คาถาขอเชิญเทวดามาอวยพร (มนต์ เทวดาบอก)

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์ฤาษี, 13 กรกฎาคม 2011.

?
  1. ชอบ

    2 vote(s)
    100.0%
  2. เฉยๆ

    0 vote(s)
    0.0%
  3. ไม่ชอบ

    0 vote(s)
    0.0%
  1. ศิษย์ฤาษี

    ศิษย์ฤาษี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +257
    ฮิต จริงๆ เริ่มตั้งกระทู้วันที่ 14 มาแค่ ไม่กี่วัน จะเป็นพันแล้วคนเข้าชม โอ้โห!!!!!!!!!!
    สาธุ อนุโมทนามิ
     
  2. ศิษย์ฤาษี

    ศิษย์ฤาษี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +257
    สาธุอนุโมทนามิ
    แล้วอย่าลืมเอาไปเผยแพร่เอาไปบอกต่อๆกันด้วยนะครับผม
     
  3. Jindamunee

    Jindamunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +1,186
    เผยแพร่เรียบร้อยแล้วครับ จะพิมพ์แจกที่อเมริกาด้วย
    ที่แปลปริศนาธรรมแบบนั้นเพราะแปลไม่ออกรู้แต่ว่าดูสุขสันโดษ
    แต่รู้ว่าเราไม่รู้งามเท่าครู
    สู้ครูบอกแล้วเราถามไม่ได้แน่ๆ
    ถ้าจะพิมพ์แจกควรจะมีอะไรพิเศษบอกกล่าวผู้ศรัทธาหรือเปล่า
    มนต์นี้นึกเฉยๆได้ด้วยเหรอครับขนาดยังไม่ทันท่องนะ
    ถามดูครับอย่าเอาไปนึกกันนะ เอาไว้สวดเถิด
     
  4. nopphakao_s

    nopphakao_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +253
    สาธุ ขออนุโมทนาบุญทั้งมวลด้วยค่ะ ขอบพระคุณที่เมตตานำคาถานี้มาเผยแพร่ จะช่วยเผยแพร่ต่อไปนะคะ
     
  5. ปาริสุทธิ์

    ปาริสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +817
    ขออนุญาตนำไปเผยแพร่นะคะ
     
  6. ศิษย์ฤาษี

    ศิษย์ฤาษี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +257




    ครับผม สมัย ตอนผม ได้ทำงานเข้างานได้ใหม่ๆ




    ดีใจเป็นลิงโดนไฟช๊อต จะเรียกว่าลิงโลดคงจะไม่พอแน่นอน
    (เพราะดีใจมาก) เลยไปซื้อ กระดาษ ขนาดเอ4 มาเป็น10 กว่าปึก
    หวังว่า จะพิมพ์แจกเป็น ธรรมทาน
    แบบ เอาไปไว้ ตามวัดเป็นแบบธรรมทานลูกโซ่น่ะเคยเห็นกันป่าว!!!!!!!!!!!ครับ

    ท่านครูเข้ามาเจอ ท่านพูดเป็นลมลำเพย
    ว่า
    เอ่อ !!!!เข้าท่าดี แต่แม่ง.....ดู ชุ่ย!!!!!!!!!!!ฉิบหาย
    มึงกำลังจะมาลดสิ่งมีค่าของมึงงั้นเหรอ

    เอ่อ!!!! นั่งนึกไปนึกมา ก็จริงของท่านว่า(เพราะตอนนั้นคิดได้แค่นั้นน่ะครับ)
    ผมเน้นปริมาณ ไม่ได้เน้นคุณภาพ ทำออกมาน่าเกลียดจังเลย สงสัยดีใจเหมือนลิงโดนไฟช๊อต
    เลยเบลอไปหน่อย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆไม่ทันนึก

    หลังจากนั้น ผมก็เริ่มพิมพ์เองครับ ทำสวยๆ ใส่ลวยลายลงไปหน่อยให้ดูเข้มขลังบ้าง
    ดูสวยงามบ้างดูน่ารักบ้าง แล้วแต่อารมณ์ช่วงนั้นน่ะครับผม
    ใช้กระดาษหอม ใส่ใจลงไปในงาน
    ไม่ต้องเน้นริมาณ เอาคุณภาพเป็นหลัก
    เดือนหนึ่งทำทีละสิบแผ่น พอแล้ว เอาให้เฉพาะคนต้องการจริงๆ หรือคนที่อยากจะให้จริงๆน่ะครับรู้สึกดีออกตอนนั้นรู้สึกไฮโซยังไงไม่รู้อ่ะ อิอิอิ
    เพราะอะไรอ่ะเหรอครับ ท่านครูบอกว่า บุญที่เราทำจะได้มีโอกาส อฐิษฐานกองบุญอยู่บ่อยๆไงเล่า แถมบุญที่เราใส่ใจมันเป็น บุญปราณีต บุญงดงาม และมีมากกองบุญใหญ่โต เอ็งก็ถือซะว่าทำโอกาสอุทิศ ไปสิ ให้กับเทวดาที่รักษาชีวิตเอ็งน่ะ ให้พ่อแม่ญาติพี่น้องเจ้ากรรมนายเวร
    เจ้าบุญนายคุณ

