การฝึกส่งกระแสจิต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ~:*พนมวัน*:~, 4 กรกฎาคม 2011.

  1. nitigoon2010

    nitigoon2010 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +0
    นำไปใช้ในทางสร้างสรรค์นะคะ
     
  2. zomkiku

    zomkiku เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +141
    ขอบคุณมากๆนะคะ ได้ความรุ้ดีค่ะ
     
  3. ~:*พนมวัน*:~

    ~:*พนมวัน*:~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,214
    คลื่นกระแสจิต คืออะไร?

    มนุษย์ทุกคนย่อมมีพลังงานแห่งจิตอยู่ในตัว เพียงแต่จะช่ำชองมากน้อยแค่ไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการชั่วโมงฝึกฝนและการสั่งสมประสบการณ์

    คลื่นพลังงานที่กล่าวถึงนี้ เป็นคลื่นชนิดหนึ่งที่สามารถใช้ส่งต่อหากันได้ คล้ายคลื่นไฟฟ้าในอากาศ ผู้ส่งไม่จำเป็นต้องนั่งใกล้ผู้รับ ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือรับส่งหรือตัวกลาง และไม่จำเป็นต้องเห็นหน้า ขอเพียงผู้รับๆ เป็น และผู้ส่งๆ เป็น


    [​IMG] [​IMG]



    ทำไมต้องเรียกว่าเป็นคลื่น?

    เพราะกระแสจิตที่กล่าวมานี้มีลักษณะการเดินทาง คล้ายการแผ่กระจายตัวของระลอกคลื่นน้ำ หรือคลื่นเสียง และคลื่นแสง


    ขอแทรกอธิบายวิชาการนิดนึง คลื่นแสงมีอนุภาค phyton มีความเร็ว 300,000 กม.ต่อวินาที นักวิทยาศาสตร์เคยชื่อกันว่า แสงมีความเร็วสูงสุดในโลก ใช้เวลาเดินทางจากดวงอาทิตย์มาสู่โลกเพียงในเวลา 8 นาทีโดยประมาณ


    แต่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์แขนงควอนตัม (พลังงานและอณูสสาร) ยอมรับว่า คลื่นสมองขณะทรงสมาธิจะมีความเร็วเหนือกว่าคลื่นแสง

    เพราะคลื่นสมองขณะทรงสมาธิในขณะที่จิตไม่มีนิวรณ์ จะมีอนุภาพพลังงานแผ่กระจายออกมาเป็นกลาง จึงไม่มีประจุไฟฟ้า สามารถวิ่งผ่านสนามแม่เหล็กหรือพลังงานทั้ง 4 แรงใหญ่ได้โดยไม่การถูกบั่นทอนหรือถูกรบกวน


    [​IMG] [​IMG]


    คลื่นชนิดต่าง ๆ เช่น คลื่นแสง คลื่นเสียง จะมีสมบัติสำคัญ 2 ประการ คือ ความยาวคลื่นและความถี่

    ความแตกต่างระหว่างผู้ส่งและผู้รับกระแสจิต

    การส่งกระแสจิตก็คล้ายๆกับการส่งความคิดถึงไปหากัน ซึ่งเป็นการส่งกระแสจิตในระดับเบาบาง แต่ในทีนี้การจะทำให้กระแสจิตที่ส่งไปนั้นมีพลังเหนือกว่า จำเป็นต้องใช้กำลังของสมาธิหรือแรงมุ่งหวังเป็นตัวขับเคลื่อน

    ยิ่งผู้ส่งอยู่ในระดับสมาธิฌานขั้นสูง คลื่นพลังงานรอบตัวก็แผ่กระจายก็ยิ่งมีความหนาแน่นสูง และความแรงในการส่งกระแสจิตออกไปก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย

    แต่อย่างว่า ถ้าใจของผู้รับเต็มไปด้วยนิวรณ์ จิตเต็มไปด้วยความหยาบที่ไม่ได้รับการฝึกมา ต่อให้ผู้ส่งมีกำลังส่งมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถส่งกระแสจิตทะลวงผ่านเข้าไปถึงจิตใจที่เต็มไปด้วยนิวรณ์ที่ปิดกั้นได้

    และเพราะเหตุนี้ ผู้ที่จะสามารถส่งคลื่นกระแสจิตไปหาบุคคลที่ต้องการ และรับคลื่นกระแสจิตจากบุคคลที่ต้องการได้นั้น จำเป็นต้องมีสมาธิอยู่ในระดับอุปจารสมาธิเป็นขั้นต่ำ

    การส่งกระแสจิตไปย่อมง่ายกว่าการรับกระแสจิตของฝ่ายตรงข้ามมา เพราะเวลาส่งกระแสจิต ผู้ส่งต้องอยู่ในสมาธิระดับอุปจารสมาธิเป็นอย่างต่ำ

    ไม่จำเป็นว่า ผู้ส่งจะต้องทรงอุปจารสมาธิไว้ตลอดเวลาทั้งวัน ขอเพียงตอนส่งอยู่ระดับอุปจารสมาธิเป็นอย่างต่ำก็เพียงพอ อยากจะส่งตอนไหน ตอนนั้นก็เข้าอุปจารสมาธิ

    แต่ในฝ่ายผู้รับกระแสจิตนั้นจะต่างออกไป การจะรับกระแสจิตของฝ่ายตรงข้ามได้ ผู้รับจำเป็นต้องทรงอยู่ในอุปจารสมาธิเป็นอย่างต่ำตลอดเวลา จึงจะสามารถรับกระแสจิตของฝ่ายตรงข้ามได้ทันทีและฉับพลัน เมื่อมีกระแสจิตผู้ใดส่งหรือผ่านมากระทบใจ

    แต่อีกกรณีหนึ่ง ผู้ที่จะรับกระแสจิตได้ ไม่จำเป็นต้องทรงอุปจารสมาธิตลอดเวลาทั้งวันก็ได้ ถ้าผู้ส่งกับผู้รับมีการนัดแนะกันล่วงหน้า เช่น ฉันจะส่งล่ะนะ เธอเตรียมตัวรับด้วย เป็นต้น

    แต่ในการใช้งานจริง จะไม่มีการนัดแนะล่วงหน้ากันแบบนั้น ผู้รับควรมีความพร้อมและสามารถทรงสมาธิได้ตลอดเวลา

    ส่วนกรณีสุดท้าย ผู้ที่จะรับกระแสจิตได้ ไม่จำเป็นต้องทรงอุปจารสมาธิตลอดเวลาทั้งวันก็ได้ ขอเพียงช่วงขณะใดขณะหนึ่งที่จิตเข้าสู่สมาธิระดับอุปจารสมาธิขึ้นไป ก็สามารถรับกระแสจิตย้อนหลังได้เช่นกัน (แต่มันก็เป็นเพียงการรับได้ย้อนหลัง ยังไงการรับได้ฉับพลันทันทีย่อมดีกว่า)

    ในกรณีหลังนี้ ครั้งหนึ่งเพื่อนนักกรรมฐานท่านหนึ่ง ได้เคยส่งกระแสจิตมาให้ฉันตอนบ่าย แต่เพราะช่วงกลางวัน ฉันไปเที่ยวเดินห้างสรรพสินค้าทั้งวัน จึงมารับได้เอาตอนกลางคืน

    อุปมาอุปมัยเ หมือนกระแสน้ำที่ไหลมาจ่อประตูฝายกั้นน้ำที่ถูกปิดอยู่ เมื่อจิตเข้าสู่สมาธิก็คือการเปิดอ้ารับสิ่งต่างๆรอบตัว นั้นก็คือการเปิดประตูฝายให้กระแสน้ำไหลผ่านเข้ามา แต่มันก็เป็นการรับได้ที่ล่าช้าเกินไป ไม่ทันการ

    จะส่งกระแสจิตยังไงและจะรับกระแสจิตยังไง?

