็อยู่ต่ำกว่าระดับที่คุณจะสามารถรับรู้ได้
    และพวกมันก็จะก่อกวนอยู่ในความรู้สึกของคุณ ซึ่งความรู้สึกนี้มันจะน่ารำคาญ
    และก็สามารถที่จะทำให้เกิดความไม่สบายขึ้นมาได้ ในจิตสำนึกและในร่างกายเนื้อของคุณ
    ดังนั้น คุณจึงจำเป็นจะต้องให้ความสนใจกับมันนานเป็นพิเศษ จนเพียงพอที่จะสามารถ
    นำมันขึ้นมาสู่การจดจ่อของคุณได้ คุณอาจจะจำเป็นต้องใช้แผ่นกรอง หรือ firewall
    กับเลนส์กล้องของคุณด้วยซ้ำไป เพื่อป้องกันตัวคุณเองจากสิ่งที่กำลังทำให้คุณ
    เกิดความไม่สะดวกสบายขึ้นอยู่นี้

    และเมื่อใดที่คุณจดจ่อกับมันได้แล้ว คุณก็จะเลือกได้ว่า อยากจะฉายภาพๆนี้
    ออกไปสู่โลกภายนอกหรือไม่ หรืออยากจะผนวกรวมมันเข้ามาในโลกภายในของคุณเองหรือไม่
    หรือว่าจะขับไล่ไสส่งให้มันออกไปจากโลกแห่งความเป็นจริงของคุณก็ได้

    ซึ่งถ้าคุณเลือกที่จะให้ฉากๆนี้
    มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของคุณหละก็
    ก็แค่ใส่ความสนใจของคุณเข้าไปให้กับมันเท่านั้นเอง

    แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณไม่ต้องการที่จะให้ฉากๆนี้
    มีอยู่ในภาพยนตร์ชีวิตของคุณ ก็จงปลดปล่อยมันออกไป
    จากจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคุณโดยทันที

    แต่ถ้าฉากๆนี้กำลังถูกสร้างขึ้น หรือได้ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว
    จากความกลัว คุณก็จะต้องใช้ยาต้านพิษหรือยาถอนพิษ
    ซึ่งก็คือ “ความรัก” มาปลดปล่อยมันไป ไม่ให้เหลือหลอ

    ความกลัวคือ คืออารมณ์ที่เหนียวแน่นชนิดหนึ่ง และมันก็สามารถสร้างตัวมันเอง
    ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วมากซะด้วย ถ้าเมื่อใดที่ความกลัวเข้ามาครอบงำการจดจ่อของคุณ
    คุณก็จะต้องใช้ยาต้านพิษทันที เพื่อที่คุณจะสามารถวินิจฉัยมันได้อย่างปลอดภัยว่า
    ความกลัวอันนี้ มันเป็นยาพิษ หรือว่ามันเป็นการเตือน ถ้ามันเป็นยาพิษ ก็จงหุ้มห่อมันไว้
    ด้วยพลังแห่งความรักของคุณ แล้วบอกกับมันว่า

    “ฉันเลือกที่จะตัดเอาความกลัวออกไปจากบทภาพยนตร์ชีวิตของฉันแล้ว”

    ในทางกลับกัน ถ้าความกลัวที่ว่านี้ คือ “การเตือนภัย” (จาก ego ของเราเอง – ผู้แปล) หละก็
    ก็จงโอบกอดมันด้วยความรักอีกเช่นกัน แล้วก็พูดว่า

    “ขอบใจนะที่บอก ฉันรับรู้ถึงสิ่งที่เธอเตือนฉันแล้วหละ
    และฉันก็จะนำมันไปพิจารณาดูอย่างมีสติสัมปชัญญะ”

    แล้วจากนั้น ก็จง “ตัด” ความกลัวนี้ทิ้งไปเสียเช่นเดียวกัน
    เพราะว่า “การเตือนภัยนี้ จะกลายมาเป็น
    โลกแห่งความเป็นจริงของคุณอย่างแน่นอน
    ถ้าคุณเลือกที่จะจดจ่ออยู่กับมันอยู่”

    เพราะว่า กระบวนการ “สร้างสรรค์”
    โลกแห่งความเป็นจริงของคุณ
    อันที่จริงแล้ว มันก็คือกระบวนการ
    “เลือก” โลกแห่งความเป็นจริงของคุณ นั่นเอง