    (นี่ก็สำคัญเพราะเราไม่เคยให้เขาเหล่านั้นเลยท่านครูบอกว่าควรให้ด้วย) ใส่ลงไปส่วนของมนต์ คำแปลของมนต์ และคำทับศัพย์ ภาษาต่างประเทศ หรือ ไทย สุดแล้วแต่

    อ้อ สำคัญ อย่าลืมใส่ชื้อท่านครูด้วยนะครับท่านชื่อครูบาเจ้าเทพมุณี
    แต่ผม ชอบเรียกท่านว่า ท่านครูเจ้า ครับ
    แต่ ส่วนมาก ลูกศิษย์จริงๆ จะเรียกท่านสั่นๆ ว่า ครู ครับผม
    และชื่อตัวเองใส่ลงไปด้วย ถ้าเป็นผม จะใส่ท้ายกระดาษมุมขวาล่างสุดใส่ชื่อ-นามสกุล และเขียนว่า ขอพิมแจกเป็นธรรมทาน ทั้งภาษา ไทยและต่างประเทศก็ดีครับ ตามอัธยาศัย

    ตอนนี้ มนต์นี้ ได้แปลเผยแพร่มาที่ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน และดีใจมาก
    หาก ไปเผยแพร่ที่ ทวีปยุโรป และอเมริกา
    มีลูกศิษย์ท่านครู บางคนนำไปสวดแล้วครับที่เทคซัส แต่พึ่งไปครับเพื่อนน้อย ยังไม่ได้อยู่นาน เลยไม่รู้จะเผยแพร่ให้ใคร เดี๋ยวผมเอารูปแบบ ต่างๆ มาลงให้ชมกันนะครับ

    ว่า แต่ละแบบ แต่ละคน เขา ทำยังไง สวยงามแค่ไหน ทำไม่มากครับ เดือนละ 5แผ่น 10 แผ่น
    ทำเสร็จแล้วก็อฐิษาน เป็นการขอบคุณเทวดา
    ขอบคุณ พระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ สักวันสองวัน แล้วค่อยแจกครับ น่าภูมิใจดีออก

    ยังไงก็ขอเถอะครับอย่าเอาไปทำแจกแบบ ธรรมทานลูกโซ่เลยครับ
    คือ ทำมาเป็นกระดาษเอ 4 ปึกหนึ่ง
    แล้วหาที่แจกไม่ได้ ก็เอาไปวางไว้ตามหน้าพระประธานตามวัด
    แล้วไปเขียนแบบกึ่งๆ ลูกโซ่ ยังงี้ไม่เอานะครับน่าเกลียดจัง
    เอาไปสร้างบารมี อย่าเอาไปย่ำยีบารมีตัวเองนะครับ
    เชื่อว่าทุกท่าน ในที่นี้ เป็นคนร่วมบุญร่วมชาติกันมาแน่นอน ถึงใด้มาเจอกัน คงน่ารักกันทุกคนและคงไม่มีเจตนา ยังงั้นแน่นอนนะครับอิอิ
    สาธุ หมื่นครั้ง อนุโมทนาครับ



    แต่แปลกนะครับที่เรียกท่านครูถูกด้วยเหมือนเป็นศิษย์ ท่านมายังไงยังงั้น ถูกต้องครับ เพราะลูกศิษย์ที่นี้ จะเรียกท่านว่า ครู กันสั้นๆ ส่วนมากนะ ไม่มีใครเรียกว่า พระอาจารย์ /พระครู /ครูบา หรือหลวงพี่/หลวงพ่อ เลย เรียกกันสั่นง่ายๆ ได้ใจความ ว่า ครู
    เอ๊ะ!!!!!! คุณ พี่ รู้ได้ไงอ่ะ เรียกท่านถูกด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2011
  7. Jindamunee

    Jindamunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +1,186
    รับทราบครับ
    จะตามข้อมูลเรื่อยๆ
    เพื่ิอศึกษารูปแบบอันงดงาม
     
  8. ศิษย์ฤาษี

    ศิษย์ฤาษี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +257
    มี ท่าน ผู้สนใจ คนหนึ่งส่งข้อความมาที่ ห้องส่วนตัวผมน่ะ เลยขออนุญาติเอามาเผยแพร่

