อุบายวิธีแก้จิตไม่ให้ท้อถอยในการบำเพ็ญ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 13 พฤษภาคม 2011.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    วันนี้ จะได้เล่าประวัติของพระพุทธเจ้าโดยย่อ เป็นเครื่องต่อสู้อุปสรรคที่มันจะเกิดขึ้นกับพวกเรา ทีนี้จะได้เล่าถึงอุปสรรคการออกทรงผนวชของพระพุทธเจ้าให้ฟัง เมื่อพระองค์ประสูติจากพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายา พระเจ้าสุทโธทนะมหาราช ทรงเห็นพระราชกุมารแปลกว่ามนุษย์ธรรมดา พระองค์มีความสงสัยในพระทัย ต่อมาพระองค์ได้ทรงเชิญพราหมณ์ ๘ คน มาพิจารณาลักษณะของมหาบุรุษพราหมณ์ทั้ง ๗ ได้พยากรณ์เป็น ๒ นัย คือ นัยหนึ่งเขาบอกว่าถ้าพระองค์เป็นฆราวาสจะได้พระเจ้าจักรพรรดิ์ เมื่อพระองค์ทรงผนวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้า มีอัญญาโกณทัญญะพราหมณ์ ผู้เป็นอันดับ ๘ ได้พยากรณ์เป็นคติอันเดียวว่า เมื่อพระราชกุมารทรงเจริญวัยขึ้น จะได้ทรงผนวชเป็นพระพุทธเจ้า

    เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช ผู้เป็นบิดาได้ทรงฟังคำพยากรณ์อย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงพิจารณาถึงประโยชน์ เมื่อพระราชกุมารได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ประโยชน์ที่พระองค์ทรงได้มีอะไรบ้าง เมื่อพระองค์ออกทรงผนวช ประโยชน์ที่ได้มีอะไรบ้าง แต่พระองค์เข้าพระทัยไม่ถึงในการที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์เข้าพระทัยในการเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงทรงมีความปราถนาอยากให้พระราชกุมารนั้นเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ พระองค์จึงได้ทรงหาช่องทางป้องกันการที่จะทรงผนวชของมหาบุรุษนั้น จึงได้ตรัสถามอุบายของพราหมณ์ว่า เมื่อพระราชกุมารทรงเจริญวัยขึ้นจะออกผนวชนี้ด้วยเหตุใด และจะป้องกันได้อย่างไร พราหมณ์จึงกราบทูลว่า พระองค์จะได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูต เมื่อพระองค์ได้ทรงเห็นเทวทูตก็จะออกทรงผนวช พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงหาวิธีป้องกัน มิให้พระราชกุมารนั้นออกทรงผนวช โดยสร้างปราสาทเป็นที่อยู่อาศัยให้เหมาะสม ทรงเลือกสรรสาวสนมกำนัลในที่มีรูปสมบัติ และคุณสมบัติ มาเพื่อบำรุงบำเรออะไรต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเครื่องป้องกัน

    ที่เล่ามานี้ เพื่อต้องการให้เข้าใจว่า อุปสรรคเครื่องขัดขวางและสิ่งกางกั้นในการที่ทำความดีของแต่ละท่านย่อมมีอยู่อย่างนั้นเป็นธรรมดา แม้แต่พระมหาบุรุษผู้ถึงพร้อมด้วยพระบารมีก็ยังมีอยู่อย่างนี้ เมื่อพระองค์ได้โอกาสดีพระองค์ก็ออกทรงผนวช ก็ยังมีบุคคลทั้งหลายพูดกันต่าง ๆ นานา ตามแต่ทัศนะของบุคคล บางคนก็หาว่าพระราชบุตรของพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช เป็นกาลกิณีบุคคล บางคนก็วิพากย์วิจารณ์ไปนานับปการเหลือที่จะพรรณนา แต่แล้วพระมหาบุรุษผู้ออกทรงผนวชได้แล้ว ก็ได้ทรงตั้งใจประพฤติปฏิบัติตปธรรม ในสำนักบรรดาอาจารย์ต่าง ๆ อยู่เป็นเวลาถึง ๖ พรรษา ก็หาสำเร็จไม่ ที่ได้อธิบายมานี้อยากจะให้เข้าใจว่ามีอยู่ ๒ ประการ คือ

