พุทธประวัติพระสมณโคดม ( จากพระกรรมฐาน )

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ariyabut, 26 กันยายน 2010.

  1. ariyabut

    ariyabut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +2,415
    [FONT=verdana,sans-serif]โดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน ( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)[/FONT]​

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]คัดลอกบางตอนจาก หนังสือเรื่องจริงอิงนิทานฉบับพิเศษ ตั้งแต่ย่อหน้าที่ ๒ ของหน้า ๑๔๘-๒๓๐[/FONT]

    เพื่อประโยชน์ และอานิสงค์ สูงสุด แก่ตัวท่านเอง .. ค่อย ๆ อ่าน ค่อย ๆ พิจารณาตาม

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]...ตอนเย็นวันที่ไปที่ต้นโพธิ์ที่พทธคยา...ขณะที่พระท่านเริ่มสวดมนต์ จิตพ่อก็เข้านิ่งสนิทจับจุดตามปกติของจิต เป็นวิสัยเดิม คือพอได้ยินเสียงใครพูดเรื่องธรรมะ หรือว่าพอได้ยินเสียงสวดมนต์ จิตก็จะจับเข้าสู่ อุปจารสมาธิ หรือว่าเป็น ฌานสมาบัติ ถ้าจิตเข้าไปสู่อุปจารสมาธิ ก็จะทำงานทันที ถ้าจิตเป็นฌานสมาบัติ ก็จะเป็นอารมณ์สงบ แต่วันนั้นร้อนจัด เพลียด้วย และก็นั่งอยู่ในที่นั้นจิตก็เป็นฌานสมาบัติอยู่นิดหนึ่ง แล้วก็ถอยออกมาเป็นอุปจารสมาธิ เป็นกิจที่พึงจะต้องทำ พ่อฟังไปแล้วจิตก็เห็นภาพอันหนึ่งว่า... [/FONT]​

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ก่อนที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จออกสู่ มหาอภิเนษกรมณ์ ก่อนจะออกจากพระราชนิเวศน์ องค์สมเด็จพระทศพลทรงได้มอบ สร้อยพระศอ ให้แก่ พระนางกีสาโคตมี พระน้านางซึ่งเลี้ยงพระองค์แทนพระมารดา เพราะว่าพระมารดามรภาพเสียตั้งแต่เมื่อคลอดพระองค์ได้ ๗ วัน ทั้งนี้เพราะว่า พระครรภ์ใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรได้เกิด ครรภ์นั้นเด็กคนอื่นไม่ควรจะมากิดด้วย และหลังจากนั้นเวลากลางคืนได้ทราบข่าวว่า พระนางพิมพาคลอดพระราชโอรส ความจริงพระนางพิมพาก็สวยงามมากลักษณะสวยจริงๆ เป็นผู้หญิงที่มีความสวยสมบูรณ์แบบ องค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงเปล่งวาจาว่า "ปิยะบุตะ ว่า บุตรที่รัก ปุตตังชีเว ห่วงลูกผูกคอ มันเกิดขึ้นแล้ว" แต่วันนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงตัดสินพระทัยว่า จะหนีออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ ทั้งนี้ก็อาศัยความอุ้มชูของเทวดา ในขณะที่องค์สมเด็จพระชินสีห์เสด็จออกจากพระราชนิเศน์ พระองค์ทรงแต่งตัวแบบกษัตริย์ แพรวพราว สีมันระยับ พระวรกายสวยสดงดงาม พระรูปพระโฉมสวยจริงๆ เป็นคนโปร่งๆ ผิวขาว ลักษณะสวยอิ่มเอิบหมดทั้งกาย หน้าตาหาจุดบำพร่องอะไรไม่ได้ สวยจัด องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ทรงม้ากัณฑกะ มีนายฉันนะจูงม้าข้างหน้า น้ำพระทัยของพระองค์มีความเข้มแข็งและก็เด็ดเดี่ยว มุ่งหน้าเอาพระโพธิญาณให้ได้ [/FONT]

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ฉะนั้นการเดินทางไปของนาย ฉันนะ กับ ม้า จึงไปด้วยการ เหยาะย่าง วิ่งหย่องๆ แต่ว่านายฉันนะเป็นคนมีกำลังมาก ถือเชือกม้า ม้าก็เหยาะย่างมาตามจังหวะ มาชนิดที่เรียกว่าไม่รีบจนเกินไป ไม่ใช่ม้าวิ่ง ม้าเดินเหยาะย่างมาตามจังหวะออกมาจากเขต พอถึงจุดหนึ่งซึ่งไม่ใช่ที่ต้นโพธิ์ จะเป็นคยาศรีษะ หรืออะไรพ่อจำไม่ได้ เห็นบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล เป็นลานสวย มีสนามหญ้า มีแม่น้ำใสสะอาด เป็นกลางเดือนหก สมเด็จพระภควันต์ก็ประทับจับพระขรรค์ตัดพระเกศา ตัดทีเดียวขาด อาศัยที่เป็นอัจฉริยะมนุษย์ ด้วยอำนาจเทวดาช่วย พระเกศาก็ขดเป็นวงกลม เป็นทักษิณาวัตรเวียนขวาเกาะติดกับหนังของพระองค์ มองดูแล้วก็คล้ายๆ กับว่า "คนปลงผม" และนับตั้งแต่วันนั้นถึงปรินิพาน องค์สมเด็จพระพิชิตมาร "ไม่เคยปลงผม" เพราะผมไม่ยาวมาอีก มองแล้ว เหมือนพระโกน แล้วมี ผมเกรียนติดศรีษะ รวมความว่า ศรีษะโล้น นั่นเอง [/FONT]


    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ฉะนั้นการทำ พระพุทธรูปที่มีมวยผมข้างบน จึงผิด ไม่ถูก อันนี้พ่อขอยืนยัน ขอลูกทุกคนพิจารณาตามนั้นด้วย แล้วองค์สมเด็จพระภควันต์ก็ทรงมอบเครื่องแต่งตัวให้แก่นายฉันนะ พระองค์รับเครื่องสักการะ คือเครื่องทรงของพระมีสบงจีวร จากพรหม ตอนนั้นพรมแสดงตนเป็นพรหมจริงๆ เห็นเป็นพรหมชัด เมื่อถวายขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์แล้ว พระองค์ก้ทรงฉลองพระองค์มีสบง จีวร สังฆาฏิ รัดประคตเอวอังสะ เป็นต้น และก็มีบาตรให้แก่องค์สมเด็จพระทศพล บาตรก็เป็น บาตรดินธรรมดา แต่คงจะสร้างด้วยกำลังของพรหม คงจะเป็นนิมิต พรหมคงไม่ขยันปั้นบาตร เวลามีพระพุทธเจ้าเสด็จออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ ก่อนจะออกผนวชรู้สึกว่า เทวดาและพรหมห้อมล้อมกันมาก แสดงเทวทูตให้ปรากฏ จนกระทั้งองค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงเห็นว่า ความตายมีได้ คุณธรรมที่ทำให้คนไม่ตายก็ต้องมี แต่เวลานั้นพระองค์จะเห็นเทวดาหรือไม่พ่อก็ไม่ทราบ หลังจากนั้น ม้ากัณฑกะ ซึ่งเป็น ม้าคู่บารมีก็ตาย นายฉันะก็ร้องไห้เดินกลับวัง [/FONT]

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสวงหาด้วยทางจิต แสวงหาไปก็ต้องศึกษาก่อนไปศึกษาจากสำนักพราหมณ์ สำนักไหนว่าดี องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ไปที่นั่น สุดท้ายไปสำนัก อาฬารดาบส และ อุทกดาบส ทั้งสองท่านสอนให้ได้สมาบัติ คือ รูปฌาน ๔ และ อรูปฌาน ๔ การศึกานี้พระมหามุนีใช้เวลาเล็กน้อย เพราะว่าปัญญาพระองค์ดีมาก ทรงจำดีมาก มีความขยันหมั่นเพียรดี ศึกษาและทำได้ดีกว่าทุกคนในสำนักนั้น จนกระทั่งอาจารย์ทั้งสอง คืออาฬารดาบส และอุทกดาบส อยากให้เป็นครูสอนแทน แต่พระองค์ก็ไม่เอาจึงออกป่า [/FONT]


    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ตอนนั้นเองมี พราหมณ์ ๕ คน คือ ท่าน โกณฑัญญะ ท่านวัปปะ ท่านภัททิยะ ท่านมหานามะ ท่านอัสสชิ ทราบว่าพระพุทธเจ้าออกแสวงหหาภิเนษกรมณ์ ก็พากันออกบวช โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอัญญาโกณฑัญญะ เป็นพราหมณ์องค์ที่ ๕ ในจำนวนพราหทณ์ทั้ง ๕ องค์ และหนุ่มที่สุด ที่เข้าทำนายลักษณะพยากรณ์ว่าสิทธัตถะราชกุมารจะเป็นศาสดาเอกในโลก ทายอย่างเดียว แต่พราหมณ์อีก ๔ องค์ทายว่าถ้าเป็นฆราวาสจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ถ้าได้บวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้า คือเป็นศาสนดาเอกในโลก คำว่า ศาสดา แปลว่า ครู[/FONT]

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ในเมื่อได้ยินข่าวพพระพุทธเจ้าทรงออกผนวช ท่านทั้ง ๕ ก็ติดตามออกบวชมาปฏิบัติ ตอนนั้นองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ทรงแสดงภาพให้ปรากฏ ถึงการทรงทรมานพระกายที่พราหมณ์นิยมกันว่า การบรรลุมรรคผลจริงๆ ได้ต้องอยู่ในการทรมานกาย กินแตน้อยๆ นอนน้อยๆ นั่งน้อยๆ ยืนน้อยๆ เดินน้อยๆ เป้นอันว่าทรมานไม่ค่อยจะนอนก็แล้วกัน มีนั่งมากกว่ายืน กว่าเดิน กินก็น้อย จนกระทั้งเลิกกิน ดูภาพของสมเด็จพระทรงสวัสดิ์โสภาคย์ ทรงทรมานพระกายตอนนั้น ผอมจริงๆ เวลาจะไปสรงน้ำก็เดินซวนไปซวนมา บางครั้งท่านทั้ง ๕ ฤาษีต้องเข้าประคอง แต่ว่าท่านก็ทรงอดทนมาก ทำอยู่อย่างนั้นใช้เวลานาน ๖ ปี ตั้งแต่วันออกผนวช จนกระทั่งวันบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงทรงมาดำริว่า การบรรลุมรรคผลคงไม่ใช่การทรมานทน จึงได้ทรงเสวยกระกระยาหารใหม่ ตอนนี้ดูภาพ ตอนที่ทรงเสวยพระกระยาหารใหม่ คือกินเต็มที่ให้ร่างกายอ้วนพี พระองค์ทรงเห็นว่าความดีที่จะพึงได้อาจจะมาจากใจ ไม่ใช่ทางกาย เพราะทางกาย นอกจากทรมานกาย เรียกว่านอนน้อย กินน้อย เดินน้อย มีนั่งมาก แล้วก็ยังกลั้นใจ เอาลิ้นกดเพดานจนถึงกับลมออกหูอู้ เป็นอันว่าร่างกายมันก็จะตาย ก็กลับคิดว่าทางใจคงจะดี เป็นเหตุให้ฤาษีทั้ง ๕ ไม่พอใจ เห็นว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นผู้มักมากในอาหาร การที่จะสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นไปไม่ได้ คงไม่เป็นไปตามวิสัยที่พราหมณ์ต้องการ จึงหนีองค์สมเด็จพระพิชิตมารไปสู่ ป่าอิติปตนมฤคทายวัน ตอนนี้ดูภาพท่านทั้ง ๕ เวลาก่อนจะไป ท่านชี้หน้าและว่าต่างๆ ปรามาสองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าสิทธัตถะท่านหมดหวังที่จะได้เป็นศาสดาเอกในโลก เพราะกลับมามักมากในกามคุณ เราไม่เห็นด้วย เราไม่ช่วยประคับประคอง เราไปละ ท่านก็ไปด้วยความโมโหโทโสกันทั้ง ๕ มีท่านอัญญาโกณฑัญญะพราหมณ์เป็นหัวหน้า เรื่องของเรื่องก็ต้องตามใจท่าน ท่านอยากจะโกรธซะอย่าง ใครจะไปห้ามความโกรธ เป็นอันว่าท่านไปแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ต้องเลี้ยงตัวเอง เวลาจะเดินไปบิณฑบาตก็เดินโซซัดโซเซ แต่แข็งกำลังพระทัย อาศัยที่ได้ฌานสมาบัติมาก่อนองค์สมเด็จพระชินวรใช้ฌานสมาบัติเข้าช่วยเวลาที่จะไปบิณฑบาต เวลาที่จะเดินกลับ จะไปตักน้ำ จะไปอาบน้ำ จะต้องทำทุกอย่างด้วยพระองค์เองหมด [/FONT]​

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ดูภาพขององค์สมเด็จพระบรมสุตตอนนั้นลูกรัก พ่อรู้สึกสงสารสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ แต่ถ้าพระองค์ทำเพื่อพระองค์เองนะ ไม่หวังสงเคราะห์คนอื่นพ่อก็ไม่รู้สึกอะไรมากนัก แต่เนื่องจากองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทำเพื่อสันติสุขของบุคคลอื่นด้วย ช่วยพระองค์เองด้วยและก็ช่วยคนอื่นด้วย แต่ว่าผลความดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ได้มาด้วยความลำบาก คนที่ประกาศตนว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พ่อรู้สึกสลดใจที่มาเป็น เถรใบลานเปล่า กันเสียมาก แล้วก็ใช้ผ้ากาสาวพัตร์ขององค์สมเด็จพระบรมสุคตเป็นเครื่องหลอกลวงคน แต่ทั้งนี้ลูกก็อย่านึกว่าทุกท่านที่ทรงผ้ากาสาวพัตร์ไดไปทั้งหมด ที่ดีๆ ก็มีมาก ที่หลอกลวงก็มีมาก คนชั่วก็มี คนดีก็มาก คนชั่วหายาก คนดีถมไป ท่านว่าอย่างนี้นะลูก ต่อมาตามภาพนั้นท่านแสดงเร็ว องค์สมเด็จพระพิชิตมารก็มีพระวรกายดี ร่างกายเริ่มแข็งแรง มีเนื้อมีหนัง คนที่เขาใส่บาตรองค์สมเด็จพระชินสีห์ เขาเรียกว่า สิทธัตถะร่างกายดีแล้วหรือ สิทธัตถะสมบูรณ์ขึ้นแล้ว สิทธัตถะผ่องใสแล้ว เวลาที่ท่านไปบิณฑบาตรชาวบ้านเขาพูดกันอย่างนั้น ท่านก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ แต่ทุกคนเขาไม่โกรธไม่ว่าท่านจะอดข้าวหรือฉันข้าว เขาไม่ว่าอะไร เขาเลื่อมใสจริยาพระองค์ ก็มีอยู่มากคนด้วยกัน ที่เวลาองค์สมเด็จพระพิชิตมารเสด็จกลับ บางคนก็ตามมาปฏิบัติให้ความสะดวก เขาช่วยท่าน ท่านก็ไม่ว่า เขาไม่ช่วยท่าน ท่านก็ไม่ตามใคร [/FONT][FONT=trebuchet ms,sans-serif]เป็นอันว่ากาลต่อมา องค์สมเด็จพระจอมไตรมีร่างกายสมบูรณ์ ตอนนั้นั่งอยู่ที่โคนต้นไทรใกล้ๆ ต้นโพธิ์ มีสาขาใหญ่ [/FONT]

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]เวลานั้น นางสุชาดา ไม่มีลูก อยากจะมีลูก บนรุกขเทวดาไว้ เมื่อมีลูกแล้ว ครั้นเมื่อ นางบุญทาสี มาเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็กลับไปบอกนางสุชาดาว่า รุกขเทวดากำลังต้อนรับเจ้าแม่เจ้าค่ะ ภาพปรากฎว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรมีร่างกายสมบูรณ์บริบูณ์ ผิวพรรณสวยสดงดงามมาก น่ารักสดชื่น สวยกวาคนธรรมดา เป็นอันว่าหน้าท่านสวย ผิวท่านสวย ปากแดง ส่วนที่ดำก็ดำสนิท ส่วนที่แดงก็แดงสนิท กลมกลืนสวยจริงๆ เมื่อรับข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดาแล้ว ก็ทรงเสวยข้าวมธุปายาส เมื่อหมดแล้ว ตามภาพนั้น องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถก็ทรงนำถาดทองคำไปลอยที่ แม่น้ำเนรัญชรา เวลานั้นเป็นเวลานั้นน้ำหลากไหลเชี่ยว ทรงอธิษฐานอ่างเดียวว่า ถ้าหากว่าเราจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ขอให้ถาดนี้ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ก็เป็นอัศจรรย์ผลและต้นหญ้า ท่อนไม้ที่ไหลมาไหลเร็วลิ่วตามน้ำ แต่ถาดทองคำลอยทวนน้ำขึ้นไปได้อย่างอัศจรรย์ ไประยะยาวพอสมควรไกลประมาณ ๗ เมตร ถาดก็จม จมลงไปซ้อนกันที่วิมานของพระยากาลนาคราชอยู่เมืองบาดาล แกนอนหลับสบาย พอถาดขององค์หนึ่งกระทบดังแกร๊ก ก้ลืมตามา นี่นอนยังไม่ทันจะเต็มตื่น พระพุทธเจ้าตรัสอีกองค์อีกแล้วรึ อะไรเดี๋ยว เดี๋ยวองค์ ตรัสบ่อยจริงๆ แล้วก็หลับต่อไป[/FONT]​


    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]หลังจากที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับจากลอยถาดทองคำแล้ว พอมาถึงก็ปรากฏว่า มีพราหมณ์เอาหญ้าคามาถวาย ๘ กำด้วยกัน องค์สมเด็จพระภควันต์ก็ทรงเอาหญ้าคาปูลาดไปบนแท่นหิน หินนะไม่ใช่แท่นแก้ว หรือไม่ใช่แท่นเพชร ที่เรียกกันว่าแก้วๆ เขาแปลว่า ของดี อย่างพ่อแก้วก็เรียกว่าพ่อดี แม่แก้วก็แปลว่าแม่ดี สำหรับพระแท่นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่ง และทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ไม่ใช่แท่นที่ใครสร้างให้ ไม่มีรูปร่างเป็นแท่น ความจริงก็เป็นหินก้อนหิน เป็นก้อนหินที่มีสันนูนขึ้นมาธรรมดา มีที่เรียบพอเล็กน้อย ตามริมทุกด้านมีรอยลู่ลง เรียกว่าด้านบนนั่งสบายๆ เป็นแท่นหินเรียบ ไม่ใช่เป็นแผ่น พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงเอาหญ้าคาขึ้นไปวางข้างบนนั้น ทำให้นิ่มขึ้นมาหน่อยหนึ่ง หญ้าคาตอนนั้นเป็นสีขาวๆ พ่อสงสัยว่าจะเป็นหญ้าคาที่มีความแห้งดีแล้วสีขาวๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ประทับนั่งบนหญ้าคาเหนือแท่นหินขึ้นมา เพราะหญ้าคาคลุมหิน คุยกันไปตามภาพ [/FONT]

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]เวลานั้นจะเห็นองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีความเปล่าเปลี่ยวเป็นอย่างมาก ถ้าเราคิดอย่างคนธรรมดานะ เพราะเบญจวัคคีทั้ง ๕ ท่านก็ไปเสียแล้ว และองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน ป่าก็เต็มไปด้วยความเงียบสงัด เสียงสัตว์ทุกชนิดร้องตามจังหวะ กระแสน้ำไหล ลมพัดคราวไร ใบไม้เสียงเกรียวกราว มองดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธจ้าก็เสด็จประทับอยู่องค์เดียว แต่ว่าการนั่งอยู่องค์เดียวเพื่อแสวงหาประโยชน์ปัจจุบัน นั่นก็คือนั่งดูทรัพย์สมบัติก้น่าตำหนิ หรือก็น่าสงสาร แต่นี่องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงทรมานพระองค์อดข้าว อดน้ำ แล้วก็มานั่งเปล่าเปลี่ยวอยู่องค์เดียว เคยเป็นกษัตริย์อยู่ในพระราชฐาน กษัตริย์นั้นมีพระราชอำนาจมาก และพระองค์ก็มีความสมบูรณ์พูนสุข อีก ๗ วันหลังจากออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ ก็มีโอกาสได้เป็นพระเจ้าจักพรรดิ แต่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิไม่ต้องการอย่างนั้น [/FONT]

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]มาตอนนี้ภาพจริงๆ ที่ปรากกกับจิต ภาพนี้สวยจริงๆ ลูกรัก เห็นองค์สมเด็จพระธรรมสามิสทรงเสด็จประทับนั่งหันหลังเข้าหาต้นโพธิ์ ทรวดทรงของพระองค์ก็ดี ผิวพรรณก็สดสวย ลีลาการเยื้องกรายกก็น่าเลื่อมใส พระองค์ทรงพระกายตรง นั่งขัดสมาธิ มือขวาทับมือซ้าย เท้าขวาทับเท้าซ้าย มองไปอีกทีปรากฏว่าเวลานั้น เทวดาและพรหมก็มายืนเรียงรายรอบๆ อยู่บนอากาศก็รอบๆ เห็นบรรดาเทพธิดาและเทพบุตรทั้งหลายโปรยปรายดอกไม้บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างคนต่างก็พนมมือทั่วจักรวาล จะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยเทวดาและพรหม เวลานั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง จะทรงเห็นเทวดาและพรหมหรือไม่ พ่อไม่ทราบเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าภาพปรากฏขณะนั้น[/FONT]

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ในขณะเดียวกัน องค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ทรงตั้งพระทัย คิดว่า เรานั่งตรงนี้ และเราก็จะไม่ยอมลุกจากที่นี้ ถึงแม้เลือดและเนื้อของเราจะเหือดแห้งไปก็ตามที หรือชีวิตตินทรีย์จะตักษัยก็ตาม คือว่ามันจะผอม หรือมันจะตายก็ช่างมัน ถ้าเราไม่สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด เราจะไม่ยอมลุกจากตรงนี้ คือให้มันตายไปเสียเลยดีกว่า เพราะการบำเพ็ญมาสื้นเวลา ๖ ปี ถ้าไม่ได้ก็จงตายเสียเถิด อันนี้ต้องเรียกว่า เป็นพระราชดำริของพระราชาทรงพระนามว่าสิทธัตถะ เวลานั้นยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นอันว่ามื่อองค์สมด็จพระพิชิตมารทรงตัดสินพระทัยแล้ว เพราะอาศัยที่พระองค์ทรง สมาบัติ ๘ มาก่อน การรวบรวมกำลังใจจึงเป็นของไม่ยาก แต่ดูเหมือนจะมีเสียงบอกมาว่า คำว่าไม่ยากคือ ไม่ยากแก่การตัดสอนใจ แต่มีอารมณ์ใจยากอยู่นิดหนึ่ง ขณะที่นั่งลงไปใหม่ คิดในใจว่า เราจะทรงอารมณ์แบบไหน ถึงจะตรงกับการได้พระโพธิญาณ และขณะนั้นเอง ความโปร่งจิตขององค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ปรากฏ เมื่อปรากฏตามนั้นแล้ว อารมณ์ก็โปร่งขึ้นมา ปัญญาก็เกิด คิดว่าอันดับแรกเราจะต้องทรงสมาธิก่อนให้จิตเป็นสุข ให้จิตมีการทรงตัว จึงได้เริ่มจับ อานาปานสติกรรมฐาน ทรงอารมณ์อยู่เป็นปกติ ใช้เวลาไม่นาน เริ่มตั้งกำลังใจ เพียงแค่ครึ่งวินาที อารมณ์ของสมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงสงัดจัดเป็นฌาน ทีแรกขึ้นเป็นฌานต้นทีเดียวถึงฌาน ๘ ทรงอารมณ์สบายอยู่ในสมาบัติ ๘ จิตสงบสงัด มีอารมณ์ป็นสุขมาก [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2010
  2. ariyabut

    ariyabut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +2,415
    พุทธประวัติพระสมณโคดม ( จากพระกรรมฐาน ) ช่วงที่ ๒

    ในชั่วขณะเวลาผ่านไปประมาณสัก ๑ ชั่วโมงเศษ พ่อขอคุยกับลูกตามคำบอก จะเรียกพูดตามพากย์ก็ได้ เวลาผานไปชั่วโมงครึ่ง ความสุขเกิดขึ้นจากสมาธิ อารมณ์เด็ดเดี่ยวเป็น อุเบกขารมณ์ เกิดขึ้นจากสมาธิ ใจมีความปลอดจากกิเลส ตอนนั้นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐจึงได้ ลดกำลังของสมาธิ ค่อยๆ เลื่อนมาจากสมาบัติข้อที่ ๘ มาถึงข้อที่ ๗ ที่เรียกว่า อากิยจัญญายตนะ ลดลงมาถึงข้อที่ ๖ ที่เรียกว่า วิญญาณัญจายตนะ ลดลงมาข้อที่ ๕ ที่เรียกว่า อากาสานัญจายนะ ค่อยๆ ลดมาทีละน้อยลดลงมาถึงข้อที่ ๔ ที่เรียกว่า จตุตถฌาน ลดลงมาถึงข้อที่ ๓ ที่เรียกว่า ตติยฌาน ลดลงมาถึงฌานที่ ๒ ที่เรียกว่า ทุติยฌาน ลดลงมาถึงฌานที่ ๑ ที่เรียกว่า ปฐมฌาน ลดลงมาถึง อุปจารฌาน การลดลงมา การขึ้นลงเป็นเรื่องคล่องแคล่วขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พยายามลองลด ก็ชื่อว่าจะลองเล่นกำลังฌาน ว่ากำลังจิตจะใช้กำลังได้หรือไม่ เพราะทิ้งมานาน ลดลงมาถึง อุปจารสมาธิ แล้วขึ้นไป ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ แล้วก็ ๘ ๗ ๖ ๕ ๔ ๓ ๒ ๑ วิ่งไปวิ่งมา ใช้เวลา ๑ ชั่วโมง ก็ปราฏว่าถอยหลังมาตั้งอยู่ใน อุปจารสมาธิ ใช้อารมณ์ตัดสินใจว่า "คำว่าพระโพธิญาณ มีสภาวะเป็นประการใด กิเลสทั้งหลายที่เข้ามาขัดข้องจิต ทำให้ทกคนเห็นผิดเป็นถูกข้อนั้น มีอะไรบ้าง ขอจงปรากฏกับจิตของเรา

    ตอนนี้ปรากฏว่า อารมณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทปหาน กลับเกิด บุฟเพนิวาสานุสติญาณ การระลึกชาติได้ ตอนนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเห็น จิตในจิต คือ มีความสว่างไสว จิตเป็นประกายพรึกขึ้นมาสว่างออก สภาวะต่างๆ คือเทวดาก็ดี พรหมก็ดี ที่แวดล้อมอยู่เวลานั้น ที่ยืนอยู่ใกล้ภาคพื้นดินก็ดี บนอากาศก็ดี ถือดอกชบาทำสักการะ เป็นอันว่าปรากฏแก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชัดทั่วจักรวาล เป็นเหตุให้พระองค์มีจิตเบิกบาน ว่า โอหนอ คำว่า "พระโพธิญาณ" คงจะสำเร็จแก่เราในตอนนี้ เป็นกำลังใจให้องค์สมเด็จพระชินสีห์ได้บุพเพนิวาสานุสติญาณ ตอนนี้เห็นเทวดาก็ดี พรหมก็ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีอาการสดชื่นมาก พรหมบางท่านเข้ามาถวายพัดอยู่ใกล้ๆ เทวดาทั้งหลายก็ยืนล้อมรอบ และก็ลอยในอากาศล้อมรอบ ทรงสดชื่นมาก ทรงถอยหลังชาติไม่มีเหตุจำกัด ก็ทรงทราบว่าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ได้เคยเกิดมาเป็นอะไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติไหนที่เคยได้รับพุทธพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็พระพุทธเจ้าชื่ออะไร พยากรณ์ว่าอย่างไร กิจใดทำไว้ ทราบชัดหมด ตอนนี้เป็นกำลังใจขององค์สมเด็จพระบรมสุคตว่า กัปนี้เราเป็นองค์ที่ ๔ ที่จะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ น้ำพระทัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้บุพเพนิวาสานุสติญาณแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ใช้กำลังจิตที่ได้ บุเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติถอยหลังเป็นประโยชน์มาก รู้อดีตที่ล่วงมาแล้วว่า มีสภาพเป็นอย่างไร เกิดเป็นอะไรบ้าง เกิดเป็นคนบ้าง แล้วก็ตายเป็นเทวดาบ้าง ไปเป็นพรหมบ้าง ไปอยู่นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป้นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ทำคุณประโยชน์อะไรบ้าง และก็ได้รับพระพุทธพยาการ์ว่าอย่างไรบ้าง พระพุทธเจ้าแต่ละองค์สอนว่าอย่างไร และท่านผู้ใดที่เป็นพระอรหันต์เป็นเพราะอะไรเป็นเหตุ เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์มีกำลังใจ เพราะอาศัยบุพเพนิวาสานุสติญาณ จึงทบทนไปมา แล้วก็เลือกจัดธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เอามาเป็นเครื่องพิจารณา ตอนนี้องค์สมเด็จผู้มีพระมหากรุณาธิคุณเมื่อพิจารณาในด้านบุเพนิวาสานุสติญาณ กำลังใจก็เต็มขึ้น เป็นเหตุให้ได้ ทิพยจักขุญาณ หรือที่เรียกกันว่า จุตูปปาตญาณ เป็นอันว่าพระองค์กลับมีความรู้สึกว่า สัตว์ในโลกทั่วจักวาลนี่เป็นคนก็ดี สัตว์เดรัจฉานก็ดี บางท่านที่มาเกิดก็มาจากพรหมบ้าง มาจากเทวดาบ้าง มาจากมนุษย์บ้าง มาจกสัตว์เดรัจฉานบ้าง อสุรกายบ้าง เปรตบ้าง สัตว์นรกบ้าง แล้วก็ทรงรู้ถึงว่า ถ้าพวกที่มีอารมณ์ตามนั้นที่ทรงอยู่ ตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหน รู้ถึงความเป็นอยู่ เป็นอันว่าตอนนี้เป็นเหตุให้องค์สมเด็จพระบรมครู ใช้ปัญญาเข้าพิจารณาด้วยกำลังของ "ทิพยจักขุญาณ" และ "บุพเพนิวาสานุสติญาณ" ว่าคนและสัตว์นี้มีเครื่องยืนยันได้แน่นอนว่า ไม่มีใครมีสภาวะทรงตัว และเหตูที่จะพึงตัดจะต้องเอาอะไรมาตัดกรรมที่เป็นกิเลส คือที่เรียกว่า กิเลส ตัญหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ที่ทำให้คนมัวเมาอยู่ในร่างกายที่ไม่เป็นสาระ ไม่มีประโยชน์ การเกิดแต่ละชาติมีแต่โทษ ไม่มีคุณ จะเอาอะไรมาเป็นเครื่องตัด เราจะต้องตัดใจของเราก่อน และจึงจะไปสอนบุคคลอื่น เมื่อสมเด็จพระผุ้มีพระภาคเจ้าทรงดำริอย่างนี้ กำลังสมาธิที่ท่านกล่าวว่าเป็นเหตุให้เกิดปัญญา มันก็เกิด ก็มีความรู้กว่า สิ่งที่จะทำให้ไม่เกิดมีอยู่ ๔ อย่าง ต้องประกอบกัน คือ

    ทุกข์ เป็นเครื่องดึงให้เกิด คือคนที่หลงในความทุกข์ว่าเป็นความสุข ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ และก็ทุกข์เกิดจากความอยาก การทะเยอทะยาน อย่างเมื่อเราเป็นเด็กๆ เราก็อยากจะโต เมื่อโตแล้วเราก็อยากเป็นพระราชา ท่านปรารภถึงพระองค์เอง เมื่อเป็นพระราชาแล้ว ก็อยากเป็นพระราชาที่มีอำนาจ อำนาจที่พพระองค์ต้องการก็คืออำนาจโดยธรม หรือมีธรรมเป็นอำนาจ จะใช้ความดีสงเคราะห์คนอื่นให้มีความสุข ใช้ความดีเป็นอำนาจ พระองค์ทรงคิดไกล เมื่ออาการอย่างนี้มันเกิดขึ้นว่า ก็ทำให้คับใจ ถ้าสิ่งใดที่ทำไม่ได้ตามความปรารถนา หรือว่าความปรารถนาไม่สมหวัง อารมณ์มันก็เป็นทุกข์ นี่ตัวอยากเป็นเหตุ ถ้าเราจะตัดก็ต้องตัดตัวอยาก ตัดตัวอยากต้องใช้กำลังความดี ทรงพิจารณาดูว่า ความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ท่านตรัสก็คือ ศีล สมาธ ปัญญา หรือที่เรียกว่ามรรค ๘ ทรงพิจารณาว่า...

    ๑. เวลานี้ศีลของเราบริสุทธิ์หรือยัง ก็ทรงทราบว่าศีลบริสุทธิ์ทุกอย่าง

    ๒. สมาธิ ของเรามีกำลังพอหรือยัง ก็ทรงทราบว่าสมาธิของเรามีกำลังพอ จึงได้รวบรวมกำลังใจว่า จุดใดที่ยังมีภาวะติดอยู่ ตัดตรงไหนดีหนอ

    พิจารณาตอนนั้น จะตัดอารมณ์ใจอย่างเดียวหรือจะตัดอะไรด้วย

    อันดับแรก ตัด รูป คือ ไม่ห่วงใยในรูป นี่เราก็ตัดมาแล้ว ปัญญาบอกว่าต้องตัดรูป แต่ก็ทรงพิจาณาว่าเรานั่งที่นี่ก็ดี เราออกแสวงหาอภิเนษกรมณ์ก็ดี นี่เราตัดรูปมาแล้วนี่นะ

    รูป เรา เราก็ตัด คือเราไม่หวังความสุขในรูปกายของเรา นี่เราตัดแล้ว

    รูป ของพิมพพาราชเทวี มเหสีที่รัก เราก็ตัดแล้ว รูปของลูกรักที่เกิดในวนเดียววันนั้นเราก็ตัดแล้ว

    รูป ของพระราชบิดา พระราชมารดา หรือข้าราชการ เราก็ตัดแล้ว

    รูป ของนางสนมนารี เราก็ตัดแล้ว และรูปของทรพย์สินทั้งหลาย เราก็ตัดแล้ว.


    ยังมีอะไรอีกบ้างไหมที่เราจะต้องตัด ก็เรื่องของ นาม คือ ความปรารถนาของใจ ได้แก่โลกธรรม ๘ ทรัพย์สินที่พึงจะเกิดขึ้น เราตัดแล้วหรือยัง ก็ทรงพิจารณาว่า...

    - เวลานี้เราไม่มีอะไร มีแต่ผ้านุ่ง ผ้าหุ่ม กับร่างกาย ทรัพย์ทั้งหลายทั้งหมดที่มันมากกว่านี้ ที่เราเคยครองอยู่ เราตัดแล้ว และการเสื่อมลาภไป ไม่มี ลาภ เราเป็นสุขหรือเป็นทุข์ นึกถึงลาภนั้นบ้างหรือเปล่า ก็ทรงทราบว่าเราไม่นึก นี่เราก็ตัดแล้วเรื่อง ลาภ

    - มาเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ เรามาจากความเป็นพระราชา เราไม่ได้ลาออก เราไม่ได้มีความผิด เราตัดมาเพื่อแสวงหาภิเนษกรมณ์เราตัดแล้ว การหมดยศฐาบรรดาศักดฺ อำนาจศักดิ์ศรี เป็นเครื่องวังเวงใจให้เรานึกถึงบ้างไหม เราก็ไม่นึกถึง อันนี้เราก็ตัดแล้ว

    - เวลานี้เราตัดผม คนสมัยนั้นเขาถือว่าคนไม่มีผม คนโกนหัว เป็น กาลกิณี อารมณ์อย่างนี้ที่เขานินทา เรา หวั่นไหวไหม ก็ทรงทราบในพระทัยว่า เราไม่ได้หวั่นไหว

    - และประการต่อไป ถ้าใครเขามา สรรเสริญ เราได้รับการย่องย่องขณะที่เรามาอยู่ป่า เช่น ปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้ง ๕ เทอดทูนเราว่าเป็นคนดี และก็มีพราหมณ์ที่นำหญ้าคามาให้เราก็ดี คนหลายคนที่ผ่านมาเห็นเราเข้า รู้ว่าเราเป็นกษัตริย์มาในกาลก่อน เขาก็พากันสรรเสริญเยินยอ ว่าเราเป็นคนดี คำสรรเสริญอย่างนี้เราผูกพันหรือเปล่า ก็ทรงทราบว่า ไม่ผูกพันแล้ว

    - ต่อไปองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็มารำพึงว่า ความสุขความทุกข์ ที่เนื่องกับเรื่องกายนี่เราตัดแล้วหรือยัง พระองค์ก็ทรงทราบว่าตัดแล้ว เพราะว่าเราตั้งมโนปณิทานว่า ถ้าไม่สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด เลือดและเนื้อมันจะเหือดแห้งไป นี่หมายความว่า ทุกขเวทนามันหนัก มันหิวขึ้นมาทีละน้อยๆ หนักเข้าๆ ร่างกายก็ทรงไม่ไหว มันอาจจะตายซะตรงนี้ แต่อารมณ์เราตัดแล้วด้วยดี มันจะตายตรงนี้ก็เชิญ ถ้าเราไม่ได้บรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ อันนี้เราตัดแล้ว

    - เป็นอันว่าการพิจารณาแบบนี้ เป็นปัจจัยให้องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เวลานั้นลูกรัก ตามภาวะของภาพที่ปรากฎ คืออารมณ์เคลิ้ม เวลานั้นเห็นองค์สมเด็จพระพิชิตมาร มีกระแสจิตสว่างไสวเป็นประกายพรึก เหมือนกับพระอาทิตย์สักพันดวง และก็มีพระฉวีวรรณเปล่งปลั่ง เพราะความสดชื่นในจิต บรรดาเทวดาและพรหมต่างก็มานมัสการองค์สมเด็จพระธรรมสามิส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่าน "สหัมบดีพรหม" กล่าวว่า...