    ฮ่าๆๆๆๆ เอาไปถามครู เอาแบบหนุกๆ นะครับ ถามชวนแก้เหงาน่ะ ท่านเล่า เรื่องมนต์ให้ฟังว่า มีสามแบบ
    1คือ เป็นมนต์ประพันธ์โดยคัดจากสำนวนโวหาร ของ การพูดของพระพุทธเจ้าบ้าง ของพระสาวกบ้าง ของพระอรหันต์บ้าง ของพระอรรถกถาจารย์ผู้ทรงรู้ในพระไตรปิฎกบ้าง ในวิปัสนาบ้าง เอามาเป็นคำสวดเพื่อ ทบทวนธรรมะเหล่านั้นเหล่านั้นบ้าง
    เพื่อสรรญเสริญคุณพระพุทธเจ้าบ้าง อาราธนาอานิสงค์บ้าง ตามแต่ศรัทธา
    ของผู้นั้นผู้นั้น
    2คือ การ กำหนดวัจนะ ภาษา ในท้องถิ่นนั้นๆ เอามา เป็นการสวดต์ มนต์
    3เอาศรัทธาบ้างจากญาณบ้าง จากนิมิตรบ้าง จากองค์ความรู้ที่เกิดญาณบ้างมาประพันธ์โดดๆ ไม่เกี่ยวกับใคร หรือเอามาแทรกในธรรมบทกถาบางตอนบางส่วนเหมือนไปขอใช้พื้นที่เขาน่ะ ดังนั้น เอาศรัทธาเราเป็นที่ตั้ง หากมี ศรัทธา ก็สวดไปตามอัธยาศัย หากไม่มีศรัทธา ต่อให้ร้อยกรองวิจิตรพิสดารขนาดไหน ก็ไม่มีประโยชน์อันใดเลย ในการ เจริญ ธรรมอย่างนั้น อย่างนั้น
    (คัดจากสำนวนท่านครู แปร๊ะ!!!!!!!!! เลยครับท่านบอกว่า อ่านไม่ออก แปลไม่ได้ มันจะคล้ายกับ อ่ะสะปะรึ่มฮึ้ม บรึ้ยๆ หรือเปล่าง่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ)
    เหตุผล นั้น ครูเล่าต่อว่าขอยกอ้างเมือตอนเกิดการอุบัติกำเนิดของพระพุทธเจ้ามาตอนหนึ่ง ฟังนะป๊อบ ในสมัยพระพุทธองค์น่ะมีสรรพสัตว์ในสากลโลกที่ได้บรรลุ พระอรหันต์มากมาย กลายเป็นเทพยดาเจ้าก็เยอะ โดยการสั่งสมในอดีตชาติก็มี เหล่าเทพยาดาเจ้าขออฐิษฐานลงมาเกิดร่วมชาติพระพุทธองค์ก็มี ขออฐิษฐานมาเกิดเป็นมนุษย์ก็มีเพื่อจะได้พบพระพุทธองค์ เพื่อได้มีโอกาสฟังธรรม เพื่อจะได้บรรลุเข้าสู่กระแสพระอรหันต์ก็มี สรรพสัตว์เคยร่วมชาติพระพุทธองค์ สมัยครั้งเสวยชาติเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วอฐิษฐานร่วมอนุโมทนาปราถนามาเกิดร่วมภพร่วมชาติเมื่อคราวพระพุทธองค์ บรรลุ ก้มี บุญมากก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ บุญน้อยก็สำเร็จเป็นเทพยาดาเจ้า
    แต่ยังไงก็ถือว่าได้บุญแน่นอน ดังนั้นในสมัยยุคพรพุทธองค์มีเทพยดาเกิดมา มีพระอรหันต์เกิดมาก คาถาที่เราสวดนั้น เป็นภาษาที่เขาใช้อยู่แล้วในท้องถิ่นในยุคนั้น ไม่ใช่เป็นภาษามนต์พิเศษ อะไรเลย กล่าวได้ว่า ยุคนั้นเป็นยุคทองของเทพยดา ที่อุบัติเกิดขึ้นโดยพระพุทธศาสนา เพราะเทพยาดา ที่อุบัติเกิดขึ้น มีมากมารย จากการบริจาคทานก็มี จากพวกบำเพ็ญญาณก็มี ที่ไม่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาน่ะนะ แต่ยุคนั้นเป็นยุคกำเนิดเทพยาดาจากบุณที่ทำในกรอปวงพระพุทธศาสนา มามาย ทั้งจากพระพุทธเจ้าองค์เก่า ก็ยังมีเหมือนกัน แต่เหลือน้อย เพราะอฐิษฐานลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ก็เหลือแต่ พวกเก่ารอพระศรีอารย์ กับพวกใหม่ที่ ไม่ได้บรรลุ แต่ ไปเกิด เป็นเทพยดารอพระศรีอารย์ก็มี ภาษาบาลี คือภาษาที่ใช้ ในยุคนั้น เหมือนเราคนไทยในต่างประเทศน่ะ พอใด้ยินเขาพูดภาษาไทยก็ใคร่รู้ใคร่ฟังว่าจริงป่ะพอเราพูด ภาษา ที่เขาใช้ในยุคนั้น เขาได้ยินเขาก็ปีติยินดี อยากฟัง เช่นกัน ดังนั้นคาถาก็ดี ธรรมบทก็ดี หาก มันพอที่จะวิเคราะเจาะลึกมีตัวกำกับรับรองว่าคำนี้แปลว่าอย่างนี้ อย่างนี้ มันยังพอที่จะน่าเชื่อถือ มากกว่าคำว่า อะบ่ะระบึ่มบรึ๋ย สะมาดาเฮ้ ดาฮึ้ม อะไรก็ ไม่รู้ ไม่รู้เรื่อง ถ้าพูดตรงๆ ว่ามั่วซั่วซี้ซั้วแต่งกันขึ้นมา แม้แต่ตัวเองก็แปลยังไม่ได้เว้นจะจะอุปะโหลกแปลกันเองสมมุติกันเองก็ ไม่ว่ากันแต่มัน่าเกลียดก็เท่านั้น่ะ ไม่มีอะไรมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2011
  9. pooltime