    การส่งกระแสจิตมี 2 แบบ คือ การส่งแบบไม่ตั้งใจ และการส่งแบบตั้งใจ


    [​IMG] [​IMG]



    1. การส่งแบบไม่ตั้งใจ หรือไม่เจาะจง

    การส่งแบบนี้คือการที่ผู้ส่งไม่ได้ต้องการจะส่งกระแสจิตไปให้ใคร เพียงแต่ขณะนั้น สภาวะจิตของผู้ส่งกำลังทรงอยู่ในสมาธิ ทำให้เกิดคลื่นพลังงานกระจายเปล่งออกรอบตัว และแผ่กระจายออกไปกระทบจิตของผู้ที่สามารถรับได้ในขณะนั้นพอดี

    เช่นนี้เรียกว่า เป็นการแผ่กระจายคลื่นแบบปรกติ ซึ่งเป็นไปได้ทั้งคลื่นสมาธิทั่วไป คลื่นด้านบวกที่แผ่ออกมาในรูปของคลื่นความเมตตาทรงพรหมวิหาร 4 และคลื่นด้านลบ ที่เรียกว่าจิตสังหาร

    การส่งแบบไม่ตั้งใจ หรือไม่เจาะจง ถ้าเป็นคลื่นสมาธิทั่วไป (ผู้ส่งไม่ได้ทรงอยู่ในพรหมวิหาร 4 และไม่ได้คิดอาฆาตพยาบาทใคร) ถ้าผู้ที่รับได้ มีกำลังสมาธิอ่อนกว่า จะมีผลให้ผู้ที่รับได้เกิดอาการปวดหัวเวียนศีรษะได้ ถ้าคลื่นนั้นมีความหนาแน่นและความถี่สูง

    ในทางกลับกัน ถ้าผู้ที่รับได้มีกำลังสมาธิสูงกว่าผู้ส่ง หรือมีกำลังเสมอกัน อาการเหล่านั้นจะไม่มีปรากฏ กลายเป็นอาการเฉยๆ แทน เรียกว่าคลื่นกระแสจิตมีการหักล้างกัน

    [​IMG] [​IMG]


    2. การส่งแบบตั้งใจ

    การส่งแบบตั้งใจมีทั้งการส่งแบบปรารถนาดี และการส่งแบบมุ่งร้าย จะมีหลายวิธีในการส่ง ถ้าพวกที่เล่นกันแรงๆให้คลื่นมีความเสถียรและหนักหน่วง ส่วนมากมักจะไม่ใช้กำลังของตนเองอย่างเดียว

    แต่จะพึ่งพาสิ่งต่างๆมาเพิ่มความแรงของกระแสคลื่น สิ่งต่างๆที่ว่าก็เช่น การขอกำลังจากครูบาอาจารย์ตามสายวิชาของตน การพึ่งพาวัตถุฯที่ผ่านการเข้าพิธีประจุพลังจิตโดยผู้ที่มีกำลังจิตเข้มแข็ง

    และการรวมกลุ่มกันหลายๆ คน เพื่อรวมกำลังช่วยกันส่งกระแสจิตมุ่งตรงไปยังคนๆเดียว (เพื่อการบำบัดรักษาเยียวยา) อุปมาอุปมัยก็เหมือนกฏการรวมแสงทางวิทยาศาสตร์ (การสอดแทรก)

    เช่น การส่องไฟฉายไปบนกำแพง ลำพังแค่การนำไฟฉายหนึ่งกระบอกไปส่องไฟบนผนังกำแพง แสงอาจจะไม่เข้มเท่าไหร่ แต่ถ้ามีไฟฉายหลายๆกระบอกมาส่องรวมแสงไปที่จุดๆเดียวกันบนกำแพง แสงนั้นก็จะเพิ่มความสว่างขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว

    ส่วนวิธีส่งนั้น โดยปรกติฉันจะถนัดส่งแบบไม่เห็นหน้ากันมากกว่า เพราะไม่ชอบทำสมาธิให้ใครเห็น ขอเพียงเห็นชื่อของอีกฝ่ายที่ปรากฏในสมุด ตามบอร์ดเว็บไซต์ หรือห้องแชทออนไลท์ในอินเตอร์เน็ต


    อะไรก็ได้ที่สามารถใช้ยืนยันการมีตัวตนอยู่จริงของอีกฝ่ายได้แค่นั้นก็เป็นอันพอ บางกรณีก็ใช้เพียงแค่เบอร์โทรมือถือหรืออีเมลล์ก็ได้

    ถ้ายืนยันได้ว่าถูกต้องและเป็นของตัวเจ้าของจริงๆ จะเป็นชื่อปลอมหรือนามแฝงก็ให้ผลเท่ากัน (ถ้าได้เห็นรูปตัวจริงด้วยก็จะดีมาก ส่งตรงถึงตัวได้ง่ายไม่ต้องไปจินตนาการนึกเอง)

    วิธีที่ฉันฝึกให้คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ ในกรณีที่ฝ่ายตรงข้ามที่จะส่งกระแสจิตไปให้นั้น มีเพียงชื่อกับนามแฝง ไม่เคยเห็นใบหน้า หรือไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ฉันจะแนะนำให้คนที่ฉันฝึกให้ นึกชื่อหรือสิ่งแทนตัวผู้รับ


    และจินตนาการให้บุคคลที่ต้องการจะส่งกระแสจิตไปหานั้น เป็นภาพเงาคนสีดำแทน ถ้าไม่ถนัดในการนึกภาพจำลอง จะเพ่งกระแสจิตไปที่เจ้าของชื่อหรือไอดีของคนๆนั้นก็ได้ไม่มีปัญหา

    เพียงแต่ถ้ากำหนดภาพขึ้นมาเป็นรูปตัวแทนมันจะง่ายกว่า (ในความรู้สึก) เหมือนการยิงปืน มันก็ต้องมีภาพเป้าล่อให้ส่องลำกล้องเล็งยิง ยิงโดนหรือไม่โดนมันก็มองเห็นได้ง่ายๆ ประมาณนั้น

    ตัวผู้ส่งจะต้องเข้าสมาธิในระดับอุปสมาธิเป็นอย่างต่ำก่อน (ในกรณีที่ผู้ส่งสามารถทำสมาธิได้สูงกว่าคือระดับปฐมฌานขึ้นไป ก็ให้เข้าระดับสมาธิที่คิดว่าตนเองทำได้สูงที่สุดก่อนแล้วค่อยลดระดับลงมาจนอยู่ในระดับอุปจารสมาธิ)


    แล้วให้รวมสั่งสมกระแสจิตให้เป็นกลุ่มก้อน ส่งพุ่งไปยังจุดกลางหน้าผากที่ของฝ่ายตรงข้ามในทันที เหมือนการยิงปืนควงสว่าน ความแรงของกระสุนปืนขึ้นอยู่กับกำลังของสมาธิ

    การส่งกระแสจิตไปหาเป้าหมายนั้น การส่งไปครั้งแรก ฉันจะส่งไปแบบเหมือนการส่งเล่นๆ เบาๆไม่รุนแรง เหมือนเด็กปาหมอนใส่กัน ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันเวลากระแสจิตที่ส่งไป ถูกดีดสะท้อนกลับมา จะได้ไม่รับผลกลับมารุนแรงนัก เพราะเคยกระอักมาแล้ว ดันไปเล่นพวกที่มีอวิชชาคุณไสย์ที่มีครูบาอาจารย์ของฝ่ายเขากำลังคุ้มกันอยู่


    การส่งเล่นๆ แบบนี้ เรียกว่าส่งเพื่อหยั่งเชิงว่า บุคคลที่เป็นเป้าหมายนั้น มีเกราะป้องกันตัวอะไรบ้าง


    กระแสจิตที่ส่งไปนั้น ทะลวงผ่านเข้าไปได้แค่ไหน เบาบางหรือร้อยเปอร์เซ็นต์ ให้เอาจิตติดตามตรวจดู

    แล้วในกรณีที่อีกฝ่ายมีเกราะคุ้มกันตัวอยู่ จะทำยังไง?