    "สิทธัตถะ ท่านเอ๋ย เวลานี้กิจที่ท่านต้องการ คือ "พระสัมมาสัมโพธิญาณ" ชื่อว่า เป็นพระอรหันต์องค์แรกในโลก บรรลุแก่ท่านแล้ว"

    เป็นอันว่าท่านสหัมบดีพรหมยืนยัน และก็พรหมทั้งหมดก็ยืนยัน เทวดาทั้งหมดก็ยืนยัน ต่างคนก็ต่างเอาเครื่องสักการวรามิส มีดอกไม้เป็นตน ของสวรรค์ ของหอมต่างๆ มาบูชาองค์สมเด็จพระภวควันต์ ในฐานะที่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ และต่างคนต่างก็มายืนรายรอบองค์สมเด็จพระบรมครูพนมทือแสดงสักการะ เป็นเหตุให้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ทรงธรรมปิติขึ้นมาก มีความอิ่มเอิบ มีความสดชื่น ตอนนี้ตามปฐมโภชน์กล่าวว่า พระยามาราธิราช หรือที่เรียกว่าท้าวมาลัย เข้ามาทำลายพิธี ตามที่บอกรูสึกมาดุดันมาก แต่ความจริงดุไม่ได้หรอก

    ประการที่หนึ่ง เพราะว่าพระยามาราธิราช หรือท้าวมาลัย เป็นเทวดาที่ อยู่ในอาณัตของพระอินทร์

    ประการที่สอง เทวดามีอำนาจไม่เกินพรหม นี่เค้าบอกพระยมาราธิราชแผลงฤทธิ์ เทวดาที่แวดล้อมหนีหมด อันนี้ไม่จริง

    - ตามภาพนั้นปรากฏว่าไม่จริง มีเทวดาและพรหมถอยออกไปยืนถวายสักการะในที่อันควร ไม่ได้ยืนติดพระองค์

    ก็มีพระยามาราธิราชมาสะกิดว่า

    "ท่านจะไปหลงใหลใฝ่ฝันอะไรกับพระโพธิญาณ มันเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ ท่านจงนึกถึงตำแหน่ง พระเจ้าจักรพรรดิ ที่จะช่วยคนให้เป็นสุขทั้งโลกไม่ดีกว่าหรือ อีกประการหนึ่ง พระพิมพาราชเทวีก็มีพระรูปพระโฉงดงาม และลูกชายคนเล็กก็เพิ่งเกิดใหม่ นอกจากนั้นสนมนารีก็มากมาย ทำไมไม่คำนึงถึงบ้าง ปล่อยให้เขาทั้งหมดมีความทุกข์ เพราะท่านหาความสุขแต่ผู้เดียว"

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงตรัสว่า...

    "ปาปิมะ ดูก่อน มารผู้มีบาป" เราทราบแล้วว่า เรากับท่านน่ะเป็นเพื่อนกันมาก่อนในอดีต อาศัย บุพนุวาสานุสติญาณ อาศัยที่เราถวายหญ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่ได้เอาของท่านไปถวาย ท่านจึงมีความเข้าใจว่า เราต้องการบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแต่ผู้เดียว ท่านก็ปรารถนาเช่นเดียวกัน การทำอย่างนี้มันมีบาป เราตั้งมโนปณิธานมาฉันใด เราก็ปฏิบัติฉันนั้น แม้แต่ตัวท่านเอง ถ้าทำไปไม่ช้าก็บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาน จะมาทำจิตให้เป็นบาปเพื่อประโยชน์อะไร" เพียงเท่านี้ พระยามารก็ถอยไป

    ตอนนี้ซิลูกรัก ลูกรักทุกคนเห็นไหมว่า องค์สมเด็จพระทศพลมีบุญญาธิการเพียงใด องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ไม่ทรงสนพระทัย เรื่องลาภสักการะ เรื่องยศบาบรรดาศักดิ์ เรื่องนินทาและสรรเสริญ เรื่องสุขเรื่องทุกข์ ต้องการอย่างเดียวคือ พระโพธิญาณ อารมณ์ขององค์สมเด็จพระพิชิตมารตอนนี้ ลูกกทุกคนต้องจำ เพราะว่าเราเป็นสาวกของท่าน ถ้าเราไม่ใช้กำลังใจอย่างท่าน เราจะมีผลตามที่ท่านสอนไม่ได้

    เมื่อได้ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วก็เป็นของไม่ยาก เมื่อได้ ทิพยจักขุญาณ แล้วก็เป็นของไม่ยาก ถอยหลังเข้าไป แต่ว่าเราเป็นสาวก พ่อเข้าใจว่าลูกทุกคนต้องการอย่างนั้น มันก็ไม่ยาก ใช้อารมณ์ที่ลูกทุกคนศึกษาจากคำสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เรื่องไม่ยากมันก็เกิดขึ้น แต่พ่อก็ยังคิดว่า ยังยากอยู่ สู้เราตัดตรงตามที่องค์สมเด็จพระบรมครูทรงสอนไม่ได้ นั่นคือ ไม่ห่วงชีวิตและร่างกายของเรา ไม่ห่วงชีวิตและร่างกายของบุคคลอื่น ไม่ห่วงทรัพย์สินทั้งหลาย ถ้าตายคราวนี้ขอไปพระนิพพาน อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ เอาง่ายๆ คนจะไปนิพพานเขาทำอย่างไร ก็ไปดูอารมณ์ขององค์สมเด็จพระจอมไตรดังที่กล่าวมาแล้ว ตอนนี้ตามภาพที่เคลิ้มๆ ไป ในเวลานั้นตามกระแสเสียงพระท่านพูด ก็ปรากฏภาพกับจิตตามนี้ พ่อมีความรู้สึกเห็นน้ำพระทัยขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ว่าทรงมีความลำบากลำบนเพียงใด ลูกรักต้องคิดดูเวลา ๖ ปี ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงแสวงหาภิเนษกรมณ์ มันเป็นความสุขหรือความทุข์ ลูกรัก ต้องนอนกลางดิน ต้องกินกลางทราย ตองอดทนทุกอย่างด้วยประการทั้งปวง เป็นอันว่าพระองค์มีความทุกข์เพราะพวกเรา

    ฉะนั้น พวกเราทุกคน จงอย่าให้องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมามสัมสัมพุทธเจ้าต้องผิดหวัง คำว่าต้องผิดหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นพระ พระทุกองค์จงอย่าเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และก็จงอย่าเมาใน ใบลาน หรือ เมาในตำรา จงใช้กำลังใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นแบบฉบับ แล้วก็ปรับกำลังใจของเราให้เท่าหรือคล้ายคลึงกำลังใจของพระองค์ ที่มีพระพุทธประสงค์มาสอนเรา เมื่อจิตเคลิ้มไปตอนนี้ อารมณ์ก็เป็นสุข ขอให้ลูกรักของพ่อทุกคนจงจำไว้และปฏิบัติตาม

    วันที่พระพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตอนนั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์ตอนที่พระพุทธเจ้าประทับตัดสินพระทัย ว่าจะต้องการบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณที่นี่ เป็นวันกลางเดือนหก เป็นฤดูฝน มาวันหนึ่งมีคนบอกว่ามีฝนตกลงมา พญานาคขดตัวให้เป็นแท่น แล้วก็แผ่พังพานป้องกันฝนไม่ให้ถูกองค์สมเด็จพระทศพล คนเกิดวันเสาร์จึงทำพระนาคปรก แต่รู้สึกนาคจะมีหัวมากไปหน่อย เนื้อแท้จริงๆ นาคมีหัวเดียวแผ่พังพานออก ไม่ใช่แผ่ให้หัวงอกออกมาต้องหลายหัว แบบนี้มันไม่ถูก ลูกที่นั่งฟังทั้งหมดสงสัยไหมว่า ถ้าสมมุติว่าพระยานาคท่านนั้นไม่แผ่พังพานให้พระพุทธเจ้า ฝนตกลงมาพระพุทธเจ้าจะเปียกไหม อันนี้เราต้องคิดไปว่า พระโมคคคัลลาน์ เวลาไม่ต้องการให้เปียก ท่านจะเปียกไหม มันก็ไม่เปียก ไม่ต้องการใหห้แดดถูกตัวท่าน แดดก็ไม่ถูก ตอนนี้เราก็ดูพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นครูของพระโมคคัลลาน์ เมื่อลูกศิษย์ทำได้อาจารย์จะทำได้ไหม เพราะวิชาทั้งหลายเหล่านั้นไปจากอาจารย์ เป็นอันว่าเป็นความดีของพระยานาคที่ท่านสงเคราะห์ แต่กบังเอิญพระยานาคท่านไม่สงเคราะห์ พระพุทธเจ้าท่านคงไม่เปียก เพราะท่านจะมานั่งยอมเปียกอยู่ได้อย่างไร ท่านเป็นผู้ทรงอภิญญาใหญ่ ซึ่งเป็น ยอดอภิญญา เรียกว่า บรรดาสาวกทั้งหมดจะมีฤทธิ์มีเดชเกินพระพุทธเจ้าไม่มี เท่าก็ยังไม่มีเลย นี่เราพูดตามความเป็นจริง จะทำอะไรก็นึกถึงเหตุถึงผลสักนิดหนึ่ง

    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์ก็ทรงนั่งนึกต่อไปว่า คำว่าศาสดาแปลว่าครู การที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิบัติมา ก็ไม่ใช่เพื่อต้องการความสุขส่วนตัว เป็นความต้องการที่ให้คนอื่นเขาสุขด้วย จึงเรียกว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอันว่าท่านก็นั่งนึกว่า ใครหนอที่จะรับธรรมเทศนาที่เราบรรลุแล้วได้ เพราะธรรมที่ได้มาแล้วนี้ ลึกซึ้งคำภีรภาพมาก ยากเหลือเกินที่คนจะปฏิบัติตามได้ นึกมานึกไปก็หวลนึกขึ้นมาได้ว่า โอหนอ ท่านอาจารย์ทั้งสอง คือ ท่านอาฬารดาบส กับ ท่านอุกดาบส สองท่านเป็นเป็นอาจารณ์ที่สอนให้องค์สมเด็จพระจอมไตรได้สมาบัติ ๘ ฉะนั้นในเมื่อท่านสอนให้ลูกศิษย์ได้สมาบัติ ๘ ได้ ตัวท่านต้องได้สมาบัติ ๘ ด้วย การได้สมาบีติ ๘ คือรูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ จิตละเอียดมาก ถ้ารับพระธรรมเทศนาจากองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แผล็บเดียว ก็เป็น อรหันต์ ปฏิสัมภิทาญาณ คำว่า "ปฏิสัมภิทาญาณ" หมายความว่า...

    ๑. ฉลาด ถ้าเขาพูดมาโดยย่อ ก็สามารถอธิบายให้ละเอียด เข้าใจชัดได้

    ๒. ถ้าพูดมายาวๆ ก็สามารถย่อให้สั้นเข้า พอจำได้

    ๓. และก็มีความฉลาดในภาษา มีปัญญารอบรู้ทุกอย่าง มีฤทธิ์รอบด้วยประการทั้งปวง เป็นอันว่าอภิญญา ๖ และวิชชา ๓ มีอะไร ปฏิสัมภิทาญาณก็มีหมด สำหรับปฏิสัมภิทาญาณนี้ต้องทรงสมาบัติ ๘ ก่อน

    องค์สมเด็จพระชินวรทรงคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเราจะไปเทศให้ท่านอาจารย์ทั้งสองฟังเพื่อจะได้บรรลุมรรคผล ก่อนที่องค์สมเด็จพระทศพลจะทรงทำอะไร พระพุทธเจ้าไม่ใช่พ่อ และพ่อก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ฉะนั้นพระพุทธเจ้าทำอะไร ท่านมีพระพุทธญาณเป็นเครื่องรู้ สมเด็จพระบรมครูจึงใช้ทิพยจักขุญาณดูว่าอาจารย์ทั้งสองเวลานี้อยู่ที่ไหน ก็ทราบได้ว่าเวลานี้อาจารย์ทั้งสองตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็น อรูปพรหม ไม่มีอายตนะ คือ ไม่มีเครื่องรับ เครื่องส่งของพระพุทธเจ้ามี เครื่องรับไม่มี ไมมีตาจะรับ ไม่มีหูจะรั มีแต่ตาไม่มีหู ตีใบ้ก็ยังใช้ได้ มีแต่หูไม่มีตา ใช้เสียงก็ยังดี นี่ไม่มีทั้งหูทั้งตา มีแต่จิตลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศ สมเด็จพระบรมโลกนาถก็ทรงปลงอนิจจังว่า โอหนอ น่าเสียดายอาจารย์ทั้งสอง ฉิบหายจากความดีแล้ว เพราะว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วไม่มีโอกาสจะสนองคุณท่านอาจารย์ทั้งสอง เพราะไม่มีอายตนะจะรับ ความจริงพราหมณ์เขาก็เก่งนะ เขามีการสอนถึงสมาบัติ ๘

    ต่อไปองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงระลึกถึงท่านปัญจวัคคี ฤาษีทั้ง ๕ ที่เกลียดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ามักมากในอาหาร และมักมากในกามคุณ กลับมาฉันข้าวใหม่ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่นึกอะไร นั่นเป็นความเข้าใจของลัทธิพราหมณ์ ว่าเป็นเรื่องธรรมดาๆ จะไปนั่งห้ามปรามความรู้สึกกันไม่ได้ ฉะนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้ทรงคิดว่า เวลานี้ปัญจวัคคีย์ คือ ฤาษีทั้ง ๕ ได้แก่ ท่าน โกณฑัญญะ ท่าน วัปปะ ท่าน มหานามะ ท่าน ภัททิยะ และท่าน อัสสชิ ท่านทั้งหมดเวลานี้อยู่ที่ไหน องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงทราบว่าอยู่ใน เขตป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แคว้นเมืองพาราณสี สถานที่นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปมากกว่าทุกเมือง แต่ทว่าการเดินทาไปของพระพุทธเจ้าไม่ถึงวัน เราต้องคิดว่าองค์สมเด็จพระภวควันต์ท่านทรงเดินไปแบบไหน ตอนนั้นพ่อก็มานึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า การเสด็จไปสู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันที่แขกเขาสร้างสถูปไว้ตรงนั้นไม่ไช่ พ่อไม่ได้ทำลายประโยชน์ของเขา มันไม่จำเป็นหรอกถ้าเราจะไหว้กัน ที่จริงๆ จะต้องห่างจากที่ตรงนั้นไป ๓ กิโลเมตร เอาเชือกผูกจากที่เขาทำสัญญลักษณ์ไว้ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก กางแขนเข้า แล้วก็ตัดมุมเฉียงเป็นตะวันออกเฉียงเหนือ เอาเชือกขึงไป ๓ กิโลเมตร ก็จะเข้าถึงเขตที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพบปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้ง ๕ ตอนนั้นท่านทั้งหลายอยู่ในป่าทึบ แต่ใกลบ้านไม่มากนัก มีหมู่บ้านหนาๆ แต่ว่เสียงไม่เกลี่อนกล่น หมายความว่าท่านหนีบ้านท่านท่านไม่อยู่ในบ้าน ท่านอยู่ในป่า ท่านเป็นพราหมณ์ ท่าต้องการความดี ที่ตรงนั้นเป็นที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาพระธรรมจักกัปปวัตตนสูตร ตอนนั้นจิตพ่อก็คำนึงไปถึงองค์สมเด็จพระชินสีห์ การลีลาของพระพุทธเจ้ามีรองเท้าหรือเปล่า...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2010
  3. ariyabut

    ariyabut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +2,415
    พุทธประวัติพระสมณโคดม ( จากพระกรรมฐาน ) ช่วงที่ ๓

    ...ดูแล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ไม่มีรองเท้า ทรงพระบาทเฉยๆ ดูรูปร่างขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถว่า จะเศร้าหมองหรือผ่องใส ดูแล้วผ้าที่พระองค์ห่มก็สวย ทั้งนี้เพราะเป็นผ้าที่เทวดานำมาถวาย พระฉวีวรรณขององค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงขาวและเหลืองจัด เหลืองน้อยกว่าผ้าไปหน่อยหนึ่ง รู้สึกว่าลักษณะของพระองค์สวยจริงๆ ดูทุกส่วนสวยกลมกลืนไปหมด

    ดูภาพตามความเคลิ้มของจิต พ่อคิดไปถึงท่าน มันเหมือนลืมตาฝันนั่นแหละ ดูลีลาการเยื้องกรายขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสนาดาเสด็จเยื้องกรายไปช้าๆ แบบสบายๆ ไม่ใช่เดินแบบตามควายหรือหนีตำรวจ เป็นอันว่าท่านไปเรียบร้อยจริงๆ เดินไปได้สักครู่หนึ่งแต่ผลแห่งการเดิน ลูกรัก รถเราไปตั้ง ๘ ชั่วโมง ท่านเดินไม่ถึงวัน เวลาตอนเช้าฉันภัตตราหารที่เขานำมาถวายแล้ว อย่าลืมนะว่าอยู่ใกล้บ้าน นางสุชาดา นางสุชดาถวายข้าวมธุปายาสอยู่แถวนั้น และเมื่อองค์สมเด็จพระภวควันต์ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จงอย่าคิดว่า นางสุชาดาจะยังไม่นึกถึงองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว เพราะเดินอยู่แถวนั้น เดินไป เดินมา เด็กเลี้ยงควายก็เห็นหน้าท่าน ฉะนั้นนางสุชาดก็ยังไม่ทิ้งองค์สมเด็จองค์สมเด็จพระภควันต์ นอกจากถวายภัตตราหารตรงนั้นแล้ว ก็ยังถวายต่อไป เพราะว่าเวลาที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ไม่ใช้เวลาเป็นเดือน ท่านใช้เวลาคืนเดียว พูดกันอย่างภาไทยรวบรัดกน เริ่มตั้งแต่ตอนเย็นก็จบเอาเวาใกล้รุ่ง คืนเดียวเท่านั้น ถ้าใครเห็นพระองค์เมื่อไรก็พบแต่ความชื่นใจ ฉะนั้น นางสุชาดาก็คงไม่โง่จนกระทั่งจะไม่ถวายอาหารใหม่

    เป็นอันว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรเสวยพระกระยาหารแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงเยื้องกรายมุ่งไป ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แต่ว่าเดินไปได้ไม่เท่าไร ก็ทรงพบ อุปกาชีวก ท่านอุปาชีวกนี่ลูกรัก ชีวก ไม่ได้แปลว่านักบวช อาจเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ เขาเรียกกัน จะถือเป็นนักบวชทีเดียวก็ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นที่นิยมทางศาสนาเหมือนกัน เพราะในเมืองแขกนิยมศาสนา ท่านอุปกาชีวกเห็นองค์สมเด็จพระภควันต์มีฉวีวรรณผ่องใส เยื้องกรายก็น่ารัก น่าเลื่อมใส จึงได้ถามองค์สเด็จพระจอมไตรว่า "ท่านบวชในสำนักของใคร ใครเป็นครูบาอาจารย์สอนท่าน ฉวีวรรณจึงสวยสดงดงามมาก" สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสว่า "ตถาคตนี่เป็นสยมภูนะ" หมายความว่า ตถาคตเป็นผู้รู้เอง ไม่มีใครสอน ท่านอุปกาชีวกฉุนนิดๆ คิดว่าหมอนี่อวดวิเศษมากไปแล้ว ไอ้คนไม่มีครูสอนน่ะ มันจะรู้เองได้ยังไง ความจริงแกก็คิดตามเหตุตามผลธรรมดา แกก็เลยส่ายหน้าไม่เชื่อพระพุทธเจ้าแล้วหลีกไป องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่คิดอะไร เป็นเรื่องธรรมดาๆ เพราะว่าพระองค์มีเหตุผล ต่อมาภายหลังได้กลับมาหาพระพุทธเจ้า และได้เป็นพระอรหันต์ไปในที่สุด หลังจากนั้นแล้วองค์สมเด็จพระทศพลจึงได้เดินทางต่อไปยังเขตของเมืองพาราณสีที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เวลาที่ทรงดำเนินไปนั้นก็เห็นจะด้วยกำลังของอภิญญาน้อยๆ คำว่าอภิญญาน้อยๆ ก็หมายความว่าค่อยเยื้องกรายไปให้เร็วกว่าธรรมดาหน่อย เพราะว่าถ้าเดินไปแบบธรรมดาๆ ก็ใช้เวลาหลายวัน สมเด็จพระพิชิตมารก็คงจะกำหนดเวลาว่าเราจะไปถึงเวลาตะวันคล้อย เงาคล้อยประมาณ ๒ นิ้ว เสาคงจะดี หากว่าไปด้วยอภิญญาจริงๆ หรืออำนาจวาโยกสิณ ปุ๊บเดียวมันถึงเลย.

    ฉะนั้นพระพุทธเจ้าคงจะใช้กำลังน้อยๆ ไม่ใช้กำลังมากๆ ไปให้พอดีๆ เป็นอันว่าประมาณบ่ายสองโมง องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็เสด็จเข้าเขตป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เข้าไปใกล้กับที่ท่านทั้ง ๕ อยู่ ท่านทั้ง ๕ เมื่อเห็นองค์สมเด็จพระบรมครูเสด็จเข้าไปเห็นหน้าตาแช่มชื่น มีผิวกายผ่องใส ผ้าที่ห่มก็สีสดสดใส ดูกายก็ไม่ซูบผอม เห็นร่างการสมบูรณ์บริบูรณ์ทุกอย่าง สมลักษณะสมส่วน ท่านทั้ง ๕ ก็เกิดความไม่ชอบใจอีก เพราะถือว่าการอดเป็นของดี พราหมณ์ถือว่าอดจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ และทรงคุณธรรมพิเศษ คราวนี้องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์มีเนื้อเต็มซะแบบนี้ ไม่ชอบใจ เมื่อมองเห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรก็จำได้ ท่านโกณฑัญญะซึ่งเป็นหัวหน้า เวลานั้นมีอายุแก่กว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประมาณเกือบ ๓๐ ปี เพราะว่าตอนที่องค์สมเด็จพระชินสีห์เมื่อท่านประสูติ โกณฑัญญะพราหณ์ ท่านบวชเป็นพราหมณ์แล้ว และเก่งไตรเภท ถึงกับดูลักษณะทายได้ถูกต้อง อายุก็เกือบ ๓๐ ปี ประมาณ ๒๗-๒๘ ปี อย่าคิดว่าท่านเป็นแขกดำมะเมื่อมนะ

    เป็นอันว่าทั้ง ๕ ท่านนี้มีผิวไม่ดำ ท่านเป็นแขกขาว ไม่ใช่แขกดำ อย่าลืมว่าแขกมี ๒ พวก คือแขกขาวกับแขกดำ แต่จะถือว่าแขกขาวเก่งทุกคนก็ไม่ได้ แขกดำที่เขาเก่งก็มี ท่านโกณฑัญญะพราหมณ์มีรูปร่างลักษณะสูงโปร่ง คล้ายคลึงพระพุทธเจ้า คำว่าคล้ายคลึงนี่หมายความว่า สูงไล่ๆ กันแต่ต่ำกว่าหน่อย ดูเนื้อจะเห็นเป็นรอยผอมไปนิด เห็นจะเป็นเพราะทรมานกาย ส่วนอีก ๔ ท่าน เป็นพราหมณ์หนุ่ม รู้สึกหน้าตาดีคล้ายกันหมด เมื่อเห็นองค์สมเด็จพระบรมสุคตเสด็จเข้าไปใกล้ จึงแนะนำการว่า เวลานี้ท่านสิทธัตถะหมดกำลังใจที่จะประพฤติความดี และพวกเราก็หนีมาอยู่ที่นี่เห็นจะลำบากต้องช่วยตัวเอง การมาคราวนี้คงจะหวังความช่วยเหลือจากเรา ฉะนั้นพวกเราอย่าต้อนรับเธอ อย่าปูอาสนะให้นั่ง อย่ารับบาตร อย่ารับสังฆาฏิ อย่าล้างเท้าให้ อย่าทำทุกอย่างที่เคยปกิบัติ เพราะยังเจ็บใจที่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถคลายความเพียร เวียนมาเพื่อความมักมากในอาหาร แต่ทว่าคนที่เคยเคารพกัน จะว่ากันไปอีกทีก็อาศัยบารมีขององค์สมเด็จภวควันต์ก็อาจจะเป็นได้ เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรเข้าไปใกล้ ทั้ง ๕ พราหมณ์ก็ลืมอาณัติสัญญาต่างคนต่างปูอาสนะ จัดน้ำใช้น้ำฉัน รับบาตร รับสังฆาฏิ ล้างเท้าให้เป็นอย่างดี

    ...แต่ทว่าจุดแรกที่องค์สมเด็จองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับ นั่งบนท่อนไม้เอาขาห้อย นั่งแบบสบายๆ แบบกันเองไมต้องมีลีลาอะไรมาก เพราะมีท่อนไม้ท่อนหนึ่ง มีต้นไม้ใหญ่ล้มลงก่อน ไม่ใช่ล้มขณะนั้น แต่ท่านพวกนั้นถึงแม้จะต้อนรับ แต่ก็แสดงความไม่เคารพในองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค ในตอนนี้บรรดาลูกรักจะต้องคิดนะ ว่าความลำบากของพระพุทธเจ้าที่จะแสดงธรรมเทศนนาว่าลำบากขนาดไหน ขนาดที่คนเขาไม่ชื่อ เขาเกลียด หาว่ามักมากในลาภสักการะ ละโมบโลภมากในอาหาร แต่องค์สมเด็จพระพิชิตมารก็จะสร้างศรัทธาให้เกิดกับเขา ลูกลองคิดดูซิ มันสร้างความลำบากสักเพียงใด นี่เป็นความรู้สึกของพ่อ และก็อาจจะมีความรู้สึกของลูกด้วย เพราะเราไม่มีความสามารถเท่าพระพุทธเจ้า แต่ทว่าถ้าดูสภาพของอารมณ์เคลิ้มของพ่อ ที่พ่อนึกถึงลูกว่า ลูกไปเมืองพาราณสี และเป็นเขตที่องค์สมเด็จพระมหามุนีแสดงธรรเทศนาเป็นครั้งแรก คือธรรมจักกัปปวัตตนสูตร จิตมันก็เคลิ้มไปถึงพระพุทธเจ้าตอนที่แสดงปฐมเทศนา ตอนนี้ภาพปรากฏกับจิตพ่อ ที่เรียกกันว่ามโนภาพ ก็เกิดขึ้นเป็นระยะตามที่กล่าวมา และในความรู้สึกว่าเวลานั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงปริวิตกเหมือนกับที่พ่อคิด พ่อคิดว่าพระพุทธเจ้าทรงลำบากมาก พราหมณ์เขาไม่เชื่อ ก็พยายามตามไปสอน ค่าจ้างรางวัลก็ไม่มี เมื่อเข้าไปถึงเขาก็ประณามพระองค์ด้วยถ้อยคำที่ไม่เคารพ แต่ในเมื่อเขาพูดจบ...

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า "เวลานี้เราได้บรรลุอภิเกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว"

    พอสมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวจบ เขาก็ค้านว่า "ท่านจะมาพูดอะไร เราไม่เชือหรอก ไม่มีใครเขาปฏิบัติ ไม่มีใครเขาอุปถัมภ์ ต้องอู่คนเดียวทนไม่ไหวในป่าที่เปลี่ยว ต้องออกมาหาที่พึง การที่ท่านเลิกจากการทรมานตน แล้วกลับมากินข้าวจนร่างกายอ้วนพีแบบนี้ จะมาบอกว่ามีส่วนแห่งความดี ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณนี่ ฉันไม่เชื่อ เชื่อไม่ได้ เพราะทำแบบนี้ไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผล เป็นคนที่มักมากไปด้วยลาภสักการะ"

    แทนที่องค์สมเด็จพระจอมไตรจะทรงท้อถอย เบื่อหน่าย หรือจะโกรธ กลับมีพระมหากรุณาธิคุณ ตรัสง่ายๆ ว่า "พวกเธอทั้งหลายก่อนที่เราอยู่ด้วยกันมาถึงหลายปี ถ้อยคำอย่างนี้ คือคำว่า บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเธอเคยได้ยินไหม ว่าตถาคตเคยพุดกับเธอเมื่อไรบ้าง"

    บรรดาท่านพวกนั้นฟังก็ตกใจ นิ่งอึ้งว่าจริงนะ ลักษณะในตอนนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์ก็ประทับนั่งอยู่บนตอไม้ ห้อยพระบาททั้งสองเอามือวางไว้บนหน้าขาทั้งสอง ดูลักษณะอาการสง่าผ่าเผย การเดินไปตั้งแต่ตอนเช้าถึงตอนบ่าย ถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ดูลัการะขององค์สมด็จพระทรงธรรมแล้ว ไม่เห็นมีความรู้สึกว่าเหนื่อยสักนิดเดียว

    ฉะนั้นการเดินทางไปคราวนั้นต้องใช้อภิญญาช่วยแน่ พระองค์จึงมพระพักตร์สดใส สดชื่นเป็นปกติ พราหมณ์พวกนั้นก็นั่งคิดกัน และหันไปถามองค์สมเด็จพระภควันต์ว่า วันนี้เดินทางมาจากไหน สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า เวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าประมาณ ๑ ใน ๔ ของเวลาเที่ยง จึงได้ออกเดินทาง ถามว่าเดินวันเดียวหรือ ท่านก็บอกว่าไม่เต็มวันหรอก เดินมาสักครู่เดียวมันก็ถึง ถามว่าเหนื่อยไหม ท่านก็ตอบว่า ถ้ายังไม่บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ถ้าจะเดินให้ถึงกับเหนื่อย คือเดินใกล้วิ่ง วันเดียวมันก็ไม่ถึง ท่านก็ถามว่า พวกเธอเดินมาจากตถาคตเดินมาใช้เวลาเท่าไรจึงถึง ท่านพวกนั้นก็บอกว่า การมา มาแบบสบายกว่าจะมาถึงที่พักนี่ได้ก็ประมาณ ๗ ราตรี องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ตรัสว่า นั่นถูกแล้ว ถ้ามากันแบบสบายแบบนั้น แต่ว่านี่ตถาคตมาไม่ถึงวัน เพราะในฐานะที่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ บรรดาท่านพวกนั้นแปลกใจ ก็คิดว่าถ้าจะจริงนะ เคยอยู่ด้วยกันตั้งนาน คำนี้ไม่เคยได้ยินเลบ ถ้ากระไรก็ดี ในเมื่อองค์สมเด็จพระมหามุนีตรัสอย่างนั้น ความรักความเคารพเก่าก็คืนตัว ใช้เวลาสนทนากัน เวลาที่พวกนั้นพูดแสดงความไม่เคารพ แต่ว่าสมเด็จพระบรมสุคตก็ไม่ได้แสดงอาการออกมาว่าไม่พอใจ ปรากฏว่าพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระจอมไตรยังสดชื่น ไม่มีอาการสดุด คือคนที่ไม่ชอบใจนี่ ต้องมีอาการสะดุด ทั้งสิบลูกตามองหน้าพระพุทธเจ้า ไม่เห็นว่าพระพุทธเจ้ามีอการสะดุดตรงไหนเลย



    ฉะนั้น ในเมื่อเห็นองค์สมเด็จทรงเฉยๆ มีหน้าตาแช่มชื่น มีอารมณ์สบาย จึงมีความสงสัยว่าเวลานี้ สิทธัตถะราชกุมารจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ฉะนั้นจึงได้พร้อมยอมรับ ถ้าอย่างนั้นข้าพเจ้าเชื่อ ถ้าหากท่านได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณจริงๆ ละก็ ขอได้โปรดช่วยเทศน์สงเคราะห์สักหน่อยเถิด จะได้รับความรู้ในการเป็นพระโพธิญาณของท่าน บรรดาลูกรักทั้งหลายอยาลืมนะ ว่าการพูดของท่านโกณฑัญญะพราหมณ์จอมฉลาด ที่ให้องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถแสดงพระธรรมดทศนาโปรด เราจะถือว่าเชื่อเต็มอัตราน่ะไม่ได้แน่ นี่เป็นการพิสูจน์กันจริงๆ หมายความว่าถ้าไม่เคยพูดก็ใช่ละ แต่เวลานี้มาพูดจะตรงตามความจริงหรือไม่ ก็ต้องรู้กันตอนแสดงพระธรรมเทศนา ถ้าการแสดงพระธรรมเทศนาเป็นไปโดยไร้ประโยชน์ นั่นหมายความว่าท่านทั้ง ๕ จะไม่คบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกต่อไป เป็นอันว่าเราก็ต้องมองดูภาพกัน คำว่าภาพอย่านึกว่าพ่อมีอำนาจทิพยจักขุญาณ มันเป็นภาพเลือนตามกำลังใจที่นึกไป รวมความว่าท่านทั้ง ๕ ถ้าตามกำลังใจนี่รู้สึกว่า ตัดสินใจว่าเชื่อไม่เคยได้ยิน สำหรับเรื่องที่จะเทศน์ให้ฟัง ความมั่นใจมันก็ยังมีไม่มากนัก ยังไม่มั่นใจมาก ฉะนั้นเมื่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเทศน์ก็ค้านกับความรู้สึกแห่งความเป็นจริง เดี๋ยวก่อนลูกรัก ทั้งชายและหญิง...



    ...พระพุทธเจ้าเวลาที่จะเทศน์ ท่านไม่ได้นั่งอยู่บนตอไม้หรือขอนไม้หรอกนะ เมื่อตกลงกันแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงเทศน์ ท่านอัญญาโกฑัญญะ กับท่านวัปปะก็จัดสถานที่ให้ใหม่ ขอให้นั่งที่โคนไม้ ไม้มีรากอยู่ข้างล่าง รากวนมาวนไป มีสภาพเหมือนแท่น ท่านก็จัดที่ให้เรียบ เอาอาสนะไปปู คือผ้าเท่าที่จะหาได้นั้นเอง ในป่าอะไรจะว่าแก้วๆ ไปซะหมด ประเดี๋ยวชาวบ้านเขาจะหาว่าในป่านี้รวยแก้ว พระแท่นแก้ว รัตนบัลลังก์ รัตนแปลว่าแก้ว รัตนบัลลังก์ หมายถึงบัลลังก์แก้ว ในป่าจะไปหาที่ไหน ถ้าแก้วแปลว่าดีใช้ได้ จะเอาเนื้อแก้วแท้ๆ ใช้ไม่ได้ ก็เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าประทับนั่ง เวลานั้นทรงนั่งพับเพียบหรือว่านั่งสมาธิ เอ้าใครตอบ พ่อพูดไปก็เอาใจนึกตามไปด้วย ...



    ...พระพุทธเจ้าไม่ได้นั่งพับเพียบ เสด็จประทับนั่งขัดสมาธิ ขัดแบบสบายๆ เราเรียกว่าขัดสมาธิสองชั้น สมเด็จพระภควันต์ทรงกายตรง นั่งหลังตรง เห็นหรือเปล่า สวยสง่างามมาก ท่าทางผึ่งผาย ว่าท่านทั้ง ๕ นั้น เวลานั่ง นั่งพับเพียบหรือกระโหย่ง ไม่ใช่พับเพียบ นั่งแบบกระโหย่ง จะถือว่านั่งแบบยองๆ ก็ไม่ชัด จะว่านั่งคุกเข่าทีเดียวก็ไม่ใช่ นั่งกระโหย่งพนมมืออยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ในที่สุดลงนั่งพับเพียบตามระเบียบปฏิบัติแห่งการฟังของพราหมณ์ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา ก็คือเทศน์กัณฑ์แรกที่เราเรียกกันว่า ธรรมจักร ธรรมจักรเป็นเทศน์หักล้างความรู้สึกของพราหมณ์เดิม โดยสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าถือเอาใจความว่า...