    pooltime เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +113
    ขอบคุณครับ ที่นำมาเผยแพร่ครับ ฝากกราบท่าบครูบาเจ้าเทพมุณี ด้วยครับ

    พูดไปพูดมา ชีวิตผมก้อท้อแท้ ทำไรก้อไม่ดี เรียกว่า ไม่มีดีมากกว่า อะไรที่อยากทำอ่ะ ก้อไม่ได้ทำ

    ยังไงจะลองนำไปสวดดูนะครับ
     
  10. ศิษย์ฤาษี

    ศิษย์ฤาษี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +257
    ครับผม ครู ก็ฝากบอกว่า
    ในท่ามกลางอะไรอะไรที่แย่ๆ
    มันมักจะมีความสุขแอบซ่อนอยู่เสมอ
    อย่าได้ไปกังวลทุกข์ กังวลยากเลย
    ทำหน้าที่ของตัวเองไป
    หากมีโอกาสครูกลับเมืองไทย คงได้เจอกัน นะ
    ครับ................................................
    สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2011
  11. กัลกยาวตาร

    กัลกยาวตาร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2010
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +64
    ผมมีภาพเทวดาช่วยจัดให้ครับ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. Nuk036

    Nuk036 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +99
    ได้อ่านข้อความแล้ว ต้องบอกว่าขนลุกอยู่นาน ใช่ครับ ผมเป็นหมอจริงๆ ตอนนี้อยู่ที่เชียงใหม่

    แต่มีข้อสงสัยเพิ่มกับที่ ท่านครูพูดว่า "สายพระปฏิบัติ ก็เงี้ยะแหละ" อันนี้หมายความว่ายังไง เพราะผมยังไม่เคยได้บวชเลย เพียงแต่ศึกษา และปฎิบัติธรรม ตามแต่สมควรเท่านั้น