    ฉันจะแบ่งออกเป็นสามกรณี

    กรณีแรกคือต้องการส่งจิตแบบมุ่งร้าย กรณีนี้ ควรทราบไว้ เพื่อปอ้งกันตนเองจากผู้ส่งที่คิดร้าย แต่ไม่ควรมุ่งร้าย ส่งไปหาใครเสียเอง เพราะถือเป็นการทำบาป จิตจะตกไปสู่ความเป็นมิจฉาทิษฐิ

    จิตสังหาร หรือจิตมุ่งร้าย จัดเป็นคลื่นกระแสจิตด้านลบ การที่จะมีคนส่งมาหาเราได้ถึงเนื้อถึงตัว ก็ต่อเมื่อ เราถอดพระเครื่องหรือเครื่องรางป้องกันตัวออก ลืมไหว้พระ ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไหว้ครูบาอาจารย์ก่อนนอน หรือจิตเคลื่อนออกจากสมาธิขั้นสูง แล้วแต่กรณี

    เกราะคุ้มครองจึงมีกำลังอ่อนลง หรือหายไปทันที เป็นช่องโหว่ ทำให้กระแสจิตแบบมุ่งร้ายของผู้ส่ง ส่งเข้าหาตัวเราได้ทันที

    (ผู้ส่ง สามารถส่งมาจ่อตัวผู้รับไว้ล่วงหน้า หรือจะส่งทันทีเมื่อตรวจรู้ว่าผู้รับกำลังเผลอ ก็ได้ทั้งสองแบบ)

    ในการส่งกระแสจิตร้ายมาแบบนี้ แม้เราไม่ทรงอุปจารสมาธิ ก็สามารถรับได้ เพราะการส่งกระแสจิตแบบมุ่งร้าย จะมีความรุนแรงกว่ากระแสจิตแบบทั่วไป และะมักมีสิ่งของต่างๆ เช่น ตะปู เลื่อย งูพิษ ตะขาบ แนบส่งผ่านไปทางกระแสจิตของผู้ส่งมาด้วย


    และเราก็อาจจะรู้ตัว หรือไม่รู้ตัวก้ได้ ว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในตัว

    แต่การส่งจิตมุ่งร้ายมานั้น แม้เราจะมีเกราะคุ้มกันแน่นหนาแค่ไหน ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับผู้ส่ง ที่ส่งเป็นและส่งถูกเวลา จึงไม่ใช่เรื่องที่เราควรประมาท ต้องหมั่นเจริญสติเสมอ อย่าให้สติหลุด

    กรณีที่สอง เป็นการส่งแบบกลางๆ ไม่ดี และไม่ร้าย

    เป็นแบบที่นักเล่นส่งคลื่นส่วนใหญ่ ใช้ส่งหากัน คือแบบ จิตต่อจิต การส่งกระแสจิตเบบกลางๆ นี้ ส่วนใหญ่ไม่มีพิษภัย

    แต่ทำไมเกราะคุ้มกันของฝ่ายตรงข้าม ถึงบล๊อคเราไว้ไม่ให้ส่งกระแสจิตผ่านเข้าไปล่ะ?


    คำตอบก็คือ การส่งแบบนี้ จะเป็นการทำให้อีกฝ่ายปวดมึนศีรษะในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เป็นการทำให้ฝ่ายผู้รับได้เกิดผลเสีย แต่ก็แค่ระยะสั้นๆ เท่านั้น

    แล้วทำไมต้องส่งให้อีกฝ่ายปวดศีรษะ ส่งแบบดีๆ หากันไม่ได้หรือไง?


    คำตอบคือ ถ้าไม่ทำให้อีกฝ่ายปวดศีรษะ ผู้ส่งก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองส่งไปถึงหรือไม่ คือเป็นการส่งแบบมือสมัครเล่น ต้องคอยถามกัน และการทำให้เกิดอาการทางกาย คือการทำให้อีกฝ่ายปวดศีรษะ มันเป็นวิธีที่ทำให้รู้ผลได้ง่ายกว่า ว่าผู้รับสามารถรับได้หรือไม่ และผู้ส่งสามารถส่งไปถึงได้หรือไม่


    การส่งแบบนี้ มักเป็นการส่งแบบนัดแนะ คือผู้ส่งและผู้รับนัดแนะกันมาก่อนแล้ว และไปตกลงกับครูบาอาจารย์ของตนเองเอาเองว่าขออนุญาตซักซ้อม ผลัดกันส่ง-รับ เพื่อให้เกิดความชำนาญ

    ในกรณีที่ผู้ส่งสามารถรับและส่งได้จนคล่องแล้ว แต่ผู้รับมีเกราะคุ้มกันตัวอยู่ ผู้ส่งมีเจตนาต้องการฝึกให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความคล่องตัวในการรับ การส่งในกรณีนี้จะไม่มีการบอกผู้รับให้รู้ตัวล่วงหน้า ทางตัวผู้ส่งก็ต้องเจรจาอนุญาตกับทางครูบาอาจารย์ของฝ่ายตรงข้ามเสียก่อน แล้วค่อยส่งไป


    เป็นมารยาทที่ดีอย่างหนึ่งด้วย และส่วนใหญ่ครูบาอาจารย์ของฝ่ายตรงข้าม เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ จะอนุญาตเปิดทางให้

    กรณีสุดท้ายการส่งกระแสจิตด้านบวก

    คล้ายกับการส่งแบบกรณีที่สองทุกอย่าง แต่กระแสจิตที่ส่งมานั้น จะไม่ทำให้ผู้รับเกิดอาการปวดศีรษะ จัดเป็นกระแสจิตที่สูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ผู้ที่รับได้จะมีสภาวะหัวโล่งโปรงสบาย เบาเหมือนไม่มีสมอง หากผู้รับปวดศีรษะอยู่ ก็สามารถหายจากอาการปวดศีรษะที่เป็นอยู่ได้ทันที


    แล้วทำไมการส่งแบบนี้ถึงยังมีการบล๊อคจากเกราะคุ้มกันล่ะ?


    ตรงนี้อยากให้เข้าใจก่อนว่า เกราะคุ้มกันก็ไม่ต่างอะไรกับภูมิคุ้มกันในร่างกายมนุษย์ ภูมิคุ้มกันนี้ จะรีบป้องกันทันทีเมื่อตรวจพบสิ่งแปลกปลอมปะปนเข้ามาในร่างกาย เกราะคุ้มกันภัยก็เช่นเดียวกัน

    การจะทำให้เกราะคุ้มกันนั้ นเปิดทางให้ ก็คล้ายกับกรณีที่สอง นั่นก็คือการขออนุญาตให้ช่วยเปิดทาง ตามมารยาทที่ควรทำ แต่ถ้าเกราะที่คุ้มกันอยู่ เป็นแค่วัตถุประจุพลังจิตระดับธรรมดา หรือเกิดจากสมาธิของตัวผู้รับเอง ถ้าตัวผู้ส่งไม่รู้จะไปขออนุญาตใคร ก็เจาะเกราะคุ้มกันเข้าไปเลย

    สรุปประเภทของการส่งกระแสจิต

    1. การส่งแบบไม่ได้ตั้งใจ ตัวผู้ส่งกำลังทรงอยู่ในสมาธิระดับใดระดับหนึ่ง และผู้รับ สามารถรับได้เอง

    2. กำหนดสั่งสมกระแสจิต และส่งกระแสจิตพุ่งตรงไปยังเป้าหมาย แบบนี้เรียกว่าเป็นการส่งทางตรง มีเป้าหมาย

    3. การซ้อนจิตทับสวมรอย ผู้ส่งจะการถอดจิตส่วนหนึ่งตนเอง ไปซ้อนทับกับกายในของฝ่ายของตรงข้าม ส่วนจะสร้างความปั่นป่วนจากภายใน หรือเพื่อทำการเยียวยารักษาปรับสมดุลในร่างกายให้ ก็แล้วแต่เจนตนาตัวผู้ส่งเอง

    อุปมาอุปมัย เหมือนการควบคุมคอมพิวเตอร์ระยะไกล เราสามารถโหลดโปรแกรมอะไรก็ได้ ใส่ลงไปในเครื่อง (ตัว) ของเป้าหมาย (รวมทั้งใส่ไวรัสเข้าไปก็ได้)

    แบบนี้เรียกว่าเป็นการสวมรอย (ศัพท์คอมฯ เรียกว่าการแฮกเครื่อง) แต่มีข้อจำกัดว่า ผู้ส่งจะต้องมีกำลังจิตเหนือกว่าตัวผู้รับ

    4. การส่งโดยแทบไม่ใช้กำลังของตัวเองเลย เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ไม่ค่อยลงทุนลงแรงเท่าไหร่ แต่ก็ได้ผลดีเช่นกัน เช่น การอาราธนาขอบารมีพระฯหรือครูบาอาจารย์ ช่วยปกป้องคุ้มครองตัวบุคคลที่เราต้องการ การดึงพลังจากวัตถุที่มีการประจุพลังจิตลงไปแล้วมาช่วย

    5. การส่งแบบโอนต่อ เหมือนการโอนสายโทรศัพท์ หากผู้รับไม่ต้องการจะรับ ก็สามารถสะท้อนคลื่นดังกล่าวส่งต่อไปยังบุคคลอื่นได้ อุปมาอุปมัยก็เหมือนการใช้กระจกเงาสะท้อนแสงแดดโดยการหมุนปรับองศา เพื่อให้แสงไปตกกระทบตามจุดต่างๆ ที่ต้องการ