    เพราะว่าโลกแห่งความเป็นจริง คือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว
    ในความเป็นจริงแล้ว โลกแห่งความเป็นจริงจำนวนมากมายมหาศาล
    ได้ถูกสร้างขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้ในขณะที่ไกอากำลังเลื่อนระดับขึ้นอยู่นี้
    และในขณะที่พวกคุณกำลัง upgrade ร่างกายเนื้อของตัวเองอยู่นี้
    คุณรู้ว่าคุณไม่เพียงแต่ จำเป็นจะต้องเลือกว่า จะไปอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงโลกไหนเท่านั้น
    แต่คุณยังจะต้องเลือกอีกว่า คุณจะไปอยู่ในมิติไหนอีกด้วย

    เพราะว่ามันมีเรื่องราวของการเลื่อนระดับขึ้นอยู่มากมายหลายเวอร์ชั่น
    พอๆกับที่มีการเลื่อนระดับขึ้นไปสู่มิติต่างๆที่แตกต่างกันมากมายหลายมิตินั่นแหละ
    พวกคุณบางคนจะเลือกที่จะไปพักผ่อนในมิติที่ 4 ในขณะที่คนอื่นๆอาจจะกระตือรือล้น
    ที่จะเข้าไปอยู่ในมิติที่ 5 และ 6 หรือมิติที่สูงกว่านั้นก็ได้

    เพราะว่าในช่วงปิดฉากของเกมในมิติที่ 3 นั้น
    มันจะไม่มีข้อจำกัดใดๆสำหรับทางเลือกของพวกคุณเลย

    แต่คุณอาจจะสงสัยว่า แล้วผู้ที่เลือกที่จะเล่นเกมของมิติที่ 3 อยู่ต่อไปหละ
    พวกเขาจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็จำเป็นจะต้องไปหา “จอภาพยนตร์” จออื่น
    เพื่อเอามาฉายภาพยนตร์ชีวิตของพวกเขาแทนหนะสิ
    เพราะว่าโรงภาพยนตร์ที่ชื่อว่าดาวเคราะห์โลกนี้กำลังจะปิดแล้ว

    โอ..แต่ว่าพวกคุณจะยังไม่จบหรอกนะ

    เพราะว่าพวกคุณคือรูปธรรมชีวิตหลากมิติ ผู้เป็นนิรันดร์ ที่ได้เลือกที่จะมามีประสบการณ์
    กับโลกแห่งความเป็นจริงอันจำกัดนี้เท่านั้น ซึ่งในตอนที่คุณเลือกทางเลือกนี้นั้น
    คุณจำเป็นจะต้องเคลื่อนความตระหนักรู้/จิตสำนึกของคุณ หรือแก่นแท้ของคุณ
    ผ่านปริซึ่มแห่งแสงสว่าง (light prism) อันหนึ่งไป แล้วรัศมีของคุณก็ถูกแบ่งแยกออกมา
    เป็นส่วนย่อยๆจำนวนมากมาย ดังนั้น ตัวตนของคุณจึงไม่ใช่แค่ที่อยู่ในร่างกายเนื้อนี้เท่านั้น

    แต่อย่างไรก็ตาม เพราะว่าคุณคือผู้ที่มีแนวโน้มว่า จะมีจิตสำนึกสูงมากพอ
    ที่จะเลือกว่าจะเลื่อนระดับขึ้น แล้วกลับไปสู่ความเป็นทั้งหมดของตัวตนของตัวคุณเองอีกครั้งหนึ่ง
    แล้วร่างกายเนื้อร่างอื่นๆ ที่คุณอาศัยอยู่นั้น ก็จะบูรณาการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคุณ
    ผู้ที่กำลังเลื่อนระดับขึ้นอยู่นี้อีกต่อหนึ่งด้วย นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไม ฉันจึงกำลังสื่อสารกับคุณอยู่
    เพราะว่าฉันเชื่อว่า คุณคือผู้ที่ลงมาเกิด ที่น่าจะประสบความสำเร็จมากที่สุด
    ซึ่งหมายถึง ประสบความสำเร็จในการเลื่อนระดับขึ้นนั่นเอง