    ขอบคุณครับ
     
  13. ศิษย์ฤาษี

    ศิษย์ฤาษี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +257
    อ๋อไม่ใช่ครับ หามิได้
    ท่านครูบอกว่า สายพระปฏิบัติ หมายถึงว่าคุณไปแนวสไตร์ สายกรรมฐานครับ ไม่ใช่พวกออกแนวเข้าวัดเมือง คือไปทำบุญแล้ว ก็ตัวใครตัวมันน่ะครับ
    อย่างคุณหมอ น่ะ ครูบอกว่า คุณชอบนั่งกรรมฐาน ชอบเข้าหา พระปฏิบัติ ชอบค้นคว้าธรรมะจริงๆไม่ใช่ออกแนวเครื่องรางของขลัง หรือวัตถุมงคล หรือเป่าน้ำมนต์พ่นน้ำหมากอะไรทำนองนั้นน่ะครับ
    อย่างคุณต้องประเภทหลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัวอะไรทำนองนี้ครับ ไม่ใช่ แบบ เข้าวัดเมืองน่ะ ท่านครูจะบอกว่า ท่าพวก สายพระเมือง คือ อีพวกเป่าน้ำมนต์พ่นน้ำหมาก ซัดข้าวสารเสก แจกวัตถุมงคล สวดมนต์เสร็จนับตังส์ นั่งฉันสองมือ ถือศิลปนถือพรต(พราหมณ์ปนพุทธ) กำหนดภาวนา ลงนะหน้าทอง อะไรทำนองนี้ครับ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    ครูท่านไม่ได้ดูถูกหรือไม่ยอมรับนะครับ เพราะท่านก็ทำน่ะครับ
    ไอ้ของพวกนั้น ท่านบอกว่า จริตคนเราต่างกัน ไม่ชอบเหมือนกันหรอก เราต้องทำธรรมะเป็น โรบินสัน มีทุกสิ่งที่เลือกสรรค์ เพราะไม่งั้น เดี๋ยวหาย หันไปนับถือศาสนาอื่นหมด ถึงเขารับธรรมะแบบแก่นธรรม ไม่ได้ ก็ให้เอาธรรมะ เป็น ธรรมะที่เป็นเปลือกแทน เพราะต้องอ้างถึงเรื่องจริตหก เอาแค่นี้ก่อนครับแต่ท่านอธิบายเรื่องจริตว่ามีมากกว่านี้อีกครับ จริตเราเป็นที่ตั้ง มนุษย์เราชอบไม่เหมือนกัน อย่างผมชอบเผ็ด ครูชอบหวาน(เจี้ยบ)เป็นต้น นี่ไงครับ สาเหตุนี้ท่านเลยเราว่า เขาเอาแก่นไม่ได้ ไม่ใช่ ไปตำหนิเขา เราก็ต้องรู้หลัก
    ผู้รับธรรมะด้วย เขาเอาแก่นไม่ได้ก็เอาเปลือกไป อย่างน้อย เอาไว้เป็นอุบาสก อุบาสิกาไว้ก็ยังดีกว่า เขาไปนับถือศาสนาอื่น เพราะยังไง มันก็เป็น ธรรมะและศรัทธาเหมือนกัน
    อ้าว!!!! คุณว่าจริงไหม ผมชอบแนวคิดท่านครูนะ ท่านเล่าเรื่องนี้มาโดน ใจมากมาย อย่างพวกชอบสายปฏิบัติ แนวแก่นธรรมะ พี่แกก็จะดูถูก ว่า พวกชอบไสยศาสตร์ รดน้ำมนต์พ่นน้ำหมากโง่เง่างมงมาย ดูถูกค่อนขอด สารพัดที่เขาจะงัดมา อย่างออกหน้าออกตา สรุปต้องอย่างลืมธรรมเป็นอาหารใจ ต้องเสพทางหูทางตาทางใจ ฟังไม่เข้าหูก็พอๆ กับ อาหารไม่ถูกปากไม่ถูกใจ แล้วใครจะไปกิน เดี๋ยวมันหนีไปหาร้านใหม่ มิแย่เหรอ เดี๋ยว ยิ่งร้านเดี๋ยวนี้ แย่งลูกค้ากันน่าดู ทั้ง
    (คริส-อิสลาม-ฮินดู-โยเร-นัมเมียว-บาไฮร์-ซิก-เต๋าอิอิชื่อร้านค้าน่ะ)
    ชาวพุทธชะล่าใจ มานานมาก เรื่องนี้ เหมือนว่า ไม่ชอบมึงก็ ไปร้านอื่นดิ ชิชะ หลงตัวไม่ง้อคน เดี๋ยวเห้อะ!!!เดี๋ยว มารู้อีกที จะแหกปากร้องไห้ เพราะลูกค้าหายหมด การเผยแพร่ธรรม มันต้องหลากหลาย หลายๆเมนู รับรองลูกค้า (อุบาสกอุบาสิกา)เพียบพาบชัวร์ ท่านเคยไปคุยกับพระผู้ใหญ่ คุยเรื่องนี้ ท่านพูดแบบไม่แคร์ว่า ช่างเถอะใครจะโจมตี ก็ช่างเขา ประเทศไทืยเราชาวพุทธ 70% อยู่แล้ว
    เฮ้อ!!! มันไม่ใช่แค่ นั้นอ่ะดิครับ เพราะศึกภายในอีก ที่ มันน่ากลัว เช่น การค่อนขอดกันเองเรื่องนี้ ยกตัวอย่างเช่นสายธรรมแบบแก่น (สายปฏิบัติ)ก็ตำหนิพวกธรรมะแบบเปลือก(สายไสยศาตร์)จนเราฟังเองยังน่าขนลุกท่านบอกว่า ไอ้เรื่องข้อมูลชาวพุทธในประเทศไทย 70% นั่นมันข้อมูลของการสำรวจใน ปี 2500 (สมัยการฉลองกึ่งพุทธศาสนา)กี่ปีมาแล้วครับ 50 กว่าปี แล้ว ป่านนี้ ไม่เหลือแค่ 50%แล้วเหรอชาวพุทธ
    ท่านบอกว่า เอาธรรมะล่อไว้ ชอบแบบไหนไปแบบนั้น
    สาธุครับผม
     