    สรุปคลื่นของกระแสจิตแต่ละชนิด

    1. คลื่นรุนแรงมุ่งร้าย อาการทำให้ฝ่ายผู้รับเกิดความเสียหายรุนแรง

    2. คลื่นกลางๆ ไม่มีเจตนาดีและร้าย ทำให้ผู้รับหน่วงบริเวณกลางหน้าผาก แต่ถ้ามากเกินไปก็จะเริ่มปวดศีรษะ และเวียนหัวอาเจียน

    3. คลื่นว่างเปล่า ทำให้ผู้รับได้ หัวโล่ง เบาสบาย บางครั้งเป็นคลื่นที่รับได้จากผู้ที่กำลังทรงอรูปฌาน

    4. คลื่นพลังด้านบวก เช่นการเย็นแผ่ซ่าน ชุ่มชื่น บริเวณกลางกระหม่อม ในอก หรือทั้งตัว แล้วแต่ความแรง แต่ถ้ามากเกินไปตัวผู้รับจะสั่นสะท้านและเกิดอาการหนาวสั่น

    เราสามารถรับกระแสจิตและพลังงานจากสิ่งใดได้บ้าง?

    1. คลื่นพลังงานจากแร่และธาตุโลหะบางชนิด ด้วยความที่มันผ่านกาลเวลามานับหลายพันหลายหมื่นปี

    ทำให้มีการสั่งสมประจุพลังของธรรมชาติที่เรียกว่าพลังของจักรวาลเอาไว้ในตัว เหมือนก้อนถ่านแบตเตอรี่ ที่ได้รับการช๊าตพลังงานสั่งสมเรื่อยมา ความแรงมากน้อยย่อมมีไม่เท่ากัน ตามกาลเวลาและความเสถียรคงทน

    2. คลื่นกระแสจิตที่แผ่ออกมาจากสัตว์

    3. คลื่นกระแสจิตที่เกิดจากมนุษย์

    4. คลื่นกระแสจิตที่แผ่กระจายออกมาจากวัตถุต่างๆ ที่ผู้มีพลังจิตเคยประจุพลังจิตใส่ลงไป เช่น ผ้ายันต์ วัตถุมงคล และพระพุทธรูป ในกรณีนี้ รวมไปถึงการเขียนสิ่งต่างๆลงไปในแผ่นกระดาษและวัตถุต่างๆ ก็ด้วย แม้จะเป็นแค่การเขียนข้อความธรรมดา หรือเป็นการแค่การวาดภาพลงบนผืนผ้าใบ

    แต่มันก็คือการถ่ายพลังจิตของผู้มีสมาธิประจุลงไปในแผ่นกระดาษและผ้าใบนั้นๆ โดยที่ตนเองรู้ตัว และไม่รู้ตัว


    เทปบันทึกเสียง ภาพวีดีโอ หรือแม้กระทั่งรูปถ่ายต่างๆที่ใช้ในการบันทึกเหตุการณ์ต่างๆก็จัดอยู่ในประเภทนี้

    (เพราะฉะนั้น ใครที่อ่านบทความนี้แล้วรู้สึกตุ๊บๆ ตรงหน้าผาก ก็ขอแสดงความยินดีด้วย เพราะถือว่าคุณก็เป็นคนหนึ่งที่สามารถรับคลื่นพลังงานจากในบทความนี้ได้)


    5. คลื่นกระแสจิตที่ไม่ได้มาจากมนุษย์ คลื่นกระเภทนี้จะมีความถี่สม่ำเสมอทั้งต้นและปลาย ต่างจากคลื่นของมนุษย์ทั่วไปที่มักมีความถี่ไม่เท่ากันเดี๋ยวแรงเดี๋ยวเบาขึ้นๆลงๆ ไม่แน่นอน

    ทั้งนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับความชำนาญของตัวผู้รับคลื่นเอง ว่าจะแยกออกได้อย่างไร ว่าเป็นคลื่นของคนหรือคลื่นของผี

    วิธีถอนออก หากเกิดอาการอยากอาเจียนและปวดศีรษะ ที่เกิดขึ้นจากการส่ง-รับกระแสจิต

    1. อย่าสนใจ ให้หากิจกรรมอย่างอื่นทำ แล้วอาการปวดจะค่อยๆ เบาลง แต่ปรกติกว่าจะหาย ก็นานหน่อย

    2. ปิดกั้นจิตตนเองแบบฉับพลัน อาการของกระแสจิตที่คลั่งค้างอยู่ก็จะค่อยๆ เบาบาง และสลายหายไป

    3. เข้าสมาธิที่สูงกว่าเดิม อย่างปฐมฌานขึ้นไป หรือให้สูงว่าผู้ที่กำลังส่งกระแสจิตมา อาการหน่วงหน้าผากและปวดศีรษะจะหายไปทันที



    ประโยชน์และการนำไปใช้


    1. รู้ตัวล่วงหน้าว่าจะมีสิ่งใดมา

    เจตนาของผู้ส่งจะเป็นกระบวนความคิดที่เร็วมาก มันจะถูกส่งมาก่อนที่ผู้ส่งจะเริ่มลงมือทำอะไรด้วยซ้ำ และเพราะเหตุนี้ หากผู้รับรู้สึกตัว และรับคลื่นความคิดนี้ได้ ผู้รับจะรู้ได้ทันทีว่า หลังจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นตามมา

    ถ้าเป็นการส่งกระแสจิตแบบมุ่งร้าย เจตนาของผู้ส่งที่ต้องการมุ่งร้าย จะพุ่งตรงมากระทบใจผู้รับก่อน ก่อนที่สิ่งของที่แนบพ่วงท้ายมาจะตามมาถึง ทำให้เผู้รับรู้ตัวล่วงหน้า และรีบขออาราธนาบารมีพระฯครูบาอาจารย์ครอบตัวไว้ล่วงหน้าได้ทันท่วงที

    2. รู้ว่าฝ่ายตรงข้าม มีสมาธิอยู่ในระดับใด

    (วิธีตรวจเช็คระดับสมาธิของฝ่ายตรงข้าม ฉันจะไม่ขอกล่าวถึง ต้องหัดสังเกตและจดจำเอาเอง)

    อันนี้เหมาะกับนักปฏิบัติธรรมที่ต้องการให้คำแนะนำ กับผู้เริ่มฝึกใหม่ที่ ไม่มีพื้นฐานการฝึกสมาธิมาก่อนเลย หรือผ่านฝึกสมาธิมาในระดับหนึ่งแล้ว และเกิดสมาธิไม่ก้าวหน้าไปต่อไม่ได้

    ส่วนวิธีแนะนำเพื่อให้สมาธิก้าวหน้าต่อไปนั้น ก็แล้วแต่ผู้เป็นครูว่าจะเลือกใช้วิธีไหน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการขออาราธนาบารมีครูบาอาจารย์เบื้องบนช่วยสงเคราะห์อีกที

    และในทางกลับกัน ประโยชน์ของข้อนี้ก็คือ ถ้าผู้ที่เรากำลังสนใจอยู่นั้น มีระดับสมาธิสูงกว่า หรือทัดเทียม ก็จะได้ไม่ต้องปล่อยไก่ต้มตัวโตให้คนอื่นเขานั่งหัวเราะเยาะเล่น ว่าเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน

    ถ้าพบคนแบบนี้โผล่หน้ามาขอคำแนะนำการนั่งสมาธิเบื้องต้น ก็ให้ตีตัวออกห่างไปเลย อย่าไปเสียเวลาอธิบายให้เปลืองแรง

    3. ใช้ในการรักษาเยียวยา โดยใช้คลื่นกระแสจิตของตนเอง ส่งไปยังตัวผู้รับเพื่อขับสิ่งไม่ดีหรือพลังงานด้านลบออกจากตัวผู้รับ


    แล้วถ้าคนรักษาป่วยซะเอง จะทำยังไง?