    ๑. ผู้ที่มีบารมีอันเต็มเปี่ยม ไม่น่าจะมีอุปสรรคแต่ก็มี

    ๒. เมื่อพระองค์เป็นผู้ทรงสร้างพระบารมีอันเต็มเปี่ยมแล้ว การตรัสรู้ของพระองค์ไม่น่าจะลำบากเลย แต่ทำไมจึงได้ดำเนินทำทุกรกิริยาอยู่ถึง ๖ พรรษา ก็ไม่เป็นไปเพื่อตรัสรู้เลย ต่อเมื่อพระองค์มาพิจารณาถึงช่องทางที่พระองค์ทรงดำเนินและสิ่งที่ทรงปรารถนา สิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาก็คือว่า พระองค์ทรงหาช่องทางทำลายเสียซึ่งภพของจิต หรือหาช่องทางปรับปรุงจิตให้เป็นปกติ หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งให้ถึงซึ่งวิสังขารของจิต

    ความปรารถนาอันนี้ของพระองค์มีอยู่อย่างนี้แล้ว พระองค์จึงได้หาช่องทางดำเนิน วิธีที่ดำเนินนั้นพระองค์เป็นผู้กำหนดถึงเรื่องภพก่อนว่า การสืบภพของจิตมันสืบอย่างไร มันต่อกันอย่างไร พระองค์พิจารณาได้รู้กระแสของจิตที่สืบต่อภพ โดยเดินไปตามสัญญาอารมณ์ พูดมาถึงเพียงนี้พวกเราก็คงเข้าใจ สำหรับพวกเราทุกท่านก็คงมองเห็นอย่างจิตของพวกเราทุกท่านที่ประหวัดไปในสัญญาที่ผ่านมาแล้ว ในคำพูดที่เราพูดมาแล้วตั้งแต่อดีต ดีก็ดี ชั่วก็ดี สิ่งที่มีสาระและไม่มีสาระก็ดี จิตของเราย่อมประหวัดเข้าไปสู่สัญญาอารมณ์เหล่านั้น เมื่อจิตของเราประวัดเข้าไปสู่อารมณ์เหล่านั้น ให้คุณหรือโทษ คือ ความสุข ความทุกข์ ความเศร้าหมอง ความร่าเริง อะไรเหล่านี้เป็นต้น อาการที่จรและประหวัดไปอย่างนั้นแหละเรียกว่า จิตเดินเข้าไปสู่ภพ คือ ภพของจิต

    จะอธิบายให้เข้าใจอย่างง่าย ๆ ที่สุด อย่างบุคคลที่จะมรณะ เมื่อจิตของเขาประหวัดไปถึงอารมณ์อย่างไร การเคลื่อนไหวไปสู่ภพก็ต้องเป็นไปตามอาการอย่างนั้น สมมุติอย่างบุคคลผู้มีจิตอันเศร้าหมอง ในเมื่อคิดไปสู่อารมณ์ที่ไม่ดีแล้ว คติภพที่ไปก็ไม่ดี เมื่อบุคคลผู้มีจิตประหวัดไปในทางที่ดี คือในสิ่งที่ตัวทำดีหรือนึกถึงสิ่งที่เราประกอบไว้ เป็นไปเพื่อการทำประโยชน์ที่ดีเป็นกุศล จิตของเราก็ปีติยินดีต่อกุศล