    กาลเวลาเป็นเพียงมายาการของโฮโลแกรมในมิติที่ 3 นี้เท่านั้น
    อันที่จริงแล้วกาลเวลามีลักษณะเป็นวงกลม เหมือนกับล้อรถจักรยาน
    ซึ่งซี่แต่ละซี่ของล้ออันนั้น ก็คือ “คุณ” ในกาลเวลาอื่นๆนั่นเอง
    และอันที่จริงแล้ว มันก็ยังมี “คุณ” อีกมากมายหลายคน ที่กำลังอยู่ร่วมกับคุณในกาลเวลานี้อีกด้วยนะ

    ซึ่งถ้าอยากจะออกจากวงล้อ 3 มิตินี้ไปให้ได้หละก็ คุณจะต้องหา “ดุมล้อ” ให้เจอซะก่อน
    ซึ่งดุมล้อที่ว่านี้ ที่จริงแล้วก็คือประตูสู่การเลื่อนระดับขึ้นของคุณนั่นแหละ

    จากดุมล้ออันนี้ คุณจะสามารถมองเข้าไปในชีวิตที่อยู่ในมิติที่ 3 ของตัวคุณเองได้ ทุกๆภพชาติ
    ทั่วทั้งวัฎจักรของกาลเวลานี้ และก็สามารถที่จะยินยอมให้พวกเขาดาวน์โหลดเข้ามาสู่คุณได้ด้วย
    พวกคุณในฐานะของทีมแห่งการเลื่อนระดับขึ้นของดาวเคราะห์โลก (the Planetary Ascension Team)
    ซึ่งตัวตนแต่ละตัวตนของคุณเองเหล่านี้ ก็จะเหมือนกับ "นมที่หกกระจายของคุณเอง"
    ที่คุณจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ในการเช็ดถูทำความสะอาดเสียให้เรียบร้อย
    เพื่อที่ตัวตนที่อยู่ในทุกๆภพชาติของคุณ จะได้มีส่วนร่วมกับกระบวนการเลื่อนระดับขึ้น
    ของดาวเคราะห์โลกในครั้งนี้กับคุณด้วยได้

    ฉันได้เช็คอินเข้ามาในตัวคุณ ตั้งแต่ตอนที่คุณยังเป็นเด็กอยู่เลย ฉันมาทำหน้าที่
    เป็น “เทพผู้พิทักษ์” ให้กับคุณ ฉันยังจำตอนที่ “ฉัน” เป็น “คุณ” ได้
    ฉันยังจำได้อยู่ว่าตอนนั้นฉันคิดถึงบ้าน และคิดถึงมิติที่สูงๆกว่ามากเพียงใด

    ในตอนที่พวกเราผ่านปริซึมของมิติที่ 3 ออกมานั้น พวกเราหลงลืมหลายสิ่งหลายอย่างไป
    รวมถึงหลงลืมตัวเราเองด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้คุณสามารถรับรู้ถึงฉันได้แล้ว
    เพราะว่าคุณได้ตื่นขึ้นมาแล้ว นี่แหละคือเหตุผลที่ว่าทำไม ฉันถึงเชื่อว่าคุณคือตัวตนในอดีตของฉัน
    ผู้ที่จะเลือกที่จะช่วยเหลือไกอาในกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นของเธอ

    ฉันจะยังอยู่ในสนามพลังออร่าของคุณ และจะคอยเตือนให้คุณรู้ว่า พวกเราได้เลื่อนระดับขึ้นไปแล้ว
    ฉันจะคอยเตือนคุณว่า “กาลเวลา” เป็นเพียงมายาการของเกมในมิติที่ 3 นี้เท่านั้น
    และตอนนี้เกมๆนี้ก็กำลังจะปิดฉากลงแล้ว และคุณ/ฉัน/เรา ก็กำลังสร้างภาพเคลื่อนไหว
    ของ “บ้าน” ของเราอยู่ ไม่ว่าพวกเราจะท่องเที่ยวไปที่ไหนก็ตาม

    ตัวตนในอนาคตของคุณ

    ………………………..
     
  20. ราชันลาง

    ราชันลาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +431
    ครับขอให้พวกเราเตรียมจิตนิ่งให้ดีเพื่อรับการก้าวกระโดดดีกว่า และชวนมนุษย์อีกหลายคนเตรียมจิตเอาไว้เพื่อรับกับเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่อีกยุคนะครับ ช่วยกันครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...