    แน่นอนว่า รักษาตัวเองไม่ไหวแน่ ทุกขเวทนาทำให้เข้าสมาธิได้ลำบาก วิธีที่ใช้ประจำ

    3.1. มองหาผู้อื่นที่สามารถทรงสมาธิในระดับหนึ่งได้ โดยแน่ใจว่า ในสมองและความคิดจิตใจของคนๆ นั้น จะต้องเย็นและเบาสบาย

    3.2. จากนั้น ดึงสภาวะจิตของคนๆ นั้น ที่กำลังทรงอารมณ์อยู่ในสมาธิ มาเป็นอารมณ์สภาวะจิตของตนเองชั่วคราว

    3.3. เมื่อหัวโล่งเบาสบายตามแล้ว ก็เข้าสมาธิ เริ่มซ่อมแซมตัวเอง

    3.4. แต่ถ้าไม่มีใครที่เราสามารถทำตามวิธีนี้ได้ ก็ควรทานยาแก้ปวดหัว

    4. ตรวจเช็คพลังงานที่ประจุในวัตถุมงคลหรือหินแร่

    เคยไปที่บ้านเพื่อนทางบุญท่านหนึ่ง เขาเชื่อในเรื่องของการรับคลื่นกระแสจิต แต่อยากพิสูจน์ให้ชัดเจนว่า มันเป็นยังไงแล้วเอาไปใช้อะไรได้บ้าง ว่าแล้วเพื่อนทางบุญท่านนี้ ก็ขนพระเครื่องในตู้ออกมาวางกองหลายชุด บอกให้ช่วยวัดคลื่นพลังให้

    เพื่อนหยิบพระให้ใส่มือ ฉันก็ไม่ได้มองว่าเป็นพระอะไร รู้แค่ว่าเป็นพระผงเก่าๆ เขาบอกว่าดูให้หน่อยพระองค์นี้พลังเป็นยังไง ฉันก็จับดู เป็นคลื่นพลังงานแผ่ฟุ้งกระจาย ก็ตอบไปว่าพระองค์นี้ลาภเยอะมาก เพื่อนทางบุญก็ตกใจ บอกรู้ไหมองค์นี้คือพระอะไร ฉันก็บอกไม่รู้ ก็ไม่ได้มองนี้ว่าพระอะไร

    เพื่อนทางบุญก็เฉลยว่า คือหลวงพ่อโสธรรุ่นเก่ามาก ฉันก็พยักหน้า ไม่พูดอะไรต่อ เพื่อนทางบุญก็ส่งพระเครื่องมาให้จับอีก รอบนี้ปรากฏว่าคลื่นพลังที่แผ่ออกมาเป็นแสงแหลมๆ คล้ายเข็ม วิ่งพุ่งเข้ามาในตัว

    ฉันก็ตอบไปว่า พระองค์นี้เด่นมหาอุดฯ คงกระพันนะ ฉันจะตรวจเช็คเฉพาะคลื่นพลังงานที่ประจุอยู่ในองค์พระเครื่องอย่างเดียว ไม่มีการใช้วิชามโนยิทธิช่วย เพราะกลัวอุปาทานกิน เพื่อนก็พยักหน้า บอกพระองค์นี้เป็นพระขุนแผนฯ ออกศึก


    ว่าแล้วเพื่อนทางบุญก็ขนเครื่องมาอีกตรึมให้ช่วยจับให้ องค์ไหนของเก๊ของปลอม ก็คัดแยกออกไปเก็บไว้ต่างหาก จับมาประมาณ 40 องค์ เป็นของแท้แค่ 10 กว่าองค์ นอกนั้นเก๊หมด




    ปล. การส่งคลื่นพลังจิต คล้ายกับการขว้างหิน โดยอาศัยกำลังสมาธิเป็นแรงส่ง ยิ่งผู้ส่งได้ระดับฌานสูงเท่าไหร่ แรงที่ส่งไป ก็จะยิ่งทวีคูณ

    ณ ที่ระดับฌาน 4 จะเป็นสภาวะที่คลื่นกระแสจิตหยุดนิ่ง ไม่เกิดแรงสั่นสะเทือน อุปมาอุปมัย ก็เหมือนการขว้างหิน ยิ่งผู้ขว้างบิดตัวและเหวี่ยงแขนออกไปด้านหลังได้มากเท่าไหร่ หรือจนสุด ที่ไม่สามารถเหวี่ยงแขนต่อไปได้อีก


    แรงส่งในการเพิ่มของแรงของก้อนหินที่ขว้างออกไป ก็จะยิ่งเพิ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น หลักการอธิษฐานใช้ฤทธิ์ด้านต่างๆ ก็ใช้หลักการเช่นนี้เหมือนกัน



    [​IMG]

    ไล่ระดับอุปจารสมาธิ ฌาน 1-2-3-4 และไล่ระดับสมาธิกลับ 4-3-2-1อุปจารสมาธิ




    [​IMG]





    * ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงการส่งและรับคลื่นกระแสจิตที่ใช้กำลังของอุปจารสมาธิเป็นฐานการรับ-ส่ง แต่ถ้าเป็นการเล่นที่ระดับฌาน ๔ ล้วนๆ

    ซึ่งเป็นการเล่นฤทธิ์ระดับอภิญญาใหญ่ ของผู้ที่มีความคล่องแคล่วในฌานสูง คลื่นดังกล่าวจะแทบไม่มีปรากฏ เพราะเป็นอารมณ์นิ่ง เบาๆ สบายๆ ที่แทบไม่มีการเค้นหรือใช้กำลังสมาธิเร่งส่ง *

    (เพียงแค่คิด อิทธิฤทธิ์ก็เกิดขึ้น )


    ยกเว้นแต่บุคคลผู้นั้น ต้องการให้มีคลื่น คลื่นจะจึงปรากฏ..


    บทความ คลื่นกระแสจิต พลังงานแห่งจิต - บล็อก - NOOKFUFU2- พระรัตนตรัย - Powered by Discuz!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 กรกฎาคม 2011
  4. ~:*พนมวัน*:~

    ~:*พนมวัน*:~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,214
    พลังจิต หมายถึง คลื่นความถี่ของพลังงานความคิด ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าบวก ไฟฟ้าลบ ที่เกิดจากต่อมไพเนียล ที่สมองตอนบน เมื่อบุคคลคิดต่อมนี้ จะสร้างคลื่นความถี่ของความคิดขึ้น

    คลื่นนี้อาจจะมีมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ ขบวนการ ทางความคิด นั้น คลื่นนี้จะลอยอยู่รอบๆ ตัวผู้คิด เมื่อคิดถึงใคร คลื่นนั้นจะพุ่งตรงไปยัง ต่อมสร้างความคิดของผู้รับนั้น

    ถ้าผู้รับ รับคลื่นความคิดนั้นได้ จะเกิดความคิดเช่นนั้นทันที เรียกว่า เกิดการรับรู้ความคิดของผู้อื่นได้

    บุคคลที่มีพลังจิตสูง คือ บุคคลที่มีสมาธิดี เช่น มีสมาธิอยู่ในขั้นกลางที่เรียกว่า อุปจารสมาธิ และสมาธิขั้นสูงที่เรียกว่า อัปปนาสมาธิ

    การทำงานของพลังจิต
    จิตจะทำงานได้ จิตต้องมีเครื่องมือคือ ร่างกายที่เป็นอยู่ของจิต จิตจึงแสดงผลออกมาให้เห็นได้ ส่วนของมันสมอง มีหน้าที่รับคำสั่ง ของจิตคือ ต่อมใพเนียล ซึ่งเป็นต่อมเล็กๆสีแดงอมเทา รูปกรวย เป็นส่วนประกอบของปลายประสาท

    ต่อมนี้ อยู่ใน ส่วนกลางตอนบน ของมันสมอง เมื่อ ต่อมไพเนียล รับคำสั่งของจิตต่อมนี้ จะสร้างเป็นคลื่นความถี่ออกมา คลื่นความถี่ จะมาก หรือน้อย ขึ้นอยู่กับความคิดนั้น และจะลอยอยู่รอบๆตัวผู้คิด

    และคลื่นความถี่นี้ จะวิ่งไปตามประสาทต่างๆ ทั่งร่างกาย เพื่อควบคุมการทำงานของอวัยวะนั้นๆ พลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมอวัยวะต่างๆ จะมีกระแสความถี่ต่างกัน ตามหน้าที่ของอวัยวะ และคนนั้นๆ อีกด้วย

    เช่น Electron และ Protron ที่ควบคุมการทำงานของ เซลล์เนื้อเยื่อของอวัยวะ ต่างๆ ทำให้มีการสร้าง และการทำลายของเซลล์ได้ตามปกติ เช่น ทำลายไป 10 เซลล์ ก็จะสร้างขึ้นมาทดแทนเช่นเดิม อวัยวะนั้นจะทำหน้าที่ได้ตามปกติ สร้างภูมิต้านทานของร่างกาย ให้สูงเป็นปกติ ร่างกายจะแข็งแรงสมบูรณ์