    ที่เล่าสู่ฟังก์เพื่อให้เข้าใจว่าอาการที่ประหวัดไปของจิตอย่างนี้เรียกว่า “จิตเดินเข้าไปสู่ภพ” เมื่อพระองค์มารู้อาการที่จิตเข้าไปสู่ภพอย่างนี้ พระองค์จึงได้สร้างกำลังของตปธรรม คือ สติ ดังนี้ขึ้นมายับยั้งเป็นปฐมก่อน เมื่อจิตประหวัดเข้าไปสู่อารมณ์ พรองค์ก็ต้องยับยั้งอยู่ด้วยความเฉลียวระลึกรู้แล้วพิจารณาถึงโทษคุณ ในอาการที่ประหวัดไปนั้น เมื่อมันประหวัดไปอย่างนี้ มันจะให้สุขอย่างนี้ ให้ทุกข์อย่างนี้ ให้โทษอย่างนี้ ให้คุณอย่างนี้ มีผลเสียผลได้อย่างนี้ ในเมื่อสติเข้าไปยับยั้งแล้ว ปัญญาที่วิจารณ์ดังกล่าวแล้วนี้ จะต้องปรากฏมีมาในอันดับที่สองเพราะเหตุนั้น พระองค์จึงได้ทรงสร้างสติตัวนี้ยับยั้งจิตของท่าน ในเมื่อมันจะประหวัดเข้าไปสู่ภพ พยายามกระทำจนชำนิชำนาญ จนสามารถล็อคคอจิตไว้ได้ด้วยกำลังตปธรรมชนิดนี้แล้ว พระองค์ก็มองเห็นประโยชน์ว่า ในเมื่อรั้งจิตไว้อย่างนี้ด้วยกำลังตปธรรมชนิดนี้แล้ว ย่อมให้ผลดี คือ ความรู้ ความเข้าใจ ในการเคลื่อนไหวของจิตที่แสดงเข้าไปสู่ภพดังนี้ ความทุกข์หรือความเข้าใจย่อมปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ เป็นลำดับต่อไป

    เมื่อพวกเราเข้าใจถึงอุบายวิธีที่พระองค์หาช่องทางทำลายภพของจิตนี้ พวกเราผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ก็ต้องพยายามสร้างสติ พิจารณาจิตของเราที่ประหวัดเข้าไปสู่ภพอย่างพระองค์ เมื่อเรามีสติคอยล็อคหรือรั้ง หรือค้านจิตของเราไว้ ไม่ให้จิตของเราประหวัดเข้าไปสู่ภพโดยธรรมชาติธรรมดา ด้วยกำลังของสติอย่างนี้เสมอแล้ว พวกเราทุกท่านสามารถที่หาช่องทางกางกั้นของจิต หรือกางกั้นจิตไม่ให้ไหลไปสู่ภพได้อย่างพระองค์ เมื่อสามารถรั้งหรือล็อคจิตไม่ให้ไหลสู่ภพเช่นนี้ จิตย่อมจำนนและอยู่ในอำนาจของตปธรรม คือ สติ อย่างที่พรรณนาสู่ฟังแล้ว

    เมื่อเราสามารถบังคับหรือปฏิวัติจิตของเราได้อย่างนี้เต็มที่แล้ว อาการทั้งหมดที่จิตสั่งบัญชาออกมานั้น เราก็มีความสามารถที่จะรั้งหรือบังคับไว้ด้วยอำนาจของตปธรรมนี้เหมือนกัน เพราะอาการทุกอย่างที่แสดงออกมาในทางกายและวาจา มันไม่ได้เป็นไปตามธาตุขันธ์ของแต่ละส่วน มันต้องอาศัยอำนาจจิตเป็นผู้สั่งและบัญชา อาการที่แสดงทั้งหลายเป็นไปด้วยอำนาจของจิตสั่ง เมื่อหากพวกเราสร้างกำลังของสติเข้าไปยับยั้งจิตของพวกเราแล้ว อาการทั้งหมดที่เคลื่อนไหวออกไป เป็นไปโดยทางกายและวาจาก็ตามย่อมไม่เป็นไปโดยธรรมชาติ จะต้องอาศัยสติตัวเฉลียวรู้นี้เป็นตัวรั้งไว้ก่อน แล้วจึงใช้ปัญญาวิจารณ์ถึงโทษและคุณ ถึงผลเสีย ผลได้ต่อไป สมควรหรือไม่สมควรย่อมต้องญัตติด้วยกำลังของปัญหา