    ...อันดับแรก พระองค์ก็ทรงยกเรื่องการปฏิบัติของพราหมณ์ขึ้นมาพูดก่อนว่า การปฏิบัติของพราหมณ์ตามรูปเดิม ปฏิบัติมาไม่ถูกไม่ต้องตามความเป็นจริง ไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผล ทั้งนี้เพราะตถาคตได้ทดลองมาแล้ว อย่างที่พวกเธอเห็นการทรมานตน ตถาคตทำมาแล้ว และทำยิ่งกว่าคนอื่นที่จะพึงทำ เธอทั้ง ๕ ก็เห็นแล้ว แม้ตถาคตจะลุกขึ้นก็เซร่างกายเกือบทรงไม่ไหว เอามือลูบไปตามร่างกายทีอาหารไม่พอจะเลี้ยง ประสาทต่างๆ ไม่มีโอกาสจะเลี้ยง ขนก็หลุดตามมือ แต่ว่าการปฏิบัติอย่างนี้เป็นการเคร่งเครียดไป เป็นการทรมานตนไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผล...



    ...และอีกอันหนึ่งสำหรับการปฏิบัติที่จะได้บรรลุมรรคผลก็คือความอยากที่เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค ปฏิบัติไปด้วยมีความสนใจในกามคุณ ๕ ก็ดี หรือว่ามีการอยากใด้มรรคผลต่าง ในขณะปฏิบัติก็ดี อย่างนี้ถือว่ามีอารมณ์ฟุ้งซ่าน จิตไม่มีกำลัง ถ้าจะให้จิตมีกำลังจริงๆ ต้องเว้นเหตุ ๒ ประการนี้เสีย เวลาปฏิบัติอย่าทำให้ถึงขั้นทรมานตน คำว่าทรมานตนคือ ตัวลำบากเกินไป เครียดเกินไป นั่งนานเกินไป ที่นั่งว่า อัตตกิลมถานุโยค การปฏิบัติอยู่ในเขต ๔ ประการได้ คือนั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นอนก็ได้...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2010
  4. ariyabut

    ariyabut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +2,415
    พุทธประวัติพระสมณโคดม ( จากพระกรรมฐาน ) ช่วงที่ ๔

    จงอย่าลืมว่าเราฝึกฝนกันที่ใจ เรื่องร่างกายนี้ไม่มีความหมาย กายมันเป็นที่อาศัยของใจ ความบริสุทธิ์ผุดผ่องจะมีขึ้นมาได้ หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ใจเป็นสำคัญ ถ้าใจดีเสียอย่างเดียว ปากก็พูดดี กายก็ทำดี ถ้าใจเลว ปากก็พูดเลว กายก็ทำเลว ฉะนั้นเวลาที่ฝึกจะต้องใช้มัชฌิมาปฏิปทา คือทำปานกลาง หมายถึงทำแบบสบายๆ อารมณ์ฝืนทางกายอย่าให้มี ปล่อยกายมันตามปกติ มันอยากจะนอนก็ให้มันนอน มันอยากจะนังก็ให้มันนั่ง มันอยากจะเดินก็ให้มันเดิน มันอยากจะยืนก็ให้มันยืน การเดินเป็นการบริหารร่างกายทำให้ท้องไม่ผูก ใจทรงอารมณ์เข้าไว้ เวลาที่ใจทรงอารมณ์ของความดีก็ต้องดูกำลังใจด้วย เพราะว่าใจของเราคบหาสมาคมกับนิวรณ์ ๕ ประการมานาน นับเป็นแสนกัป หรือนับเป็นอสงไขยๆ กัป มาอยู่เดี๋ยวเดียวเราจะให้มันทรงตัวก็แสนยาก เราจะต้องฝึกฝนด้วยความลำบาก เพราะอารมณ์เคยชินของจิตเป็นอย่างนั้น จิตมันคิดเหนือขอบเขตต่างๆ มันก็คิดไปรอบๆ มีเหตุผลไม่มีเหตุผลมันก็คิด อยู่เฉยๆ มันก็คิด สถานที่อยู่สบายมันก็คิด คิดกันคนละแบบ มันเป็นอารมณ์คิด แต่อารมณ์คิดของพวกเธอนี่ โดยปกติก็มีความคิดอยู่อย่างเดียวว่า เราต้องการจะทรมานทั้งกายก็ดีทั้งใจก็ดีให้เพลีย เมื่อมันเพลียแล้วมันก็ไม่รับอารมณ์ของความชั่ว คืออารมณ์ของอกุศล คิดว่าอารมณ์ที่เป็นกุศลจะมาจากการเพลียของกายและใจ อันั้นไม่ถูก กายก็ดีใจก็ดีที่มีอาการเพลียมาก กำลังต้านทานของอารมณ์อกุศลก็จะไม่มีเหมือนกัน สิ่งที่จะเข้ามาแทนที่คืออกุศล นั่นหมายความว่า ถ้ามันปวด มันเมื่อยขึ้นมา ความเบื่อหน่ายมันจะเกิด อารมณ์ฟุ้งซ่านมันจะมี มันก็จะมานั่งคิดว่า ถ้าเรากินข้าวมากๆ ก็จะดี จะไม่หิวอย่างนี้ และแรงจะไม่หมดแบบนี้ เราอยู่กับสามีภรรยาก็ดี จะมีคนปฏิบัติ องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ตรัสว่า นั่นมันเป็นความเข้าใจผิดของพราหมณ์ และก็ถือกันมานานดึกดำบรรพ์ เขาใจว่าเป็นของดี แต่ความจริงมันก็ดีหน่อยหนึ่ง แต่ก็ดีไม่มาก ดีที่ยกตนออกจากกามเข้ามาอยู่ในป่า แต่ทว่าก็เหมือนกับไม้ในป่านั่นแหละ เหมือนกับท่อนไม้ที่มียาง ซุ่มไปด้วยยางและแช่น้ำ นั้นมีอุปมาเหมือนกับคนที่เกิดมาเป็นชาวบ้านไม่ใช่นักบวชและก็ยังอยู่ในกามคุณ มีผัวเมียกัน มีความต้องการในด้านของความรักระหว่างเพศ ด้านของความโลภ ด้านของความโกรธ ด้านของความหลง อันนี้เหมือนท่อนไม้ที่ชุมไปด้วยยางและก็แช่น้ำ สำหรับพวกท่านมีสภาพเหมือนกับไม้ที่ชุ่มไปด้วยาง แต่แยกออกจากน้ำแล้วคือบวช ยกมาให้พ้นจากสภาพของการแช่น้ำ แต่ทว่าจิตใจยังอยู่ในขั้นอัตตกิลมถานุโยค คือทรมานตก็ดี และกามสุขัลลิกานุโยคก็ดี ถือว่าไม้นั้นยังชุ่มไปด้วยยาง ยางไม่ได้แห้งไปเพราะว่ากำลังใจตก เพราะการทรมานตน ฉะนั้นองค์สมเด็จพระทศพลจึงได้แน่นำว่า เธอต้องปฏิบัติตามสายกลางๆ แบบสบายๆๆ ให้อารมณ์เป็นสุข แต่ต้องมีอารมณ์ฝืนจากอารมณ์เดิมที่เราต้องการ คือการทรมานต้องฝืน ต้องการให้ชุ่มไปด้วยยางนี่ต้องฝืน แต่ความจริงพวกกามนี่เธอไม่มีแล้ว การที่จะไปนึกถึงอยากมีลูก มีเมีย เขาไม่มี เขาเคร่งครัด แต่ว่าอยากอยู่อย่างเดียวว่าทำอย่างนี้ให้ได้มรรคได้ผล เป็นผู้ประเสริฐกว่าคนอื่น อารมณ์อย่างนี้เป็นอารมณ์ของกาม จงทิ้งไป

    เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเทศน์ไป ท่านพวกนั้นก็นั่งฟัง ฟังไปอารมณ์มันก็ตีกันกับการรับคำสอนจากของเดิมว่า มีการทรมานเป็นสำคัญ แต่สมเด็จพระภควันต์กลับมาบอกให้เลิกเสีย ก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาว่า อันไหนมันแน่กันหนอ อารมณ์มันก็ตีกัน ตอนนี้อารมณ์ฟุ้งก็เกิดขึ้น พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์ต่อไปว่า ผลการปกิบัติของความดีต้องใช้มรรค ๘ ประการเข้าช่วย มีสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ และสัมมาสมาธิ คือตั้งใจชอบ เป็นปริโยสาร ก็หมายความว่า ทรงศีลให้ดี ทำใจให้มั่นคง รู้จักผลแห่งการตัดขันธ์ ๕ เพราะขันธ์ ๕ เป็นปัจจัยของความทุกข์ หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยก อริยสัจ ว่า ความทุกข์ทั้งหมดที่มีเพราะอาศัยกายเป็นเหตุ ถ้าไม่มีร่างกายแล้ว อะไรมันปวด อะไรมันเมื่อย ที่เราปวด เราเมื่อยเพราะร่างกาย โรคภัยไข้เจ็บมันเกิดกับกายไม่ได้เกิดกับใจ ความหิวกระหายมันเกิดจากกาย ความแก่มันเกิดจากกาย ความหนาวความร้อนมันเกิดจากกาย เป็นอันว่ากายเป็นปัจจัยของความทุกข์ ทุกข์ในที่นี้มีอะไรเป็นเหตุ กายมันมีมาได้ก็เพราะอาศัยเหตุ ไม่มีเหตุให้เกิดกาย กายมันก็เกิดไม่ได้ สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า กายนี้มันจะมีขึ้นมาได้เพราะอาศัยตัณหา กายที่เป็นเหตุของความทุกข์ เป็นเครื่องรับทุกข์ กายก็เหมือนเครื่องรับวิทยุ เขาส่งคลื่นมาทางไหนมันก็เข้า ทุกข์ก็มาจากที่อื่น แต่มาชนกายเข้า คนอื่นเด่าเขาว่ามา หูของกายมันก็รับ กลิ่นเหม็นเข้ามา จมูกของกายมันก็รับ รูปร่างลักษณะท่าทางที่ไม่พอใจเกิดขึ้น ตาของกายมันก็รับ ความหนาวความร้อนเข้ามา ผิวของกายมันก็รับ รสอาหารอร่อยหรือไม่อร่อย ชอบใจหรือไม่ชอบใจ ลิ้นของกายมันก็รับรส รวมความว่า กายเป็นเป็นหน้าที่รับทุกข์ ฉะนั้นเราจะทำลายทุกข์ให้พ้นไป และก็ไม่มีกายขึ้นมาได้ก็ต้องทำลายตัวเหตุที่สร้างกายมารับความทุกข์ ตัวเหตุที่สร้างกายมารับความทุกข์ นั่นคือ สมุทัย คำว่าสมุทัย ตัวเหตุให้เกิดทุกข์ก็ได้แก่ตัณหา ๓ ประการ คือ

    ๑. อารมณ์อยากได้ในสิ่งที่ไม่มี อยากให้มีขึ้น

    ๒. สิ่งที่มันมีขึ้นแล้ว ก็ตะเกียกตะกายป้องกันไม่ให้มันทรุดโทรม

    ๓. พอทรุดโทรม จะพัง ก็ป้องกันไม่ให้ฟัง ในที่สุดป้องกันไม่ได้ มันก็เป็นทุกข์

    ฉะนั้นเราต้องตัดจุดนี้ การตัดด้วยอริยมรรค คือ สัมมาทิฏฐิ ตัวปัญญาความเห็นชอบ และก็สัมมาสมาธิเป็นตัวสุดท้าย ตั้งใจไว้ชอบ การตั้งอารมณ์เป็นของสำคัญ ถ้าอารมณ์มีความมั่นของจิต การทรงอารมณ์จะดีหรือไม่ดี อยู่ที่ร่างกายสมบูรณ์หรือไมสมบูรณ์ ถ้ากำลังกายดี ประสาทดี จิตก็มีกำลังดี กำลังกายไม่ดี จิตก็มีกำลังไม่ดี ฉะนั้นก็ควรใช้ทั้งสองอย่าง คือกำลังจิต ในเมื่อร่งกายสมบูรณ์ ได้แก่สมาธิเป็นตัวสนัสนุนน สร้างกำลังใจให้มีอำนาจเหนือกว่าความต้องการที่เรียกกันว่าฌานโลกีย์ นอกจากนั้นองค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงตรัสว่า ต้องใช้ปัญญาพิจารณาด้วย ให้เห็นตามความเป็นจริง ว่าร่างกายทั้งชายและหญิงมันเป็นอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง มันเป็นทุกขัง มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา พังไปในที่สุด เมื่อร่างกายเป็นโรคนิทธัง มันเป็นรังของโรค ปภังคุณัง เน่าเปื่อยไปในที่สุด ขณะทรงตัวอยู่ ร่างกายมีแต่ความสกปรกโสโสมม หาอะไรดีไม่ได้

    เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์จบ ทรงชี้เหตุว่า "เหตุอันนี้แหละบรรดาเธอทั้งหลาย ถ้าเธอสามารถปฏิบัติได้ตามนี้ กิจที่ต้องทำของเธอไม่มีอีกแล้ว" อาศัยที่ท่านทั้ง ๕ ตั้งใจฟังบ้าง และก็คิดไปบ้าง อารมณ์ค้านกันบ้าง เรียกว่าตีกันยุ่ง ของเก่าไปอย่างหนึ่ง ของใหม่ก็มาอีกอย่างหนึ่ง เราเคยใช้หม้อดินจะมาให้ใช้หม้อโลหะ เคยใช้เตาถ่านจะมาให้ใช้เตาแก๊สยุ่งกันไปหมด ทั้งนี้อารมณ์มันก็ตีกัน การรับพระธรรมเทศนาจึงไม่สมบูรณ์แบบ เป็นอันว่าเมื่อเทศน์จบ รู้สึกว่า ๕ ท่านมีอารมณ์ต่างกัน ท่านแรกคือท่านโกณฑัญญะพราหมณ์มีความแช่มชื่นในจิตทั้งที่อารมณ์เดิมก็คิดต่อต้าน พอพระพุทธเจ้าเทศน์วาระแรกให้เลิกอัตตกิลมถานุโยค เมื่อเห็นเหตุผลที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาทรงเทศน์ แต่ว่ามาเห็นเอาตอนปลาย ใจเริ่มเป็นสุขในตอนนปลาย เห็นว่า จริงหนอการทรมานกายไม่มีประโยชน์ และเทศน์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงโปรดเทศน์แบบนี้ ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ฉะนั้นอาศัยความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระชินวรและความเชื่อมั่นในตอนต้น ตั้งแต่เข้าไปพยากรณ์ลักษณะ แต่ว่าเวลาก็ช้าไปนิดกว่าจะเชื่อเป็นว่าพอเทศน์จบ ท่านอัญญาโกณฑัญญะได้พระโสดาปัตติผล ส่วนพราหมณ์ทั้ง ๔ ยังได้อะไรเลย ได้แต่ไตรสรณาคมน์ พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยอำนาจพุทธญาณของพระองค์ว่า เวลานี้โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว คำว่าดวงตาในที่นี้หมายถึงปัญญาทราบเหตุทราบผล เป็นอริยชนเบื้องต้นคือพระโสดาบัน เพียงเท่านี้เพราะผลงานนี้เป็นเรื่องสำคัญ

    องค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ทรงดีพระทัย ว่าการบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณของพระองค์นี้ไซ้รไม่ไร้ผล แม้การเทศน์ครั้งแรกจะได้ผลเพียงหนึ่งคน และก็ได้ผลไม่เต็มที่ ไม่เป็นไร เพราะต้องการผลอย่างเดียว เหมือนกับเราปลูกดอกไม้ต้นไม้นั่นแหละ ปลูกตั้งร้อยต้น พันต้น มันมีผลสักต้นเราก็ชื่นใจฉันใด พระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็เหมือนกัน เทศน์กัณฑ์แรกก่อนจะเทศน์ก็เกี่ยงกันซะย่ำแย่ แต่พอเทศน์จบ ในเมื่อมีผล ก็เป็นเหตุให้องค์สมเด็จพระทสพลดีพระทัยมาก ถึงกับเปล่งอุทานวาจาว่า "อัญญาสิ วัฑโพโกณฑัญโญ อัญญาสิ วัฑโพ โกณฑัญโญ" แปลเป็นใจความว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ความจริงท่านโกณฑัญญะเดิมทีท่านชื่อโกณฑัญญะเฉยๆ ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระสัมาสัมพุทธเจ้าทรงเปล่งอุทานวาจาอย่างนั้น ฉะนั้น อัญญาสิ จึงต่อหน้าชื่อของท่าน ภายหลังท่านทั้งหลายจึงเรียกท่านอัญญาโกณฑญญะ อันนี้เป็นพระนามที่ได้จากการเปล่งอุทานวาจาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    และต่อมาองค์สมเด็จพระสัมมสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเล็กๆ น้อยๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม อีกไม่กี่วันก็ปากกว่าทั้งหมดได้บรรลุมรรคผล คือ พระอรหันต์ทั้งหมด ฉะนั้น องค์สมเด็จพระบรมสุคตเมื่อทราบว่าทุกท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วทรงทราบว่า อารมณ์พระอรหันต์มีความต้องการอย่างเดียว ต้องการให้คนทั้งโลกมีความสบาย สบายแบบไหน ท่านจะไปแจกเงินแจกทอง ท่านไม่มีเงิน ไม่มีทองจะแจก แต่ว่ากันจริงๆ แจกเงินแจกทองมันก็สบายไม่จริง แต่มันเป็นความสุขเฉพาะหน้า ฉะนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงมีพระพุทธดำรัสว่าเวลานี้ เธอทั้ง ๕ กิจที่จะพึงทำไม่มอีกแล้ว กิจที่พึงจะทำ เธอทำได้แล้ว และก็จบแล้ว กิจอื่นจากนี้ไม่มี หมายความว่ากิจที่จะทำให้เกิดมรรคเกิดผล นอกจากความเป็นอรหันต์แล้วไม่มีอีกแล้ว เป็นพระอรหันต์ก็จบกันที แล้วสมเด็จพระมหามุนีจึงได้มีพุทธฏีกาตรัสว่า พวกเธอทั้งหลายจงช่วยกัยไปประกาศพระศาสนา สอนให้คนมีความเข้าใจ บรรดาลูกรักทั้งหลายอาจจะคิดว่า ไม่ได้เรียนอะไรกันมาเลย แล้วจะไปสอนกันยังไง ทั้งนี้ พ่อก็ขอให้ลูกทุกคนดูตัวของตัวเอง ว่าพอลูกทุกคนฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว ทั้งๆ ที่ไม่เคยศึกษาเรื่องราวของพระสงฆ์มาก่อน ไปดูใจลูกเองว่ามีความรู้สึกอะไรขึ้นมาบ้าง นี่แหละธรรมะขององค์สมเด็จพระชินวร เมื่อได้แล้วก็เกิดปัญญา เหมือนเราไม่เคยไปอินเดีย พอไปอินเดียก็รู้ว่า กรุงราชคฤห์อยู่ที่ไหน พาราณสีอยู่ที่ไหน อย่างนี้เป็นต้น ข้อนี้ฉันใด ธรรมะขององค์สมเด็จพระจอมไตรถ้าบรรลุมรรคผล ทุกคนมีความเข้าใจ ฉะนั้น องค์สมเด็จพระบรมครูจึงได้ส่งไปประกาศศาสนา และทรงบอกว่าทางหนึ่ง หรือสายหนึ่งไปองค์องค์เดียวนะ อย่าซ้ำกันสององค์ ช่วยแยกกันไปสอน นับเป็นพระอรหันต์ชุดแรกในพระพุทธทศาสนา..

    ตอนนี้ขอให้ลูกสังเกตุให้ดีนะ ว่าทำไมท่านปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ติดตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตั้งแต่เริ่มต้น และเวลาที่องค์สมเด็จพระทศพลแสดงธรรมเทศนาโปรด ทุกท่านน่าจะเป็นอรหันต์ทันที เหมือนกับคนอื่นทั้งหลายที่ไม่ได้ติดตามพระพุทธเจ้ามาก่อน แต่พอองค์สมเด็จพระชินวรณ์เทศน์จบ อย่างเลวชาวบ้านก็ได้พระโสดาบันบ้าง ส่วนใหญ่ก็เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณกันไปหมด และสำหรับทั้ง ๕ องค์ที่ติดตามองค์สมเด็จพระบรมสุคตมานาน แต่ว่าองค์สมเด็จพระพิชิตมารเทศน์ในตอนแรก พอจบท่านโกณฑัญญะได้พระโสดาบัน อีก ๔ องค์ไม่ได้อะไรเลย ได้แต่เพียงไตรสรณาคมน์ หรือว่าได้แต่เพียงสรณาคมน์เท่านั้น สรณาคมน์ แปลว่า การเข้าถึง ได้ที่พึ่งคือยอมรับนับถือ ขอบรรดาลูกรักอย่าลืมว่า พราหมณ์ทั้ง ๕ มีความไม่พอใจในองค์สมเด็จพระจอมไตรมาก่อน ว่าสมเด็จพระชินวรละจากการทรมานกาย เขาถือว่าไม่เป็นเหตุบรรลุมรรคผล เมื่อองค์สมเด็พระทศพลมายืนยันก็ยอมรับ แต่ว่าการยอมรับ ก็ยังรับไม่ได้เต็มตัว คือรับไม่ได้เต็มร้อยเปอร์เซนต์ เอาแต่เพียงว่าไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินมาก่อนในลักษณะการพูดอย่างนี้ เมื่อองค์สมเด็จพระมหามุนีทรงยืนยัน ก็จะฟังเทศน์ การฟังเทศน์ครั้งนี้พ่อถือว่าเป็นการทดทอง ทดสอบความจริงกัน เชื่อก็มีส่วนเชื่ออยู่บ้างว่าไม่เคยพูดและตอนนี้มาพูด พูดตอนมีแรงก็ไม่แน่นักสำหรับคนจะหลอกลวงกัน จัดว่าเป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อเบญจวัคคีย์ ฤาษีทั้ง ๕

    ในสมัยที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ในตอนนั้นองค์สมเด็จพระประทีปแก้วยังไม่เสด็จไปเทศน์โปรด บรรดาพระยูรญาติมีสมเด็จพระราชบิดา เป็นต้น ทั้งนี้เพราะว่าองค์สมเด็จพระทศพลทรงทราบอุปนิสัยของหมู่ญาติทั้งหลายว่า มีทิฎฐิมานะแรงมาก เพราะว่าการที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงเทศน์โปรดจะมีมรรคมีผลก็ต้องอาศัยคนที่รับฟังมีศรัทธา ความเชื่อ และมีก็ปสาทะ คือความเลื่อมใสเสียก่อน ถ้าขาดศรัทธา ความเชื่อ ปสาทะ ความเลื่อมใส ถึงแม้องค์สมเด็จพระจอมไตรจะเทศน์โปรดเท่าไรก็ไม่มีมรรคไม่มีผล

    ฉนั้น การที่องค์สมเด็จพระทศพลจะเทศน์โปรดใครจึงได้ทรงอาศัยตรวจดูด้วยพุทธญาณเสียก่อน ถ้าบุคคลใดตกอยู่ในข่ายพระญาณ ขององค์สมเด็จพระชินวรเมื่อใด ตอนนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงจะไปเทศน์โปรด ฉะ นั้น การเทศน์ของพระพุทธเจ้าจึงไม่เหมือนการเทศน์ของพระสมัยปัจจุบัน ซึ่งการเทศน์ของพระในปัจจุบันนี่ไม่ได้พิจารณาคนอย่างหนึ่ง หรือถ้าเปรียบก็เหมือนหมอใช้ ยาหม้อใหญ่ ใครเป็นโรคอะไรก็กินยาหม้อนั้น ถ้าบังเอิญโรคไปตรงกับยาเข้ามันก็หาย แต่ส่วนใหญ่คนที่เป็นโรคมักจะไม่ตรงกับยาที่ต้มให้ ฉะนั้นโรคจึงไม่หาย ข้อนีมีอุปมาฉันใด การเทศน์ของพระสงฆ์ในสมัยปัจจุบันส่วนใหญ่มักจะเป็นการเทศน์ตามประเพณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีงานศพ งานบวชนาค งานทอดกฐิน ก็นิมนต์พระไปเทศน์ เรื่องเทศน์ที่น่าหนักใจที่สุดก็คือเทศน์งานศพ ซึ่งรู้สึกว่าจะเป็นประเพณีมากเกินไป ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะสิ่งที่น่ารำคาญใจก็คือว่า "ถ้าพระยังไม่ไปเทศน์ แกก็ยังไม่ทุบน้ำแข็ง ถ้าพระเริ่มเทศน์เมื่อไร เจ้าหน้าที่ฝ่ายน้ำแข็งก้เริ่มทุบน้ำแข็งบนศาลาเมื่อนั้น เป็นอันว่าเสียงพระเทศน์ กับเสียงทุบน้ำแข็งมันดังไม่เท่ากัน คนผู้รับฟังก็ฟังเสียงทุบน้ำแข็งไปก่อน

    ...องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเวลาจะไปเทศน์โปรดใคร นอกจากจะทรงทราบอุปนิสัยของคนแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงพิจารณาด้วยว่า การเทศน์คราวนี้เราจะเทศน์เรื่องอะไร จึงจะมีมรรคมีผลแก่บุคคลผู้ฟัง...

    ...เป็นอันว่าในตอนต้นที่องค์สมเด็จพระทศพลยังไม่ไปโปรดหมู่พระยูรญาติ เพราะหมู่พระประยูรญาติเป็นคนมี ทิฏฐิมาก ฉะนั้นพระองค์จึงวนเวียนอยู่ระหว่างกรุงราชคฤห์ กับ เมืองพาราณสี...

    ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณได้ ๕ ปี พระราชบิดาและหมู่พระประยูรญาติที่มีความเลื่อมใสได้ทรงทราบข่าวว่า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ และสอนบุคคลทั้งหลายที่รับฟังพระธรรมเทศนาของท่าน ต่างคนต่างก็ได้บรรลุมรรคผลเป็นอันมาก ก็ตั้งใจคอยอยู่ว่า เมื่อไรหนอองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จมากรุงกบิลพัสดุ์มหานคร ครั้นเมื่อจอมบพิตรอดิศรพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช คอยมาสื้น ๕ ปี องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ไม่เสด็จไป ก็ร้อนพระทัย ว่าจะต้องอาราธนาองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาไปกรุงกบิลพัสดุ์มหานคร

    ดังนั้นจอมบพิตรอดิศรพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช จึงส่งอำมาตย์คนหนึ่งพร้อมบริวาร ๑ พันคน ให้มากราบทูลอาราธนาสมเด็จพระทศพลไปเทศน์โปรดที่กรุงกบิลัสุ์ เวลานั้นองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ประทับอยู่ที่ พระเวฬุวันมหาวิหาร ในกรุงราชคฤห์มหานคร เมื่ออำมาตย์กับบริวารมาเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วแสดงพระธรมเทศนาโปรด เมื่อจบแล้ว มหาอำมาตย์พร้อมด้วยบริวาร ๑ พันคน ก็บรรลุอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธสาสนา ขอบวช แล้วก็ลืมคำสั่งของพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช ตอนนี้ก็สงสัยเหมือนกันว่า ท่านลืมเอง หรือ พระพุทธเจ้าใช้พุทธปาฏิหารย์ให้ลืม

    เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะมหาราชเห็นอำมาตย์และบริวารหายไปประมาณ ๑ เดือนไม่กลับ จึงได้จัดส่งอำมาตย์ประเภทนั้นพร้อมบริวาร ๑ พันคน มา ๒-๓ คราวด้วยกัน ทุกคราวท่านทั้งหมดก็บรรลุอรหันต์หมด แต่ก็ไม่มีพพระองค์ใดทูลอาราธนาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปกรุงกบิลพัสดุ์มหานคร

    พระเจ้าสุทโธทนะ ก็ร้อนพระทัยว่า ส่งไปทีไรก็ไม่กลับมาสักที จึงได้เรียก อุทายี ซึ่งเป็น สหชาติ (เกิดวันเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทั้งหมดมี ๑ พันคน พรเจ้าสุทโธนะสืบทราบนำมาเลี้ยง ให้เป็นเพื่อนกับพระสิทธัตถะกุมาร) ท่านอุทายี เวลานั้นเป็นอำมาตย์ใหญ่ เข้ามาเฝ้า พระเจ้าสุทโธทนะก็สั่งว่า "อุทายี ฉันส่งคนไปอาราธนาองค์สมเด็จพระชินสีห์ครั้งละพันหลายครั้งแล้ว หายไปหมด แม้แต่องค์สมเด็จพระบรมสุคต และใครๆ ที่ส่งไปก็ไม่กลับมา ถ้าเช่นนั้นแล้วละก็ ไหนๆ เธอเป็นสหชาติเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เธอจงพาบริวารไปพันคนไปเฝ้าองค์สมเด็จพระทศพล แล้วกราบทูลอาราธนาสมเด็จพระบรมศาสดามากรุงกบิลพัสดุ์มหานคร" ท่านอุทายีก็ไป

    เมื่อท่านอุทายีเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระชินวรในพระเวฬุวันมหาวิหาร ตอนนั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ก็แสดงพระธรรมเทศนาโปรด ปรากฏว่าท่านอุทายีและบริวารพันคนต่างคนต่างก็เป็นพระอรหันต์ จึงพากันขอบวชในสำนักขอองค์สมเด็จพระภควันต์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตโดยเปล่งพุทธวาจาว่า "เอหิภิขุ" แปลว่าเจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด

    เมื่อพระอุทายีบวชแล้วก็คอยหาโอกาสที่จะกราบทูลอาราธนา อยู่มาวันหนึ่งโอกาสมีแล้วแทนที่ท่านจะกราบทูลอาราธนาโดยตรงว่า เวลานี้พระราชบิดามีพระประสงค์จะอาราธนาพระพุทธองค์ไปกรุงกบิลพัสดุ์ แทนที่จะกล่าวอย่างนี้ท่านกลับใช้ลีลาอย่างหนึ่ง ก็กราบทูลพรรณาภูมิประเทศระหว่างทางจากกรุงราชคฤห์ กับ กรุงกบิลพัสดุ์ว่า ระยะทางที่ผ่านมาประมาณ ๖๐ โยชน์ ( ๑๖ กิโลเมตร = ๑ โยชน์) เป็นหนทางที่น่ารื่นรมย์ น่าชมอย่างยิ่ง เป็นอันว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงรับทราบว่า พระอุทายีต้องการกราบทูลอาราธนาพระองค์ไปกรุงกบิลพัสดุ์

    ฉะนั้น พระพุทธองค์ จึงตรัสว่า "อุทายี ดูก่อน อุทายี การพรรณาระหว่างทางของกรุงราชคฤห์มหานคร กับ กบิลพัสดุ์ ว่าเป็นสถานที่ร่มรื่น น่าชื่นชมในการทัศนาจร อันนี้เราทราบว่าเธอต้องการนิมนต์ตถาคตไปกรุงกบิลพัสดุ์ ถ้าอย่างนั้นละก็ตถาคตจะไปพร้อมด้วยบริวารจำนวนมาก แต่ก่อนที่ตถาคตจะไปเธอจงพาบริวารของเธอพันกว่าองค์ล่วงหน้าไปก่อน ไปทำให้จอมบพิตรอดิศรและพระประยูรญาติให้เกิดศรัทธา" พระอุทายีก็ปฏิบัติตาม

    ต่อมา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วย พระอรหันต์ ๒ หมื่นองค์เศษ ติดตามไปด้วย ระยะทาง ๖๐ โยชน์ พระพุทธองค์เสด็จไปวันละ ๑ โยชน์ ก็ทรงค้างแรม จึงใช้เวลาถึง ๖๐ วัน ทั้งนี้เพราะว่าองค์สมเด็จพระบรมศาสดาให้พระอุทายีไปสร้างศรัทธาก่อน เพราะหมู่พระประยูรญาติมีทิฏฐิมานะมาก ถ้าใครเป็นเด็กกว่าละก็ไม่ยอมไหว้

    ครั้นเวลาครบ ๖๐ วัน องค์สมเด็จพระภควันต์ก็เสด็จถึงกรุงกบิลบัสดุ์มหานคร จอมบพิตรอดิศรพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช พร้อมด้วยหมู่พระประยูรญาติก็เสด็จออกมารับ แล้วจัดที่พักให้ในเมือง เป็นมหาวิหารกว้างขวางกว้างขวางมากพอกับพระสงฆ์ ๒ หมื่นองค์เศษ มีพระประยูรญาติบางคนแก่กว่าสมเด็จพระทศพลคิดว่า สิตธัตถะราชกุมารเป็นคนชั้นลูกชั้นหลาน ถ้าหากเราจะกราบไหว้ก็ไม่เป็นการสมควร จึงจัดให้ลูกหลานอายุอ่อนกว่าสมเด็จเด็จพระบรมศาสดานั่งข้างหน้า ตัวเองนั่งแถวหลัง แต่สมเด็จพระราชบิดาคือพระเจ้าสุทโธทนะมหาราชก็ทรงถวายนมัสการองค์สมเด็จพระพิชิตมารตามปกติ ซึ่งพระองค์เคยไหว้มาแล้ว ๓ วาระ แต่หมู่พระประยูรยาติที่แก่กว่าไม่ยอมไหว้ สมเด็จพระจอมไตรสังเกตุอากัปกิริยาของหมู่พระประยูรญาติว่ายังไม่ศรัทธา ยังไม่สมควรจะแสดงพระธรรมเทศนา

    นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์เวลาจะเทศน์โปรดใคร บุคคลนั้นต้องมีศรัทธา มีความเคารพในธรรม ถ้าคนใดไม่ยอมเคารพในพระธรรม องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะไม่ยอมเทศน์ ฉะนั้น การแสดงพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์แต่ละคราวจึงได้มีมรรคมีผล ไม่เหมือนบรรดาท่านสาธุชนในสมัยปัจจุบัน ที่นิมนต์พระไปเทศน์ตามประเพณีในงาน พระก็เลยเทศน์ตามประเพณี ก็เลยไม่มีผลตามประเพณีเหมือนกัน ใครกินเหล้าก็ยังกินเหล้าต่อ ไป ใครลักขโมยก็ยังลักขโมยต่อไป ใครฆ่าสัตว์ก็ฆ่าสัตว์ต่อไป ใครโกหกก้ดกหกต่อไป ใครที่เจ้าชู้ไม่เลือกก็ประพฤติผิดในกามต่อไป ไม่มีผลตามปประเพณี

    ขอย้อนถึงองค์สมเด็จพระทศพล ความจริงพระองค์ไม่ได้ถือตัว แต่วาส่วนใหญ่เขาเคารพ ที่ส่วนน้อยที่ไม่เคารพถือว่าพระพุทธองค์เด็กกว่า ฉะนั้นอาศัยที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดามีพระมหากรุณาธิคุณต่อหมู่พระประยูรญาติ จึงทรงแสดงพุทธปาฎิหาริย์เหาะขึ้นไปบนอากาศวนไปวนมาแสดงความมหัศจรรย์ ในตอนนั้นพระพุทธบิดาลุกขึ้นถวายนมัสการด้วยความเคารพแล้วก็ประกาศว่า "ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า การถวายนมัสการพระองค์นี้ข้าพเจ้ากระทำแล้วเป็นวาระที่ ๓ ในครั้งนี้ คือว่า...