    การศึกษา พลังจิต
    ได้มีการค้นคว้าทาง พลังจิต ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ประเทศไทยเรียกพลังนี้ว่า พลังอำนาจทิพย์ ในต่างประเทศ เช่น ชาวจีนโบราณเรียกว่า พลังแห่งชีวิต

    ชาวยุโรป เช่น เยอรมันเรียกว่า พลังงานแม่เหล็กสัตว์ ชาวรัสเซียเรียกว่า พลังงานชีวภาพ นักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มประเทศตะวันตกเรียกว่า พลังชีวภาพ หรือ พลังแม่เหล็กไฟฟ้า

    บุคคลที่มีร่างกายแข็งแรงคือ ผู้ที่มีพลังจิตสมบูรณ์ควบคุม อยู่ทั่วทุกส่วนของร่างกาย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น แจ่มใสกระฉับ กระเฉง พลังจิตจะเปล่งเป็นรัศมี ออกโดยรอบร่างกาย

    ตรงกันข้ามคนป่วย จะมี พลังจิต ควบคุมอยู่ เพียงเล็กน้อย ภูมิต้านทาน ในร่างกาย จะลดต่ำลง ร่างกายจะอ่อนแอ และจะมีร่างกายที่ปกติ เหมือนเดิมได้ เมื่อได้รับ พลังจิต นั้นๆเพิ่มขึ้น

    ดังนั้น พลังจิต จึงเป็นพลังงาน ที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย เช่น การหมุนเวียนของโลหิต การเจริญเติบโตของเซลล์

    หากร่างกายส่วนใด ขาด พลังจิต ร่างกายส่วนนั้น จะไม่สามารถทำหน้าที่ใดๆ ได้ตามปกติ หรือร่างกายไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ พลังจิต ที่ใช้กันทั่วไปมี 3 ลักษณะคือ

    1. Telepathy คือ พลังงานแห่งเมตตา พลังนี้ติดต่อกันได้โดยทางจิต เป็นพลังงานที่ใช้เพื่อการสร้างสรรค์

    2. Telkynesys คือ พลังงานที่ใช้บังคับวัตถุให้เคลื่อนที่ หรือใช้เพื่อทำลายวัตถุต่างๆ เป็นพลังงานที่ใช้ เพื่อการบังคับ หรือเพื่อการทำลาย

    3. Teleportation คือ พลังงานที่ใช้เพื่อการล่องหนหายตัว เมื่อใช้พลังงานนี้แล้ว สามารถเดินบนน้ำบนอากาศ หรือเพื่อผ่าน เครื่องกีดขวางได้

    พลังจิต ผิดปกติทำให้เจ็บป่วย
    จิตมีอำนาจเหนือร่างกาย ที่เรียกว่า จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยจิต เมื่อจิตมีอำนาจของกรรมครอบงำอยู่ จิตนั้นจะสั่งกาย ซึ่งเป็นเครื่องมือของจิตตามอำนาจ ของกรรมนั้น

    เช่น จิตมีอำนาจของอกุศลกรรมมาก พลังงานไฟฟ้าที่ออกมา จะไม่มีความสมดุลย์ทางธรรมชาติ เช่น ทำให้พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก พลังงานไฟฟ้าลบสูงมากบ้าง จะมีผลทำให้ระบบการสร้าง การทำลายของร่างกายไม่คงที่ ดังนี้

    พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์มากกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างโตกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของโรคบวม เนื้องอก เช่น โรคหัวใจ โรคมดลูก เนื้องอกธรรมดา เนื้องอกมะเร็ง เป็นต้น

    นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง ได้กล่าวถึง ทฤษฏีเกี่ยวกับมะเร็ง ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดว่า เซลล์มะเร็ง เกิดขึ้น ในตัวคนเราตลอดเวลา แต่ถูกทำลายโดย เซลล์เม็ดเลือดขาว ก่อนที่มันจะโตจนก่อพิษภัยแก่ร่างกาย

    โรคมะเร็ง เกิดขึ้นต่อเมื่อ ระบบภูมิคุ้มกัน ถูกกดดันการทำงานไว้ ทำให้ไม่สามารถขจัด เซลล์มะเร็ง ที่ก่อตัวขึ้น ดังนั้นถ้ามีอะไรก็ตามส่งผลกระทบ ต่อการทำงานของสมอง ที่จะควบคุม ระบบภูมิคุ้มกัน มะเร็งย่อมเกิดขึ้นได้

    พลังงานไฟฟ้าลบสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์น้อยกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างเล็กกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของ โรคลีบตีบต่างๆ เช่น หลอดเลือดตีบ ลิ้นหัวใจตีบ กล้ามเนื้อตาย มันสมองฝ่อ ภูมิต้านทานบกพร่อง ตับวาย ไตวาย กล้ามเนื้อหัวใจ ไม่ทำงาน

    เรียกว่า โรคไหลตาย เด็กเกิดมามี ร่างกาย ไม่สมบูรณ์เป็นต้น พลังงานไฟฟ้าภายในร่างกาย ของแต่ละบุคคลอาจไม่ เท่ากัน ก็เป็นได้ ผมเคยพบว่า การเพิ่มเลือด เกล็ดเลือดให้คนไข้ สภาพร่างกายคนไข้ไม่ยอมรับเลือด หรือเกล็ดเลือดนั้น

    เพราะเลือดใหม่ และเลือดเก่า ไม่สามารถเข้ากันได้ แม้ทางการแพทย์จะวิเคราะห์แล้วว่า เป็นเลือดกรุ๊ปเดียวกัน เมื่อพิจารณา ในสมาธิพบว่า พลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมเม็ดเลือดนั้นไม่เท่ากัน

    แสดงว่า พลังงานควบคุม เม็ดเลือด ของแต่ละคนจะเท่ากัน หรือไม่เท่ากันก็ได้ และพบอยู่มาก กับกลุ่มผู้หลงผิด ที่ไปรับเอา พลังงานอื่น มากดทับ พลังจิต ของตนเอง ทำให้การทำงานของ พลังจิต ของตนผิดไป จิตนั้นจึงสั่งมาที่สมองของตนผิด การแสดงออกของร่างกายจิตผิดไปด้วย

    เช่น กลุ่มของคนทรงเจ้าเข้าผี กลุ่มของคนเหล่านี้ จะไปรับเอาเวทย์มนต์คาถา ของอิทธิฤทธิ์ ของอาถรรพ์ ดวงวิญญาณเข้ามาสิง

    เช่น ดวงวิญญาณกุมารทอง นางกวัก ปลัดขิก เจ้าพ่อ เจ้าแม่ น้ำมันพราย หรือองค์เทพต่างๆ มาอยู่กับตน ที่เรียกว่า เดรัจฉานวิชา

    ไม่เป็นจิตดั้งเดิมของตนเอง อาการป่วยของบุคคลเหล่านี้ ทางการแพทย์จะตรวจหาสาเหตุไม่พบ

    การเพิ่มและการรับพลังจิต
    บุคคลที่มีสมาธิดีจะมีคลื่นความถี่ และความรุนแรงของพลังงานความคิดสูง สามารถที่จะส่งพลังงานนั้น ไปยังบุคคลที่ตั้งเป้าหมาย ไว้ได้แน่ชัดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ตัวผู้รับได้ตามความปราถนานั้น เรียกว่า การเพิ่มและการรับพลังจิต

    การเพิ่มแต่ละครั้ง แต่ละคนไม่เหมือนกัน เพิ่มพลังจิต แต่ละครั้งนาน เท่าใด ผู้เพิ่มพลังจิตจะทราบได้ในสมาธิจิตนั้น หากผู้รับยังรับได้ ก็เพิ่มให้ต่อไป หากเห็นว่า พลังจิต ที่ส่งไปนั้นหยุดลง ก็หยุดเพิ่มพลังจิตในครั้งนั้น และต้องเพิ่มพลังจิตกี่ครั้งจึงจะได้ผล

    สิ่งนี้ไม่มีกำหนด แน่นอนขึ้นอยู่กับผู้รับ หากผู้รับสามารถรับพลังจิตได้มาก และเห็นว่าอวัยวะที่ผิดปกตินั้น เปลี่ยนเป็น ปกติเร็ว พลังจิตที่ส่งไปจะหยุดลง ควรหยุดเพิ่มพลังจิตให้ผู้ป่วยกลับไปทำสมาธิภาวนาด้วยตนเอง ผู้ป่วยจะสร้างพลังจิตที่ดีขึ้นมาได้ พลังจิตนั้นๆ จะบำบัดทุกข์ให้กับผู้ป่วยได้ในที่สุด