    จะยกเหตุผลให้พวกเราได้เข้าใจ สมมุติว่าพวกเราผู้มองเห็นไฟ เราคุ้ยเคยอยู่กับไฟ เรารู้จักคุณโทษของไฟได้ดี เมื่อมองปั๊บเราก็รู้ว่า ถ้าเราจับเข้าไปจะให้โทษอย่างนี้ ๆ คุณค่าของไฟเป็นอย่างนี้ ๆ โดยที่เรามิได้พิจารณากำหนดแต่เรารู้เอง อาการที่ว่องไวเป็นไปนี้เรียกว่า “ชวนะ” ต้องอาศัยความคุ้ยเคยฉันใดก็ดี ในเมื่อเรามีสติเข้าไปรับรู้ในอาการเคลื่อนไหวของจิตอยู่เสมออย่างนั้น เราก็รู้เรื่องโทษและคุณ ในเมื่อจิตเคลื่อนไปอย่างนั้น เหมือนกับที่เรามองเห็นไฟ เมื่อหากอาการของจิตที่เคลื่อนไปอย่างนี้เรารู้ชัดในโทษและคุณ แล้วอาการปล่อยวางอารมณ์ของจิต ก็เหมือนกับเรา ไม่มีความสามารถจะเอื้อมมือเข้าไปจับไฟฉันนั้นเหมือนกัน และเมื่อเรามองเห็นประโยชน์ในการที่จิตเคลื่อนไปอย่างนี้ เมื่อประกอบและดำเนินไปจะมีคุณค่าประโยชน์อย่างนี้ จิตก็ไม่มีช่องทางใดที่จะมาค้านในอาการคิดอย่างนั้น ย่อมสามารถจะทำไปได้ เพราะจิตยอมจำนนกำลังของตปธรรมอยู่แล้ว
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อุบายวิธีแก้จิตไม่ให้ท้อถอยในการบำเพ็ญ (ต่อ)

    สมมุติอย่างพวกเราที่จะทำอย่างนี้ ๆ บางทีไม่มีความสามารถกระทำลงไปได้ เพราะอาการของจิตมันเปลี่ยนแปลงอาการที่เป็นอยู่อย่างนี้ เนื่องจากจิตไม่จำนนของกำลังตปธรรมนั่นเอง เมื่อพวกเรามีความสามารถสร้างกำลังชนิดนี้เข้ามาบังคับจิตแล้ว สิ่งทั้งปวงที่เรามองเห็นว่าจะเป็นไปเพื่อคุณค่าประโยชน์สามารถที่จะน้อมจิตกระทำไปได้อย่างง่ายดาย ไม่มีทางใดที่จิตจะลุกขึ้นมางอแงต่อสู้กับอาการที่รู้เห็นอันนั้นเลย เมื่อหากพวกเราดำเนินให้เป็นไปอย่างนี้ ประโยชน์มีอยู่ ๒ ประการ คือ

    ๑. เป็นผู้หักห้ามทำลายซึ่งภพของจิต หรือกางกั้นจิตไว้ไม่ให้ถึงภพ

    ๒. เป็นการทรมานหรือปฏิวัติซึ่งจิตของเราไม่ให้เป็นไปตามธรรมชาติ

    นี่พูดถึงประวัติของพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งปฏิปทาที่พวกเราจะได้ดำเนินให้เป็นไป ทีนี้มานึกถึงคุณค่าประโยชน์อันที่ประพุทธเจ้าดำเนิน เมื่อพระองค์เป็นผู้มีขัติธรรม ต่อสู้เหตุการณ์ภายนอกและภายใน พวกเราทุกท่านให้ลองนึกถึงพระพุทธเจ้า ความเป็นอยู่ของพระองค์ และการกล้ายอมเสียสละ พร้อมทั้งขันติธรรมของพระองค์ที่ต่อสู้กับเหตุการณ์ต่าง ๆ พระองค์มีความสุขอย่างที่พวกเราทุกท่านได้เห็น หรือได้ฟังในพุทธประวัติ พระองค์มีความสุขเหลือเกิน แต่พระองค์มาพิจารณาถึงเรื่องความสุขที่เป็นไปในทางกาว เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค หรือ ความสุขที่เป็นไปในทางโลกีย์ พระองค์มองเห็นความสุขอันนี้ไม่เป็นว่าจะมีความสุขยืดยาวสักแค่ไหน ความสุขอันนี้จะประกอบให้เราได้รับเพียงแค่ที่มีชีวิตอยู่ ในเมื่อมรณภาพแล้ว ความสุขอันนี้จจจะติดตามไปไม่ได้