  14. ศิษย์ฤาษี

    ศิษย์ฤาษี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +257
    และอีกข้อหนึ่ง ท่าน ตอบ ได้ตรงคำถามและคำอธิบายแปร๊ะ!!!!!!!ครับ
    ท่านหมายถึงคุณเป็นอุบาสกจริงๆน่ะครับไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นนักบวชนะ

    ลองเที่ยบเครียงครับ
    ท่านบอกว่าคุณเป็น
    สายพระปฏิบัติ ไม่ใช่ พระสายปฏิบัติ
    ลองเทียบกันครับ
    สายพระปฏิบัติ คืออุบาสกอุบาสิกา ที่สืบสาย (มาทาง)พระปฏิบัติ
    พระสายปฏิบัติ คือนักบวชที่มีวิธีการแบบปฏิบัติธรรม
    ผมว่าท่านครูอธิบายเครียร์นะ
    .............................................
    อิอิ ผมมีแซว บอกว่าคุณหมอนี่สงสัยเก่งจัง

    ครูบอกว่า ก็ดีกว่า เขาไม่ชวนเราคุย ดีสิเราได้มีโอกาสอธิบายและแสดงธรรม ก็จัดเป็นบุญประเภทหนึ่งในการทำบุญที่อยู่ในบุญกิริยาวัตถุสิบประการ สาธุ
     
  15. Nuk036

    Nuk036 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +99
    ขอบคุณครับ ... คุณป๊อป

    ฝากกราบนมัสการ ท่านครู ด้วยนะครับ ถ้ามีโอกาสผมจะไปกราบท่านจริงๆ ให้ได้

    จริงๆ ตอน มัธยม ผมเรียนอยู่แถวศรีราชานะครับ อัสสัมชัญ ครับ
     
  16. zaxzon

    zaxzon สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +1
    สุสาอาหะ เเปลว่าความหมายคล้ายๆ จงสดับรับฟังข้า
     
  17. ศิษย์ฤาษี

    ศิษย์ฤาษี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +257
    ครับ ท่านครูท่านป่วยมาก และตอนนี้ มาพักรักษาตัวที่ต่างประเทศครับ ท่านมีกำลังใจดีมีลูกศิษย์มาป่วนๆ ให้ท่านคลายเหงาไปได้บ้างครับ เราไปรับท่านมาจาก ป่าเมืองกาญจน์ครับ พยามหา กันเป็นเดือน ถึงจะพบ เราเลย กราบนิมนต์ท่าน ให้ไปรักษาตัวก่อน ท่านก็ตกลง ไวไวนี้ อาจจะได้กลับครับ
    แต่ให้ท่าน กายภาพบำบัด สักระยะ ส่วนที่ เคยอยู่และสร้างไว้ ตอนนี้ ท่านไม่ได้อยู่แล้วครับ ยกให้คนอื่นดูแลก่อน เพราะ ทางเรา คิดว่า ยังไงก็ตามการป่วยแล้วทนอยู่ กับ การมารักษาตัวให้หายป่วยแล้วปล่อยทิ้งไปซะ ประเด็นหลัง น่าจะโอเคกว่า เพราะท่านป่วย ที่ท่านเคยพักนั้น ก็ไม่มีใครตามไปดูเลยครับ ผมเห็นแล้ว ยังเป็นห่วงท่านครับ เลย ตัดสินใจแกมบังคับว่า ควรออกมารักษาตัวก่อนจะดีกว่าจะมาทนอยู่โดยขาดการรักษา สาธขอบคุณมากครับ ที่ มาเป็นเพื่อนร่วมคิดและถาม สาธุครับ
     
  18. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,224
    ค่าพลัง:
    +15,636
    มีการทำวิจัยโดยพระนิสิตปริญญาโท ผลการวิจัย คนไทยเข้าวัดทำบุญน้อยลง เยาวชนไทยหลายคน ไม่รู้ถึงวันสำคัญของพระพุทธศาสนา และไม่รู้ความหมาย เพราะหลายแห่งเน้นสร้างวัตถุ ไม่เน้นเผยแพร่พระพุทธศาสนา ไม่เน้นสร้างคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
     
  19. ศิษย์ฤาษี

    ศิษย์ฤาษี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +257
    กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาที่แสดงความเห็นครับ