    การเพิ่มพลังจิตกระทำได้ 3 ทาง คือ

    1. เพิ่มที่อวัยวะนั้นโดยตรง

    2. เพิ่มที่จุดกำเนิดของพลังจิต คือที่ต่อมไพเนียล

    3. เพิ่มพลังจิตให้ครอบคลุมทั้งตัวผู้รับ จะเพิ่มให้ใครที่อวัยวะใดนั้นจะทราบและเห็นได้ในสมาธินั้นๆ

    ผู้เพิ่มพลังจิตที่ดี
    ผู้เพิ่มพลังจิตที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้คือ เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา และเมื่อเพิ่มพลังจิตให้กับใครก็ตามต้องรู้ทุกข์ รู้สาเหตุแห่งทุกข์ รู้หนทางดับทุกข์ และรู้วิธีการดับทุกข์นั้นๆโดยชัดแจ้งพร้อมตั้งตนอยู่ในพรหมวิหารธรรม และหิริโอตัปปธรรม

    ผู้รับพลังจิตที่ดี คือ เป็นผู้ที่มี

    1. ศรัทธา ผู้รับต้องมีศรัทธาที่จะรับพลังจิต

    2. สมาธิ ผู้รับต้องมีความตั้งมั่นแห่งจิตอยู่กับกายและจิตของตน

    3. สติ ผู้รับต้องมีความระลึกได้ว่าตนกำลังรับพลังจิตอยู่

    4. ปัญญา ผู้รับต้องรู้จักการปล่อยวางความทุกข์ออกจากจิตใจในขณะนั้น

    5. ความขยันหมั่นเพียร การรับพลังจิตนั้นต้องรับสม่ำเสมอและให้ตั้งอยู่ในคำสอนของพุทธองค์เป็นหลัก ดังกล่าวแล้ว

    การเพิ่มพลังจิตผ่านบุคคลอื่นหรือวัตถุอื่น
    บางกรณีที่จำเป็น คือ ผู้ป่วยไม่สามารถขอรับพลังจิตด้วยตนเองได้ เช่นอยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก อยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช อยู่ต่างประเทศ ก็อาจเพิ่มพลังจิตผ่านกระแสจิตของผู้ใกล้ชิด เช่น พ่อ แม่ บุตร สามี ภรรยา ผู้ดูแล หรือผ่านลงไปในน้ำดื่ม ก็สามารถช่วยผู้ป่วยได้บ้าง เป็นบางส่วน


    พลังจิต Gsychergy อำนาจจิต พลังแห่งชีวิต, Life Force Energy, พลังงานแม่เหล็กสัตว์, Animal Magnetism, พลังงานชีวภาพ, Bioplasmic E
     
  5. ~:*พนมวัน*:~

    ~:*พนมวัน*:~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,214
    การปฏิบัติธรรม อยู่กับธรรมะอย่างลึกซึ้ง จะช่วยให้จิตมีสมาธิสงบนิ่ง แน่วแน่ได้มากขึ้นค่ะ


    ไร่เชิญตะวัน วัดป่าวิมุตตยาลัย สาขาเชียงราย


    การปฏิบัติธรรมสำหรับคนทำงาน หลักสูตร วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เพื่อชาว Office ได้ใช้เวลาในการพาตัวพาใจ ให้คืนสู่ธรรมชาติ

    โดยยังมีหลักสูตรสำหรับผู้ที่ต้องการปฏิบัติศาสนาเชิงลึก 5 วัน และ 7 วัน สำหรับชาวต่างชาติ

    ทุกหลักสูตรมุ่งเน้น การจัดการกิเลส

    การจัดการกิเลส ไม่จำเป็นต้องไปถอดถอนออกทั้งหมด แค่ให้รู้ว่า จะจัดการมันอย่างไร ความโกรธเกิดขึ้น เราจะยับยั้งอย่างไร ความโลภเกิดขึ้น เราจะยับยั้งอย่างไร

    ความหลงเกิดขึ้น จะยับยั้งอย่างไร ในฐานะปุถุชนธรรมดา ซึ่งจะต้องกลับไปอยู่กับครอบครัวและธุรกิจการงาน จึงไม่จำเป็นที่จะต้องเอากิเลสออกไปให้หมดเหมือนพระ

    แต่อย่างน้อย ต้องจัดการกับมันให้ได้


    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]


    ที่นี่ จึงออกแบบทุกอย่างให้เอื้อกับการปฎิบัติ ด้วยการ รับประทาน 2 มื้อ ถือศีล 8 งดใช้เครื่องมือติดต่อสื่อสารทุกชนิด จะได้พูดช่วงเดียวคือ หลัง 2 ทุ่ม

    เมื่อทำวัตร สวดมนต์เสร็จแล้ว ก็มาสอบอารมณ์ คือมาบอกเล่าว่า ปฏิบัติวันนี้แล้วเป็นอย่างไร คุยกับพระอาจารย์

    ตอนเช้า ตื่นตี 5 ทำวัตร สวดมนต์ นั่งสมาธิ และเดินจงกรมรอบแหลม ตรงอ่างเก็บน้ำเชิญตะวัน

    9 โมงครึ่ง กลับมาอีกครั้ง เพื่อปฎิบัติสมาธิ และฟังธรรมะบรรยายประจำวัน ภาคบ่าย พัก 2 ชั่วโมง แล้วเข้าป่า ใครจะนั่งสมาธิ หรือเดินจงกรมตามอัธยาศัย

    4 โมงเย็น อาบน้ำ จากนั้น 5 โมงครึ่ง จะมาเดินจงกรมร่วมกัน กลางคืน ทำวัตร สวดมนต์ และเดินในความมืด เพื่อสัมผัสธรรมชาติที่ริมน้ำ

    คืนสุดท้าย ฝึกเจริญมรณสติ หรือฝึกตายก่อนตาย...





    [​IMG]


    [​IMG]




    [​IMG]






    [​IMG] [​IMG]


    [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG]
    [​IMG]


    การเดินทางไปยังศูนย์วิปัสสนาไร่เชิญตะวัน (ว.วชิรเมธี)


    จากตัวเมืองเชียงราย ไปทาง อ.เทิง ผ่าน ต.ห้วยสัก ระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร เลยตำบลห้วยสัก ประมาณ 700 เมตร จะมีทางเลี้ยวขวา จากถนนใหญ่ เข้าไร่เชิญตะวัน อีก 7 กิโลเมตร

    เว็บไซต์ : http://www.dhammatoday.com/
    Email : dhammatoday@gmail.com



    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    หนทางปฏิบัติธรรม...มีหลายวิธี...หลายสำนัก...แต่สุดท้ายมีเป้าหมายเดียวกัน...พ้นทุกข์ สุข สงบ

    วัดป่าสุคะโต สถาบันสติปัฏฐาน อีกหนึ่งทางเลือก สำหรับผู้สนใจปฏิบัติธรรม ตั้งอยู่ที่ บ้านใหม่ไทยเจริญ ตำบลท่ามะไฟหวาน อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ เป็นสถานที่สอนปฏิบัติธรรมเจริญสติ ตามแนวหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (วิปัสนากรรมฐาน)
    มีพระอาจารย์ไพศาล วิศาโล เป็นเจ้าอาวาสวัด


    ที่นี่ มีการสอนปฏิบัติธรรมเจริญสติทุกเดือน


    [​IMG]



    [​IMG]

    [​IMG]



    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]

    วัดป่าสุคะโต...ไม่เน้นวัตถุก่อสร้าง
    ในภาพเป็น อุโบสถกลางน้ำ ใช้ประกอบพิธีทางศาสนา



    [​IMG]

    [​IMG]

    ศาลาหอไตร...สถานที่สวดมนต์ ทำวัตร เช้า - เย็น

    [​IMG]

    ลานหินโค้ง...สถานที่ฝึกปฏิบัติธรรมเจริญสติ เดินจงกรม นั่งสมาธิ

    [​IMG]

    [​IMG]