    ครั้งแรกเมื่อคลอดจากครรภ์มารดาได้ ๗ วัน ในตอนนั้นมีพราหมณ์ท่านมาเยี่ยม พระพุทธองค์ยังเด็กเล็กอยู่แสดงปาฏิหาริย์ไปยืนอยู่บนชฎาของชฏิลผู้มาเยี่ยม ตอนนั้นข้าพระพุทธเจ้าก็ถวายนมัสการครั้งหนึ่งแล้ว

    ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระประทีปแก้วมีอายุได้ ๗ ปี วันนั้นกำลังทำ พิธีแรกนาขัวญ อยู่ สมเด็จพระบรมครูนั่งอยู่ใต้ต้นไทรทรงเข้าสมาธิอานาปานสติกรรมฐานถึงปฐมฌาน ความอัศจรรย์เกิดขึ้น คือตะวันคล้อยบ่ายไปมากแล้ว แต่เงาร่มของต้นไม้ยังตรงอยู่เหมือนกับเวลาเที่ยงวัน ข้าพระพุทธเจ้าเห็นอัศจรรย์ก็ถวายนมัสการพระองค์อีกเป็นวาระที่๒

    ครั้นมาคราวนี้องค์สมเด็จพระมหามุนีเสด็จมา ข้าพระพุทธเจ้าก็ถวายนมัสการเป็นวาระที่ ๓ เมื่อบรรดาหมู่พระประยูรญาติเห็นความอัศจรรย์อย่างนั้นก็พากันไหว้พากันกราบ เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถเห็นว่าหมู่พระประยูรญาติคลายมานะความถือตัวถือตน องค์สมเด็จพระทศพลจึงเสด็จลงมา หลังจากนั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แสดงพระธรรมเทศนาโปรด "ขึ้นต้นศีลห้า คือแนะนำให้เคารพในพระรัตนตรัย แสดงถึงคณพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระอริยสงฆ์ แล้วจบลงด้วยอานิสงส์ของศีลห้าว่ามีประโยชน์เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข"

    เมื่อเทศน์จบ สมเด็จพระราชบิดาได้ดวงตาเห็นธรรม คือ บรรลุพระโสดาปัตติผล และหมู่พระญาติก็ได้มรรคผลไปตามๆ กัน เมื่อเทศน์จบคราวนั้นมีสิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้น คือ ฝนโบกขรพรรษ ตกลงมา สำหรับฝนโบกขนพรรษนี่ไม่เหมือนฝนธรมดา คือ ตกเป็นละออง และน้ำฝนเป็นสีแดงคล้ายสีเท้านกพิราบ ถ้าใครต้องการให้เปียกมามากก็เปียกมาก ใครต้องการให้เปียกน้อยก็เปียกน้อย ใครไม่ต้องการให้เปียกฝนก็จะไม่เปียก ทั้งนี้เป็นเพราะว่า เป็นฝนจากเทวดาบันดาล รั้นฝนหายไปแล้ว เทศจบแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็เสด็จเข้าพักในมหาวิหาร บรรดาพระสงฆ์งหลายก็มานั่งคุยกันว่าวันนี้อัศจรรย์จริง การสดงพระธรรมเทศนาขอองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าครั้งไรไม่เคยมีฝนโบกขรพรรษตกอย่างเช่นครั้งนี้ เราไม่เคยเห็น

    คราวนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์ประทับอยู่ในมหาวิหาร ทรงทราบเรื่องที่บรรดาพระสงฆ์นั่งสนทนากัน เห็นว่าเป็นประโยชน์ พระพุทธองค์จึงเสด็จออกจากมหาวิหารเข้าไปประทับนั่งระหว่างท่ามกลางสงฆ์

    เมื่อพระสงฆ์ปูอาสนะถวายแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ประทับนั่ง แล้วทรงมีพระพุทธฏีกาตรัสว่า "ภิกขเว ดุก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร" พระสงฆ์ทั้งหลายก็พรรณนาเรื่องที่สนทนากันมาแล้ว ถวายให้ทรงทราบ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้มีพระพุทธฏีกาตรัสว่า "ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ตถาคตมีบารมีเต็มได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ได้ทำให้ฝนโบกขรพรรษให้ตกลงมาได้อย่างนี้เป็นของไม่อัศจรรย์ เพราะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ในสมัยเมื่อตถาคตยังบำเพ็ญบารมีอยู่ คือ บารมียังไม่เต็มแต่ตถาคตสามารถทำฝนโบกขรพรรษให้ตกลงมาได้อย่างนี้ จึงถือว่าเป็นของอัศจรรย์" ตรัสแล้วพระพุทธองค์ก็ทรงดุษณีภาพนิ่งอยู่ บรรดาพระสงฆ์อยากรู้เรื่องราวเป็นมายังไง จึงกราบทูลอาราธนาสมเด็จพระบรมศาสดาแสดงธรรมเบื้องนั้น สมเด็จพระภควันต์จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายฟังว่า "ในสมัยเมื่อตถาคตยังมีบารมีไม่เต็ม ทรงเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรหน่อพระบรมพงศ์โพธิสัตว์สามารถทำฝนโบกขรพรรษให้ตกลงมาได้เป็นของอัศจรรย์ยิ่ง" แล้วสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงเล่าเรื่องพระเวสสันครให้ภิกษุสงฆ์ฟัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2010
  5. ariyabut

    ariyabut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +2,415
    พุทธประวัติพระสมณโคดม ( จากพระกรรมฐาน ) ช่วงที่ ๕

    เวลาผ่านไป ๒ ปี นับจากที่องค์สมเด็จพระชินสีห์เสด็จมากรุงกบิลพัสดุ์มหานครแล้ว ก็เป็นพรรษาที่ ๗ นับจากพระพุทธองค์ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ในปีนั้นองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงพิจารณาว่า พระราชบิดาคือพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช พระบาทแล้วเธอเป็นผู้มีพระคุณใหญ่มาหลายอสงไขยกัปแล้ว คือเป็น บิดา และเวลานี้ตถาคตก็ได้แสดงธรรมเทศนาเป็นเหตุให้พระองค์บรรลุพระโสดาบัน และในกาลสุดท้ายขณะที่พระองค์พระประชวรหนัก สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วย พระสงฆ์สาวก ๒ หมื่นองค์เศษ ได้เสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์อีกวาระหนึ่ง คราวนี้พระองค์เสด็จเข้าไปในห้องพระบรรทมของพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงรู้อยู่ แต่ทว่าเป็นวิสัยขององค์สมเด็จพระบรมครู จึงมีพระพุทธฏีกาตรัสว่า "มหาราชะ ขอถวายพระพร พระมหาบพิตรราชสมภาร เวลานี้ทุกขเวทนาทางกายของพระองค์เป็นประการใดบ้าง มันบีบคั้นมากไหม"
    พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชก็กราบทูลต่อพระพุทธองค์ว่า "ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ทุกขเวทนามันบีบคั้นเกือบจะทนไม่ไหว"

    สมเด็จพระจอมไตร จึงตรัสว่า "พระมหาบพิตร พระองค์ทรงมีพระสติเป็นประการใด ความดีที่พระองค์ทรงไว้คือ ศีล ๕ เป็นปกติ และเข้าถึงไตรสรณาคมน์ คือ เคารพพระพุทธเจ้า เคารพพระธรรม เคารพพระสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์ปักลงตรงพระนิพพาน อารมณ์อย่างนี้คลายไปจากจิตพระองค์แล้วหรือยัง"

    พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชก็กราบทูลว่า "ความเคารพพระพุทธเจ้าก็ดี เคารพพระธรรมก็ดี เคารพพระสงฆ์ก็ดี ศีล ๔ ของข้าพระพุทธเจ้าก็ดี และอารมณ์จิตมุ่งหวังพพระนิพพานก็ดี สิ่งทั้ง ๓ ประการนี้ยังไม่คลายไปจากจิต พระพุทธเจ้าข้า"

    สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้มีพระพุทธฏีกา ตรัสถามว่า "พระมหาบพิตร อาตมาอยากจะถามพระองค์ว่า เวลานี้พระองค์เห็นแล้วหรือยังว่า ร่างกายเป็นเราเป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเรา" (เวลานั้นปรากฏว่าทุกขเวทนาครอบงำพระองค์หนัก)

    พระเจ้าสุทโธทนะจึงได้กราบทูลองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถว่า... "ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า เวลานี้ทุกขเวทนามันบีบคั้นหนัก ร่างกายเจ็บไปหมด" และประการที่สองที่พระพุทธองค์ตรัสถามว่า "เห็นว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรา เรามีในร่างกายร่างกายมีในเรา เวลานี้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นแล้วพระพุทธเจ้าข้า"

    "ร่างกาย นี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายมันเป็นแต่เพียงธาตุสี่ คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ เป็นที่อาศัยของจิต ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ร่างกายไม่มีการทรงตัว มีการเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อม มีแต่ความทุกข์ มีโรคภัยเบียดเบียน ทำให้มีทุกขเวทนาอย่างสาหัส ข้าพระพระพุทธเจ้ามีความเห็นว่า ร่างกายนี้มันมีสภาพเหนือจากจิตใจ ไม่ใช่ร่างกายของข้าพระพุทธเจ้า และเป็นร่างกายที่ประกอบไปด้วยโทษ หาประโยชน์มิได้ เมื่อมีชีวิตอยู่ก็ต้องปรนเปรอทุกอย่าง ไม่ต้องการให้มันแก่มันก็แก่ ไม่ต้องการให้มันป่วยมันก็ป่วย ไม่ต้องการให้มันพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มันก็พลัดพรากจากของรักของชอบใจ เวลานี้ความตายมันจะเข้ามาถึงร่างกายก็ห้ามมันม่ได้ แต่จิตใจของข้าพระพุทธเจ้ามิได้มีความต้องการร่างกายนี้ต่อไป เห็นว่าร่างกายนี้เป็นพิษเป็นภัย ข้าพระพุทธเจ้าต้องการพระนิพพานเป็นที่ไปพระพุทธเจ้าข้า"

    สมเด็จพระบรมศาสดาเมื่อทรงสดับ ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ (ความจริงพระพุทธเจ้าโดยปกติไม่ยิ้ม ไม่ใช่ว่าพระองค์ไม่อยากยิ้ม เพราะเป็นประเพณีของพระพุทธเจ้า ถ้ายิ้มก็ต้องมีเหตุ ถ้าไม่มีเหตุพระองค์ไม่ยิ้ม แต่ไม่ใช่หน้าบึ้ง ทรงวางพระทัยสบายๆ) เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงแย้มพระโอษฐ์แล้ว พระอานนท์ซึ่งเป็นพระอุปัฏฐากขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็จะต้องทูลถามทันที ว่าพระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์เพราะเหตุประการใดพระพุทธเจ้าข้า

    สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ หรือว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย" "เวลานี้พระเจ้าสุทโธทนะมหาราช ซึ่งเป็นพระราชบิดาของเรามาในกาลก่อน เวลานี้จอมบพิตรอดิศรมีจิตเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว" เป็นอันว่าการจะแคล้วจากกันจนถึงอายุขัยย่อมไม่มี จะต้องนิพพานวันนี้"

    "แต่ ทว่าเวลานี้ทุกขเวทนาของพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช มีความทุกข์อย่างหนัก ทุกส่วนของร่างกายถูกบีบคั้นไปด้วยทุกขเวทนา แต่ทว่าที่พระองค์ทรงพูดกับเราได้เหมือนคนปกตินั้นเพราะว่าใช้ ขันติธรรม ข่มกำลังใจ และมีกำลังใจสูง เวลานี้จิตของพระองค์แจ่มใสเป็นกรณีพิเศษ"

    ตามที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ตรัสอย่างนี้ พระอรหันต์ทุกองค์ท่านก็ทราบเพราะเป็นพระอรหันต์ด้วยกัน ย่อมเห็นใจกัน ดังนั้นทุกองค์จึงยกมือพนมขึ้นว่า "สาธุ เป็นความจริงตามที่พระองค์ตรัสแล้ว พระพุทธเจ้าข้า" (ท่านที่เป็นพระอรหันต์ย่อมรู้วาระจิตของคนที่เป็นพระอรหันต์ รวมทั้งรู้วาระจิตของคนที่เป็นพระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบันด้วย และยังรู้ถึงทุกขเวทนาทางร่างกายที่มันจะพังว่ามันมีการบีบคั้นอย่างหนัก)...

    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ต่อแต่นี้ไปตถาคตจะลดทุกขเวทนาทางร่างกายของพระพุทธบิดา"

    แล้วสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงตั้งจิตอธิษฐานเป็นพระพุทธฎีกาว่า... "บุญบารมีใดที่ตถาคตบำเพ็ญมาแล้ว สิ้นเวลา ๔ อสงไขยกับแสนกัป เพื่อปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า รื้อความทุกข์ของคนทั้งหลายให้มีความสุข รื้อจากวัฎฎะ คือเวียนว่ายตายเกิดในวัฎสงสาร มีพระนิพพานแดนเกษมสันต์เป็นที่ไป ฉะนั้น บุญบารมีใดที่ตถาคตสั่งสมไว้ในกาลก่อนจนกระทั่งถึงวันบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ขอบุญบารมีอันนี้นั้นจงช่วยให้พุทธบิดา คือพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช หายจากทุกขเวทนาที่บีบคั้นพระวรกายอยู่เวลานี้" แล้วองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงยกพระหัตถ์ลูบตั้งแต่พระเศียรถึงพระบาทสามวาระ แล้วสมเด็จพระพุทธองค์จึงตรัสถามพระพุทธบิดาว่า "เวลานี้ทุกขเวทนาบรรเทาแล้วหรือยัง"

    พระเจ้าสุทโธทนะก็กราบทูลว่า "เวลานี้ทุกขเวทนาทั้งหมด ปรากฏว่าหายไปพร้อมกับพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงลูบตั้งแต่ศรีษะถึงปลายพระบาท" (คือมือแตะศรีษะ อาการปวดศรีษะก็หาย ลูบไปถึงคออาการเจ็บก็หาย คล้ายๆ กับปาดโรคให้หมดไป)

    เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทำตามนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์ก็ให้พระสงฆ์ที่อยู่ใกล้ๆ ใครอยากจะสงเคราะห์พระเจ้าสุทโธทนะ ก็ทำได้ (พระสงฆ์ไป ๒ หมื่นองค์เศษ ทำทุกองค์ไม่ไหว)

    ตอนนั้น ก็เป็นหน้าที่ของ พระนันทะ ซึ่งเป็นพระราชโอรสเหมือนกัน ต่อมาก็มีพระอานนท์ พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระอนุรุธ ต่างท่านต่างก็ทำเช่นเดียวกับ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เป็นอันว่าเวลานั้น ทุกขเวทนาทางกายของพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช ไม่มีเลย พระองค์ทรงชื่นจิต หน้าตาผ่องใส มีสภาวะเป็นปกติ แต่ว่าโรคที่มันเบียดเบียนร่างกายก็เป็นเรื่องของโรค ร่างกายที่มันไม่มีแรงลุกไม่ไหว ก็คงลุกไม่ไหวตามเดิม เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบันดาลให้ลุกขึ้นได้ พระพุทธองค์ทรงบันดาลให้บรรเทาจากทุกขเวทนา

    ต่อจากนั้นมา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "ความคิดเดิมของพระองค์ไม่เสื่อม เวลานี้ตถาคตก็ทราบดีว่ากำลังใจของพระองค์ไม่ติดอยู่ในร่างกายเดิมแล้วใช่ไหม"

    พระองค์ก็ยอมรับว่า "เป็นความจริงพระพุทธเจ้าข้า"

    "ร่างกายของคนอื่น พระองค์ทรงห่วงใยใครบ้าง"

    พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชก็กราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าไม่ห่วง พระพุทธเจ้าข้า เพราะทราบว่าร่างกายนี่ประเดี๋ยวมันก็พัง"

    ต่อมาพระพุทธองค์ก็ตรัสถามว่า "ทรัพย์สินในการเป็นพระราชา ในการครองราชย์ ความยิ่งใหญ่ในฐานะที่เป็นพระราชาห่วงไหม"

    พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชก็ประกาศว่า "ไม่ห่วง พระพุทธเจ้าข้า"

    สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสถามต่อไปว่า "สมบัติทั้งหลาย ประชากรข้าราชบริพารของพระองค์ล่ะ ห่วงไหม" พระเจ้าสุทโทนะมหาราชก็ทรงประกาศว่า "ไม่ห่วง พระพุทธเจ้าข้า"

    ครานั้นองค์สมเด็จพระภควันต์ ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนนท์ก็กราบทูลถามต่อไปว่า "พระพุทธองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์เพราะอะไร พระพุทธเจ้าข้า" (ไม่ถามไม่ได้ เพราะเป็นหน้าที่ของพระพุทธอุปัฏฐาก)

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้มีพระพุทะฏีกาตรัสว่า "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เวลาอีกชั่วไม่กี่ขณะจิตจากนี้ไป พระพุทธบิดา คือพ่อของเราจะไปนิพพาน"

    หลังจากองค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสจบ เพียงชั่วครู่เดียว พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชซึ่งนอนเจ็บอยู่เวลานั้น แต่ไม่มีทุกขเวลาด้วยอำนาจพุทธานุภาพและสังฆานุภาพ พระองค์ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นพนม กล่าวคำขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัยว่า

    "กรรมใดที่ข้าพระพุทธเจ้าได้เคยประมาทพลาดพลั้งในสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี ในพระธรรมก็ดี ในพระอริยสงฆ์ทั้งหลายก็ดี ตั้งแต่อดีตกาลมาจนปัจจุบันด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตตนาก็ดี เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอบรรดาพระอริยะสงฆ์ทั้งหลายพร้อมด้วยองค์สมเด็จพระชินสีห์เป็นประธาน ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้านับตั้งแต่บัดนี้เป้นต้นไปจนกว่าจะเข้าพระนิพพาน"

    บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยกพระหัตถ์ขึ้น กล่าวว่า "สาธุ" พร้อมกัน แล้วพระเจ้าสุทโธทนะมหาราชก็กราบนมัสการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งๆ ที่นอนอยู่นั่นอีกครั้งหนึ่งตรัสว่า...

    "เวลานี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอทูลลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมดที่ปรากกอยู่ในที่นี้และไม่ได้ปรากฏอยู่ด้วย ตลอดกระทั้งบรรดาคนที่มีส่วนกี่ยวข้อง ถึงวาระแล้วที่ต้องลาไป"

    แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรและบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็ยกมือขึ้น "สาธุ" พร้อมกัน สร้างความชื่นใจให้ปรากฏ

    เป็นอันว่าเวลานั้น พระเจ้าสุทโธทนะมหราชก็นิพาน (กาลัง กัตตวา ตามถาษาบาลีกล่าวว่า ถึงเวลาที่ต้องไป)

    จริยาหนึ่งของพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช ที่ทรงปฏิบัติแด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าคือ พระองค์เป็นพ่อของพระสิทธัตถะราชกถมาร แต่ทว่าพระองค์ไม่ใช่พ่อของพระพุทธเจ้า สิทธัตถะราชกุมารเดิมเป็นลูกท่าน เวลานี้สิทธันถะราชกุมารบรรลุธรรมพิเศษเป็นพระพุทธเจ้า ท่านวางตัวตามความเหมาะสม คิดว่า คนนี้ร่างกายนี้เป็นร่างกายของลูก แต่ว่าความดีที่ลูกทรงอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องของลูก เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า ฉะนั้นท่านจึงวางใจถวายนมัสการด้วยความเคารพในฐานะลูกเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ฐานะพ่อกับลูก

    เป็นอันว่าพระเจ้าสุทโธทนะมาหาราชก็นิพพานก่อนพระพุทธเจ้า.

    ข้อย้อนกล่าวถึงคราวที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมากรุงกบิลพัสดุ์มหนครในครั้งแรกนั้น บุคคลที่สำคัญท่านหนึ่งคือ พระนางพิมพาราชเทวี พระองค์รู้ข่าวว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์เสด็จมาโปรดก็ดีใจมาก เพราะนับตั้งแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคาเจ้าเสด็จไปจากพระราชวังคราวนั้นแล้ว ไม่เคยพบองค์สมเด็จพระประทีปแก้วเลย

    วันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกมหาอภิเนษกรมณ์ในคราวนั้น ปรากฏว่า องค์สมเด็จพระภควันต์ หนีออกไป หนีพ่อ หนีแม่ หนีเมีย และหนีลูก หนีทุกคนที่อยู่ในนั้น เพราะองค์สมเด็จพระภควันต์ไม่ได้ลาใครเลย พระองค์ตัดกำลังใจครั้งใหญ่ที่สุด นั่นก็คือ ในวันนั้นพระองค์กำลังอยู่ในพระราชยาน มีเจ้าพนักนักงานมากราบทูลว่า เวลานี้พระนางพิมพาราชเทวีประสูติพระราชโอรส ปรากฏว่ามีรูปงามเหลือเกิน ตอนนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็มดำริว่า "ปุตตัง ชีเว ห่วงลูกผูกคอเกิดขึ้นแล้ว" (ตามธรรมดาพระพุทธเจ้าตรัสห่วงไว้ ๓ ห่วง คือ ๑.ปุตตัง ชีเว ห่วงลูกผูกคอ ๒. ธนัญปาเท การห่วงในทรัพย์ เปรียบเสมือนมีใครมาผูกข้อเท้าไว้ไปไหนไม่ค่อยจะได้ เพราะห่วงทรัพย์ ๓. ภริยาหัตเถ ห่วงภรรยา มันหนักที่มือเพราะต้องทำงานมาก)

    ดังนั้น ในวันนั้นเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า พระราชโอรสเกิด จึงตรัสว่า โอหนอห่วงใหญ่เกิดขึ้นแล้ว ปุตตัง ชีเว ห่วงลูกผูกคอเกิดขึ้นแล้ว แต่ทว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วได้ทรงบำเพ็ญบารมีมาถึงสี่อสงไขยกับแสนกัป มีพุทธประสงค์ตรงโดยเฉพาะว่า ตั้งใจจะรื้อขนสัตว์ให้พ้นจากวัฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิด เพื่อหวังพระนิพพานเป็นที่ไป ดังนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงได้ตัดสินพระทัยว่า ลูกจะออกวันนี้หรือวันไหนไม่สำคัญ สำคัญที่ว่า เราจะห่วงลูกดีหรือจะห่วงมนุษย์ทั้งโลกดี เป็นอันว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาก็ทรงตัดสินพระทัยว่า เราห่วงการทำกำลังใจที่ไม่บริสุทธิ ให้เป็นกำลังใจที่บริสุทธิ์ เป็นของประเสริฐกว่า" หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระบรมศสดาก็ทรงดำริว่า

    "ถ้าเราเป็นผู้บริสุทธิ์ บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเมื่อไร โอกาสที่เราจะช่วยคนทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังซึ่งมีความทุกข์ถึงเราอยู่ ให้พ้นจากความทุกข์ได้ เป็นการใช้หนี้ความดีของเขาที่มีความห่วงใยเรา"

    ฉะนั้น องค์สมด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสมัมาสัมพุทธเจ้า จึงเสด็จออกไปจากตำหนักในคืนวันนั้น โดยไม่สนใจกับใครทั้งหมด คืนนั้น ก่อนที่องค์สมเด็จพระบรมสุคตจะเสด็จออก พระองค์ก็ย่องๆๆ เข้าไปในที่ประทับของพระนางพิมพา ค่อยๆ แย้มม่านออกดู เห็นโฉมตรูพิมพาราชเทวีกำลังหลับกกพระราหุลลูกน้อยอยู่ แล้วองค์สมเด็จพระบรมครูก็ตัดสินใจว่า "ไปละ" ลูกจะเป็นยังไง เมียจะเป็นยังไงนี่ไม่สำคัญ เราเห็นความสำคัญที่มีอยู่ คือ "พระโพธิญาณ" องค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์

    รุ่งเช้าคนทั้งหลายไม่เห็นพระองค์ แต่เย็นทุกคนเห็นนายฉันนะซึ่งเป็นสหชาติของพระพุทธองค์ กลับมาพร้อมด้วยเครื่องแต่งองค์ของสมเด็จพระผู้มีพระภาค วันนั้นทุกคนทราบวา พระสิทธัตถะราชกุมารซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ และอีก ๗ วันก็จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช พระองค์ตัดสินพระทัยออกบวชซะแล้ว

    เมื่อพระนางพิมพาทราบข่าวการบวชของพระผู้มพระภาคเจ้า พระองค์จึงได้ถามนายฉันนะ ว่า "องค์สมเด็จพระภควันต์ทรงเครื่องสีอะไร และที่พระวรกายของพระองค์ทำอะไรบ้าง"

    นายฉันนะก็กราบทูลว่า "สมเด็จพระบรมศาสดาเมื่อถึงสถานที่แล้ว พระองค์จับพระขรรค์แก้วมาตัดระเมาลี (ตัดผม) แล้วปรากฏว่า ผมที่เหลืออยู่ขมวดเหมือนกับโกนศรีษะ หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์ก็ทรงเครื่องย้อมด้วยน้ำฝาด"

    พระนางพิมพาทราบอย่างนั้น ก็สั่งให้คนมาโกนผมบ้าง และห่มผ้าที่ย้อมน้ำฝาดบ้าง ต่อมาได้ทราบข่าวว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทรมานพระองค์ เสวยกระกระยาหารน้อย พระนางก็เสวยพระกระยาหารน้อยบ้าง ต่อมาทราบว่าองค์สมเด็จพระภควันต์เข้าไปพักที่โคนต้นโพธิ์นั่งสมาธิ จำจิตสงบ เมื่อข่าวนี้มาถึง พระนางพิมพาก็อาศัยโคนต้นไม้ที่มีอยู่ในพระราชฐานเป็นที่เจริญสมาธิบ้าง เป็นอันว่าทราบข่าวว่าพระพุทธเจ้าทำแบบไหน พระนางพิมพาก็ทำแบบนั้นทุกอย่าง ทั้งนี้เพราะเป็นคู่บารมีกันมานานนักหนาในกาลก่อน

    เมื่อองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดหมู่พระประยูรญาติ อันมีพระราชบิดา คือพระเจ้าสุทโธทนะมหาราชเป็นประธานแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงระลึกถึง พระนางพิมพาที่เป็นคู่บารมีกันมา นับตั้งแต่เอนกชาติ คือ ตั้งแต่เริ่มต้นที่องค์สมเด็จพระทศพลทรงปรารถนาพระโพธิญาณ พระนางพิมพาก็เข้าไปตั้งปณิธานปรารถนาต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นว่า ปรารถนาเป็นคู่บารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์จนกว่าจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ และก็พระเจ้าสุทโธทนะมหาราช กับพระนางสิริมหามายาราชเทวี เวลานั้นห็เป็น ชาวบ้านธรรมดาๆ ต่างคนต่างก็เขาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์นั้น ว่าขอเป็น พระพุทธบิดา ขอเป็น พุทธมารดา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็เด็กชายคนหนึ่งเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ว่าขอเป็น ราชโอรส เป็นลูกติดตาม

    นี่เป็นอันว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบความจริงว่า ยอดหญิงพิมพาเป็นคู่บารมีกันมาตั้งแต่ต้นจนอวสาน

    การแสดงพระธรรมเทศนาโปรดหมู่พระประยูรญาติและสมเด็จพระราชบิดานั้นปรากฏว่า พระนางพิมพาไม่ยอมไปฟังเทศน์ มีคนไปกราบทูลให้ทรงทราบ พระนางก็ตรัสว่า "ในเมื่อพระลูกเจ้าเสด็จมาถึงประเทศนี้แล้ว และองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงรู้ตำหนักนี้ดี เคยอยูมาก่อน ถ้าองค์สมเด็จพระชินวรไม่เสด็จมาโปรดเราถึงที่ เราก็ไม่ไป" นี่เพราะอาศัยน้ำใจที่พระนางมีความรัก ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติ แต่ครั้นองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์เสด็จมา พระนางก็เกิดอาการน้อยใจว่า ตำหนักนี้เคยอยู่ ทำไมองค์สมเด็จพระบรมครูจึงไม่มาเทศน์โปรดสอนเราถึงตำหนัก เมื่อท่านไม่มาเราก็ไม่ไป

    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ทรงรู้น้ำพระทัยของพระนางพิมพา องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงทรงตั้งใจจะไปโปรดพระนางพิมพาถึงตำหนักที่อยู่ และองค์สมเด็จพระบรมครูก็ทรงทราบว่า การไปคราวนี้ พระนางพิมพาอาศัยที่มความรักความอาลัยอยู่เดิม จะเข้ามากอดที่ขาของพระองค์แล้วก็พร่ำรำพันถึงความทุกข์และความรักในอดีต กิจนี้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของสตรี แต่ถ้าเราจะห้ามพิมพาไม่ให้ทำอย่างนี้ การบำเพ็ญบารมีมาถึงสี่อสงไขยกับแสนกัป ความจริงพระงพิมพาไม่เคยทำบุญด้วยตนเองเลย มีอย่างเดียว เราทำอะไร เธอก็ยินดีด้วยช่วยโมทนา เป็นปัตตานุโมทนามัย หากเราห้ามพิมพาไม่ให้มากอดขาเราแล้วไซร้ พิมพาจะ "อกแตกตาย" ไม่ได้บรรลุมรรคผล เป็นอันว่าผลที่ติดตามมาถึงสี่อสงไขยกับแสนกัปจะไม่เกิดผล ถ้าเราห้ามเธอไม่ให้มากอดขาเรา

    เมื่อสมเด็จพระทศพลทรงตัดสินพระทัยว่าเรื่องอย่างนี้จะเกิดขึ้นมาก็ "ไม่เป็นไร เพราะจิตของเราไม่มีกิเลสแล้ว" แต่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงมีความไม่ประมาท (ไม่ใช่ว่า ไม่มีกิเลสแล้วจะทำอะไรก็ได้ ไม่เกรงใจคนที่อยู่ในโลกีย์วิสัยจะติฉินนินทาเพราะว่า นินทาปสังสา เป็นธรรมดาของชาวโลก แม้จะกล่าวโดย ทางธรรมจะมีผลไม่ใหญ่ แต่ทางคดีโลกนี้ไซร้มีผลใหญ่มาก คือคนใดก็ตามที่ถูกนินทาว่าร้าย กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ กว่าที่เขาจะรู้ว่าคนที่ถูกนินทาเป็นคนบริสุทธิ์ เป็นคนดี ดีไม่ดีชาวบ้านชาวเมืองก็หลงเกลียดหลงโกรธไปนับเวลาแรมเดือน ซึ่งเราท่านทั้งหลายก็คยโดนมาบ้างเหมือนกัน) เป็นอันว่า เมื่อองค์สมเด็จพระทศพลทรงทราบตามความเป็นจริงแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้ชวน พระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตร ๒ ท่านไปเป็นเพื่อน เพื่อเป็นพยาน คือให้ทั้งสองท่านรับทราบไว้ด้วยจะได้ช่วยแก้ความเข้าใจผิดของคนภายหลัง

    ขณะที่เดินไประหว่างทางยังไม่ถึงตำหนักของพระนางพิมพาราชเทวี สมเด็จพระชินสีห์จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "พระสารีบุตร และพระโมคคลลน์ ถ้าเราทั้งสามเข้าไปในตำหนักของพระนางพิมพาแล้ว ถ้าพระนางพิมพาจะกอดขาเรา ขอเธอทั้งสองจงอย่าห้าม และขอเธอจงเข้าใจว่า เวลานี้จิตของตถาคตไม่มีอะไร แต่ทว่ามีความห่วงใยในพระนางพิมพา ถ้าเธอทั้งสองห้าม เธอไม่มีโอกาสเข้ามากอดขาเรา เธอจะอกแตกตาย เพราะการบำเพ็ญบารมีมาในกาลก่อนไซร้ เธอไม่ได้ทำเอง มีหน้าที่ย่างเดียว คือโมทนาความดีที่ตถาคตทำ ฉะนั้น การบรรลุมรรคผลของพระนางพิมพาจึงต้องเนื่องด้วยตถาต จะหาทางช่วยตวเองให้บรรลุมรรคผลนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้" พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านเข้าใจเรื่องการจับต้องเนื้อ จับต้องกายเพื่อราคะ มันไม่มีแก่พระอรหันต์

    เมื่อพระนางพิมพาทราบจากเจ้าพนักงาน ก่อนที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารจะเสด็จไป พระนางพิมพาก็ดีใจ หายจากความทุกข์โศก ชำระร่างกายให้สะอาด และทราบว่า สมเด็จพระบรมโลกนาถยังทรงเครื่องย้อมน้ำฝาด พระนางก็ทรงแต่งตามนั้น แล้วโกนศรีษะเหมือนกับพระทุกท่าน ดูๆ ไปคล้ายกับนางภิกษุณี แต่ตอนนั้นยังไม่มี เมื่อพระนางทราบข่าวว่าสมเด็จพระชินสีห์จะเสด็จไป ก็ให้สาวใช้ทำสถานที่ให้สะอาด มีอะไรบ้างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยชอบใจในกาลก่อน พระนางก็สั่งทำเพื่อองค์สมเด็จพระชินวรทั้งหมด ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระบรมสุคตเสด็จเข้าไปแล้ว นางแก้วก็เข้ามากอดขาร้องให้เหมือนกัน ตามที่องค์สมเด็จพระภควันต์ตรัสไว้

    เมื่อพระนางสร่างจากความโศกแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จึงได้มีพระพุทธฎีกาส่งสอนพระนางพิมพาว่า
    "เธอจงอย่าคิดอาลัยในร่างกายและชีวิต เพราะที่ตถาคตออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียดเธอ แต่มีความหวังอย่างเดียวว่า ถ้าเราจะทรงชีวิตอยู่ตามธรรมดาของบุคคลธรรมดา เรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แบบนี้ มันจะหาที่สุดไม่ได้ ทั้งนี้เพราะการเสวยราชสมบัติเป็นกษัตริย์มันก็มีสภาพ ไม่พ้น เหมือนบุคคลธรรมดา คือกษัตริย์ก็ดี ยาจกเข็ญใจก็ดี คนธรรมดาก็ดี มีความเกิดขึ้นมาเบื้องต้น ร่างกายก็เสื่อมโทรมไปตามลำดับในท่ามกลาง ในที่สุดต่างคนต่างก็ตายเหมือนกัน ชีวิตการเกิดและการตายของสองเรานี้นั้นนับชาติไม่ถ้วน ล้วนแล้วแต่ การเกิดมาครั้งใดก็มีแต่ความเหน็ดเหนื่อยร่างกาย เหน็ดเหนื่อยใจ และในที่สุดเราก็ต้องตายจากกัน ถ้าหากเราจะต้องเกิดมาแล้วก็ตายอย่างนี้ไปเรื่อยๆ หาที่สุดไม่ได้แล้ว ขึ้นชื่อว่า "ความสุข" มันก็ไม่มี เวลานี้พี่ คือ ตถาคตได้เข้าถึงการจบแห่งการเวียนว่ายตายเกิด คือ โมกขธรรม ได้แก่ ธรรมอันเป็นเครื่องพ้นจากความตาย ต่อจากนี้ไปการเวียนว่ายตายเกิดสำหรับตถาคตไม่มี แดนที่จะพึงไป คือ พระนิพพาน เป็นแดนอมตะ หาความตายไม่ได้ และเป็นแดนที่มีความสุขที่สุดที่เรียกว่า เอกันตบรมสุข เป็นความสุขอย่างเลิศประเสริฐกว่าความสุขใดๆ ที่จะพึงหาได้ในวัฏสงสาร คือความสุขในการเป็นมนุษย์ก็ดี ความสุขในการป็นเทวดาก็ดี ความสุขในการเป็นพรหมก็ดี ยังสุขไม่เท่ากับความสุขในพระนิพพาน

    ฉะนั้น ขอน้องหญิงพิมพาราชเทวี ซึ่งเป็นคู่บารมีของตถาคตมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ขอเธอจงทรงไว้ซึ่งสัจจธรรม คือความดี ตอนต้นให้คิดถึงกฏองธรรมดา มองดูร่างกายของเรา ร่างกายของเธอเมื่อก่อนนี้เป็นเด็ก ต่อมาเป็นวัยสาว เวลานั้นสวยสดงดงามเป็นอย่างยิ่ง จะหาหญิงใดผิวพรรณผุดผ่องสวยงามเสมอเหมือนนั้นแสนยาก แต่ทว่าเวลานี้ เราสองคนด้วยกันต่างคนต่างก็มีอายุเกินกว่า ๓๐ และจะ ๔๐ ปีแล้ว จงมาดูเราสองคนนี่ ยังคงสดสวย มีผิวพรรณผ่องใส ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวเหมือนสมัยก่อนหรือไม่

    ขณะเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเทศน์ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ก็มีการแสดงภาพของพระองค์ให้เศร้าหมอง พระนางพิมพาก็มองหน้าพระพุทธเจ้า มองทั่วทั้งพระวรกาย เห็นว่าพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาค่อยๆ เหี่ยว ค่อยๆ แห้งลงทีละน้อยๆ ก็สลดใจ แล้วก็มองดูกายของพระนางเองเล่า ก็พบว่า โอหนอ กายของเรานี้ก่อนที่องค์สมเด็จพระชินสีหืจะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ร่างกายของเราเป็นที่น่านิยม น่าชื่นชม มีความน่ารัก น่าชื่นใจ เพราะมีความผ่องใสในผิวพรรณ และเนื้อหนังนี้นั้นก้เต็มไปด้วยความอวบอัดเต่งตึงน่ารัก แต่ทว่าระหว่างนี้ รางกายของเราก็ดี ร่างกายของสมเด็จพระชินสีห์ก็ดี รู้สึกว่าเศร้าหมองไปมาก ฉะนั้น พระธรรมเทศนาที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเคยเป็นพระสวามีเรานี้เทศน์เป็นความจริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2010
  6. ariyabut

    ariyabut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +2,415
    พุทธประวัติพระสมณโคดม ( จากพระกรรมฐาน ) ช่วงที่ ๖

    เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นพิมพายอดหญิง มองเห็นตามความเป็นจริงแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้กล่าวต่อไปว่า

    "พิมพา เราไม่ใช่ว่าเกิดมาแล้วแก่ เท่านี้ จงดูหมู่พระประยูรญาติผู้ใหญ่ของเรา ดูชั้นปู่ ชั้นย่า ชั้นตา ชั้นยาย ไปถึงชั้นทวดของเราก็ได้ ที่เรารู้จักชื่อท่านทั้งหลายนั้นร่างกายของท่านอยู่ที่ไหน ในที่สุดก็ต้องตายไปหมดทุกคน เราเองซึ่งก็มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแก่ในท่ามกลาง ในที่สุดเราก็ต้องตาย ฉะนั้น นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอพิมพาน้องหญิง จงอย่าสนใจในร่างกายของพี่ และจงอย่าสนใจในร่างกายของเธอ และจงอย่าสนใจในร่างกายของบุคคลใดทั้งหมด จงกำหนดจิตว่า ร่างกายนี้ไม่ช้าก็ต้องสลายตัว"

    "เพื่อทำให้กำลังใจเป็นสุข พิมพา จงนึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัยทั้งสามประการ คือพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ สามประการนี้ให้ประจำใจของพิมพาราชเทวี เธอจะมีความสุข และหลังจากนั้นจงปฏิบัติในศีลห้าประการให้เคร่งครัด และให้เป็นอัตโนมัติ คือ เป็นปกติ จิตนี้คิดไว้เสมอว่า ถ้าตายจากชาตินี้ไปแล้ว ขึ้นชื่อว่า มนุษยโลกก็ดี เทวโกก็ดี พรหมโลกก็ดดี ไม่มีสำหรับเรา สิ่งที่เราต้องการคือ พระนิพพาน"

    เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์จบ ก็ปรากฏว่า พระนางพิมพาราชเทวี ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา อารมณ์แห่งความข้องใจที่คิดว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทอดทิ้งพระนางก็หมดไป กราบขอขมาโทษต่อองค์สมเด็จพระจอมไตรในการที่พระนางล่วงเกินด้วยประการทั้งปวง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงมีพระพุทธอภัยให้แก่พระนางพิมพา หลังจากนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมไปด้วยพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร ก็เสด็จกลับยังที่ประทับคือ มหาวิหารที่พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชจัดถวาย

    ต่อมาอีกนานเท่าไรไม่ทราบชัด องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ก็ได้เทศน์โปรดพระนางพิมพาราชเทวี จนได้ บรรลุอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลสูงสุดในพระพุทธศาสนา และปรากฏว่า ท่านได้เข้าพระนิพพานก่อนองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจะปรินิพพาน

    สำหรับ พระราหุล ราชโอรสนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงให้บวชเณร และต่อมาก็ บรรลุอรหัตผล เช่นกัน และก็เข้าพระนิพพานก่อนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่นเดียวกับพระนางพิมพา และพระเจ้าสุทโทนะมหาราช.