    เมื่อพระองค์มาพิจารณาอย่างนี้แล้ว พรองค์จึงกล้ายอมเสียสละออกทรงผนวช พร้อมทั้งพระองค์มาทรงพิจารณาถึงคุณค่าประโยชน์ อันที่พระองค์ได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ประโยชน์ที่พระองค์จะดำเนินไปนั้น ย่อมจะแผ่ไพศาลไปยังสัตว์และบุคคลทั้งหลาย ให้ได้รับความสุขตามพระองค์ พระองค์จึงกล้าออกทรงผนวช แต่เมื่อพูดถึงอุปสรรคอันตรายต่าง ๆ พระองค์ไม่น่าจะดำเนินให้เป็นไปได้ แต่แล้วพระองค์ผุ้ทรงมีขันติธรรมอย่างแรงกล้า จึงสามารถดำเนินประโยชน์อันนี้ให้สำเร็จไปได้

    เพราะฉะนั้น พวกเราทุกท่านต้องหาช่องทางพิสูจน์ถึงประวัติของพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งหาช่องทางสร้างกำลังของขันติธรรมอันนี้มาต่อสู้เหตุการณ์ต่าง ๆ บางคนเขาอาจพูดเยาะเย้ยเราว่า เราเป็นผู้มีความสุขไม่น่าจะออกมาอย่างนี้ มันเป็นเพราะกรรมอะไรเหล่านี้ เขาอาจจะพูดได้ แต่ในเมื่อเราไม่มีขันติธรรมและไม่พิจารณาถึงคุณค่าประโยชน์ที่ดวเรายอมเสียสละออกมาปฏิบัติและเมื่อเราได้ความดีสมดังปรารถนาของเราแล้ว ความสุขของพวกเรา เราเองย่อมเป็นผู้ได้รับดังนี้ และอาจสามารถนำประโยชน์อันนี้แผ่ไพศาลไปยังหมู่คณะที่ต้องการ

    เมื่อเราพิจารณาถึงคุณค่าประโยชน์อย่างนี้ เราไม่ต้องฟังเสียงบุคคลที่พูดเยาะเย้ยเหล่านั้นเลย ตลอดจนกำลังของกรรมทั้ง ๒ ที่นำพา บางทีกรรมดี คือ บารมีธรรมของพวกเราเข้ามาบันดาล เราจะทำอะไรเป็นไปด้วยความสะดวกสบาย อาการที่ทำอะไรไปทั้งหมดไม่บกพร่อง บางทีอกุศลที่เราประกอบไว้มันมีกำลังเข้ามาบันดาล ทำอะไรก็รู้สึกว่าไม่สะดวกสบายทางร่างกายก็อาจจะมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน สิ่งกระทบต่าง ๆ ที่เป็นส่วนภายนอกก็อาจจะมี เมื่อเราไม่มีขันติธรรมหรือไม่พิจารณาวิจารณ์ถึงประโยชน์ดังกล่าวมาแล้วนั้น พวกเราทุกท่านก็อาจจะท้อใจ น้อยใจ หรืออาจจะถอยอะไรเหล่านี้ เป็นต้น

    เมื่อพวกเรามาพิจารณาถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระราชบิดา ซึ่งพวกเราจะดำเนินตามรอยพระยุคลบาทของพระองค์ พวกเราก็ต้องหาช่องทางพิจารณาพิสูจน์เอาอุบายเหล่านี้มาแก้จิตใจของพวกเรา ในเมื่อกำลังกรรมทั้ง ๒ มันเข้ามาบันดาลซึ่งเป็นไปในส่วนอกุศลกรรม เราย่าท้อแท้ อย่าน้อยใจ ให้นึกว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้มีพระบารมีอันยิ่งใหญ่ ในเมืองพระองค์ออกทรงผนวช พระองค์ก็มิได้ทรงสะดวกสบาย รู้สึกว่ามีอุปสรรคขัดข้องหลายสิ่งหลายอย่าง นับแต่พระราชบิดาหาวิธีป้องกันมิให้พระองค์ออกทรงผนวช โดยนึกถึงคุณค่าประโยชน์ในการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าไม่ถึง ว่าจะได้ประโยชน์กว้างขวางอะไร มองเห็นเพียงแค่ใกล้ ๆ ว่าเมื่อพระองค์ได้เป็นพระเจ้าจักพรรดิ์แล้วก็มีหน้ามีตา ความสุข ความเจริญ ของพระมหาบุรุษที่เป็นพระราชบุตรของเรานี้ จะได้รับผลประโยชน์อย่างนี้ ๆ มองเห็นเพียงแค่นี้ ด้วยความมองเห็นการณ์ไกลของพระองค์ จึงได้หาอุบายวิธีป้องกัน