    สำหรับผู้สนใจ...ทางวัดไม่ได้เรียกร้องค่าใช้จ่ายใด ๆ

    ติดต่อปฏิบัติธรรมที่

    คุณสุนทรี พยาบาลแผนกจักษุ รพ. ชัยภูมิ โทร. ๐๔๔ – ๘๑๑ – ๔๔๔

    หรือที่

    วัดป่าสุคะโต โทร. ๐๘๕ – ๔๙๒ – ๗๗๐๙

    http://www.pasukato.org


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/36/photos/85/1200x1200/18/JAKK5158ww.jpg?et=WC5DVwdEvrtch15p0temKA&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/33/photos/85/800x800/19/JAKK5165ww.jpg?et=twIXCaP5s,VjudFgr%2BbNjg&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/37/photos/85/1200x1200/20/JAKK5176ww.jpg?et=ttB0c9jyw1oNyVcVNsGgmg&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/29/photos/85/800x800/22/JAKK5218ww.jpg?et=XSyrK9ZpqUCfx3UJ0ChtFg&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/36/photos/85/1200x1200/23/JAKK5224ww.jpg?et=b,imf2viXsepazGFvWE0yQ&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/29/photos/85/800x800/24/JAKK5228ww.jpg?et=prA1MoyzjB3hMIej,%2BCq0g&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/30/photos/85/800x800/25/JAKK5232ww.jpg?et=OdiVL5WrvVlAANmPAxw6Ig&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/31/photos/85/800x800/26/JAKK5236ww.jpg?et=HP2G83Jx1YMYCclB6ew%2BXQ&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/32/photos/85/800x800/27/JAKK5241ww.jpg?et=nIXDV1K2dB4nEGr7IJ9a,g&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/31/photos/85/800x800/28/JAKK5244ww.jpg?et=bnIXvezmR0l0JE2kWnQsrQ&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/34/photos/85/800x800/29/JAKK5245ww.jpg?et=fZAGa2%2BaoaL6F525zimAgA&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/30/photos/85/1200x1200/30/JAKK5258ww.jpg?et=vHJH6MW,vFVQa1ULVdjacA&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/30/photos/85/1200x1200/31/JAKK5265ww.jpg?et=TnyEM%2BAraZFoPhbNh7hoow&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/29/photos/85/1200x1200/32/JAKK5270ww.jpg?et=uEwxhnRc79PSOAcBh%2B8yKA&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/31/photos/85/800x800/33/JAKK5273ww.jpg?et=wH1LgX,QAON366mcE3xlTw&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/30/photos/85/1200x1200/35/JAKK5281ww.jpg?et=mvjYn7Hk,MgWdx6S578bKg&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/31/photos/85/800x800/36/JAKK5283ww.jpg?et=Hp,hpQUAd3za33voXda6zw&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/30/photos/85/800x800/38/JAKK5295ww.jpg?et=cRr2JmkChWkvKWQvll4h%2Bg&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/30/photos/85/800x800/39/JAKK5297ww.jpg?et=MjHVm7S%2BlMbF69Dmmc9hCQ&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/32/photos/85/800x800/40/JAKK5300ww.jpg?et=Vu7DfPzYWQ8LeuE6aaNurA&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/32/photos/85/1200x1200/41/JAKK5307ww.jpg?et=U%2B4EBeRqMtfRHIZ0AKgFjw&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/28/photos/85/1200x1200/42/JAKK5308ww.jpg?et=yVit5rxDGQ19CkUlLlNGVQ&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/28/photos/85/800x800/46/JAKK5377ww.jpg?et=x5KhYVcbbpziMYMY04r94w&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/28/photos/85/1200x1200/47/JAKK5382ww.jpg?et=yfkFi6oqTdUnXPIq7h9sRQ&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/28/photos/85/800x800/48/JAKK5392ww.jpg?et=8hD35Q78C3FnbuMRukZYLA&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/32/photos/85/1200x1200/49/JAKK5399ww.jpg?et=,ZDZkmPmi,rGVq5v4sIzkA&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/30/photos/85/800x800/50/JAKK5402ww.jpg?et=kZKQU%2BhelTecLUSMy8,YWw&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/29/photos/85/800x800/52/JAKK5409ww.jpg?et=4DvFKsnvPMGNcwLqlunTSQ&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/32/photos/85/800x800/53/JAKK5416ww.jpg?et=uIS0BM6bH2QMUpPIS1k5,Q&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/28/photos/85/800x800/54/JAKK5418ww.jpg?et=mVGPysZD5HiIi6P%2Bsy7FKQ&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/31/photos/85/800x800/55/JAKK5433ww.jpg?et=Qzams5nkI4REMABqZWejlg&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/78/photos/85/1200x1200/56/JAKK5440ww.jpg?et=NUtRC32xJToRxkbWDDBKCQ&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/31/photos/85/1200x1200/57/JAKK5447ww.jpg?et=ZSTL5ZJpSl63ggOWWbu8mQ&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/31/photos/85/800x800/59/JAKK5461ww.jpg?et=9vcm5DT,C%2BZtdS7CnQ3GQQ&nmid=114129687[/IMG]

    [CENTER][IMG]http://multiply.com/mu/jakkr/image/37/photos/85/1200x1200/60/JAKK5466ww.jpg?et=lyDLYK0YHZBXiPDh8le0hQ&nmid=114129687[/IMG][/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
    [/CENTER]
     
  6. จริยากุ

    จริยากุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,314
    ค่าพลัง:
    +1,446
    โมทนาด้วยค่ะ อ่านประเด็นเดียวได้รับหลายๆอย่างที่อยู่ในซอกแห่งจิตของผู้ให้ ตอนที่อ่านได้ฝึกจิตตามที่แนะนำด้วยสมาธิจึงรับได้ถึงเจตนาทั้งหมดที่ต้องการสื่อสาร สู๋กระแสจิตที่ดีต่อเนื่องยืนยาว จะพยายามให้จิตมีแสงสว่างแต่ร่มเย็นค่ะ ให้เป็นประโยชน์แม้กระทั่งช่องที่รั่วของจิตนะคะ ขอบคุณจริงๆ
     
  7. Tianluang

    Tianluang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +1,025
    อนุโมทนาสาธุได้ความรู้และแนวทางปฏิบัติอีกมากมายครับ
     
  8. Noppharat

    Noppharat Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +40
    เรื่องนี้อ่านแล้วสนุกมากเลย มีเรื่องโทรจิตด้วย ตื่นเต้นดี ที่ว่า (กระแสจิตที่ส่งมาจากคนที่เรารู้สึกผูกพันใกล้ชิดสนิทสนม จะสามารถติดต่อกันทางโทรจิตได้ บุคคลที่มีความสัมพันธ์กันทางอารมณ์อยู่แล้ว จะมีประสาทสัมผัสรับรู้พิเศษถึงกันได้ ) ท่าจะจริงแฮะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • พ.jpg
      พ.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.6 KB
      เปิดดู:
      2,855
  9. AUNKZERI

    AUNKZERI Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +49
    ชอบมากเลยฮะ ฝึกแบบให้จิตกับกายผสานกันน ผมขอเก็บรูปงามๆไว้นะคร้าบบ :cool::cool:
     
  10. Henberassy

    Henberassy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    151
    ค่าพลัง:
    +173
    เห็นด้วยกับผู้นำบทความดีดีมาแบ่งปัน ทุกท่านทุกประการ
    รูปถ่าย สวยมากค่ะได้ อารมและความรู้สึก มาก
    อนุโมทนาบุญ ด้วยค่ะ
     
  11. หยาดเพชร

    หยาดเพชร สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    เป็นบทความที่น่าสนใจมาก ได้ความรู้ค่ะ อนุโมทนา สาธุ..
     
  12. Vatairat

    Vatairat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,676
    ค่าพลัง:
    +2,294
    ไม่รู้หรอกนะค่ะว่าฝึกส่งจิตเป็นอย่างไรจะขอเล่าเป็นประสบการณ์นะค่ะมันเกิดขึ้นกับตัวเราเองค่ะ เราเคยมีแฟนค่ะ แล้วเลิกกันไปนานมากๆๆวันนึงเราก็ไม่รู้เหมือนกันเกิดคิดถึงเค้าจับใจพอเรานึกถึงเค้า เอาอารมณ์ความรู้สึก เอาจิตนึกถึงหน้าคนนั้น เชื่อไหมค่ะว่า วันนั้นพี่เค้าโทรทางไกลมาหาเรา เราก็งงมากๆ ไม่คิดเลยว่า จิตจะสื่อถึงจิตได้ จากคนที่ไม่คุยกันนานมากๆแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...