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาเรื่อยมาถึง ๔๕ ปี เป็นอันว่าตอนนี้อายุองค์สมเด้จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอายุอย่างเข้า ๘๐ ปี ชรามากแล้ว แต่ทว่าลูกๆ ที่กำลังนั่งฟัง ลองใช้กำลังใจดูซิว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่ออายุ ๘๐ ปี แก่เท่าพ่อไหม ความจริงพ่ออายุ ๖๐ ปีเศษๆ ลูกทุกคนอาจจะไม่มั่นใจว่าท่านจะแก่เท่าพอไหม พ่อต้องตอบว่า พระองคฺทรงแก่ ๘๐ ปี ทั้งนี้ก็ต้องกล่าวว่าแก่โดยปี ๘๐ ปี แต่ว่าพระวรกายขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงก่ไม่เท่าพ่อ ถ้าจะเปรียบเทียบกันจริงๆ พ่อว่า เมื่อพ่ออายุ ๓๐ ปี พ่อแก่กว่าพระพุทธเจ้าตอนอายุ ๘๐ ปี นี่พูดกันโดยขันธ์ ๕ จริงๆ แต่ทว่าลูกชายลูกหญิงทั้งหมดจงอย่าลืมนะ ว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านเป็นอัจริยมนุษย์ ว่าถึงรูปร่างลักษณะ ไม่ใช่ใช้กำลังอภิญญาเข้าช่วย หรือว่าไม่ใช่ใช้กำลังพุทธญาณเข้าช่วยจึงไม่แก่ คือร่างกายมันแก่ช้าไปเอง วัน เดือน ปี มันเร็วกว่าร่างกาย ถ้าหากว่าจะไปดูองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์เวลานั้น ท่านทรงทรมานพระกายในป่าบ้าง ในเขาบ้าง ในถ้ำบ้าง ในเมืองบ้าง แต่ว่าอยู่ที่ไหนก็ไม่ได้หยุด มีหน้าที่ในการพูด การสั่งสอน เวลาจะไปไหนก็ไปด้วยความลำบาก และก็ต้องบิณฑบาตรฉันเอง อาหารก็เลือกไม่ได้ ที่นอนก็เลือกไม่ได้ เว้นแต่ไปในมหาวิหารแห่งใด อันนี้มีความสุขทางกายแน่ เพราะเขาจัดให้ดี แต่ส่วนใหญ่ขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วประทับอยู่ในป่า อยู่ในเขา เพราะต้องเดินไปที่โน่น เดินไปที่นี่ เรื่องร่างกายก็ตามไปด้วยความทรุดโทรม การเสด็จไปไหน เดินไปไกลแสนไกล ก็ไม่เคยบ่นลำบาก นี่เป็นจริยาอันหนึ่งที่เป็นคุณความดีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ในฐานะที่เป็นพระพุทธเจ้า ทรงมีพระฉวีวรรณผุดผ่อง รูปร่างหน้าตาก็ยังไม่แสดงความชำรุดทรุดโทรมมาก การเสื่อมตัวของสังขารก็มีน้อย ผิดกับพ่อ หน้าย่นกว่าพระพุทธเจ้าตั้งเยอะ รูปร่างหน้าตาก็ทรุดโทรม กำลังก็ไม่ดี ฉะนั้น ความเป็นพระพุทธเจ้าจึงมีความจำเป็น ไปไหนต้องเอา "พระรูปพระโฉมที่ทรงสวยสดงดงาม" ไปด้วย ช่วย "สร้างศรัทธา" ทั้งนี้เพราะ พระพุทธเจ้าต้องมี ๔ อย่าง คือ

    ๑. มีเสียงเพราะ พระพุทธเจ้าทรงมีเสียงเพราะ พูดแล้วจับใจคน ...คนทุกคนต้องการเสียงเพราะ อันนี้ยกไว้ให้เลย เสียงไม่เพราะคนไม่ต้องการฟัง ยิ่งการแสดงธรรม ถ้าเสียงไม่เพราะยิ่งไปกันใหญ่ เป็นอันว่าต้องเสียงเพราะ

    ๒. มีรูปสวย ทรวดทรงดี ลักษณะ ๓๒ ครบถ้วน ลักษณะพิเศษอีก ๘๐ ครบ สวยจริงๆ ...คนบางพวกต้องการรูปงาม พระพุทธเจ้านอกจากจะมีรูปสวย ยังมีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการอีกด้วย ช่วยให้วยมากขึ้น เหมาะสำหรับคนต้องการความสวย หรือเพลิดเพลินไปในความสวย

    ๓. ความเศร้าหมองภายนอกของรูป ใช้จีวรย้อมน้ำฝาดหม แลดูเสร้าหมองไม่สวย ...และบางคนต้องการความเศร้าหมอง พระองค์ก็มีผ้าน้ำฝาดห่มและนั่ง เป็นอันแสดงว่า ไม่ต้องการความสวยสดงดงาม

    ๔. เทศน์ ไพเราะจับใจคนฟัง ฟังเข้าใจง่าย และฉลาดในการแสดงธรรม......ถ้อยคำในการพูดก็มีความฉลาด จับใจคน รู้ใจคนก่อนว่าคนนั้นต้องการอะไร เวลาประกาศพระศาสนาจึงมีผลมาก ยากที่บุคคลอื่นจะทำตามได้

    มีครบทั้ง ๔ อย่าง เพื่อให้ครบตามความต้องการของคน

    ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจำเป็นต้องมีรูปงาม พระวรกายของพระองค์เมื่ออายุ ๘๐ ปี จึงไม่แก่เท่าพ่อเมื่ออายุ ๓๐ ปี เวลาพ่อพูด ลูกลองใชกำลังใจดูให้ดีนะ ทดสอบกำลังใจว่า ที่พ่อพุดนี่ตรงกับอารมณ์ของลูกไหม และจงอย่าถืออุปาทานเป็นสำคัญ ว่าพ่อพุดอะไรมันถูกไปหมด อันนี้ก็ใชได้ไม่เหมือนกัน เพื่อความมั่นใจของบรรดาลูกทุกคน ทำกำลังใจเดี๋ยวนี้ ขึ้นไปถามองค์สมเด็จพระทศพลขอดูพระรูปพระโฉมของพระองค์เวลานั้น ท่านจะแสดงให้ปรากฏ ความจริงแล้ว หน้าตาขององค์สมเด็จพระบรมสุคตมองแล้วก้ยังชื่นใจอยู่ วาระสุดท้ายขององค์สมเด็จพระชินสีห์ก็เข้ามาถึงตอนอายุ ๘๐ ปี แต่ว่าพระองค์เคยตรัสกับพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ คนที่มีความคล่องในอิทธิบาท ๔ คือ

    ฉันทะ มีความพอใจ

    วิริยะ มีความเพียร

    จิตตะ มีอารมณ์จดจ่อ

    วิมังสา ใช้ปัญญาใคร่ครวญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของความดี คือ มรรคผล

    คนประเภทนี้ องค์สมเด็จพระทศพลตรัสว่า ถ้าต้องการให้ขันธ์ ๕ อยู่ถึงกัปหนึ่งก็ได้ ก็อยู่ได้ เพราะท่านมีกำลังใจสมบูรณ์ด้วยอิทธิบาท ๔ ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ หรือว่าเป็นอรหันต์ขั้นฉฬภิญโญ ก็ได้ รวมความว่าเป็นอรหันต์ก็แล้วกัน ฉะนั้นเมื่ออิทธบาท ๔ สมบูรณ์แล้ว เป็นพระอรหันต์ ท่านเรียกว่า โลกุตตระ เป็นคนเหนือโลก อำนาจของโลกไม่มีอำนาจเกินกำลังของพระอรหันต์ เว้นแต่พระอรหันต์ไม่โกง ที่ไม่โกงก็คือ ยอมรับกฏของกรรม ถ้ากฏของกรรมดีมา ทำให้ร่างกายเป็นสุขก็ยอมรับ ถ้ากฏกรรมชั่วเดิมมา มันทำให้ร่างกายเป็นทุกข์ ท่านก็ยอมรับ แต่ว่าใจของท่านไม่รับด้วย ไม่ยอมสุข ไม่ยอมทุกข์ด้วย สุขของโลกีย์เป็นเหตุสร้างความทุกข์ ไม่ใช่สุขที่มั่นคง แสดงว่ากำลังใจท่านเหนือโลกีย์วิสัย ฉะนั้น เรื่องร่างกายมันจะตายหรือไม่ตาย ไช่เรื่องกฏของกรรม จะถือว่าเป็นการหมดอายุขัยเฉยๆ ก็ย่อมไม่ใช่วิสัยของพระอรหันต์ ที่จะยอมให้เป็นไปตามนั้น ตามปกติเมื่อถึงอายุขัยแล้ว เห็นว่าสมควรอยู่ต่อไป จะทำให้บรรดาประชากรมีความสุข ก็อธิษฐานจิตให้ร่างกายนี้ทรงอยู่ต่อไปได้ แล้วก็ใช้งานได้ ที่เขาเรียกันว่า ต่ออายุ ถ้าเห็นว่าจะอยู่ต่อไปก็ไร้ประโยชน์ ทว่าสิ่งที่เราทำทั้งหมดตามหน้าที่ ทำครบแล้ว ก็ปล่อยไปตามภารกิจของมัน มันอยากจะพังก็เชิญพัง และการพังของร่างกายพระอรหันต์นี้เป็นกรณีพิเศษ นอกจากองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ คือ พระพุทธเจ้า ทรงเป็นอัจริยมนุษย์ เอาขั้นพระสาวก คือ พระสารีบุตรท่านจะนิพพาน ไปลาพระพุทธเจ้านิพพาน พระพุทธเจ้าทรงถามว่า สารีบุตร เธอจะนิพพานที่ไหน แต่ความจริงท่านทราบ พระสารีบุตรก็กราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะไปนิพพานที่ห้องคลอด หมายความว่าเกิดห้องไหน ไปตายห้องนั้น ทั้งนี้ ก็ต้องการจะสงเคราะห์มารดา ซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ

    พระโมคคัลลาน์ กรรมเก่าเข้มาสนอง โดนทุบเสียกระดูกแหลกเหลว โดนแล้วท่านไม่ยอมตาย อธิษฐานด้วยกำลังฤทธิ์ ประสานกระดุก เนื้อหนัง ดีแล้ว ร่างกายปกติตามเดิม ด้วยกำลังอภิญญาสมาบัติ เหาะไปกราบลาองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ เพื่อนิพพาน เห็นไหมลูกรัก ท่านจะยังไม่นิพพานก็ได้ แต่เห็นว่าภารกิจใหญ่หมดแล้ว ถึงวาระแล้วก็ควรนิพพาน

    อีกอันหนึ่งจะเห็นว่า พระอานนท์ เวลาที่จะนิพพาน ไปบอกกับญาติทั้งสองฝ่าย แห่งกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะนคร เพราะเทวทหะนครเป็นญาติฝ่ายแม่ กรุงกบิลพัสดุ์เป็นญาติฝ่ายพ่อ ญาติทั้สองฝ่ายก็บอกว่า ถ้าพระอานนท์นิพพาน พระธาตุ คือ กระดูกจะเป็นของเรา ทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างก็จะเกิดรบกัน พระอานนท์เห็นท่าไม่ดี ก็เลยบอกในหมู่ญาติว่า เวลาอาตมาตาย จะเผาร่างกายเอง ไม่ต้องช่วยกันเผา ไม่ต้องทำศพ มันจะยุ่ง ถ้าทำศพฉันคนเดียวจะกลายเป็นหลายศพ ถ้าตายก็จะตายกันหลายศพ การที่จะมาตายเพราะกระดูกของพระที่ตายแล้ว ไม่เกิดประโยชน์ มันเป็นโทษ ฉะนั้น การฌาปนกิจศพเป็นหน้าที่ของพระองค์เอง ดังนั้น เวลาที่พระอานนท์จะนิพพาน จึงได้เหาะขึ้นไปในระหว่างแม่น้ำ คือ ทั้งสองญาติอยู่คนละฝั่งแม่น้ำ เหาะขึ้นไปเส้นขนานตรงกลางพอดี สูงขึ้นไปในอากาศ นิพพานแล้วอธิษฐานเตโชธาตุ คือ ไฟเผาร่างกายหมด เนื้อหมด หนังหมด เหลือแต่กระดูกเป็นชิ้นเล็กๆ กระดูกก็กระจายออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งละครึ่งองค์
    จะเห็นว่า พระอรหันต์มีกำลังเหนือโลก จึงเรียกว่า โลกุตตระ คือเป็นผู้เหนือโลก

    ฉะนั้น กำลังของพระพุทธเจ้าย่อมเป็นกำลังความดี ที่เหนือกว่าพระอรหันต์สาวก เมื่อเวลาพระองค์อายุ ๘๐ ปี ร่างกายจึงไม่แก่หง่อมเท่าพ่อ ตอนนี้ก็มาดูองค์สมเด็จพระชินสีห์ ทรงปรารภการนิพพาน ปรากฏว่าพระองค์ประทับอยู่ที่ปาวาลเจดีย์ ไกลจากกุสินารามหานครประมาณ ๑๒๐ โยชน์ (๑,๙๒๐ กม.) วันหนึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงโปรดให้พระอานนท์เข้าเฝ้า แล้วก็ถามนิมิตเครื่องหมาย แต่ความจริงพ่อคิดว่าไม่ใช่ ตำราตอนนี้คงจะเฝือไปว่า ถามพระอานนท์ว่า เรามีเกวียนเก่าอยู่เล่มหนึ่ง เราจะซ่อมบำรุงเกวียนเก่าดี หรือเอาเกวียนใหม่ดี ท่านชำรุดทรุดโทรมมาก ท่านบอกว่าเวลานั้นมารเข้ามาดลใจให้พระองค์ไม่กล้าทูลองค์สมเด็จพระจอมไตร ไม่คัดค้านทัดทาน ถ้าทัดทานว่า ไม่ควรจะเปลี่ยนเกวียนเก่า พระพุทธเจ้าก็จะทรงอธิษฐานอยู่ครบ ๑ กัป...

    ...อันนี้ พ่อว่าอธิบายมากไป ด้วยเหตุผลมันไม่สมดุลกัน ทั้งนี้ เพราะว่าในกัปนี้จะต้องทรงพระพุทธเจ้าถึง ๑๐ พระองค์ ถ้าหากสมเด็จพระสมณโคดมบรมครู สมเด็จพระสัมาสัมพุทธเจ้าองค์นี้อยู่ตลอดไปตลอดกัป อีกหก ๖ องค์ข้างหลังจะมาตรัสเมื่อไรกันแน่ และต้องลาไปกัปหลัง ไม่ตรงกับความเป็นจริง

    ฉะนั้น ขอบรรดาลูกรักทั้งชายและหญิงทุกคน เวลาฟังอะไร ก็ต้องใช้ปัญญา ใช้สมองสักนิดหนึ่ง ถ้าหากว่าความจริงจะเป็นอย่างไร ก็ต้องหาความจริงตามหลักสูตร ตามหลักวิชาของลูกที่เรียนมาจากพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นวิชาของพระพุทธเจ้าลองพิสูจน์ดูว่า ตอนนั้นองค์สมเด็จพระบรมครูแสดงนิมิตเครื่องหมายกับพระอานนท์หรือเปล่า เราจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้แสดงนิมิตเครื่องหมายว่าต้องการจะอยู่ ตามตำราว่ามารมาอาราธนาองค์สมเด็จพระบรมครู ตอนนี้พ่อขอตอบว่าจริง พระยามาราธิราชขออาราธนาอยู่เสมอ เมื่อตอนที่บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณใหม่ๆ ท่านก็มาอาราธนาว่า พระสมณโคดม เวลานี้ท่านเป็นสุขแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว ไปนิพพานเสียเถอะ จะอยู่ให้ลำบากเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ปาปิมะ ดุก่อนมารผู้มีบาป เราบรรลุภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้วก็จริง แต่ทว่าบริษัท ๔ คือ อุบาสก อุบาสิกา ยังไม่ครบถ้วนเพียงใด เราจะยังไม่นิพพาน เราจะนิพพานต่อเมื่อบริท ๔ ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว คือ พระสงฆ์ก็มี ภิกาณี คือ พระผู้หญิงก็มี อุบาสก หมายถึงคนที่นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายผู้ชาย อุบาสิกา คนที่นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายผู้หญิง ทั้ง ๔ ฝ่าย ทั้งหมดนี้ต้องเป็นพระอรหันต์กันมาก ต้องได้กันถึงขั้นอรหัตผล ถ้ายังไม่ถึงขั้นอรหัตผล ก็ถือว่ายังไม่สมบูรณ์ ไม่ใช่อยู่ๆ ก็เข้ามาถวายตัวเป็นลูกสิษย์ แล้วถือว่ามีลูกศิษย์สมบูรณ์ ยังใช้ไม่ได้ ที่ใช้ได้จริงๆ ทั้ง ๔ ฝ่ายต้องเป็นพระอรหันต์ด้วย" พระยามาราธิราชก็ถอยไป

    ตอนอายุ ๘๐ ปี จัดว่าเป็นอายุขัยขององค์สมเด็จพระมหามุนี ตอนนี้ท่านกล่าวมาพระยามาราธิราชมาทูลอาราธนาอีก ท่านก็บอกว่า "ทนจริง" แต่ว่าการนิพพานไม่ใช่อำนาจของพระยามาราธิราช เมื่อพระยามาราธิราชมาทูลอาราธนาว่า เวลานี้บริษท ๔ สมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว ขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว อย่าทรงทรมานพระวรกายต่อไปอีกเลย โปรดนิพพานหาความสุขเสียเถิด"

    ท่านทรงตรัสว่า "ปาปิมะ ดุก่อน มารผู้มีบาป เธอจงถอยไป เรื่องนิพพานหรือไม่นิพพาน เป็นเรื่องของตถาคต ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะมากำหนดให้นิพพาน หรือคนอื่นมากำหนดให้อยู"

    แล้วองค์สมเด็จพระบรมครูก็มองดูขันธ์ ๕ ว่าเวลานี้ข้างในมันก็โทรมมาก ถึงกาลสมัยที่ควรจะนิพพานได้แล้ว เพราะว่าพระศาสนาที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงปลูกฝัง ทั้งพระผู้หญิง พระผู้ชาย อุบาสก อุบาสิกา สมบูรณ์บริบูรณ์ จึงทรงตัดสินพระทัยปลงอายุสังขาร วันนั้นเป็นวันกลางเดือน ๓ นับตั้งแต่บัดนี้เป้นต้นไปอีก ๓ เดือน เราจะนิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ ที่เมืองกุสินารามหานคร หลังจากที่พระองค์ปลงอายุสังขารแล้ว ปรากฏว่าแผ่นดินไหว พระอานนท์ที่อยูหน้าถ้ำก็แปลกใจ ว่าแผ่นดินไหวเพราะอะไร จึงได้เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตร ถามเหตุที่แผ่นดินไหว...

    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสว่า เหตุที่แผ่นดินไหวมีอยู่ ๘ อย่าง โดยย่อยในที่นี้จะขอกล่าว ๒ อย่าง คือ อย่างผู้มีฤทธิ์บรรดาลก็ได้ หรือพระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขารก็แผ่นดินไหว เมื่อพระอานนท์ทราบว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรจะปรินิพพาน ก็ตกใจ ทูลอาราธนาองค์สมเด็จพระบรมจอมไตรอยู่ต่อไป สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อานันท ดูก่อนอานนท์ ตถาคตก็ทรมานตนมาถึง ๔๕ ปี แล้ว ธรรมส่วนใดที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจะต้องสอน ที่เราปกปิดไว้ไม่มี เราสอนหมดทุกอย่าง เมื่อเรานิพพานแล้ว ธรรมวินัยนี้ทั้งหมดจะเป็นศาสดาสอนเธอ ในเมื่อขันธ์ ๕ มันทรงไม่ไหว ตถาคตก็สอนเองอยู่เสมอว่าขันธ์ ๕ เป็นของธรรมดา มันเกิด แก่ เจ็บ และในที่สุดมันก็ต้องคายเหมือนกันหมด เธอจะเกาะสมเด็จพระบรมสุคตอยู่อย่างนี้ตลอดกาลตลอดสมัยไม่ได้ ความดีที่จะเกิดมีขึ้นนั้นไซร้ ก็คือ การปฏิบัติเอง ฟังแล้วก็จำ จำแล้วก็คิด คิดแล้วก็ปฏิบัติตาม ถ้าสามารถทำได้ ในที่สุด ไม่ช้าก็บรรลุมรรคผล เป็นพระอริยบุคคล คือ พระอรหันต์ เป็นอันว่าในตอนนั้นปรากฏว่า พระอานนท์ก็เสียใจ จึงได้ทูลถามองค์สมเด็จพระพิชิตมารว่าจะทรงนิพพานที่ไหน สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า เราจะปรินิพพานในระหว่างนางรังทั้งคู่ ที่เมืองกุสินารามหานคร พระอานนท์ก็ทัดทานองค์สมเด็จพระชินวรว่า เมืองกุสินาราเป็นเมืองเล็ก การนิพพานที่นั่นจะไม่เหมาะสม สมเด็จพระสัมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เหมาะ เมืองนั้นเคยเป็นเมืองของพระเจ้าจักรพรรดิ และคนที่เป็นจักรพรรดิในเมืองนั้น ก็คือ ตถาคต ฉะนั้นเมืองใดที่เคยจักรพรรดิ เมืองนั้นถือว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญ เมืองที่พระอานนท์เสนอนั้นก็คือ เมืองราชคฤห์กับเมืองพาราณสี การที่องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสแก่พระอานนท์ว่า เมืองกุสินารามหานครเมื่อก่อนเป็น มหาประเทศ เป็นเขตที่อยู่ของพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก นั้นเป็นเหตุอันหนึ่ง แต่เนื้อแท้จริงๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงไปนิพพานที่นั้นก็เพื่อหวังจะไปโปรดบริษัทคนสุดท้าย คือ ว่าคนที่มาเกิด จะได้บรรลุมรรคผล บางคนก็ "พระอรหันต์สอนได้" แต่บางท่าน "พระอรหันต์สอนไม่ได้" เพราะ "วิสัยตรงเฉพาะพระพุทธเจ้า" ท่านผู้นั้นคือ"สุภัททะปริพาชก"

    การคุยคราวนี้ ถือเป็นการพูดคุยกันระหว่างพ่อกับลูก ฉะนั้น ในการคุยจึงไม่มีอะไรมาก คุยกันได้อย่างเปิดอก แต่ทว่าบังเอิญท่านทั้งหลายที่มาฟังการคุยบ้าง ก็ต้องขออภัยท่าน เพราะเรื่องบางอย่างไม่น่าจะเชื่อ แต่พ่อกล้าพูดก็เพราะ บรรดาลูกๆ ทุกคน ทั้งลูกที่เป็นพระ และลูกที่เป็นฆราวาส ก็สามารถมีอารมณ์ใจพิสูจน์ได้ ในเมื่อมีคนที่มีอารมณ์ใจพิสูจได้ พ่อก็กล้าพูด ถือว่าการพูดอย่างนั้นคนที่ไม่มีอารมณ์ใจจะพิสูจน์ได้ จะกล้าพิสูจน์หรือไม่กล้าพิสูจน์ จะเชื่อหรือไม่ ก็ไม่มีความหมาย...

    ...ตัวอย่างอันนี้ก็มีมาคือ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ในครั้งนั้นพระโมคคัลลาน์อัครสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู ท่านได้พบอะไรเข้าแล้วกับ พระลักขณะ พบแล้วท่านก็ยิ้ม เมื่อพระลักขณะถามว่ายิ้มเรื่องนี้เพราะอะไร ท่านมหาโมคคัลลาน์จึงได้พูดว่า ท่านจงถามเราต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราก็จะบอก เป็นอันว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์จบ พระลักขณะก็ถามพระมหาโมคคัลลาน์ พระมหาโมคคัลลาน์ก็ทูลถามองค์สมเด็จพระสัมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็ตรัสว่า เรื่องนี้ตถาคตได้เห็นมาแล้วตั้งแต่วันบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ แต่ว่าตถาคตไม่มีพยาน ตถาคตจึงไม่พูด มาวันนี้ท่านโมคคัลลาน์เป็นพยานให้กับเรา คือ ได้เห็นเช่นกับเรา เราจึงไม่พูด เรื่องที่คนไม่น่าเชื่อ พระพุทธเจ้าก็รอการพูดเหมือนกัน รอการพูดว่า เมื่อไรจะมีคนเห็นบ้างแล้วจึงจะพูด เรื่องราวที่พ่อคุยกับลูกมาแล้วก็เช่นเดียวกัน เป็นเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อ แต่ความจริงอาจจะรู้กันมานานแล้วก็ได้ เวลานี้ คนที่มีกำลังใจพอที่จะพิสูจน์ได้ ก็มีมากด้วยกัน

    เมื่อพระทราบว่าองค์สมเด็จพระชินวรจะนิพพาน ก็มากันมากมาย อันนี้ต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา จำนวนพระในพระชินวรจะนิพพาน ก็มากันมากมาย อันนี้ต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา จำนวนพระเวลานั้น ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นพระทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะนั้นนั่นเอง อยู่ใกล้ก็มาถึงก่อน อยู่ไกลก็มาทีหลัง เพราะว่าทุกท่านรู้ว่าพระพุทธเจ้าจะทรงนิพพาน ก็ต้องเร่งรัดตัวเองบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระจอมไตร เมื่อทราบข่าวเข้าก็ต้องมาเหมือนกัน ต่างคนต่างก็มาคิดว่า ถ้าพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว หลักชัยในการสอนก็จะสิ้นไป ถ้าคนที่ยังไม่ได้มรรคผล ก็ต้องได้มรรคผล ท่านที่ได้มรรคผลเบื้องต้นก็ต้องการได้มรรคผลเบื้องสูง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2010
  7. ariyabut

    ariyabut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +2,415
    พุทธประวัติพระสมณโคดม ( จากพระกรรมฐาน ) ช่วงที่ ๗

    ฉะนั้น ข่าวที่แพร่ไปในเวลานั้น ในที่สุด ใกล้ถึงวนนิพพานก็ปรากฏว่ามี บรรดาพระสงฆ์มาประชุมกันประมาณแสนแปดหมื่นองค์เศษ ไม่ใช่เล็กน้อยนะ บางคนอาจจะคิดว่า พระทั้ง ๑๘๐,๐๐๐ องค์เศษ (หนึ่งแสนแปดหมื่นองค์เศษ) จะเลี้ยงกันอย่างไร เรื่องที่น่าหนักใจ นั่นคือ อาหารการบริโภค น้ำที่จะฉันเข้าไป และสิ่งที่น่าหนักใจที่สุดก็คือ ส้วม แต่เรื่องส้วมนี่ไม่เป็นไร สมัยนั้นป่ามาก มาสำหรับเรื่องอาหาร ตามกฏธรรมดาสำหรับคนที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธจ้า เมื่อทราบว่าพระองค์จะนิพพาน นอกจากพระจะมา ชาวบ้านก็มาด้วย ก็มีความเข้าใจว่าพระมาหนึ่ง คนก็มาถึงสิบ ฉะนั้น ในบริเวณนั้นแทนที่จะมีแต่พระประมาณเกือบสองแสนรูป ก็จะต้องเป็นคนนับล้านเกลื่อนกล่นไป ในเมื่อบรรดาประชาชนเขามากัน เขาก้ต้องนำอาหารมาด้วย อาหารที่เขานำมาดวยก็ช่วยให้พระมีความเป็นอยู่ได้ นี่พูดกันถึงกฏธรรมดา เป็นวิธีการธรรมดาๆ ถ้าเป็นวิธีการผิดธรรมดาก็ต้องคิดว่า

    ๑. พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธจ้า

    ๒. พระอรหันต์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมาสัมพุทธเจ้า มีพระอรหันต์มาก ถอยจากพระอรหันต์มาก็มี พระอริยะตั้งแต่พระโสดาบัน พระสกิทาคา และพระอนาคามี มาก นอกจากนั้นก็เป็นผู้เข้าถึง ไตรสรณคมน์ ทั้งหมดนี้เป็นคนนำลาภมาทั้งสิ้น เป็นอันว่าเป็นปัจจัยที่เป็นเหตุให้มีลาภสักการะ คำว่า ลาภในที่นี้หมายถึงอาหารการบริโภค เพราะว่า คนมีบุญอยู่ที่ไหน ที่นั่นไม่ขาดแคลนด้วยอาหารการบริโภคหรือความเป็นอยู่ จะมีอยู่บ้างก็เป็นกฏของกรรมบีบบังคับในบางกรณีเท่านั้น ต้องถือว่าเป็นกรณีพิเศษ


    ฉะนั้น เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ปะกาศว่าพระองค์จะนิพพาน เมื่อท่านมีบุญมากมายอย่างนั้น พ่อคิดว่าไม่มีใครอดตาย และถ้าหากว่ามีความจำเป็นจริงๆ ท่านที่ ทรงอภิญญา และ ปฏิสัมภิทาญาณ ก็คงจะใช้กำลังฤทธิ์ของท่านเข้าช่วย เหมือนกับเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงทำผ้าจุลกฐิน พระมหาโมคคัลลาน์ก็ไปนำเอาผลมะม่วงที่ป่าหิมพานต์ มาทำน้ำอัฏบานเลี้ยงพระ เห็นไหม ถึงอยู่ไกลแสนไกลแต่ทว่าท่านไปเอามาได้ ไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ นี่เป็นอันว่าเวลานี้พระโมคคัลลาน์ท่านนิพพานแล้วก็จริง แต่ทว่าพระที่ทรงฤทธิ์มีมาก ที่พ่อพูดไว้นี้ก็เพื่อบรรดาลูกรักทั้งหลายจะวิตก

    เมื่อองค์สมเด็จพระชินวรกำหนดไว้ต่อไปจากนี้อีก ๓ เดือน เราจะนิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ที่เมืองกุสินารามหานคร เวลาที่พระองค์จะเทศน์โปรดบรรดาท่านพุทธบริษัทที่รับฟัง พุทธบริษัทก็มีทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระพุทธเจ้าไม่ทรงเทศน์เรื่อง "พระสูตร" และก็ไม่ทรงเทศน์เรื่อง "ชาดก" เทศน์เฉพาะศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้น เพราะว่าเป็นการรวบรัด การที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคทรงประกาศก่อนถึง ๓ เดือน เมื่อตอนก่อนนี้พ่อก็คิดว่า เป็นกฏธรรมดาๆ เท่านั้นเอง คือหมายความว่าตั้งใจไว้ว่าจะนิพพานเมื่อไรก็บอกกันไปเพื่อทราบ เพื่อบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่อยู่ห่างไกลได้ทราบ แล้วก็ชุมนุมกัน หรือว่าจะไปชุมชุมกันเวลานิพพานก็ได้ พ่อคิดอย่างนั้นนะ ความจริงคราวนี้มาพร้อมกัน แต่ขาดพระอยู่ชุดหนึ่ง คือ พระมหากัสสป พร้อมด้วยบริษัทของท่าน ๕๐๐ รูป พระมหากัสสปมีความสูงไล่เลี่ยกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสูงเท่ากับ ๘ ศอก ของคนสมัยนั้น ท่านผู้นี้ไม่ได้อยู่ในคามวาสี เป็น ฝ่ายอรัญวาสี อยู่ป่ารกชัฎ เป็นฝ่ายธุดงค์ ข่าวที่องค์สมเด็จพระบรมสุคตจะนิพพาน พระมหากัสสปไม่ทราบกับเเลย เป็นอันว่าการไม่ทราบ ลูกอาจคิดว่าสมเด็จพระผู้มีพระภาคก็น่าจะใช้อำนาจญาณเปล่งฉับพรรณรังสีไปบอกก็ได หรือว่าพระมหากัสสปก็เป็นปฏิสัมภิทาญาณน่าจะใช้ทิพยจักขุญาณมาถามพระพุทธเจ้าก็ได้ หรือกำหนดรู้ที่เรียกกันว่า อนาคตังสญาณ แต่ควมจริงเรื่องการใช้ญาณนี้บรรดาลูกรัก ถ้าใช้เพื่อคนอื่นเขาไม่ได้ใช้พร่ำเพรื่อ แต่ใช้เพื่อตัดกิเลสเขาใช้เป็นปกติ เขามีไว้เพื่อตัดกิเลสกัน เขาไม่ได้มีไว้อวดกัน ฉะนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์ก็จะต้องมีเหตุผล ว่าทำไมองค์สมเด็จพระทศพลจึงไม่บอกพระมหากัสสป และการที่จะใหพระมหากัสสปซึ่งพระสาวกมารู้อะไรทุกอย่างเป็นไปไม่ได้ เพราะพระอรหันต์นี่ตัดดีจากความนิยมของชาวโลก หมายความว่า ไอ้ความอวดดี ความอวดเด่น ที่มีชื่อเสียง ท่านตัดไปเสียแล้ว ท่านไมมีความต้องการ ฉะนั้นญาณที่อยากจะรู้เล็กรู้น้อยสำหรับพระอรหันต์จึงไม่มี ญาณน่ะมีแต่ความต้องการไม่มี เมื่อความต้องการไม่มี ก็เลยไม่รู้ อย่าลืมว่าพระพระมหากัสสปท่านมีลูกศิษย์ตั้ง ๕๐๐ องค์ และก็ยังมีหลายท่านที่เป็นปุถุชน ยังไม่ได้บรรลุพระโสดาบัน สกิทาคา อนาคา อรหันต์ หรือว่าท่านที่บรรลุพระโสดาบัน สกิทาคา อนาคาแล้ว ต้องการเป็นพระอรหันต์ ดังนั้นการใช้กำลังใจดูฌาน หรือญาณก็ดี ก็ต้องเนื่องด้วยมรรคด้วยผลของบรรดาลุกศิษย์ทั้งหลาย จะเอากำลังใจมาดูนั่นดูนี่ ดูว่าเวลานี้องค์สมเด็จพระชินสีห์อยู่ที่ไหน ในเมื่อความจำเป็นไม่มี ก็ไม่ดู ก่อนที่พระมหากัสสปจะออกสู่ธุดงควัตรได้มาลาองค์สมเด็จพระจอมไตรที่ ปาวาลเจดีย์