    อุปสรรคอันตรายทั้งหมดเหล่านี้ของพวกเราก็ได้มองเห็นอยู่ชัด ๆ เราก็ต้องพิสูจน์พิจารณาอย่างพวกเราที่มีบารมีแก่กล้าพอสมควร ได้บันดาลให้พวกเราออกบำเพ็ญตปธรรมในป่า โดยไม่ติดและไม่ห่วงใยในวัตถุต่าง ๆ อย่างบรรดาคนทั้งหลายเขาติด หรือบุคคลที่ยังไม่ถึง เขาหาช่องทางดิ้นรนเข้าไปหา หรือบุคคลเข้าถึงแล้วเขาติด เขาจม เขาหมอบ ไม่มีทางใดที่จะหลีกออกจากความสุขมาได้ อันพวกเราผู้มีความสุขอย่างที่ได้มองเห็นกัน อาศัยอำนาจบารมีธรรมของพวกเราช่วยบันดาลไม่ให้พวกเราติดหรือหลงไหลในสิ่งนั้น ให้พวกเราออกมาเสาะแสวงหาสถานที่ประกอบตปธรรม เป็นการสร้างบารมีเพิ่มเติม หรืออาจจะหาช่องทางดำเนินตัวของตัวเองให้หมดภพ หมดชาติ หมดทุกข์ เข้าไปสู่อมตมหานฤพาน “เหลือแต่ดวงจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์” เข้าไปอยู่รวมกับวิญญาณของท่านผู้บริสุทธิ์ ไม่มีความอิจฉาเบียดเบียนซึ่งกันและกัน มีความสุขความเจริญไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่มีโรคมีภัยอะไรต่าง ๆ เหล่านี้

    เมื่อพวกเรามองเห็นคุณค่าบารมีที่บันดาลให้แก่พวกเราทุกท่านมาแล้ว พวกเราอย่าเข้าใจว่าบารมีธรรมของพวกเราที่สร้างสมอบรมมานี้จะบันดาลให้พวกเราสำเร็จเข้าไปสู่มรรคผล โดยไม่ต้องประกอบอะไร เราต้องนึกถึงพระพุทธเจ้าอย่างที่เล่าสู่ฟังว่า เมื่อพระองค์ออกทรงผนวชแล้ว ทำทุกรกิริยาถึง ๖ พรรษา ก็ไม่เป็นไปเพื่อการตรัสรู้ ต่อเมื่อพระองค์ทรงดำเนินถูก จึงเป็นไปเพื่อความสำเร็จมรรคผล

    เพราะเหตุนั้น พวกเราก็เหมือนกันอาศัยบารมีของพวกเราอย่างเดียว แต่เมื่อพวกเราประกอบทางปฏิปทาของพวกเราไม่เป็นไปเพื่อมรรคผล ก็ไม่มีช่องทางใดที่จะเป็นไปเพื่อมรรคผล กำลังของบารมีก็เพียงแค่พวกเรามองเห็นว่า บันดาลไม่ให้พวกเราลุ่มหลงในวัตถุต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้วนั้น

    เพราะฉะนั้น พวกเราที่ต้องการดำเนินเข้าไปสู่มรรคผลนั้น ต้องเอาอย่างพระพุทธเจ้าว่าพระองค์ทรงดำเนินไปอย่างไร ที่พระองค์ปรารถนาต้องการจะทำลายภพทำลายชาติ เพราะภพชาติเป็นสาเหตุใหญ่แห่งความทุกข์ ภพชาติเป็นต้นเหตุสิ่งต่าง ๆ มันมาจากภพทำลายชาติ ภพของจิตอยู่ที่ไหน เมื่อพระองค์พิจารณาเห็นว่าการเดินจนของจิตเข้าไปสู่สัญญาอารมณ์ต่าง ๆ มีความดีใจ มีความเสียใจ ในเมื่อจิตประหวัดไปตามอารมณ์สัญญานั้นเป็นธงของภพชาติ การจรเข้าไปสู่ภพเรียกว่า ทางไต่เต้าเข้าไปหาภพ พระองค์จึงได้สร้างกำลังของตปธรรม คือ ตัวเฉลียวระลึกรู้เป็นเบื้องต้น เข้าไปกางกั้นจิต แล้วใช้ปัญญาพิจารณาถึงประโยชน์ให้เห็นชัด อย่างที่พวกเรามองเห็นไฟดังกล่าวแล้วนั้น จิตของเราจะไม่มีความสามารถเดินเข้าไปสู่ภพ จิตของพวกเราจะไม่ปรารถนาภพ จิตของพวกเราจะปรารถนาความบริสุทธิ์ผุดผ่อง คือ พระนิพพาน