    เมื่อประมาณ ปี 50ราวเดือน มิถุนายน ได้มีคณะศิษย์ และศรัทธนายค(สัด-ทะ-นา-ยก) จำนวนหนึ่งเข้ามาประชุมและสัมนากัน โดย คณะสำนักกองงานเผยแพร่และอนุรักศาสนาและวัฒนธรรมของสภานิติบัญญัตินำโดย(ในสมัยนั้นนะครับ)
    ท่านอาจารย์พลเรือเอก(ดร.)สุรินทร์ เริงอารมณ์
    ท่านอาจารย์ ดร.นิพนธ์ นาคสมภพ
    ท่านอาจารย์ สว.(ดร.)วรินทร์ เทียมจรัส
    ท่านพลเรือตรี ณเดโช เกิดชูชื่น
    ท่านร้อยเอกณกษิมันตร์ นิลผาย
    ท่านพันเอก องอาจ จิรานุภาพ
    ท่านร้อยตรี สมชัย ม่วงศิริ
    และท่านดร.พระครูสังฆรักษ์ เทพมุณี ฐิตวายาโม (ท่านครู)
    (ซึ่งทุกคนมีตำแหน่งระดับอาจารย์กันแล้วไม่ใช่นักศึกษาหรือนิสิตที่กำลังเรียน)ได้มาประชุมและเสวนาธรรม กันบ่อยมาก แทบจะเดือนละ 3-4 ครั้ง เราจะมีการพูดคุยและ นำเสนอ ด้วยเหตุที่ว่า เรื่องศาสนาพุทธนั้น แต่ละท่านก็มีความน่าสนใจหลายอย่าง เพราะแต่ละคนมีแง่และเหตุผลที่ต่างกัน
    แต่ผมในฐานะเลขาส่วนตัวของท่านครู พร้อมทั้งทนายป๋วย(ทนายส่วนตัวอีกแหละ) ก็เข้าร่วมฟังการสนทนาธรรมครั้งนั้นด้วยท่านอาจารย์สว.พานิสิตมาร่วมฟังบรรยายเป็นจำนวนมาก ทุกคน ต่างบอกกันว่า แง่คิดของท่านครูน่าสนใจ แถมมีเอกลักษณ์ ความเป็นลูกทุ่งเยอะมาก(เรียกได้ว่ามีฮาตลอด)

    ขออนุญาติ คัดมาสำนวนหนึ่ง ท่านครูเล่าว่า

    พระที่อยู่วัดที่เขาสร้างมาไว้แล้ว มีกุฏิติดแอร์อยู่ใกล้แหล่งชุมชน เช้าทำวัตรเสร็จออกบิณฑบาตร มาสวดมนต์แล้วฉันเช้าฉันเพล เสร็จก็เข้ากุฏิโก่งตูดนอนพักผ่อน(จำวัด)สักพักครองจีวรออกไปพร้อมย่าม-ปากกา-ดินสอ-เข้าห้องเรียน แม่งจะไปรู้เรื่อง ของอีกมุมหนึ่งของโลกได้ไงไม่ลองไปนั่งอยู่ตามวัดบ้านนอกที่ชาวบ้านทำไร่ไถนาหรือไม่ก็ ไปหา พวกที่เป็นพวกหาเช้ากินค่ำดูบ้าง คนที่มีเวลา นั่งบำเพ็ญภาวนา มีกีคน ที่จะมาเอาธรรมแบบหลุดพ้นหรือ โลกุตระธรรม จากการวิเคราะห์มามีแค่ สามเปอร์เซ็นเท่านั้นไอ้คนกลุ่มนี้น่ะ ที่ มีปัญญาไปเข้าวัดฟังธรรม นั่งกรรมฐาน สวนอีที่เหลือก็พ่อตาย แม่ยายป่วย ต้องไปช่วยเขาทำงานหรือต้องเร่งทำมาหากิน
    ไอ้นี้เราคุยในเรื่องการเข้าถึงหลักเอาแก่นจริงๆ ของพุทธศาสนานะ