    ถ้าจะถามว่า พระประมาณแสนแปดหมื่นรูป และภิกษุณี ตลอดจน อุบาสก อุบาสิกา เวลารับฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเทศน์เสียงคนธรรมดาจะไปได้ยินสักกี่วา พระองค์ไม่มีเครื่องส่งวิทยุ และไม่มีเครื่องรับวิทยุ ใช้พระสุรเสียงจากพระโอษฐ์ของพระองค์เอง ออกเทศน์ธรมดาให้พุทธบริษัทฟัง และคนฟังเทศน์จำนวนนับล้าน ถ้าจะให้คนฟังทั้งหมดรู้เรื่องกัน ก็ต้องบอกกันเป็นทอดๆ ไป เหมือนกับถ่ายทอดถ้อยคำเป็นคำๆ ไป ตอนนี้ขอบรรดาลูกรัก จงอย่าลืมว่า องค์สมเด็จพระบรมสุคตเป็นพระพุทธเจ้า และก็ความเป็นพระพุทธเจ้า ก็ต้องมีอะไรหลายๆ อย่าง ที่ไม่เหมือนกับเรามี และก็ต้องดีกว่าพวกเรา และก็ต้องดีกว่าพระอัครสาวกทั้งสอง นั่นคือยามเทศน์ธรรมดา ถือว่าทรงเทศน์เป็นอัศจรรย์ หมายความว่ามีฤทธิ์แสดงฤทธิ์เป็นอัศจรรย์อยู่เสมอ คือ

    ๑. คนที่ฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้า จะนั่งไกลหรือใกล้ก็ตาม จะได้ยินเสียงพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ชัดเจนแจ่มใสเหมือนกันทุกท่าน

    ๒. คนจะนั่งอยู่ด้านไหนก็ตาม เวลาพระพุทธเจ้าเทศน์ จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าหันหน้าไปหาเสมอ

    ๓. คนนั่งฟังเทศน์ จะใช้ภาษาอะไรก็ตาม จะมีความรู้สึกว่า พระพุทธเจ้าเทศน์ภาษาของตนอยู่เสมอ ฟังรู้เรื่องหมด เป็นการเทศน์ด้วยปาฏิหารย์ เป็นอันว่าคนสักกี่สิบล้าน ร้อยล้านคน ก็ไม่มีความสำคัญ

    ฉะนั้นการที่องค์สมเด็จพระภควันต์ทรงปลงอายุสังขาร และก็เทศน์เฉพาะศีล สามธิ ปัญญา ทั้งพระทั้งคนรวมกันแล้วปริมาณเป็นล้านๆ ทุกคนจะเห็นหน้าพระพุทธเจ้าเวลาเทศน์เสมอว่าหันหน้าไปทางตน และก็จะได้ยินเสียงองค์สมเด็จพระทศพลเหมือนอยู่ใกล้ๆ เมื่อมองไปก็จะเหมือนพระพุทธเจ้านั่งอยู่ใกล้ๆ ตนเหมือนกันทุกคน อย่างนี้เรียกว่า "เทศนาปาฏิหาริย์" การแสดงพระธรรมเทศนาด้วยอำนาจพระพุทธปาฏิหาริย์ ถ้าจะถามว่าบรรดาพระสาวกทั้งหลายทำได้ไหม ก็ต้องตอบว่ายังไม่เคยเห็นใครทำกัน ท่านจะทำได้หรือไม่ไดเป็นวิสัยของท่าน เกินวิสัยที่พ่อจะรู้เหมือนกัน ถ้าบังเอิญจะบอกว่ารู้ มันก็ไม่ใช่รู้จริงเป็นการเดา

    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปลงพระทัย ว่าจะนิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ ที่เมืองกุสินารามหานคร ความจริงเป็นนครเล็กจิ๋วนิดเดียว ในเวลานั้นร่างกายขององค์สมเด็จพระสัมาสัมพุทธเจ้าก็มีโรคเบียดเบียน รู้สึกซูบผอมลงไป ผิวก็คล้ำลงพระพุทธเจ้าไม่มีพุทธประสงค์จะบำรุงร่างกาย ไม่สนใจทั้งหมด ตอนนี้สมเด็จพระบรมสุคตสนใจอย่างเดียว คือ "เทศน์ทิ้งทวน" หมายถึง เทศน์ครั้งสุดท้าย เมื่อสุดท้ายปลายมือก็ว่ากันแต่เนื้อๆ อธิบายเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ให้บรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าใจชัด เป็นการลัดตัดทางเพื่อมรรคผลนิพพาน คือความเป็นพระอรหันต์ ในขณะที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารไม่อยู่ หมอประจำพระองค์ขององค์สมเด็จพระบรมครู คือท่าน อาชีวกโกมารภัจ ก็ไม่อยู่เหมือนกัน ไม่ทราบว่าไปไหน เมื่อกลับมาทราบว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงประชวร ก็เข้าไปทูลถามอาการ เพื่อถวายโอสถ แต่ปรากกว่าองค์สมเด็จพระบรมสุคตไม่ทรงบอกอาการ ถามแล้วก็ทรงนิ่งเฉย หมออาชีวกโกมารภัจ ก็รู้สึกน้อยใจเหมือนกัน แต่ว่ามีความกตัญญูในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก จึงปรุงยาขึ้นขนานหนึ่ง คิดว่าพระพุทธเจ้าเสวยยาขนานนี้ ยาขนานนี้ทำขึ้นเม็ดเดียวเฉพาะพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์เสวยยาขนานนี้แล้ว เราจะรู้ได้ทันทีว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์เป็นโรคอะไร เมื่อเสร็จแล้วก้นำไปถวายองค์สมเด็จพระจอมไตร พระองค์ก็ไม่ทรงรับ ทรงคว่ำพระหัตถ์เสีย ท่านโกมารภัจก็เสียใจ คิดว่าถ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรฉันยาขนานนี้ เราจะรู้อาการโรค แล้วก็จะถวายยาเพียงครั้งเดียว โรคก็หาย ความจริงองค์สมเด็จพระประทีปแก้วอาจจะรู้ว่าท่านโกมารภัจทำได้ แต่องค์สมเด็จพระจอมไตรตัดสินพระทัยแล้วว่า พระองค์จะทรงนิพพานกลางเดือนหก แล้วเรื่องอะไรจะฉันยา สำหรับทุกขเวทนาในร่างกายของพระองค์นั้นมี ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักปวด แต่พระองค์ก็ทรงใช้ อภิวาสนขันติ คือความอดทนอย่างยิ่ง เป็นการระงับทุกขเวทนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การระงับทุกขเวทนาทรงใช้อานาปานุสติกรรมฐาน

    เมื่อท่านหมอชีวกโกมารภัจถวายยาองค์สมเด็จพระพิชิตมารไม่ทรงรับ จะให้ใครกินก็เห็นไม่สมควร เพราะเป็นยาเฉพาะพระพุทธเจ้า จึงเอาไปใส่ในบ่อน้ำ บ่อน้ำท่านบอกว่าเวลานั้นลึกมากอยู่ก้นบ่อ พอใส่ยาลงไปก็มีเหตุอัศจรรย์ น้ำฟูก็มาเกือบจะถึงปากบ่อ แต่ทว่าบรรดาเกจิอาจารย์ทั้งหลายเขียนหนังสือกันว่า น้ำพุ่งขึ้นไปเลยปากบ่อขึ้นไปในอากาศประมาณ ๗ ชั่วลำตาล นานๆๆ เข้ามันก็อดงอกแบบนั้นไม่ได้ เป็นอันว่าหลังจากนั้นองค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ทรงเทศน์เป็นลำดับ ทำให้คนและพระบรรลุมรรคผลเป็นอันมาก เพราะมักชี้ตัวอย่างที่พระวรกายขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระองค์เองถึงแม้จะเป็นพระพุทธเจ้า แต่เรื่องขันธ์ ๕ ก็ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ทั้งนี้เพราะขันธ์ ๕ ก็มการเสื่อมไปทุกวันๆ ในที่สุดวันกลางเดือนหกมันก็พัง ทรงชี้ให้เห็นชัด บรรดาท่านพุทธบริษัทบางท่านที่เป็นปุถุชนก็ทนไม่ไหว ถึงกับร้องให้สงสารองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับท่านที่เป็นพระอริยะก็ปลงธรรมสังเวช ว่าโอหนอองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์บำเพ็ญบารมีมาถึงเพียงนี้ แต่ว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ไม่ได้ชนะขันธ์ ๕ ในเรื่องที่มันจะพัง ฉะนั้นในเมื่อพระพุทธเจ้าเป็นอัจริยมนุษย์ เป็นมนุษย์ผู้ประเสร็ฐกว่าคนทั้งปวง กว่าเทวดาและพรหม ก็ยังไม่สามารถฝืนกฏธรรมดาของโลก กล่าวคือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของขันธ์ ๕ ได้ฉันใด และพวกเราทั้งหลายจะสามารถทรงกายอยู่ได้อย่างไร ในไม่ช้าก็ต้องตายเช่นเดียวกัน เรื่องนี้ลูกรัก เป็นเหตุให้คนบรรลุมรรคผลง่ายขึ้น

    เป็นอันว่า เป็นประโยชน์ที่องค์สมเด็จพระส้มมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศว่าจะนิพพานอีก ๓ เดือน ไม่ใช่หมายความว่าเป็นเรื่องบอกปกติธรรมดา รวมความว่าองค์สมเด็จพระมหามุนีต้องการจะรวมคนที่มีบารมีแล้ว ก็ยังรอองค์สมเด็จพระประทีปแก้วแสดงธรรมเทศนามาสงเคราะเท่านั้น วันเวลาใกล้เข้ามา คนและพระก็มากเข้ามาทุกที เมื่อถึงเวลาวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ ลูกรักทั้งหลาย เวลาที่กำลังฟังพ่อพูดอยู่นี่นะ ลูกก็พยายามเอาใจนึกตามไปด้วย ใช้ความรู้ที่ลูกมีอยู่ตามไปด้วย ดูสภาพสรีระขององค์สมเด็จพระบรมครู และก็ดูหมู่ปวงชนทั้งหลายที่มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับบรรดาพระทั้งหลายว่ามีปริมาณเท่าใด ความเป็นอยู่ของบุคคลทั้งหลายเหล่านั้น พระก็ดี ภิกษุณีก็ดี อุบาสก อุบาสิกาก็ดี เขาอยู่กันอย่างไรคนนับล้าน บริเวณปาวาลเจดีย์เวลานั้นเกลื่อนกล่นไปด้วยประชาชน จะเห็นว่าประชาชนทุกคนนอนกลางดินกินกลางทราย ส่วนใหญ่ไม่มเครื่องมุงเครื่องบัง ต่อสู้กับความร้อน ความหนาวในขณะนั้น เป็นเวลา ๓ เดือนเลยทีเดียว บรรดาเศรษฐีทั้งหลาย คหบดีทั้งหลาย พร้อมด้วยข้าทาสบริวารก็นำขบวนใหญ่ เอาอาหารมาเป็นพิเศษ จะเห็นว่าบรรดาคหบดีกับเศรษฐีทั้งหลายส่วนมากเอามาแล้วก็ไม่ได้เอามากินเฉพาะตัว ตั้งใจเอามาถวายพระด้วย ตั้งใจมาเลี้ยงคนด้วย ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นเป็นพระอริยเจ้า แม้แต่นางวิสาขามหาอุบาสิกาและลูกหลานที่เป็นพระอริยเจ้ากันมาก และตระกูลของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี บรรดาพระอริยะทั้งหลายที่เป็นฆราวาสท่านจะไม่มาฉพาะตัว คือว่าจะไม่สงเคราะห์เฉพาะตัว จะสงเคราะห์เป็นสาธารณประโยน์ แต่ว่าทั้งนี้คงจะเนื่องด้วยอาหารเป็นส่วนใหญ่ สำหรับสถานที่พักก็ต้องดัดแปลงป่าเป็นที่อยู่กัน ทั้งพระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นอน ที่นอนอันประเสริฐคือพื้นดิน เป็นอันว่าความยุ่งยากในการที่บุคคลทั้งหายจะอดอยากก็คงไม่มี ดูสมัยที่องค์สมเด็จพระชินสีห์เสด็จไปเทศน์โปรดพระพุทธมารดา หลังจกแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้ว ที่มาเฝ้าชมองค์สมเด็จพระประทีปแก้วนับโกฏิ (๑ โกฏิ = ๑,๐๐๐ ล้าน) เมื่อพพระพุทธเจ้าขึ้นไปแล้ว ก็ไม่ยอมกลับ ฉะนั้นคนทั้งหมดจึงเป็นภาระของพระเจ้าปเสนทิโกศล เลี้ยงคนทั้งหมดนับโกฏิสิ้นเวลา ๓ เดือนเศษ จะเห็นว่าพระบารมีขององค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงคุ้มครองอยู่

    ระยะทางจากปาวาลเจดีย์ถึงกุสินารามหานคร ตามพระบาลีท่านกล่าวว่าระยะทางไกลถึง ๑๒๐ โยชน์ ๔๐๐ เส้นเป็น ๑ โยชน์ (๑,๙๒๐ กิโลเมตร) จะต้องใช้เวลาเดินกันกี่วัน แต่ว่าองค์สมเด็จพระภควันต์บรศาสดาใช้เวลาเดินน่ากลัวไม่ถึงครึ่งวัน เพราะว่าว่าถ้าถึงครึ่งวัน ก็ฉันอาหารเพลไม่ได้ พระองค์จึงได้ประกาศแก่พระสงฆ์ทั้งหลาย บอกพระอานนท์ว่าวันนี้พระองค์จะไปเมืองกุสินารา ใครจะไปกับท่านบ้างก็เตรียมตัว หรือใครจะไม่ไปก็ได้ แต่ในเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรจะเสด็จทุกคนก็ไป พระทุกองค์ก็ไป นั่งดูภาพซิลูก ว่าฆราวาสไปไม ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่ มีแต่คนไป เป็นการเดินทางครั้งใหญ่ ถ้าเทียบเป็นกำลังกองทัพ กองทัพนี้มีจำนวนนับล้าน การเคลื่อนขบวนได้วยยาก แต่บารมีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะยากอย่างไร และมีพระอริยเจ้าที่ท่านได้ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทปัตโตมีมาก การใช้กำลังฌานช่วยเป็นของไม่ยาก ทำให้เร็วขึ้นก็ได้ เมื่อพระสงฆ์ประชุมกันเสร็จ พร้อมกันแล้วองค์มเด็จพระประทีปแก้วจึงได้เสด็จพระพุทธดำเนิน เดินไปได้ระยะทาง ๖๐ โยชน์ (๙๖๐ กิโลเมตร) จึงได้ทรงโปรดเรียพระอานนท์ว่า "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ อานนท์จงปูสังฆาฏิลงตรงนีนะ เวลานี้ตถาคตเหนื่อยเหลือเกินเดินตอไปไม่ไหว" พระอานนท์ฟังเสียงขององค์สมเด็จพระจอมไตรก็สงสาร ถึงกับน้ำตาไหลคิดในใจว่า โอหนอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยกาลก่อนโน้น การเดินทางระยะไกลกว่านี้หลายเท่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย แต่วันี้สมเด็จพระชินสีห์บรมศสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่วันี้สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสนดาสัมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาแค่ ๒๐ โยชน์ก็บ่นว่าเหนื่อยเสียแล้ว รู้สึกสงสารองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว พระอานนท์ปูผ้าสังฆาฏิไปด้วย น้ำตาก็ไหลซึมออกมาด้วย เมื่อปูแล้วจึงกราบทูลให้องค์สมเด็จพระประทีปก้วทรงทราบ พระองค์ก้เสด็จประทับบนผ้าสังฆาฏิ

    และตอนนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงมีพระพุทธฏีกาตรัสว่า "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ ตถาคตกระหายน้ำเหลือเกินนะ ขอให้อานนท์จงไปเอาน้ำมา ลำธารอยู่ใกล้ๆ" ขณะที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ทรงมีพระพุทธดำรัสตรัสให้พระอานนท์ไปเอาน้ำมา ปรากฏว่าเกวียน ๕๐๐ เล่ม กำลังข้ามแม่น้ำนั้นไปพอดีเพราะน้ำมันต้องเป็นทรายและมีโคลนผสม พระอานนท์ไปถึงก็ปรากฏว่าน้ำขุ่น จึงได้กลับมาหาพระพุทธเจ้ากราบทูลว่าเวลานี้เกวียน ๕๐๐ เล่มข้ามไปพระเจ้าคะ น้ำขุ่นมากรอสักประเดี๋ยว น้ำอาจจะใส คือน้ำเก่าไปน้ำให่มมา มันอาจใสก็ได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงมีพระพุทธฏีกาตรัสว่า "อานันทะ ดูก่อน อานนท์ ตถาคตกระหายน้ำมาก เธอจงไปตักน้ำมาเถอะ มันจะขุ่น มันจะใส ก็ไม่เป็นไร ตถาคตต้องการจะดื่มน้ำ เพื่อเป็นการปลดเปลื้องความกระหาย" บรรดาลูกรักทั้งหลาย สมัยนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาไม่ได้มีประปาใช้เลย ใช้น้ำกันธรรมดาๆ สมัยเมื่อพ่อไปธุดงค์ก็เช่นกันเดียวกันอาศัยน้ำปัจจุบันที่หาได้ มียังไงกินกันไปอย่างนั้น แต่ก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อยู่เมื่อพระอานนท์ได้รับพระพุทธาบัญชาแบบนั้น ก็กลับไปใหม่ เกวียน ๕๐๐ เล่ม เพิ่งหลุดเล่มท้ายไปหยกๆ พอพระอานนท์ท่านไปถึง ปรากฏว่าน้ำใสสะอาด จึงได้ตักมาถวายองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ และกราบทูลความอัศจรรย์ให้ฟังว่า ไม่น่าเป็นไปได้ เกวียนเล่มสุดท้ายเพิ่งพ้นไป น้ำก้ใสทันทันที สมเด็จพระมหามุนีจึงได้ตรัสว่า "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เรื่องนี้มันเป็นกฏของกรรมนะ" ความจริงพระพุทธเจ้าทำทุกอย่างเพื่อผลทั้งหมด ในเมื่อองค์สมเด็จพระบรมสุคตถ้ากระหายน้ำจริงๆ ไม่หวังผล สมเด็จพระทศพลจะตั้งจิตอธิษฐานอาโปกสิณ ให้เกิดความชุ่มชื้นในกายก็ทำได้ การที่ทรงทำอย่างนี้องค์สมเด็จพระมหามุนีมีความหมายด้วยเหตุผล พระองค์ตรัสว่า "อานนท์ เรื่องนี้ไม่ใช่ปาฏิหาริย์เป็นเรื่องกฏของกรรม คือสมัยชาติหนึ่ง ตถาคตเป็นลูกชาวนา เมื่อเขาปลดควายไถนาแล้ว บิดาให้นำควายไปกินน้ำ ควายหย่อนปากไปในบ่อน้ำเล็กๆ ที่ขุ่นคลั่ก ตถาคตเห็นว่าควายเหนื่อยมากก็ไม่ควรจะกินน้ำขุ่น ควรจะกินน้ำใส จึงได้ชักสะพาย เบี่ยงบ่ายหน้าลงมาเท่านั้นก็จะเจอะน้ำใส ควายก็กินน้ำใส เหตุอันนี้แหละอานนท์เมื่อตถาคตใกล้เข้านิพพาน ขันธ์ ๕ มันจะพัง กรรมต่างๆ ที่เป็นอกุศลกรรมแม้แต่นิดหนึ่ง บังเอิญมันจะให้ผลได้ มันก็ให้ผลทันที ความจริงถ้าจะพูดกันไป จิตใจในเวลานั้นขององค์สมเด็จพระมหามุนีเป็นกุศล ไม่ใช่อกุศล ควายเหนื่อยจะกินน้ำขุ่น แต่ทว่าต้องการให้กินน้ำใส ไม่น่าจะมีเหตุนี้เกิดขึ้นได้ แต่มันเกิดขึ้นแล้ว

    ฉะนั้น เรื่องที่เกิดกับองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ขอบรรดาลูกรักทุกคน เมื่อตั้งใจบำเพ็ญกุศล บังเอิญมีกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดมันเข้ามาสนองในเรื่องของโลกธรรมะ ๘ ประการ คือมีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ อย่างนี้ถ้าเกิดขึ้นกับลูกละก็ อย่าสนใจกับมัน ดูองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาก็แล้วกัน แม้แต่กรรมนิดเดียวที่เป็นกรรมที่มีจิตสงเคราะห์ มันยังติดตามมาเล่นงานในขณะที่พระองค์จะนิพพาน

    เมื่อพักผ่อนพอประมาณ องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พาพุทธบริษัทไปเมืองกุสินารา การเดินทางทั้งหมดใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมงเห็นจะได้ เมื่อไปถึงแล้ว นายจุน ออกมาต้อนรับองค์สมเด็จพพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าไปพักในบ้าน โดยทำประรำพิธี ความจริงอาจจะรู้อยู่ก่อน เพราะบรรดาพระสงฆ์ก็มาก คนก็มาก นายจุนจะต้องเตรียมอาหารการบริโภคเป็นพิเศษ แม้แต่อาหารถวายองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ก็ต้องเตรียมไว้ก่อนเหมือนกัน เพราะการที่จะไปฆ่าหมู ฆ่าปลาต่อหน้าองค์สมเด็จพระภควันต์ ก็คงไม่ทำ และอาหารวันนั้นก็มีหลายอย่าง เป็นอาหารที่มีเนื้อสุกรอ่อนจำนวนมาก ตั้งใจถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นกรณีพิเศษ ฉะนั้นอาหารจำนวนนี้จึงมีของทิพย์ที่เทวดาโปรยปรายลงมาด้วย ช่วยบำเพ็ญกุศล องค์สมเด็จพระทศพลทรงทราบ แต่ว่าพระสงฆ์ทั้งหลายไม่ได้พิจารณา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นเขานำอาหารมาถวายพระ จึงบอกแก่นายจุนว่า "จุนทะ อาหารที่ทำด้วยเนื้อสุกรอ่อนทั้งหมด จงถวายแต่ตถาคตแต่ผู้เดียว อย่าถวายพระอื่น"

    นายจุนก็ไม่สงสัย เพราะเรื่องสงสัยพระพุทธเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้ามีเหตุมีผล เมื่อฉันเสร็จแล้ว องค์สมเด็จพระทศพลทรงสั่งให้เอาอาหารเนื้อสุกรอ่อนที่เหลือฝังให้หมดไม่ให้คนอื่นกิน ทั้งนี้เพราะว่าของทิพย์โปรยปรายลงมา ธาตุของบรรดาพระสงฆ์อื่นย่อยไม่ได้ เขาตั้งใจถวายพระพุทธเจ้า จะย่อยได้เฉพาะธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าพระอื่นฉันก็ตายแน่ ตอนนั้นพระสรีระร่างกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูแล้วจะผอมไปหน่อย จะซูปจะซีดไปหน่อย ดูจริงๆ แล้ว ถึงแม้พระองค์จะซูบซีดก็ดี จะผ่ายผอมอิดโรยก็ดี ก็รู้สึกว่าสรีระร่างกายของค์สมเด็จพระชินสีหืจะดีกว่าร่างกายของพ่อเวลานี้สักพันเท่า นี่ไม่ใช่ไปเปรียบกับพระพุทธเจ้านะ เป็นอันว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรทั้งๆ ที่ซึดก็เดินทางไปถึง ๑๒๐ โยชน์ เวลานั้นกับเวลานี้ ๑๒๐ โยชน์จะเท่ากันหรือไม่ พ่อไม่ทราบ แต่จะเท่าหรือไม่เท่า เป็นอันว่าการเดินทางในวันนั้นพระพุทธเจ้าทรงใช้พระพุทธปาฏิหาริย์ ไม่ใช่เดินทางปกติธรรมดาก็เหมือนกันกับว่าเดินทางจากต้นโพธิ ไปสู่ป่าอิสิแตนมฤคทายวัน วันนั้นพระองค์ก็ใช้พระพุทธปาฏิหาริย์เหมือนกัน แต่การเดินจริงๆ จะเห็นว่าค่อยๆ ย่างพระบาทไปตามปกติ

    หลวงพ่อเคยพบ หลวงพ่อจงวัดหน้าต่างนอก เวลาท่านเดินรู้สึกว่าท่านเดินช้าๆ แต่พวกเราวิ่งตามไม่ทัน เป็นอันว่าเรื่องการเดินนี้ต้องใช้ฤทธิ์ช่วย หลังจากที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยกระกระยาหารเสร็จก็ทรงเทศน์โปรด เป็นการโมทนาในความดีที่นายจุนสงเคราะห์พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา และทรงยกย่องว่า อาหารมื้อนี้เป็นอาหารที่มีอานิสงส์เลิศ เป็นอันว่าดูสรีระร่างกายขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจะเห็นว่าตอนนี้ซูบผอมไป ผิวพรรณของพรองค์ก็รู้สึกจะคล้ำไปนิดหนึ่ง แต่ทว่าดูแววตาของพระองค์มีความสดชื่น แววตาแสดงถึงน้ำใจ แต่เรื่องขันธ์ ๕ เป็นเรื่องของร่างกาย กายจะมีทุกขเวทนาปานใดก็ตามที แต่ว่าใจดี ตาผ่องใส อันนี้เป็นเครื่องสังเกตุ แต่อาจจะมีบางส่วนที่สังเกตุได้ว่าเป็นอาการเหนื่อย หรืออาการเพลียของร่างกาย ก็อาจรู้ได้จากตาเหมือนกัน หลังจากฉันภัตตราแล้วไม่นานนัก

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็มีโรคเพิ่มขึ้น นั่นคือโรค ขันธิกาพาธ ตามบาลี ถ้าตามภาษาไทยเขาเรียกว่า โรคลงแดง จะถ่ายเป็นโลหิตสดๆ ถ้าภาษาสมัยใหม่ คือ เลือดออกจากลำใส้มาก เป็นอันว่าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็คงเป็นโรคลำใส้ หรือโรคกระเพาะอาหาร แต่ความจริงเมื่อร่างกายมันจะพังซะอย่าง ก็หาเรื่องพังจนได้ เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่า สมเด็จพระจอมไตรป่วยมา ๓ เดือน และออกเดินทางจากปาวาลเจดีย์มากุสินารา และในช่วงแห่งการป่วย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ทรงพัก ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพุทธบริษัท นี่บรรดาลูกรักเห็นวามอัศจรรย์ของการบรรลุมรรคผลไหม พ่อเคยบอกเรื่องพระสารีบุตร เรื่องพระโมคคัลลาน์ เรื่องพระอานนท์มาแล้ว นั่นเป็นเรื่องของอรหันต์สาวก แต่ว่าเรื่องของพระพุทธเจ้าย่อมจะเหนือกว่า เพราะว่าเป็นอัจริยะบำเพ็ญบารมีมามากกว่า

    ในเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นโรคถ่ายเป็นโลหิตสดๆ แต่ว่าถ้าจะมีบางคนนอกคอกเขาจะถามว่า พระพุทธเจ้ามีฤทธิ์ทำไมจึงไม่ห้ามโรค ก็ต้องบอกว่า ฤทธิ์ไม่ได้มีไว้ห้ามโรค ฤทธิ์มีไว้ใช้เพื่อศรัทธาของพุทธบริษัท แต่เรื่องธรรมดาของขันธ์ ๕ ไม่มีพระอริยะองค์ใดไปยุ่งกกับขันธ์ ๕ มันอยากเป็นยังไง ก็ให้มันเป็นไปตามปกติ แม้แต่ข้าวบิณฑบาตรจะอด พระยามารแกล้งไม่ให้คนใส่บาตร สมเด็จพระบรมโลกนาถก็ทรงทราบ ก็ถือว่าเป็นกิจวัตร คือ เป็นกิจที่ควรปฏิบัติ เดินเข้าไปบิณฑบาตรในเมือง เมื่อชาวบ้านไม่ใส่บาตร พระองค์เดินสุดทางก็ทรงกลับ ความจริงถ้ารู้ว่าพระยามารแกล้ง พระองค์ก็จะทรงอธิษฐานด้วยอำนาจ ปฐวีกสิณ และ อาโปกสิณ จะนึกเป็นข้าวขนาดไหน อาหารขนาดไหนก็ทำได้ แต่องค์สมเด็จพระจอมไตรไม่ทรงใช้ฤทธิ์ พระองค์ตรัสกับพระยามารว่า "ถ้าไม่มีใครให้เรากิน เราก็จะอยู่ด้วยอำนาจธรรมปิติ เห็นไหมเรื่องฤทธิ์เขาไม่ค่อยใช้กัน ไม่ใช่มีแล้วใช้ส่งเดช เขาใช้เฉพาะประโยชน์ คือใช้ในเรื่องของความเป็นพระ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จประทับบนพระแท่นที่ประทับ ซึ่งทางเมืองกุสินารามหนครทราบว่า องค์สมเด็จพระชินวรจะเสด็จมา เขาก็เตรียมไว้ก่อน เวลา ๓ เดือน พระพุทธเจ้ามีความหมายทุกอย่าง ทางด้านฝ่ายต้อนรับ ก็มีโอกาสได้ต้อนรับ ทำที่สำหรับพระพุทธเจ้า ทำที่สำหรับพระสงฆ์ ทำที่สำหรับภิกษุณี และทำที่สำหรับอุบาสก อบาสิก ก็ต้องลงทุนกันมาก จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าทำอะไรทั้งอย่าง เหตุมีผลหมด ตอนนั้นทุกขเวทนาเบียดเบียนองค์สมเด็จพระบรมสุคตมาก สำหรับหอชีวกโกมารภัจก็ไม่มีโอกาสจะรักษา ท่านไม่ให้รักษา ถวายยาท่านก็ไม่รับ ถ้าจะถามว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีทุกขเวทนาหนักหรือไม่ ลูกรักก็ลองคิดดูว่า ขณะจะตายทุกขเวทนาไม่หนักไม่มี ความเป็นพระพุทธเจ้าไม่ใช่ว่าจะไปห้ามโรคได้ พระพุทธเจ้ายิ่งไม่ห้ามโรค คือ เรื่องกฏธรรมดาท่านไม่ห้าม เมื่อทุกขเวทนามากอย่างนั้นท่านก็ไม่ได้หยุด

    องค์สมเด็จพระบรมสุคตก็ยังปรารภธรรมะ คือ เทศน์ คำวาเทศน์ไม่ใช่เทศน์ปาวๆ ไปแต่ผู้เดียว ปรารภธรรม ใครเข้ามาถามอะไร ก็โต้ตอบ แก้ปัญหาเพื่อมรรคผลทุกอย่าง บรรดาเทวดาและพรหม มีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็โปรยปรายดอกชบาลงมา บริเวณนางรังทั้งคู่ก็เต็มไปด้วยดอกชบา คนเดินไปเดินมาต้องลุยกันถึงเข่า พระอานนท์จึงได้กราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสว่า "อานันท ดูก่อน อานนท์ การบูชาด้วย อามิสบูชา นั้นเป็นของดี แต่ว่าจะดีจริงๆ ก็ต้องปฏิบัติบูชา หมายความว่าเคาพถวายอามิสแล้ว ก็ต้องปฏิบัติความดีที่ตถาคตสอนด้วยเช่นกัน ถ้าบูชาอย่างนี้ ศาสนาของตถาคตจะทรงกาลอยู่ตลอดกาลนาน แล้วทุกท่านก็จะมีความสุขจริง" เวลากลางคืนพระท่านถวายงานพัดอยู่ มีเทวดาและหรหมบอกว่า พระองค์นี้นั่งบังหน้าองค์สมเด็จพระบรมครู มองไม่ค่อยเห็น พระพุทธเจ้าจึงได้บอกให้เธอเลื่อนลงไปซะหน่อยหนึ่ง และในขณะเดียวกันในราตรีนั้น ก็ปรากกว่าท่านๆ หนึ่ง คือ สุภัททะปริพาชก ต้องการจะถามปัญหาพระพุทธเจ้า ดูกำลังใจกันแล้วก็น่าเกลียด คนสมัยนั้นกับคนสมัยนี้ความจริงจะคล้ายๆ กัน คนสมัยนี้เป็นคนมีเหตุผลก็มี แต่คนที่เลวไม่มีเหตุไม่มีผลก็มี บางคนต้องการแต่ใจตนเท่านั้น เวลาหาพระนึกว่าพระเป็นทาสรับใช้อยู่เสมอ ไม่ได้คิดว่าพระเป็นสรณะที่พึ่ง เมื่อก่อนนี้ พ่อเคยตามใจคน เวลานี้ก็เลิกซะแล้ว เพราะพ่อแก่ ถือระเบียบวินัยกาลเวลาเป็นสำญ ถ้าขืนตามใจกันไป ก็จะทำให้คนตกนรกมากขึ้น จะคิดว่าเราเป็นนายพระ แล้วก็ใช้พระตามอัทธยาศัย คนประเภทนี้ ตามใจไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะเป็นคนเลว ถ้าทำดีเป็นที่ถูกใจก็สรรเสริญประเดี๋ยวเดียว ถ้าไม่ถูกใจด่าตลอดชาติ

    ฉะนั้น ในสมัยองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ ก็เหมือนกันคนประเภทนี้ แต่ทว่าคนที่จะเข้าไปหาองค์สมเด็จพระมหามุนีก็มีทั้งดีทั้งเลว ท่านสุภททะปริพาชกก็จะเข้าไปกราบทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็ทรงห้ามไว้ เวลานี้สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประชวรหนัก ท่านอย่ารกวนพระองค์เลย ขณะที่พระอานนท์กำลังพูดกับท่านสภัททะปริพาชก พระพุทธเจ้าได้ทรงสดับด้วยทิพยโสตญาณ เห็นไหมว่าท่านป่วยขนาดน้นแล้ว ถ้าญาณจะต้องใช้ในกรณีมีประโยชน์ ท่านใช้ทันที ความจริงท่านใช้เป็นปกติ แต่ว่าเลือกใช้ในเหตุที่ควรไม่ควร เป็นอันว่ากระแสไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ญาณหรือฌาน ถ้าเรจะเรียกกันว่าเป็นพลังไฟฟ้าในกาย ก็ทรงพลังไว้เป็นปกติว่าจะใช้ในการควร ใช้เมื่อไรก็ใช้ได้ทันที

    เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงทราบ ก็บอกพระอานนท์ว่าให้ปล่อยเข้ามา "ว่าการทีตถาคตจะมานี่ ก็เพราะลูกชายคนนี้เท่านั้น" เห็นไหมลูกรักเวลาตอนก่อนจะมาตรัสอย่างหนึ่ง ถ้าตรัสว่าจะมาโปรด สุภัททะปริพาชก ก็คงจะต้องถูกทัดทาน องค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงให้เหตุผลคนละอย่าง แต่ก็สมดุลกัน มีเหตุมีผลหลายอย่าง เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงทราบว่า สุภัททะปริพาชก พระสาวกสอนไม่ได้ เป็นคนมีอารมณ์แข็ง ชาติก่อนที่จะมาเกิดชาตินี้ เป็นพี่น้องกันกับท่านโกณฑัญญะ ท่านอัญญาโกณฑัญญะเป็นน้อง ท่านสุภัททะปริพาชกเป็นพี่ แต่ท่านอัญญาโกณฑัญญะเวลาที่จะทำบุญ เริ่มทำบุญตั้งแต่แรกนา แต่สำหรับพี่ชายทำบุญ เมื่อขนข้าวเข้ายุ้งฉางเสร็จ

    ฉะนั้น เมื่อเวลาสำเร็จมรรคผล ท่านอัญญาโกณฑัญญะจึงได้บรรลุมรรคผลก่อนคนอื่นทั้งหมด สำหหรับพี่ชายทำบุญเมื่อเก็บข้าวเสร็จ จึงบรรลุมรรคผลหลังสุด คือ พระพุทธเจ้าจะนิพพาน พ่อเล่าย่อๆ เพราะลูกๆ ก็ฟังกันแล้วหลลายหน เป็นอันว่าท่านสุภัททะปริพาชกเข้ามา องค์สมเด็จพระทศพลจึงถามถึงความประสงค์ แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า "เวลานี้ตถาคตป่วยมากนะ เวลาก็ใกล้สว่างมากแล้ว เมื่อใกล้สว่างตถาคตก็จะนิพพาน ฉะนั้น การถามปัญหาของเธอจงงดไว้ จงฟังเทศน์เถิด พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์ปรารภขันธ์ ๕ ว่า จงอย่าสนใจในร่างกายของเรา อย่าสนใจในร่างกายของบุคคลอื่น อย่าสนใจกัยวัตถุธาตุใดๆ ทั้งหมด เพราะทุกอย่างเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ถ้าเราเข้าไปยึดแล้วมันก็เป็นทุกขัง เป็นทุกข์ ในที่สุดมันก็พัง ต้องเป็นอนัตตา ดึงมันไว้ไม่อยู่ ฉะนั้น ขอเธอจงปรับใจของเธอใหห้เข้าถึงเรื่องนี้ ให้รู้ตามความเป็นจริง"