    ด้วยเหตุนั้น พวกเราได้ยินได้ฟังสัมโมทนียกถา โดยอุบายวิธีแนะนำให้พวกเราทุกท่านได้มีความปลื้มปีติในธรรมะที่พระองค์ได้ทรงดำเนินตลอด เล่าถึงเรื่องอุบายวิธีที่พระองค์ทรงหาช่องทางดำเนินเข้าไปสู่การทำลายภพของจิต หรือปฏิบัติจิตไม่ให้เป็นไปโดยธรรมชาติ พร้อมที้งหาช่องทางเอาธรรมะเข้ามาเป็น “วิหารธรรม” ของพวกเรา จะได้เอาธรรมะเข้ามาเป็นเครื่องอยู่ ให้พวกเราได้มีความปลาบปลื้มใจต่อคุณค่าของธรรมะที่พวกเราผู้ประพฤติปฏิบัติตาม เมื่อหากพวกเราได้มีความปลาบปลื้มใจแล้ว และเข้าใจแล้ว จงพากันหาช่องทางดำเนินประพฤติปฏิบัติตามพวกเราทุกท่านก็จะได้รับความสุข ความเจริญงอกงามไพบูลย์ในบวรพระพุทธศาสนาต่อไป เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้ฯ




    www.khaosukim.org/dharma/ubai_t_bumpen.html
     
  3. monsy

    monsy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +341
    อนุโมทนาค่ะ ใช่เลยค่ะยิ่งตั้งใจมุ่งมั่นเท่าไรก็จะมีเหตุให้เราท้อถอย บางครั้งมันทำใหเลงเลในสิ่งที่รู้สึกเพราะรอบกายเราไม่ได้มีคนเห็นชอบด้วย แต่ถ้าใช้สติมากขึ้นพิจารณาแบบเป็นธรรมอะไรดีก็คงไว้อะไรไม่ถูกก็ยอมรับแก้ไข
     
  4. wayokasin

    wayokasin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +277
    สุดยอด ครับ จากนี้ไปจะไม่ท้อแล้วครับ จะโดนด่า โดนหาว่า บ้า ว่าเพี้ยน ก็ช่างเขา ปะไร
    เรารู้ว่าเราสร้างบารมีเพื่อเกื้อกูลสรรพสัตว์ในภายหน้า
    โพธิญาณ โพธิบารมี
    :cool:
     
  5. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ขอบคุณครับ... ธรรมทั้งหลายมีใจนำจริงๆ
     
  6. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +2,882
    ท้อบ่อยเหมือนกัน แต่ก็สู้ต่อไป ต้องผ่านการสอบให้ได้
     
  7. yokine

    yokine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2007
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +602
    ครับ เคยเป็นเหมือนกันครับ -*- มันเหมือนไฟมอด ไม่เหมืนตอนที่สนใจในธรรมในช่วงแรกๆเท่าไหร่เลย แต่ก็ยังสู้อยู่นะครับไม่ท้อครับ