    เป็นอันว่าท่านเทศน์ยาวกว่านี้นิดหนึ่ง รวมความแล้ว ไม่ให้สนใจในรูป โดยเฉพะอย่างยิ่ง รูปของเรา เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์จบประเดี๋ยวเดียว ท่านสุภัททะปริพาชกก็ไปปฏิบัติ สักครู่เดียวก็สำเร็จอรหัตผล หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระทศพลก็ทรงอยู่ด้วย อภิวาสนขันติ หมายความว่าทุกขเวทนาเบียดเบียนร่างกายมาก แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงระงับทุกขเวทนาด้วยอานาปานสติกรรมฐาน ทรงอานาปานสติให้เป็นฌาน การทรงอานาปานสติใหห้เป็นฌาน เป็นปกติ ท่านทำอยู่เสมอ และพระองค์ก็ตรัสกับพระสีบุตรว่า "สารีบุตตะ ดูก่อนสารีบุตร เราก็เป็นผู้มากด้วยอานาปานสติกรรมฐาน" เป็นอันว่าการใช้อานาปานนุสติกรรมฐานสามารถช่วยวามกระวนกระวายของใจให้น้อยลง เป็นการบรรเทาทุกขเวทนาให้น้อยลง ถ้าถามว่าถ้าใช้เป็นฌานจะคุยกับใครได้ไหม ก็ตอบว่าเป็นของไม่ยาก ขอให้คล่องในฌานก็แล้วกัน จะเข้าใจเอง

    เมื่อเวลาใกล้รุ่งอรุณ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามองไม่เห็นพระอานนท์ จึงได้ถามพระว่า พระอานนท์ไปไหน แต่ความจริงท่านทราบว่า พระอานนท์ไปยืนเกาะสลักร้องให้อยู่ ทรงนึกในใจว่า เวลานี้องค์สมเด็จพระบรมครูจะนิพพานเสียแล้ว เรายังไม่ได้เป็นเสขบุคคล คือ ยังต้องศึกษาปกิบัติต่อไป เพราะว่ายังไม่ได้บรรลุอรหัตผล เมื่องค์สมเด็จพระทศพลทรงนิพพานเสียแล้ว ใครจะเป็นศาสดา คือ เป็นครูสอนเรา สมเด็จพระประทีปแก้วทรงทราบความคิดวิตกกังวลของพระอานนท์อย่างนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้ตรัสเรียกให้พระอานนท์เข้าเฝ้า เมื่อพระอานนท์เข้เฝ้าแล้ว องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "อานันท์ ดูก่อน อานนท์ เธอจะวิตกกังวลไปเพื่อประโยชน์อะไร เมื่อตถาคตนิพพานแล้ว เธอจะได้บรรลุอรหัตผล ในวันที่พระมหากัสสปจะทำปฐมสังคายนา พระพุทธเจ้าทรงทราบเบื้องหน้าไว้เสมอ แล้วต่อไปเบื้องหน้า เธอจะเป็นคนที่มีลีลาการเทศน์ไพเราะเพราะพริ้งมาก คนทั้งหลายที่ฟังพระธรรมเทศนาของเธอแล้ว จะไม่อิ่ม จะไม่เบื่อ ในการฟังธรรม จะไม่อยากให้เลิกเทศน์" เป็นอันว่าเมื่อพระอานนท์ได้ทราบเหตุจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าตัวเองจะได้บรรลุอรหัตผล ก็ดีใจ จิตที่เสียใจก็ไม่ใช่อะไร เสียใจที่ตัวเองยังไม่ได้อรหันต์เท่านั้น ท่านก็เหมือนเงาองค์สมเด็จพระสัมสัมพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าไปไหน ต้องเห็นพระอานนท์ แต่ว่าพระพุทธเจ้าทรงนิพพานคราวนี้ พระอานนท์ยังไม่ได้อรหัตผล ก้ต้องคิดเหมือนกัน เพราะว่าพระโสดาบันยังมีกิเลสอยู่มาก แต่กิเลสที่ไม่มีก็คือ ปัญจเวรเท่านั้น ปัญจเวร คือ การละเมิดศีล ๕ ไม่มี นอกนั้นยังมีอยู่ ฉะนั้น การดีใจ การเสียใจ ก็ยังมีเป็นของธรรมดา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2010
  8. ariyabut

    ariyabut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +2,415
    พุทธประวัติพระสมณโคดม ( จากพระกรรมฐาน ) ช่วงที่ ๘

    หลังจากนั้นเป็นต้นมา เวลาใกล้รุ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เริ่มต้นเพื่อพระนิพพาน ตอนนั้นองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาทรงสงบ ไม่ตรัสอะไรทั้งหมด ขณะนั้น พระอนุรุทธ สาวกองค์สำคัญขององค์สมเด็จพระบรมสุคตที่เป็น ผู้เลิศในด้านทิพขุญาณ จึงได้เข้าฌานตามพระพุทธเจ้า เวลานี้บรรดาลูกรัก ดูสรีระขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า หลังจากฉันภัตตราหารที่บ้านนายจุนแล้ว ตอนนี้สรีระร่างกายขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วผ่องใสเป็นกรณีพิเศษสวยงามาก จนกระทั้งพระอานนท์แปลกใจว่า อยู่กับองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดามานาน ไม่เคยเห็นองค์สมเด็จพระประทีปแก้วสวยอย่างนี้เลย จึงเข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ ผิวพรรณของเราที่สวยที่สุดมีอยู่ ๒ วาระ คือ ...

    วาระแรก วันบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ระหว่างที่อยู่ด้วยอำนาจธรรมปิติ วันนี้ผิวพรรณของเราจะสวยพิเศษตอนหนึ่ง และอีกตอนหนึ่งทีสวยเป็นพิเศษ คือ วันใกล้นิพพาน

    หมายความว่า องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงรวบรวมกำลังใจทั้งศีล สมาธิ ปัญญา เป็นกรณีพิเศษ กำลังใจก็ผ่องใส เมื่อกำลังใจผ่องใส กายก็ใสไปด้วย ช่วยให้ใสด้วยกันทั้งสองฝ่าย เหมือนคนที่มีทุกข์ หน้าตาร่างกายก็ซูบซีด คนมีความสุข หน้าตาก็ชื่นบาน ร่างกายเป็นไปตามกำลังใจเหมือนกัน แต่บางส่วนก็เป็นไปไม่เต็มที่นัก คือว่า บางคนอย่งพวกเราๆ เวลาป่วยไข้ไม่สบายเต็มที่ ถึงแม้จิตจะดี บางทีร่างกายดีไม่เท่าพระพุทธเจ้า ต่างกันมาก ในตอนนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์ได้ทรงปรารภกบพระอานนท์ว่า "อานันทะ ดูก่อน อานนท์ ถ้าใครเขาติ นายจุน ว่าถวายอาหารกับตถาคต ทำให้ตถาคตนิพพาน บอกเขาด้วยนะว่า ตถาคตบอกมาแล้วถึง ๓ เดือน ว่าจะนิพพานวันนี้ และอานิสงส์สังสกุลบุญราศรีของการถวายทานแก่ตถาคต มีอานิสงส์มากอยู่ ๒ กาล

    กาลที่ ๑ ก็ได้แก่ อาหารของ นางสุชาดา ถวายในตอนที่ จะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสมโพธิญาณ

    กาลที่ ๒ ก็อาหารของการนิพพาน คือ อาหารมื้อสุดท้ายที่จะนิพพาน ได้แก่อหารของ นายจุน

    นายจุน มีอานิสงส์เลิศ เท่ากับ นางสุชาดา เช่นเดียวกัน

    เป็นอันว่าในตอนนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์ตรัสกับพระอานนท์เสร็จ ก็ทรงสงัดเงียบ ตอนนี้ถ้าจะดูกันจริงๆ ทุกขเวทนาเล่นงานขันธ์ ๕ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกขุมขน แต่ทว่าองค์สมเด็จพระทศพลทรงใช้อานาปานสติกรรมฐานเป็นฌาน ระงับทุกขเวทนา มีอารมณ์สงบและจิตตั้งเข้าในฌาน คือ ฌานที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘ เป็นลำดับ ไปพักอยู่ฌานที่ ๘ แบบสบายสุด แล้วก็ถอยจากฌานที่ ๘ ถึงฌานที่ ๑ พักมาเป็นลำดับ พักขั้นจากฌานที่ ๑ ไปอยู่ฌานที่ ๔ ตอนนี้พักเป็นปกติ พระอานนท์เข้าไปถามพระอนุรุทธ ว่าเวลานี้องค์สมเด็จพระชินสีห์นิพพานแล้วหรือยัง เพราะขณะที่ทรงฌาน อาการทางกายสงบ ถ้าถึง ฌาน ๔ หรือฌาน ๘ สภาพของลมหายใจไม่ปรากฏอาการให้เห็น คือ ไม่ปรากฏว่ามีลมหายใจ พระอานนท์ก็เลยไม่เข้าใจว่าพระพุทธเจ้านิพพานแล้วหรือยัง พระอนุรุทธ ก็ทรงบอกว่า เวลานี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ในฌานนั้นฌานนั้น เป็นต้น แล้วในที่สุด องค์สมเด็จพระทศพลก็ทรงเคลื่อนจิตที่บริสุทธิ์ คือ อทิสมานกาย ที่เรียกว่า กายนิพพาน ก็ได้ อย่างที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ท่านสอนว่าเป็นกายนิพพาน เรียกว่าเคลื่อนกายนิพพานออกจากกายเนื้ออย่างนี้ก็ได้ เคลื่อนจิตที่บริสุทธิ์ออกจากกายเนื้ออย่างนี้ก็ได้ หรือดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานอย่างนี้ก็ได้ ลักษณะการนิพพานขององค์สมเด็จพระบรมครูทรงอาการเป็นปกติ คือ สีหไสยาสน์ เหมือนคนนอนปกติธรรมดาๆ แต่ที่กุสินาราเขาทำรูปพระพุทธเจ้านิพพานไว้ รู้สึกว่าพระศอขององค์สมเด็จพระบรมครูตกไปนิดหนึ่ง เวลานี้กุสินารามหานครของเก่าๆ ก็พังไปหมด ของเก่าสวยกว่าของปัจจุบันมาก ในสมัยสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายังอยู่ ประเทศนี้ถึงแม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่ก็มีความเจริญรุ่งเรือง เกลื่อนกล่นไปด้วยผู้คน และก็มีวัฒนธรรมดีมาก เป็นเมืองที่น่ารัก เป็นอันว่าที่นิพพานขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ที่ทำไว้ไม่ผิด ตรงที่หรือไม่ตรงที่ก็ไม่สำคัญ ถ้าจะไหว้พระพุทธเจ้ากันซะอย่างหนึ่ง ที่ไหนก็ไหว้ได้

    เป็นอันว่าเวลานั้นทุกขเวทนาเบียดเบียนพระองค์มาก แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอาศัยสมาบัติทรงจิต ฉะนั้น ทุกขเวทนาจึงไม่เข้ามายุ่งกับใจขององค์สมเด็จพระธรรมสามิส จะยุ่งเฉพาะกายเท่านั้น เรามานั่งใคร่ครวญกันว่า จิตหรืออทิสมากายของพระพุทธเจ้าที่นิพพานพานออกทางไหน ตามที่ชาวบ้านเขาพูดว่านิพพานจิตดับไปด้วย คือม้วยไปกับร่างกาย เมื่อร่างกายม้วยจิตก็ม้วยไปด้วย ไม่มีสภาพอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้ขอบรรดาลูกทุกคน ถ้าอยากรู้ จงอย่าดูด้วยกำลังใจตนเอง ทำใจของลูกให้ใสสะอาด ไปเฝ้าองค์สมเด็จบรมโลกนาถ แล้วทูลถามพระองค์ อย่างนี้จึงจะถูก ถ้าใช้กำลังใจตนละก็เป็นอุปปาทานไป ในเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่าเป็นเวลาอันสมควร ก็เสด็จเข้าสู่ดับขันธ์ปรินิพพาน อย่าลืมว่า ใช้คำว่า เสด็จเข้าสู่ดับขันธปรินิพพาน ไม่ใช่ดับแล้วก็สูญไปเลย จิตหรืออทิสมานกายหรือกายนิพพานออกทางไหน อย่าลืมว่าสภาพของจิตเป็นนามธรม ไม่จำเป็นจะต้องออกทางปาก ทางจมูก ก็เหมือนกับเรานึกว่าบ้านของเราถ้าใส่กุยแจ ไม่มีช่อง ไม่มีรูทั้งหมด ข้างฝาเรียบเป็นฝาตึก ถ้าอยู่ข้างนอก เราก็นึกถึงของที่เราเก็บไว้ข้างใน เตียงอยู่ที่ไหน เงินอยู่ที่ไหน จิตเรารู้หมด จะเห็นว่ามนเข้าทางไหน เข้าทางประตูหรือเข้าทางช่องเล็ก หรือว่าของที่อยู่ในเซฟแน่นสนิท เราก็รู้ว่าเงินอยู่ไหน แหวนอยู่ที่ไหน จิตมันเข้าเซฟทางไหน สภาพนี้มีสภาพฉันใด คนที่เข้ามาเกิดในร่างกายของมารดาก็เหมือนกัน เวลาจิตจะออกจากร่างกายของตนก็เหมือนกัน ไม่ต้องหาทางเข้า และไม่ต้องหาทางออก ดูต่อไปว่าคนเราถ้ามีบุญสักนิดหนึ่ง เวลาตายก็มีเทวดาและพรหมห้อมล้อม เวลาพระพุทธเจ้านิพพานมีอะไรบ้าง อันนี้พ่อขอให้บรรดาลูกรักทุกคนใช้กระแสจิตที่ได้จากความรู้ขององค์สมเด็จพระทศพลและปฏบัติถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงภาพในวันนั้นให้ปรากฏชัดๆ อย่างนี้จะดีกว่า ที่พ่อพูดอย่างนี้ก็รู้สึกว่า บางคนจะว่ามากเกินไป แต่เวลานี้คนทำได้นับหมื่นแล้ว ต่างคนต่างทำได้ ไม่เฉพาะสำนักของเรา ไม่ใช่ความดีที่พพระพุทธเจ้าให้ จะมีแต่สำนักของเรา ที่อื่นท่านสอนกันมาก่อนก็มีกันเรื่อยๆ หลายสำนัก จะนั้น เรื่องราวขององค์สมเด็จพระทศพลที่ว่า นิพพานสูญ จึงเป็นค้านกันและก็ค้านกับพระไตรปิฏกด้วย แต่เวลานี้เรื่องนิพพาน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สูญ ก็มีแพร่หลายนับหมื่นนับแสนคนในประเทศไทย และยังมีการทำได้ในต่างประทศอีกด้วย ช่วยกันทำให้เข้าใจถึงความจริง

    เมื่อพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานแล้ว พระอนุรุทธก็ลืมตาขึ้น บอกว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์เคยถามว่า การจัดสรีระร่างกายของพระองค์จะทำอย่างไร ในเรื่องการถวายพระเพลิง พระองค์ก็ตรัสว่า "ควรจะทำอย่าง พระเจ้าจักรพรรดิ" พระอานนท์ก็กราบถามว่า พระเจ้าจักรพรรดิ เวลาทิวงคต การเผา ทำอย่างไร พระองค์ตรัสว่า "ให้เอารางเหล็กมา เอาน้ำหอมใส่ แล้วเอาผ้าขาวมา ๕๐๐ ผืน สำลี ๕๐๐ ชิน เอาสำลีซับร่างกายแล้วเอาผ้าพ้น ๕๐๐ ชั้น วางในรางเหล็กที่ใส่น้ำหอม แล้วก็เผา" พระอานนท์จึงได้แจ้งแก่มัลละกษัตริย์ทั้งหลาย เมื่อนำขึ้นเชิงตะกอนเสร็จ ทุกคนต่างก็ตั้งใจถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า พระอนุรุทธก็ใช้ฌานเป็นปกติ จุดไฟเท่าไรก็ไม่ติด มัลละกษัตริย์จึงถามพระอานนท์ พระอานนท์จึงถามพระอนุรุทธ พระอนุรุททธบอกว่าเทวดาไม่ยอมให้จุดไฟ ให้รอพระมหากัสสปก่อน เพราะว่าอีก ๗ วัน พระมหากัสสปจะมาถึง เวลานั้นคนทุกคนก็มีแต่ความเศร้าโศกเสียใจ ท่านที่เป็นพระอริยเจ้าก็แสดงอการสลด แม้แต่เทวดาทั้งหลายก็ปลงอนิจจัง คำว่า เตสัง วูปสโม สุโข ข้อความนี้เป็นถ้อยคำของพระอินทร์ ซึ่งแปลเป็นใความว่า การเข้าไปสงบกายนั่นชื่อว่ามีความสุข หมายความว่า การเขาไปสงบกายก็คือ ไม่มีกายแบบนี้ต่อไป ได้แก่นิพพาน

    ฉะนั้น มัลละกษัตริย์จึงคอยพระกัสสป ข้อย้อนไปกล่าวถึงพระมหากัสสป ท่านอยู่ในป่ารกชัฏ นึกถึงองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ อยากจะเฝ้าพระพุทธเจ้า ตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้ฌานอีกนั้นแหละ ตั้งใจมาที่ปาวาลเจดีย์ แต่มาถึงไม่พบองค์สมเด็จพระมหามุนี และก็ไม่พบพระสงฆ์ จึงติดตามไป ไม่รู้จะถามใคร เดินไปเดินมาก็ไปพบปริพาชกคนหนึ่งเดินสวนทางมา ถือดอกชบาทำร่ม มหากัสสปก็แปลกใจว่า ดอกไม้ประเภทนี้เป็นดอกไม้สวรรค์ ชายคนนี้นำมาได้อย่างไ คงมีอะไรเกิดขึ้นกับองค์สมเด็จพระภควันต์เสียแล้ว

    จึงได้ถามข่าวถึงองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ปริพาชกก็ตอบว่า "เวลานี้พระสมณโดมปรินิพพานแล้ว ที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ ที่เมืองกุสินารามหานคร ดอกชบาที่ถือนี่ เป็นดอกชบาสวรรค์ ชาวสวรรค์บูชาพระสมณโคดม" เขาพูดด้วยความไม่เคารพ คือสมัยนั้นมีศาสนาอยู่มาก

    เมื่อพระมหากัสสปและบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายได้สดับ ท่านที่เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ก็ปลงธรรมสังเวชว่า "โอหนอ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ที่มีพระมหากรุณาธิคุณกับพวกเรา เวลานี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ดับขันธปรินิพานเสียแล้ว" ทรงสลดใจ

    บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่พระอริยเจ้าก็ร้องให้อย่างเปิดเผย ความจริงพระโสดาบันกับพระสกิทาคามีก็ยังมีสิทธิ์ร้องให้เหมือนกัน สำหรับพระโสดาบันมีสิทธิร้องให้ร้อยเปอร์เซนต์ แต่พระสกิทาคามีก็พอระงับได้บ้าง แต่น้ำตาไหล ตั้งแต่พระอานาคามีขึ้นไป ก็รู้สึกว่าน้ำตาจะตกในมากกว่า เป็นอันว่าต่างท่านต่างก็สลดใจ พระมหากัสสปจึงได้พาพระสงฆ์ทั้งหลายไปสู่เมืองกุสินารามหานคร เห็นเขานำพระสรีระขององค์สมเด็จพระชินวรขึ้นเชิงตะกอนไว้ พระมหากัสสปได้พาบริษัทของท่านขึ้นไปบนพระเมรุมาศ เพื่อขอขมาโทษต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏว่าในเวลานั้นเอง องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงพุทธพุทธปาฏิหาริย์เป็นกรณีพิเศษขณะที่พระมหากัสสปขอขมาโทษ และกราบถวายนมัสการต่องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ปรากฏว่าพระบาททั้งสองขององค์สมเด็จพระพิชิตมารทะลุออกมาทางเบื้องท้าย ของโลงศพ พระมหากัสสปก็กราบลงที่พระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วกล่าวคำขอขมาโทษต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

    "ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มีพระมหากรุณาธิคุณแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสอง (หมายถึงท่านเองกับท่าน ภัทธิกาปิลาณี อดีตภรรยา) ซึ่งเดิมที่ท่านทั้งสองมีความไม่ต้องการแต่งงาน แต่ทว่าผู้ใหญ่ของตระกูลทั้งสองซึ่งเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ถือว่า ตระกูลจะสิ้นไปจึงจับคนทั้งสองมาแต่งงานกัน เมื่อแต่งงานกันแล้ว ท่านทั้งสองก็อยู่ด้วยกันอย่างพรหมจรรย์ ไม่ได้ร่วมรักกันแบบสามีภรรยาปกติ ท่านทรงพรหมจรรย์ตลอดมา ต่อมาบิดาและมารดาของทั้งสองฝ่ายก็ตายหมด ท่านจึงปรารภกันว่า การครองเรือนมีแต่ความลำบากมีแต่ความทุกข์

    ฉะนั้น พระมหากัสสป จึงได้กล่าวกับ ภัทธิกาปิลาณี ภรรยาว่า "สมบัติที่เป็นของบิดามารดาของเจ้าก็ดี สมบัติที่บิดามารดาของเรามอบให้ก็ดี ทั้งหมดนี้ฉันขอมอบให้เธอ ฉันจะบวช เพราะว่าการครองเรือนมันลำบาก มีแต่ความทุกข์"

    ท่านภัทธิกาปิลาณีจึงกล่าวว่า "ฉันมองไม่เห็นความสุขในการครองเรือนเหมือนกัน ฉันก็จะบวชเหมือนกัน"

    แต่ความจริงท่านทั้งสองไม่เคยทราบว่า องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสมัมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้วในโลก นึกเอาในใจว่าจะรักษาพรหมจรรย์ แต่ความจริงท่านก็เป็นพรหมจรรย์อยู่แล้ว จริยาก็เป็นพรหมจรรย์

    ฉะนั้น ท่านทั้งสองจึงเอาสมบัติมาแบ่งปันให้คนรับใช้ และคนยากจนทั้งหลายจนหมดสิ้น สองคนไม่เคยรู้ว่าพระ และพระเขาแต่งตัวกันยังไงก็ไม่ทราบ แต่จิตใจมีความต้องการว่า ผมเป็นของไม่ดี ท่านเลยโกนผม แล้วก็ห่มผ้าย้อมน้ำฝาดเช่นเดียวกับกับองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างนี้จะถือว่า บุญเก่าของท่านทั้งสอง หรือเทวดาดลใจก็ได้ ถ้าจะสงสัยว่าเหตุที่ท่านทั้งสองประพฤติพรหมจรรย์มาตั้งแต่แรกเลย เพราะท่านเป็นพระอนาคามีนี้ก็ไม่ถูก เพราะถ้าเป็นพระอนาคามีแล้วไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม ก็ไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก จะต้องบำเพ็ญต่อแล้วนิพพานบนนั้น ถ้าจะสันนิษฐานก็คือ ท่านทั้งสองนี้ในสมัยก่อนต้องเป็นพระสกิทาคามี แต่ถ้าเป็นพระสกิทาคามีปกติ ก็ยังมีกามคุณ แต่ไม่มักมากในกามคุณ มีความมักน้อยในกามคุณ ดังนั้น จะว่าท่านเป็นพระสิกิทาคามีก็จะผิดไป จะกล่าวให้ตรงกับความเป็นจริงก็ว่า ท่านทั้งสองก่อนจะตายในชาติก่อนก็ต้องอยู่ในโคตรภูญาณของพระอนาคามี คำว่า โคตรภูญานของ "พระอนาคามี" ก็ถือเป็น "สกิทาคามีเต็มอัตรา " และจิตกำลังก้าวไปสู่พระอานาคามี แต่ยังไม่ถึง จะอยู่ระหว่างพระสกิทาคามีกับพระอนาคามี ฉะนั้น จิตของท่านทั้งสองจึงไม่มีความพอใจในกามคุณ เมื่อมาเกิดในชาตินี้ จิตไม่รู้สึกในเรื่องกามคุณเลย ถึงแต่งงานกันก็เป็นแบบตุ๊กตาแต่งงานกัน

    เมื่อท่านทั้งสองนุ่งหุมผ้าย้อมน้ำฝาด มุ่งหน้าเข้าไปในป่าโดยเฉพาะตั้งใจว่า "องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ดลบันดาลให้คนทั้งหลายหมดทุกข์ มีแต่ความสุขในการเปลื้องกิเลส พระองค์มีอยู่ ณ ที่ใด ข้าพเจ้าทั้งสองขอถึงองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นเป็นสรณะ " ท่านบวชของท่านเองเฉยๆ เดินตามกันไปถึง ทาง ๒ แพร่ง ท่านพระมาหากัสสป จึงกล่าวกับ พระนางภัทธิกาปิลาณี ว่า "เราทั้งสองนี้เป็นผู้ทรงพรหมจรรย์ ฉันเป็นผู้ชาย เธอเป็นผู้หญิง การเดินทางร่วมกันไปจะดูไม่ดี ดังนั้น ถึงทาง ๒ แพร่งแล้วเธอจงเลือกเอาว่าจะไปทางซ้ายหรือทางขวา แยกทางกันเดิน"

    นางภัทธิกาปิลาณีก็ว่า "ขอท่านไปทางขวา ฉันไปทางซ้าย ไปตามกำลังใจของฉัน" ก็เป็นการบังเอิญหรือเทวดาดลใจ หรือว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์ก็ไม่ทราบได้ นางภัทธิกาปิลาณีก็ไปสู่สำนักของนางภิกษุณี ขออุปสมบทเป็นนางภิกษณี

    สำหรับพระมหากัสสป ก็เดินทางตรงไปสู่สำนักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขออุปสมบทพรรชา พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตรับเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เป็นอันว่าทั้งสองฝ่ายก็ได้บวชสมความปรารถนา

    พระมหากัสสปจึงได้กล่าวว่า เพราะเหตุนี้ ชื่อว่า องค์สมเด็จพระมหามุณีบรมศาสดาสัมามสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองเป็นประการแรก ต่อมาเมื่อข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองบวชแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าเองได้กราบทูลต่อองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า จะขอถือธุดงควัตร ๑๓ ประการครบถ้วนในการปฏิบัติ เพื่อเป็นตัวอย่างแก่อนุชนรุ่นหลังต่อไป องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงสมาทานจริยาธุดงค์แก่ข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้นำบริษัท ๕๐๐ รูป ซึ่งเป็นศิษย์เข้าสู่ป่า ประการที่สองนี้ชื่อว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ข้าพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง ยากที่จะนำทุกสิ่งเข้ามาเปรียบเทียบ ในพระมหากรุณาธิคุณนี้

    ฉะนั้นในวันนี้ "ข้าพุทธเจ้าขออภัยโทษต่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอพระองค์ ขอพระองค์ได้ทรงอดโทษให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้ ไปจนกว่าจะถึงวันที่ข้าพพุทธเจ้าจะเข้านิพพาน"

    ครั้นเมื่อพระมหากัสสปได้กล่าวคำขอขมาโทษต่อองค์สมเจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระบาททั้งสองขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็หายเข้าไปในโลงทอง เวลานั้นก็ปรากกว่าไฟที่ไม่มีใครจุดก็ลุกเผาสระระขององสมเด็จพระมีพระภาคเจ้า เป็นเหตุอัศจรรย์ หมายความว่า เป็นไฟของบรรดาเทวดาและพรหมทั้งหลายจุดขึ้น เป็นไฟสวรรค์

    ด้วยจริยาของพระมหากัสสปอย่างนี้ ก็ขอบรรดาท่านที่มีความเคารพในพระพุทธสาสนา จงทำใจของเรานี้ให้เหมือนกับพระมหากัสสป ทั้งนี้เพราะว่ากิจนิดหนึ่งที่พระมหากัสสปะ มาขอขมาโทษต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เพราะ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงท้วงว่า "เธอแก่แล้ว เราก็แก่แล้วอยู่ด้วยกันเถอะจะได้เป็นเพื่อนกัน รับสัการะจากชาวบ้านที่เขาบูชา แต่พระมหากัสสปก็กราบทูลสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทำนี้ได้ทำเพื่อตัว ทำเพื่อตัวอย่างแก่บรรดาอนุชนรุ่นหลัง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาต"

    ถ้าตามจริยาของชาวบ้านเราถือว่า ไม่มีโทษ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ ถ้าจริยาใดที่เป็นที่ขัดข้องในคำแนะนำขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว พระอรหันต์ทุกองค์ถือว่ามีโทษหนัก ทั้งๆ ที่ไม่มีโทษทางวินัย ไม่มีโทษทางธรรมะ ก็ถือว่ามีโทษทางจริยา คนยิ่งดีเท่าไรเขาก็ยิ่งโทษตัวเองเท่านั้น ฉะนั้นขอทุกคนจงจำจริยาของพระมหากัสสปนี้ไว้ ถ้อยคำอันใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเรา ต้องถือว่า ถ้อยคำนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องปฏิติทุกประการ

    หลังจากเมื่อไฟสงบ มัลละกษัตริย์ทั้งหลาย และบรรดาพระสงฆ์ก็เข้าไปสู่เชิงตะกอน ปรากฏว่าสรีระขององค์สมเด็จพระชินวรก็ไหม้ไปหมด บรรดาผ้าขาว ๔๙๙ ชิ้น และสำลี ๔๙๙ ชิ้น ถูกไฟไหม้หมด เหลือผ้าขาว ๑ ชิ้น กับสำลีอีกหนึ่งชิ้น ห่ออิฐธาตุ คือ "พระบรมสาระริกธาตุ" ขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถไว้กับ "พระเขี้ยวแก้ว" มัลละกษัตริย์กบบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายจึงอันเชิญพระบรมสารีริกธาตุกับพระเขี้ยวแก้ว ขององค์สมเด็จพระบรมจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าสู่พระราชนิเวศน์ เก็บไว้ในที่สมควร ตอนนี้กล่าวว่า เมืองใหญ่ เมืองกบิลพัสดุ เมืองพาราณสี แล้วก้เมืองราชคฤห์ เป็นต้น และที่เป็นเมืองมหาอำนาจหลายเมือง ได้พากันยกทัพมาจะขอพระบรมสารีริกธาตุ ถ้าไม่ให้ก็จะรบ บรรดามัลละกษัตริย์ก็ไม่ยอม ถึงแม้จะเป็นเมืองเล็ก แต่ก็เป็นเมืองที่นับถือพระพุทธศาสนา เข้าใจว่าบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคงจะช่วย แต่ทว่า อาศัย โทณพราหมณ์ เป็นพราหมณ์อยู่ที่เมืองกุสินารามหานคร เป็นพราหม์ที่บอกอัตปัญหาแก่พระราชา เป็นปุโรหิต เป็นคนมีความรู้ดี พ่อแม่ให้นามว่า โสณะ แต่ว่ามาอยู่กับพระราชาเขาตั้งเป็นปุโรหิต โทณพราหมณ์กราบทูลกับมัลละกษัตริย์และเจรจากับกษัตริย์ทั้งหลายว่า "พระบรมสารีริกธาตุนี้ควรจะแบ่งปันกัน เพราะว่าทุกคนมีส่วนร่วมในการเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" เป็นอันว่าตกลงกันเสร็จ เวลานั้นปรากฏว่า เวลาที่โทณพราหมณ์เปิดห่อพระบรมสารีริกธาตุ เห็นพระเขี้ยวแก้ว จึงคิดวาพระเขี้ยวแก้วขององ์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเขี้ยวเดียวที่เป็นแก้วจริง นอกนั้นก็เป็นฟันธาตุธรรมดา สิ่งนี้มีชิ้นเดียวให้ใครก็ไม่เหมาะ จึงเอาซ่อนไว้ในมวยผม แต่พระอินทร์ ท่านเห็นว่าไม่สมควรกับโทณพราหมณ์ จึงเอาพระเขี้ยวแก้วไปบรรจุที่ พระจุฬามณีเจดีย์สถาน บนดาวดึงส์เทวโลก เวลาที่แจกหมดก็มาคลำดู เห็นหายไปจากมวยผม จึงได้ขอทะนานทองแล้วก็เดินทงมาสู่เมืองทวาราวดี (นครปฐม) ตามปกติมาเสมอๆ มีหมู่บ้านๆ หนึ่งเขาเรียกว่าหมู่บ้านพราหม์ ใกล้ๆ กับพระประโทณนั่นแหละ หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านของ โทณพราหมณ์ หรือ โสณะพราหมณ์ เมื่อได้รับทนานทองมาแล้ว ก็ทำเป็นเจดีย์ขึ้นเป็นหย่อมๆ บรรจุทะนานที่ตวงพระบรมสารีริกธาตุไว้ที่นั่น แล้วสักการะบูชา

    หลังจากที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ท่าน อาวชีวกโกมารภัจ ก็มีสภาพคล้ายๆ พระอานนท์ เหมือนเงาตามตัวพระพุทธเจ้า เมื่อพพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วก็เสียใจ ท่านไม่กลับบ้าน เข้าไปในถ้ำลึก ท่านเป็นพระโสดาบันเหมือนพระอานนท์ ท่านบอกว่าเข้าไปในถ้ำลึกแล้ว คนที่เห็นแก่ตัวก็ยังตามไปขอยาอีก ท่านก็หนีต่อไป คนไม่ทราบว่าไปไหน ยอมนอนตายตรงนั้น ไม่กินข้าวไม่กินปลา ไม่ลุกจากที่ทั้งหมด คิดว่าองค์สมเด็จพระบรมสุคตปรินิพพานแล้ว เราหมดที่พึ่งพึ่งปล่อยให้มันตายไปซะเลยดีกว่า ปรากฏว่านอนอยู่อย่างนั้น ๓ วัน วันที่ ๓ มีแสงแปลบเข้ามาคล้ายกับแสงฟ้าแลบ แล้วก็เสียงเหมือนฟ้าผ่า เสียงนั้นหายไปก็ได้ยินว่า "โกมารภัจ เธอเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม" ท่านก็ตอบว่า "ใช่" มีเสียงและแสงแบบนี้ ๓ วาระ ท่านก็นึกขึ้นมาได้ว่า จะมานั่งเสียใจด้วยเหตุอันใด เวลานี้ตัดสินใจเพื่อพระนิพพานดีกว่า แล้วในที่สุดก็ปรากฏว่า ท่านนอนหลับไปไม่ตื่น ไม่ตื่นก็หมายถึงว่า ท่านนิพพาน ถ้าตัดสินใจแบบนั้นก็นิพพานทุกคน

    เมื่อองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปรินิพพานแล้ว พระอานนท์ ท่านก็เหมือนเงาตามตัวขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วและ มีรูปร่างคล้ายคลึงพระพุทธเจ้ามาก แต่ต่ำกว่าพระพุทธเจ้า ๔ นิ้ว เท่านั้น เวลาท่านเดินไปเดี่ยว บางทีพระเข้าใจว่าพระอานนท์คือพระพุทธเจ้า คือมีรูปร่างคล้ายคลึงกันมาก แม้แต่พระที่อยู่ด้วยกันยังมีความสงสัยคิดว่าพระอานนท์คือพระพุทธเจ้า ก็ต้องเหมือนกันมากทีเดียว เป็นอันว่าคนที่จะเหมือนกันมากหรือน้อย เป็นเรื่องของบุญกุศล

    ตอนนั้นพระมหากัสสปจะทำสังคายนา เลือก "พระปฏิสัมภิทาญาน" ที่ได้รับคำสอนจากพระพุทธเจ้าโดยตรงได้ ๔๙๙ รูป เป็น "พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาน" ทั้งหมด เว้นไว้รูปหนึ่งเพื่อ "พระอานนท์" และก็เตือนพระอานนท์ว่า "ต่อแต่นี้ไปจะทำปฐมสังคายนาที่กรุงราชคฤห์มหานคร หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไป พระอานนท์ก็แยกไปทางหนึ่ง เวลาจะไปไหนท่านก็หอบเอาสบงจีวร ที่นอนเครื่องใช้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปด้วย เป็นต้นว่า มีบาตร จีวร สังฆาฏิ ที่ไม่ได้ถูกเผาไปในวันนั้น บรรดาประชาชนทั้งหลายเห็นพระอานนท์ที่ไหน ก็นึกถึงพระพุทธเจ้า พระอานนท์กับพระพุทธเจ้าไม่เคยห่างไกลกัน คนก็ร้องให้ถึงพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็เทศน์ เทศน์แล้วคนก็ชอบใจ ทำให้เขาเกิดความชื่นบาน