    สำหรับผมผมคิดว่ามันคล้ายๆ การที่เรากิน ยารักษาโรค นะครับเวลากินถ้ากินไมต่อเนื่อง กินไม่ตรงเวลา ซึ่งเปรียบกับการที่เราปฏิบัติย่อหย่อน ปฏิบัติไม่ได้เหมือนแรกเริ่มเดิมที กิเลศ และความเกียจคร้าน มันก็จะสร้างภูมิคุ้มกัน มาแข่งกับเรา จากกิเลศตัวเดียวกัน แต่ก่อนพิจารณา เกิดขึ้นและดับไปอย่างง่ายๆตอนปฏิบัติธรรมใหม่ๆฟังธรรมอะไรนิดเดียวจิตก็ เบาโล่งสบาย แต่พอ ปฏิบัติเริ่มผิดเพี้ยนเริ่มไม่เข้ารูปเข้ารอยปฏิบัติไม่เป็นเวลา ทำบ้างไม่ทำบ้างย่อหย่อนไปพักหนึ่ง เหมือนกิเลศมันก็สร้างภูมิคุ้มกันตัวเอง ก็เลยต้องอาศัยการพิจารณาที่หนักกว่าเก่า อีก ใช้ปัญญามากกว่าเก่า กิเลศตัวนั้นถึงจะดับได้ -*- ธรรมะ นี่เหมือนยารักษาโรคจริงๆ ถ้าจะให้หายขาดก็ต้องกินตลอด ถ้ายังไม่หายแล้วหยุดกิน โรคก็ดื้อยา แล้วก็ต้องมานั่งรักษาใหม่ด้วยยาที่ แรงกว่าเดิม ^ ^

    __________

    สะพาน
     
  8. จริยากุ

    จริยากุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,314
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ได้ใจจริงๆ ตอนนี้กำลังอยู่ในความเบื่อทางโลกเบื่อทุกข์ เบื่อสุข เบื่อความอยากมีอยากได้อยากเป็น เบื่อความไม่อยากมีไม่อยากได้ไม่อยากเป็น เบื่อความรัก เบื่อความไม่รัก เบื่อความเจ็บ ความจากทั้งจากเป็น จากตาย เบื่อ ลาภยศสรรเสริญ หัวโขน เบื่อนิสัยตัวเองที่ดีเกินไป ที่ไม่ดีเกินไป ตอนนี้เจอทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ พร้อมๆกัน เมื่อ 1 อาทิตย์ก่อนได้ดูพระดำริในหลวงเรื่องการแกล้งดิน ก็เอามาใช้แกล้งตัวเองในการเปลี่ยนนิสัย แต่ก็ยังไม่พอเมื่อ
    ได้อ่าน ทำให้เข้าใจแจ่มแจ้งขึ้น การล็อคกรรมไม่ให้เกิด ไม่สะสมภพชาติ การตะปบธรรมติดพลังหนีกรรม เพื่อเพิ่มพลังการหลุดพ้นให้หลุดจากวิบากกรรมทั้งหลาย เข้าพรรษาปีนี้คงจะได้ลุยสวนธรรมจริงๆจังๆเสียที ขออนุโมทนาหลวงพ่อที่ให้ธรรม ขออนุโมทนาผู้ที่ตั้งใจหลุดพ้นและเพื่อนๆที่อยู่ทางที่ในเส้นทางเดียวกัน สาธุ
     
  9. pimrapat

    pimrapat Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +97
    อ่านกระทู้นี้แล้วรู้สึกดีขึ้น คุณ VANCO ตอนนี้ดิฉันกำลังสับสนหัวใจอยู่มากเลยฉันต้องการกำลังใจต้องการเดินทางต่อไปในการปฏิบัติที่ปกติก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ อยู่แล้ว ขอคำปรึกษาหน่อยนะคะคือดิฉันก็ปฏิบัติธรรมเหมือนคนอื่น ๆ ทั่วไป พยายามถือศีล 5 ให้ครบเพื่อเป็นฐานในการปฏิบัติและให้สัจจะกับตัวเองมาประมาณเกือบ 6 ปีที่ไม่มีเรื่องกามตัณหาชู้สาว แต่เวลานี้มีเรื่องผู้ชายเข้ามามันสับสนจริง ๆ นะคะ สวดมนต์ทำสมาธิ ตี 1 ตี 2 แล้วภาวนาอะไรก็ยังเอาไม่อยู่แต่ไม่เคยคิดล่วงเกินตัวเอง จะทำยังไงดีอสุภก็ยังไม่อยู่ เจ็บใจตัวเองจริง ๆ ใครเคยเจออย่างเราบ้างเนี่ย
     

แชร์หน้านี้

Loading...