    วันรุ่งขึ้นจะทำสังคายนา พระอานนท์ก็ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ บรรดาพระทั้งหลายก็เตือนกันว่า ต้องรีบเร่งเข้านะ ตอนกลางคืนพระอานนท์นึกถึงองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว เดินจงกรมตั้งแต่หัวค่ำถึงตอนดึกใกล้สว่าง ก็ยังไม่บรรลุมรรคผล จึงคิดว่าคงจะใช้เวลาวิริยะมากเกินไป อยากจะพักผ่อนสักประเดี๋ยวหนึ่ง ก็เอนกายลงนอน ตอนนี้ก็ลดจากการเครียด ได้สำเร็จอรหันต์พร้อมไปด้วยปฏิสัมภิทาญาณ จำไว้นะลูก ว่าการปฏิบัติถ้ามันเครียดเกินไปมันก็ไม่ได้ผล ขณะที่พระอานนท์ละกำลังใจนิดหนึ่ง เพื่อจะนอน จิตไม่ได้ว่างจากฌาน แต่ว่าคลายอารมณ์ ตอนต้นนึกว่าจะให้บรรลุมรรคผล พิจารณาตัดมาตัดไป มันก็เลยยุ่ง กำลังจิตเครียดหนัก ในที่สุดพอเพลาหน่อยก็ได้อรหันตผล ตอนเช้าก็เป็นวันที่เขาจะทำปฐมสังคายนา ท่านก็ดำดินจากที่ท่านอยู่ไปโผล่ขึ้นที่อาสนะที่ท่านจะนั่ง แสดงว่าท่านนั้นสำเร็จอรหัตผลพร้อมไปด้วยปฏิสัมภิทาญาณแล้ว การทำสังคายนาร้อยกรองคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ในเวลานั้นจึงมีพระอรหันต์ครบ ๕๐๐ รูป และก็เป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นพระอรหันต์ที่รับฟังคำสอนจากพระพุทธเจ้าโดยตรงด้วย ช่วยกันกรองเข้าไว้และเรียงลำดับเป็นพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม พระวินัยปิฏก มีสองหมื่นหนึ่งพันพระธรรมขันธ์ พระสุตตันตปิฏกมีสองหมื่นหนึ่งพันพระธรรมขันธ์ พระอภิธรรมปิฏกมีสี่หมื่นสองพันพระธรรมขันธ์ รวมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์

    ถ้าจะกล่าวถึงเรื่องพระพุทธศาสนาในประทศอินเดียว เราถูกศาสนาฮินดูทำลายเสียยับเยินจนกระทั่งมาถึง สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มาฟื้นฟูขึ้นใหม่ เวลานั้นก็ผ่านไปตั้ง ๒๐๐ ปีเศษ ฉะนั้นสถานที่ต่างๆ ที่จะพึงจดจำกันอาจพลาดกันบ้าง เวลาที่พวกเราไปนั่งกันที่โคลนโพธิ์ ที่เขาเรียกกันว่า โพธิตรัสรู้ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ พ่อก็นึกแปลกใจเหมือนกัน ว่าทำไมความรู้สึกจึงเป็นไปอย่างนั้น แต่เป็นเพราะจิตที่เคยฝึกสมาธิจนชิน หรือว่าจะเป็นเพราะอารมณ์เคลิ้มก็ได้ ถ้าพูดว่าอารมณ์เคลิ้มก็เห็นว่าถูก ทั้งนี้เพราะว่า เหนื่อยเกินไป ความร้อนเกินไป จิตตั้งใจเกินไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2010
  9. ariyabut

    ariyabut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +2,415
    พุทธประวัติพระสมณโคดม ( จากพระกรรมฐาน ) ช่วงที่ ๙

    เมื่อมีอารมณ์เคลิ้ม ก็มีภาพเกิดขึ้น อย่างนี้ถ้าจะถือว่าเป็นการใช้ฌานสมาบัติก็ไม่ถูก จะเรียกว่าใช้อภิญญาก็ไม่ถูก ความจริงถ้าจะถือว่าพ่อเป็นพระมีฌานสมาบัติ หรือว่าพ่อเป็นพระอภิญญาพ่อก็ไม่เคยบอกใคร ว่าพ่อมีอย่างนั้น พ่อมีอารมณ์อย่างเดียว คือความรักพระพุทธเจ้า และชอบพระพุทธเจ้าเป็นกรณีพิเศษ มีความสนใจพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่เด็ก เพราะว่าพ่อเคยเห็นพพระพุทธเจ้าตามภาพนิมิตก่อนที่จะตายวาระแรกเห็นพระองค์สวยสดงดงามมาก ฉะนั้นภาพนั้นจึงติดตาติดใจอยู่ตลอดเวลา เห็นจะเป็นเพราะจิตผูกพันในพระพุทธเจ้ามาก จึงได้มีอารมณ็เคลิ้ม และเห็นภาพเกิดขึ้น

    สำหรับต้นโพธิ์ที่ท่านบอกว่า ต้นโพธิ์ต้นนี้เป็นต้นที่ ๔ ที่พระพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ โพธิ์ต้นก่อนตายไป แล้วก็เกิดต้นโพธิ์ใหม่ ๔ คราว ชั่วระยะเวลา ๒,๐๐๐ ปี ก็น่าจะพูดอย่างนั้น เพราะถ้าจะบอกว่าโพธิ์ต้นที่เห็นอยูในปัจจุบันมีอายุ ๒,๐๐๐ ปีเศษ พ่อก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน ถ้าต้นไม้ที่มีอายุ ๒,๐๐๐ ปีเศษ ต้นต้องโตและมีอะไรเป็นกรณีพิเศษ ต่อไปนี้ไปก็มาวินิจฉัยว่าต้นโพธิที่เราเห็นอยู่ตรงนั้น เป็นต้นที่เกิดตรงกับที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จประทับนั่งบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณหรือเปล่า เป็นอันว่าเรื่องนี้ก็เห็นจะไม่ต้องบอกกับบรรดาลูกรักทั้งหลาย เพราะลูกของพ่อทุกคนมีความเข้าใจดี ถึงต้นโพธิ์ที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณว่าอยู่ตรงไหน ความจริงพ่อทราบจากพระมหาวิจิตรว่า ทางฝ่ายธิเบตเขาได้ตำราไว้มาก ได้หลักฐานไว้มาก เป็นอันว่าธิเบติก็เข้าใจตรง และบรรดาลูกๆ ทุกคนก็เข้าใจตรง แต่จะมีประโยชน์อะไรที่จะมานั่งคิดกันว่า ต้นโพธิ์ต้นนั้นอยู่ตรงไหน เพราะการบูชาพระพุทธเจ้าไม่จำเป็นจะต้องไปที่ต้นโพธิ์ สังเวชนียสถาน ๔ แห่ง คือ ที่ประสูติ ตรัสรู้ เดนเทศนา พระปรินิพพาน การที่สมเด็จพระพิชิตมารทรงแนะนำไว้ในกาลนั้น ว่าควรจะระลึกนึกถึงที่ ๔ แห่งนี้ก็เพราะว่า องค์สมเด็จพระชินสีห์ต้องการให้ทุกคนมีความเข้าใจว่า เกิดมาแล้วก็ดี ความเปลี่ยนแปลงของชีวิตและร่างกาย มันก็เป็นไปตามลำดับ ในที่สุด จากฆราวาสก็มาเป็นพระ จากพระก้เป้นนักเทศน์ จากนักเทศน์ก็ตาย ถ้าเราไปที่ประสูติ หรือตรัสรู้ หรือปรินิพพาน หรือที่แสดงปฐมเทศนา ถ้าคิดอย่างนี้มันก็มีประโยชน์ ถ้าเราจะคิดว่าไปเอาดินจากสังเวชนียสถานมาทำขายกันนี่ พ่อมองไม่เห็นประโยชน์เหมือนกัน

    ฉะนั้น การไหว้พระพุทธเจ้า เราจะไหว้ที่ประสูติ ไหว้ที่ตรัสรู้ ไหว้ที่แสดงปฐมเทศนา หรือไปไหว้ที่ปรินิพพาน หรือเราจะไหว้ในห้องบ้านของเรา แต่ทว่าเราไหว้ด้วยความเคารพ การบูชาใช้ ๒ อย่าง คือ อามิสบูชา บูชาด้วยของมัวัตถุ ดอกไม้ ธูปเทียน เป็นต้นก็ดี หริอบูชาด้วยการปฏิบัติบูชา ด้วยช่วยกันทั้งสองอย่าง ถ้าการบูชาครบทั้งสองอย่างนี้ เราไหว้พระพุทธเจ้าตรงไหนก็ถึงที่นั่น

    เป็นอันว่า จุดที่ลูกๆ ไปบ้าน นางสุชาดา พ่อคิดว่าตรง สำหรับเมืองพาราณสีก็น่าจะมีอะไรดีๆ อยู่มาก ทั้งนี้ เพราะเมืองราชคฤห์ คือ รัฐวิหาร มีเขตติดต่อกับกรุงพาราณสี สมัยโน้นเมืองราชคฤห์เป็นเมืองที่พระเจ้าอชาตศัตรูกบฏต่อพระราชบิดา ซึ่งมีพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระราชาปกครองประเทศ มีพระสหายรวมกัน ๔ ท่าน คือ

    ๑. สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยเมื่อเป็นสิทธัตถราชกุมาร

    ๒. พระเจ้าปเสนทิโกศล แห่งเมืองพาราณสี คือ เป็นลูกของพระราชาเมืองนั้น

    ๓. กรุงราชคฤห์ คือ พระเจ้าพิมพิสาร เป็นลูกของพระราชาเมืองราชคฤห์

    ๔. พันธุรเสนา เป็นลูกของพระราชาเมืองไหน นึกไม่ออก

    ทั้ง ๔ ท่านเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกัน มีความรักใคร่กันมาก เวลาไปศึกษาที่เมืองตักกศิลา ก็ไปด้วยกัน เวลาจบก็จบพร้อมกัน ต่างคนต่างก็เรียนเก่ง เมื่อกลับมาแล้ว ก็ต้องมาแสดงความรู้ความสามารถให้หมู่พระยูรญาติดู ให้พากันชม เป็นการสอบความสามารถที่ศึกษามาได้นั่นเอง สำหรับทั้ง ๓ ท่าน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลานั้นต้องเรียกว่าสิทธตถราชกุมาร พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าปเสนทิโกศล แสดงความสามารถให้หมู่พระประยูรญาติชม ก็เป็นที่ชื่นชอบยินดีของหมู่พระประยูรญาติ เป็นอันว่าไม่มีอะไรน่าตกใจ แต่ทว่า พันธุรเสนา เป็นนักรบที่มีกำลังมาก ท่านนี้ เวลาไปแสดงความสามารถ ท่านให้เอาไม้ลำใส่ลำให้สูงขึ้นไป ท่านกระฟันผ่าไม้ลำตั้งแต่ปลายโน่นให้ลงถึงพื้นดิน มีกำลังมาก แต่ว่าบรรดาหมู่พระประยูรญาติแกล้ง เอาเหล็กไปขวางไว้ แต่ว่าท่านฟันลงมาปั๊บรู้สึกว่าดังกริ๊ก จึงได้ถามหมู่พระประยูรญาติว่า ไม้ทำไมถึงดังกริ๊กข้างใน เอามาดูปรากฏว่าเป็นเหล็ก ท่านก็เสียใจ คิดว่าบรรดาท่านทั้งหลายไม่ซื่อสัตย์กับท่าน ถ้าบอกกับท่านสักหน่อยเดียวว่าอันนี้มีเหล็ก จะไม่ฟันให้ดังกริ๊กเลย เท่านั้นแหละ จึงได้ออกจากเมืองไปอยู่กับพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ให้เป็นคนตัดสินความ มีหน้าที่ชำระความ ท่านก็ตัดสินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ต่อมาไม่ช้าอำมาตย์ปัจจามิตรที่เคยได้สินบนก็คิดฆ่าท่านเสีย

    เป็นอันว่าลูกๆ ไปเมืองพาราณสีกันมาก ก็เพราะว่าเมืองพาราณสีเป็นเมืองประวัติศาสตร์สำหรับลูกๆ ความจริงกรุงราชคฤห์ก็น้อมอยู่ในประวัติศาสตร์ของลูกๆ เหมือนกัน เพราะพระเจ้าพิมพิสาร กับพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเป็นพระสหายกัน และเป็นพระสหายที่รักกันมาก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว เทศน์สอนปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ แล้ว ก็มุ่งกรุงราชคฤห์มหานคร ทั้งนี้ เพราะว่าจอมบพิตรอดิศร คือ พระเจาพิมพิสาร อาราธนาไว้ว่า ถ้าบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญารเมื่อใด ขอให้มาโปรดข้าพเจ้าก่อน สำหรับพระเจ้าเสนทิโกศลกับพระเจ้าพิมพิสารนี้ ต่างคนต่างก็ได้แต่งงานกับน้องสาวซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างก็เป็นพี่เมียซึ่งกนและกัน ต่างคนต่างก็เป็นน้องเขยซึ่งกันและกัน เวลาคุยกันจะคุยกันแบบไหน พ่อก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่สำหรับลูกๆ คงมีความผูกพันอยู่ในเมืองพาราณสีมาก เพราะเรื่องราวของพระเจ้าปเสนทิโกศลกับเรื่องราวของลูกๆ เกี่ยวพันกันมาก ความจริงมาถึงตอนนี้ พ่อก็อยากจะขอชมลูก ลูกทุกคนที่ไปเที่ยวมาแล้ว แล้วใช้กำลังสมาธิพิสูจน์เหตุการณ์ต่างๆ และก็หลายคนบันทึกรายงานเข้ามา รู้สึกว่าถูกต้องดี คือว่าทุกอย่างให้เป็นไปตามอัธยาศัยนั่นแหละดีที่สุด และชื่อว่าทำดีและก็ถูกต้องด้วย ถ้าหากทุกคนจะพยายามใช้อารมณ์แบบนั้น เห็นอะไรขึ้นมาก็ใช้กำลังใจทันที ให้มันใช้ได้โดยฉับพลัน แบบนี้จะมีคุณเป็นประโยชน์ แทนที่จะมีโทษ ประโยชน์มันจะใหญ่

    สำหรับ ภูเขาคิชฌกูฏ เป็นภูเขาประวัติศาสตร์ของทางพระพุทธศาสนา คิชกูฏนี้ ก็เป็นเนินๆ หนึ่ง จะว่าเป็นภูเขาก็ไม่ชัด เป็นเขาต่ำ เป็นภูเขาที่พระเทวทัตคิดล้างผลาญพระพุทธเจ้า คือ กลิ้งหินให้ทับพระพุทธเจ้า ขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่เชิงเขา พ่อพูดตามอารมณ์ของใจเมื่อเวลาคุยธรรมะ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ขณะใดถ้าเราสั่งสนทนาธรรม ขณะนั้นจิตก็ว่างจากกิเลส" ถ้จิตว่างจากกิเลส มันก็เกิดอารมณ์รู้ ก็สามารถจะรู้อะไรต่อมิอะไรได้ เวลานั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยูที่เชิงเขาคิชกถฏในยามเย็น องค์สมเด็จพระจอมไตรเสด็จประทับองค์เดียวบนก้อนกินก้อนหนึ่ง หันหลังให้เขาคิชกถฏ หันหน้าออกไปด้านหน้าแต่ไม่ได้หันหลังตรงนัก เป็นเฉียงๆ นิดๆ พระพุทธเจ้าประทับทางด้านใต้ของภูเขาคิชกูฏ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก กางมือออกไปทิศใต้แล้วก็เฉียงไปตะวันตกนิดๆ เวลานั้นเป็นโอกาสที่พระเทวทัตคิดจะล้างผลาญองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ จึงได้กลิ้งหินลูกใหญ่ มันเป็นทางเรียบ การกลิ้ง กลิ้งมาทางทิศใต้ การที่พระเทวทัตคิดจะทำร้ายองค์สมเด็จพระบรมครู อย่าคิดว่าพระพุทธเจ้าไม่ทราบ แต่ถ้าถามว่าเมื่อทราบแล้ว มานั่งให้พระเทวทัตทำร้ายเพราะอะไร ก็ต้องตอบว่า จะนั่งตรงไหนก็ตาม วันนั้นพระเทวทัตก็ต้องหาทางทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ได้ เพราะว่าเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยูบนภูเขาคิชกถฏ หรือประทับที่ไหนก็ตาม จะต้องประทับเดี่ยว บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายอยู่เหมือนกัน แต่ก็อยู่ไกลอกไป แต่ก็ไม่ไกลกันมากนัก ไม่ต้องอยู่เวรอยู่ยามกัน จะมีบ้างก็ได้แก่ พระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐาก ถ้าเวลาพระพุทธเจ้าเสด็จทรงพระสำราญ พระอานนท์ก็จะหลีกไปให้ห่าง จะเข้ามาใกล้ๆ ต่อเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรียก เป็นอันว่าพระองค์กำลังนั่งดูอากาศ ดูทิวทัศน์ ดูบรรดาประชาชนที่เดินไปเดินมา แล้วก็มีพระมหากรุณาธิคุณคิดว่า "โอหนอ บรรดาประชาชนเหล่านี้เดินไปเดินมา ที่ยังมีความประมาทอยู่มาก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ใคร่ครวญคิดจะหาทางใดหนอ ที่จะสงเคราะห์เขาให้มีความเข้าใจว่า โลภะ ความโลภ ราคะความรัก โมหะความหลง มันเป็นภัยใหญ่ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฎะมันเป้นทุกขื ทำอย่างไรเขาจึงจะมีความสุข" พระองค์ทรงใคร่ครวญ เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า...

    ...ในขณะนั้นเองลูกรัก เป็นโอกาสของพระเทวทัตขยับหิ้นก้อนใหญ่ให้กลิ้งลงมา มันเป็นทางเฉพาะ เป็นทางจำกัดที่จะต้องชนพระพุทธเจ้าจนได้ แต่ทว่าอาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระจอมไตร บรรดาพรหมเทวดาทั้งหลาย บันดาลให้หินก้อนโตบังไว้ หินก้อนนั้นมากระทบหินก้อนใหญ่กว่าแข็งกว่า ด้วยอำนาจของเทวดา หินก้อนนั้นก็แตกกระจัดกระจาย สะเก็ดก้อนเล็กๆ ไม่เท่ากำปั้น กระเด็นมาถูกพระบาทขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ถึงกับห้อพระโลหิต แต่ว่าองค์สมเด็จพระธรรมสามิสจะได้ทรงกริ้วโกรธก็หาไม่ เป็นอันว่าหินที่พระเทวทัตกลิ้งลงมา ได้กระจายไป หมดไปแล้ว หินที่ขึ้นมาขวางไม่ไห้องค์สมเด็จพระประทีปแก้วเป็นอันตราย เวลานี้ยังคงมีอยู่ เป็นหินก้อนใหญ่โตแต่ไม่โตมากนัก แต่ก็มีกำลังขวางพอ เวลานี้เป็นหินที่สูงขึ้นมาไม่มาก เพราะดินงอกขึ้นมา ภูเขาคิชกูฏเป็นเขาประวัติศาสตร์ที่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถเสด็จประทับเพื่อแสดงพระธรรมเทศนา และท่านพระมหาโมคคัลลาน์เคยพบเปรตต่างๆ ที่เขาคิชกูฏ

    เรามานั่งพิจารณากันถึงว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำเพื่อเราทุกคน พระองค์ต้องบำเพ็ญมาบารมีมาถึง ๔ อสงไขยกับแสนกัป และต้องต่อสู้กับความลำบาก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าต่อสู้มาตามลำดับตั้งแต่ต้น ถอยหลังไปตั้งแต่เรื่องพระเวสสันดรหรือทศชาติ จะเห็นว่าองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงมีความลำบากมาก ต้องอดทนทุกอย่าง ต่อสู้กับอุปสรรคทุกอย่างเพื่อเรา ฉะนั้น ถ้าหากว่าเราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเกิดมาสร้างความเลว ไม่เชื่อฟังพระพุทธเจ้า มันจะสมไหมกับที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ย์ ต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างมาก เพื่อจะรื้อขนสัตว์ให้มีความสุข

    สมมุติว่าอย่างพ่อนี่ พ่อเองพ่อไม่ใช่คนดีนะลูก อย่าไปนึกว่าพ่อเป็นคนดี เป็นคนประเสริฐ พ่อบอกลูกแล้วว่า พ่อมองไม่เห็นความดีมันมีตรงไหน แก่ลงไปทุกว้น ยุ่งยากด้วยประการทั้งปวง มีความเหน็ดเหนื่อยด้วยประการต่างๆ จิตจะต้องห่วงคนนั้น ห่วงคนนี้ ตามหน้าที่ของพ่อกับลูก แต่ว่าอีกส่วนหนึ่งของจิตก็ยกไว้ พูดไปมันก็เป็นภัยกับตัวเอง พ่อก็ทำได้แค่นี้แหละ ไอ้ความดีน่ะ พ่อดีไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เป็นอันว่า สมมุติว่าพ่อห่มผ้ากาสาวพัสตร์อย่างนี้ และการที่จะบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานี้ พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องทรงอธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา สิกขา แปลว่า ศึกษา คือ ปฏิบัติ อธิ แปลว่า ยิ่ง หมายความว่า ต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ทำสมาธิให้มั่นคง ทำวิปัสสนาญาณให้ทรงตัว คือ ไม่เมาในโลกธรรม ๘ ถ้าบังเอิญพ่อเป็นนักโลภโมโทสัน พ่อมัวเมาในโลกธรรม ๘ ประการ ลูกรัก มันจะสมไหมกับที่เอาผ้ากาสาวพัตร์มาเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์ และที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงใช้ความเพียรพยายามต่อสู้กับความลำบากมาอย่างมาก แต่การบวชเข้ามาแล้วกลายเป็นโจรปล้นความดีของบุคคลอื่นไป บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ ภาษีไม่ต้องเสีย ใครปรึกษาหารือก็ได้สตางค์ด้วย แต่พ่อไม่ได้เช่าบ้าน พ่อสร้างบ้านให้คนอื่นเขาอยู่ ให้พระอื่นอยู่ ให้คนที่ปฏิบัติธรรมอยู่ บ้านไม่ต้องเช่า แต่กลายเป็นคนที่ปลูกบ้านให้คนอื่นเขาอยู่เฉยๆ พ่อก็เลยเป็นคนที่ไม่ตรงกับภาษิตนี้ แต่ทว่าพระก็สงสารพระพุทธเจ้า คือ พ่อทำดีไม่เท่ากับที่พระพุทธเจ้ามีพระพุทธประสงค์ คือ ความดีที่พ่อมีมันยังไม่พอ แต่ว่าลูกรัก พ่อหมดกำลังแค่นี้ ก็ทำได้แค่นี้ แต่ว่าตอนแก่นี่ดีนิดหนึ่ง ที่ได้ลูกๆ ทุกคนที่ฝึกฝนในด้านสมาธิตามสมควร แต่ทุกคนก็ช่วยพ่อ ถึงเวลาวันเสาร์อาทิตย์ก็มาช่วยกันด้วยประการทั้งปวง จะไปที่ไหนก็ไปช่วยกันฝึก ไม่ได้เงินไมได้ทอง กลับต้องจ่ายเงินจ่ายทองด้วย ความจริงลูกมีพ่อแทนที่จะได้เงินได้ทองจากพ่อ แต่ลูกต้องจ่ายเพื่อพ่อ ก็จัดว่าเป็นความดีของลูก

    เป็นอันว่าการเดินทางไปอินเดียคราวนี้ จะเห็นได้ว่าหลักสูตรพระพุทธศาสนาในประเทศไทยครบถ้วนมากกว่าในประเทศอินเดีย และพระไทยที่ไปศึกษาที่อินเดีย ถ้ามีผลทั้งปริยัติและปฏิบัติ ก็จะเป็นประโยชน์มาก การไปคราวนี้จะได้ศึกษาวัตถุจากอินเดีย ไม่มีความสำคัญ ความสำคัญอยู่ที่พระธรรมขององค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เป็นมูลค่าที่ได้ทำประโยชน์ให้วัดไทยพุทธคยา นอกจากถวายค่าภัตตราหารพระ และปัจจัยกันแล้ว ก็มีสิ่งของที่ทำการก่อสร้างเป็นถาวรไว้ มีเครื่องสูบน้ำ สร้างเครื่องกำเนิไฟฟ้า ถวายผ้าไตรกับพระสงฆ์ประมาณ ๖๐ ไตร ถวายอาหารและปัจจัยแก่พระที่วัดไทยพุทธคยา นอกจกนั้นได้แจกอาหารแห้ง และสิ่งของให้กับนักเรียนไทยที่ไปศึกษาที่อินเดีย ได้มาช่วยเหลือให้ความสะดวกแก่คณะของเรา และทุกคนก็ได้มาฝึกมโนมยิทธิได้กันเกือบทุกคน ก่อนที่จะออกเดินทางจากประเทศไทย ได้มีท่านผู้ทรงความดีสงเคราะห์พ่อด้วยการเงินเป็นจำนวนมาก เป็นอันว่าเงินที่ทุกท่านให้ไป ถ้าหากว่าจะใช้เฉพาะพ่อคนเดียวก็เหลือเฟือ ฉะนั้น เงินจำนวนนี้ทั้งหมดพ่อเอาไปแล้วก็เลยไม่ได้นำกลับมา ถวายพระที่วัดไทยพุทธคยาหมด รวมแล้วเห็นว่าจะเป็นการทำบุญเกิน ๖ หมื่นบาท นี่เป็นอันว่าได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ในการเดินทางไปอินเดียครั้งนี้

    ทุกครั้งที่พ่อทำการบันทึกเสียง ขณะที่พ่อพูด พ่อเหนื่อยมาก เพราะตรากตรำงานมาทั้งวัน เวลาที่พ่อพูด ใจก็ยังสั่นระริก ร่างกายก็ยังงง เกือบจะทรงตัวไม่ไหว และพ่อก็เกรงว่า ร่างกายของพ่อมันจะทนต่อการใช้งานไม่ไหหว อาจจะต้องจากลูกไปวันใดวันหนึ่งก้ได้ เรื่องของชีวิตและเรื่องของขันธ์ ๕ ขอลูกรักของพ่อจงอย่าสนใจกับมันมากนัก เพราะว่าร่างกายมันเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ถ้าเราจะไปยุ่งคิดว่ามันเป็นเรา เป็นของเราอยู่ตลอดเวลา มันก็จะเป็นทุกขัง คือ อารมณ์ใจจะเป็นทุกข์ แต่อย่าลืมว่า ในที่สุดมันก็เป็นอนัตตา คือ ตายในที่สุด ความแก่ของพ่อเป็นตำราที่ดีของลูก ความไม่เที่ยงแท้แน่นอนในขันธ์ ๕ ของพ่อ ก็เป็นตำราที่ดีของลูก และก็ในที่สุด พ่อถูกด่า ถูกว่า ถูกนินนทา ถูกตำหนิ ถูกตำหนิ ถูกโจมตี ก็เป็นตำราที่ดีของลูก ของลูกรักทั้งหมดจงอย่าสนใจกับคำนินทาและสรรเสริญ ลูกรักของพ่อทุกคนจงจำไว้ว่า ถ้าร่างกายมันยังมีอยู่ จงอย่าปรารภตนว่าเป็นคนดี เพราะสิ่งที่เราเกาะอยู่นี่มันเลว คือ ขันธ์ ๕ ได้แก่ ร่างกาย มันสกปรก มันทั้งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลง มีการป่วยไข้ไม่สบาย มีการตายในที่สุด ร่างกายมันเป็นส่วนรับทุขเวทนา ฉะนั้น ขอลูกรักทุกคนจงอย่าสนใจกับร่างกายของตนเองและของบุคคลอื่น คำว่าไม่สนใจหมายความว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็เลี้ยงดูมันไปตามสภาพ มันหิวก็ให้มันกิน มันร้อนก็หาของเย็นให้ มันหนาวก้หาของอุ่นให้ และจงบอกกับมันว่า เอ็งตายคราวนี้ ฉันเลิกคบเอ็งละนะ ทั้งนี้ เพราะเอ็งไม่ดีเลย เอ็งมันเลวมาก ประคับปะคองเท่าไร เอ็งก็ไม่ตามใจข้า ถ้าภาษาไทยชัดๆ ก็พูดว่า เมื่อมึงไมตามใจกู กูก็ไม่คบมึงอีกต่อไป

    เวลานี้การเดินทางทุกครั้งของพ่อ ถึงแม้บางครั้งจะไปพักผ่อนก็ตาม พ่อก็หมดสนุกซะแล้วลูกรัก น้ำใจของพ่อจริงๆ อยากจะให้ลูกชายและหญิงของพ่อทุกคน ที่มีความเหน็ดเหนื่อยอยู่แล้วได้ท่องเที่ยวมาดูภูมิประเทศ และก็เพื่อที่จะจำไว้ว่า ที่ใดจะเป็นที่พักของเราได้บ้าง เพราะว่าวันหนึ่งข้างหน้า งานของเราจะต้องมีทำต่อไป ความสุขรื่นเริงใจจริงๆ ของพ่อก็คือ

    ๑. ถ้าเห็นลูกรักทั้งหมดของพ่อ มีจิตเมตตาปราณี ปราถนาสงเคราะห์คนและสัตว์ให้มีความสุข

    ๒. เห็นลูกบริบูรณ์ไปด้วยศีลาจารวัตร

    ๓. ลูกของพ่อรู้จักตัดนิวรณ์ ๕ ประการ

    ๔. ลูกมีกำลังจิตเข้าประหัตประหาร สร้างสังขารุเบกขาญาณให้เกิด

    ที่พ่อมีความรื่นเริง มีกำลังกายกำลังใจ ทำได้ทุกอย่างก็เพราะลูกทุกคนของพ่อเป็นคนดี อยู่ในโอวาทขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้นลูกทุกคนจึงเป็นที่รักของพ่อ ใครเขาจะเกลียด ใครเขาจะชังลูก เป็นเรื่องของเขา แต่ว่าพ่อรักลูกทุกคนเสมอกัน ต้องการอย่างเดียวคือ จะนำทางใ ห้ลูกพ้นทุกข์ เข้าไปหาความสุข ที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่มีความหนักใจแม้แต่นิดเดียว นั่นคือ พระนิพพาน

    เพราะความดีของลูกของพ่อทุกคน ทั้งลูกหญิงลูกชาย ตลอดจนกระทั่งลูกที่เป็นพระและเณร เป็นคนดีทั้งหมด ภาระทุกอย่างที่พ่อหนักอยู่ เป็นอันว่าทุกคนก็ช่วยกันแบก และแบกจนกระทั่งพ่อคาดไม่ถึง เป็นอันว่าความดีของลูกมันเกินกว่าที่พ่อจะพรรณนาถึงความดี คำว่า เหนื่อยเพื่อลูกจึงไม่มีสำหรับพ่อ มันเหนือความเหนื่อย และเหนือความเบื่อหน่ายของพ่อ ถึงแม้พ่อจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ตาม ไม่มีความสำคัญ เพราะว่าพ่อเห็นว่า ชีวิตของพ่อไม่มีความสำคัญไปกว่าความดีของลูก ลูกของพ่อทุกคนมีความดีเกินไปกว่าที่พ่อจะห่วงใยในชีวิตของพ่อ ทั้งนี้ เพราะว่าลูกของพ่อดีกว่าที่พ่อคิดไว้ว่า ลูกจะพึงดี ลูกทุกคนรักพ่อ ลูกทุกคนยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อพ่อ ลูกทุกคนพยายามสละผลประโยชน์ทุกอย่างเพื่อพ่อ พ่อเห็นใจลูกที่ทิ้งการงานทุกอย่าง ยอมเสียสละทุกอย่างมาทำงานในศูนย์เพื่อสาธารณประโยชน์ มีน้ำใจเสมอด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และมีน้ำใจเสมอด้วยน้ำใจของพ่อ ความดีของลูกนี้เป็นปัจจัยให้พ่อรักลูกทุกคนยิ่งกว่าชีวิตของพ่อ ฉะนั้น ขอบรรดาลูกทุกคน จงรักษาความดีของลูกไว้ เหมือนเกลือรักษาความเค็ม ชีวิตและร่างกายของพ่อไม่มีความสำคัญ ถ้าห่วงมันมาเท่าไร ประโยชน์ที่ลูกจะพึงได้ ก็จะน้อยไปเท่านั้น เพราะวันเวลาที่เราพึงจะตาย เราห้ามมันไม่ได้ มันมีเวลาแน่นอน พ่อไม่อยากจะจากลูกไป พ่อรักลูกทุกคน พ่อสงสารลูกทุกคน เห็นน้ำใจของลูก แต่ลูกรัก ขันธ์ ๕ พ่อห้ามไม่ได้

    ฉะนั้น สิ่งใดก็ตามถ้าเป็นประโยชน์แก่ลูก พ่อจะทำทุกอย่างเพื่อลูกของพ่อ และพ่อจะไม่ห่วงใยอาลัยในชีวิตของพ่อ ถึงแม้ว่าเลือดและเนื้อของพ่อ จะเหือดแห้งไปก็ตามที หรือว่าชีวิตตินทรีย์ของพอจะสลายไปก็ตาม พ่อทำทุกอย่างได้เพื่อลูก

    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายทรงบรรลุแล้วก็ดี ขอบรรดาลูกแก้วทั้งหมดของพ่อ จงปรากฏมีผลเช่นเดียวกับพระอรหันต์ทั้งหลายในชาติปัจจุบันนี้เถิด

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1024093/[/MUSIC]​

    *
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กันยายน 2010
  10. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    [​IMG]

    อภิวาท วันทา

    อนุโมทนา สาธุ...สาธุ...สาธุ...

    อนุโมทามิ

    [​IMG]
     
  11. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260

    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p>สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p

    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
    www.tangnipparn.com
    <O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา </O:p>
    *
    [​IMG]</O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2010
  12. นภัสดล

    นภัสดล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +433
    ขอบคุณที่ได้นำเรื่องดี ๆ มาให้อ่าน เป็นสิ่งสำคัญมาก..ขออนุโมทนา สาธุ ...
     
  13. ข้ามากะพระ

    ข้ามากะพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +2,013
    ขออนุโมทนา สาธุกับผู้ถอดคำบรรยายหลวงพ่อ ..
    เราเป็นนักศึกษาไทย ม.มคธคนหนึ่งที่ได้มีบุญกราบหลวงพ่อ
    ขณะที่ท่านไปจาริกที่วัดไทยพุทธคยา และวนเวียนอยู่ใกล้ๆ
    ลูกศิษย์ของหลวงพ่อเพื่อคอยช่วยเหลือตามสมควร..สาธุ
     
  14. Pra_THoNG

    Pra_THoNG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +739
    อนุโมทนา สาธุ ในการทำมหากุศลครั้งยิ่งใหญ่ครับ

    ขอกราบนมัสการ สมเด็จพระประทีิปแก้ว และหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ด้วยเศรียรเกล้า
     
  15. justonelife

    justonelife เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +190
    ...หากแม้นยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่าไม่รู้ไม่มีในสิ่งที่ดีจงอย่างได้บังเกิดขึ้น...เป็นจริงดั่งคำภวานาทุกประการครับ...ขอบคุณมากครับสำหรับเรื่องดีๆที่มีให้อ่านให้รู้ให้ศึกษาเสมอมา อนุโมทนาสาธุด้วยครับ
     
  16. Tanunchapat

    Tanunchapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +3,191
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ

    ขอบพระคุณสำหรับสาระความรู้ดีๆ ที่นำมาให้อ่านครับ
     
  17. greenoak

    greenoak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2011
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +34
    กราบอนุโมธนาสาธุด้วยคนคะ ถ้าจะขออนุญาตอาจจะเอาไปพิมพ์แจกจะได้ไหมคะ
     
  18. Senseless guy

    Senseless guy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +991
    กราบโมทนา สาธุ สาธุ ขอท่านจงเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ
    ขอบพระคุณสำหรับธรรมทาน อ่านแล้วได้ความรู้มากๆเลยค่ะ
     
  19. sabainang

    sabainang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +139
    ขอกราบอนุโมทนา สาธุสาธุสาธุ

    ระหว่างอ่านไม่ทราบว่าตั้งไว้หรือไร มีข้อความบางจุดกระพริบ 2 ครั้ง

    อ่านแล้วซาบซึ้งมากมาย

    สาธุ
     
  20. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,019
    ขอโมทนาสาธุ กราบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม กราบพระศรีอาริยเมตไตรย กราบพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ กราบพระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ กราบพระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย กราบหนึ่ง กราบสอง กราบสาม กราบสี่ กราบห้า กราบหก [www.marateebook.com]
     

แชร์หน้านี้

Loading...