    ไม่ใช่ธรรมะสามัญวิญญู ประเภททำดีได้ได้ทำชั่วได้ชั่ว ทำบุญทำทานถวายสังฆทานปล่อยนกปลา หรือ ไปหาพระกล่าวคำสมาทานศิล(คุยด้วยนิดหน่อยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง) หรือ ไม่กินเนื้อสัตว์วันพระวันเกิด หรือนิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์ ไอ้ของพวกนี้ เขาทำกันอยู่แล้ว
    ต้องลองไปคิด-ดู-ทำความเข้าใจ-ฟังความรู้สึกของพวกโยมเขาดูบ้าง ไม่ใช่เอาตัวเองเป็นอัตตา ลองมองเป็นกระจกหกด้านหรือหลายๆมุมๆ หน่อย!!!!!!
    กลุ่มนี้คิดยังไง
    กลุ่มนั้นคิดยังไง
    กลุ่มนู้นคิดยังไง
    กลู่มโน้นนนนนนนนนนน!!!!!! คิดยังไง
    อย่าเอาพระเป็นที่ตั้งแล้วมานั่งมองโยม พระกับพระมันเข้าใจกันเองอยู่แล้วมองตาก็เห็นไส้ แต่ต้องมองว่าโยมเขา เข้าใจยังไงกับพระสงฆ์ เขามีสภาวะรับอะไรได้บ้าง เขาต้องการอะไรจากพระ
    เป็นเรื่องที่น่าสังเวชนะ
    อย่างคริสตัง(โรมันคาทอริค) กับคริสเตรียน(โปแทสแต้นส์) เขาช่วยเหลือกันอย่างน่าใจหาย
    อิสลามชีอ่ะกับสุ่นหนี่ ก็ช่วยกันฟื้นฟูพระศาสนาของเขา
    แต่ไอ้พวกพระบ้าเนี้ยะ แม่งกัดกัน ยันลามไปถึงโยมเชียว(ขออนุญาติถอดข้อความมาตามเทปบันทึกจริงๆจากคำพูดลูกทุ่งๆของท่านครูเพราะความจริงเป็นการประชุมลับน่ะครับเพื่อหาช่องทางช่วยเหลือศาสนาพุทธเรา) ภัยของพระพุทธศาสนา มันมาจากกันเองนี้แหละ เช่นธรรมยุติงัดกับมหานิกาย (อันนี้ คอนเฟริร์ม เพราะไปได้ยินมากับหูตอนไปกับท่านครู พระที่พูดก็เป็นพระผู้ใหญ่ด้วยเชียวแหละ)
    นี่เอาเรื่องแค่นิกายใหญ่นะ ถ้าเอานิกายย่อยคือเล็กน้อยๆหยุมหยิม เช่นพวกกรรมฐาน ก็ฟาดฟันกับพวกวิปัสสนา พวกถือวัตถุมงคลก็โดนพวกนักบุญนักธรรมประณามหยามเหยียดให้เจ็บใจ แน๊!!!!!!!!!!! ดูสิจะไปเอาอะไรกับมันได้ ให้แน่นอน เราควรจะมาสร้างความหน้ารักและสมานกลมเกลียวกันดีกว่า
    ศาสนาต้องไปได้เหมือนหลักของการปรุงยาสมุนไพรคือ
    1 มีตัวหลักไว้พอเป็นที่ยึด
    2มีตัวช่วยไว้คอยสนับสนุน
    3มีตัวป้องกันไว้เป็นวัคคซีน
    4มีตัวสร้างศรัทธาไว้ยึดเหนี่ยว
    (ซึ่งพระนักเรียนทั้งหลายกำลังจะทำลายสิ่งนี้ แล้วสักวันหนึ่งจะมาคร่ำครวญเรียกร้องก็ จะไม่ได้คืนกับมา)ผมมีหลักฐานเรื่องนี้ครับ จากการไปทำวิจัยมากกับท่านครู แต่ไว้เอามาลงวันหลังเพราะยาวมาก
    5มีตัวคอยกรอง

    5 อย่างนี้ ต้องไปแบบควบคู่กัน ไม่ใช่ไปกันคนละทิศคนละมุมและมาขัดกันเอง ต้องเข้าใจว่าศาสนาอื่นเขาไปไหนต่อไหนกันหมดแล้ว และไปอย่างรุดหน้าด้วย ดังนั้นเราต้องถามว่าเขาต้องการอะไร เพื่อเอาไว้เป็นพุทธมามะกะของศาสนาพุทธ วันหนึ่งมันหนีไปนับถืออย่างอื่น เดี๋ยวพระคงต้องทำกับข้าวกินเองแน่นอน

    ครับสำนวนท่านครู ท่านกล่าวไว้มันส์มากมายท่านครูก็เคยพูดเรื่องวิจัยว่า
    ไอ้วิจัยของนักเรียนที่อยากเรียนจบกับวิจัยของคณะครูอาจารย์ที่อยากรู้ มันคนละเรื่องกันเน้อ ลองตรองและคิดกันเอง
    ผมพูดได้แค่เนี้ยะ กระดาษเอ 4 ที่ครูท่านเขียนไว้เป็นวิจัยส่วนตัวของท่าน มีไม่ต่ำกว่า 30,000 หน้ากระดาษเอ 4 ที่เป็นสมุดเอาไว้เขียนอีกบานเบอะ
    อันไหนเข้าท่า ก็จะดำขี้มือหน่อย อันไหน ไม่ได้เรื่องเพราะวิจัยไว้แล้ว สรุปไม่ได้เรื่องก็จะโดนติ๊กปากกาแดง ผมเคยถามว่า แล้วไม่เอาไปทิ้ง ท่านบอกว่า จะได้รู้ว่ามันผิดยังไง เพราะอะไรผิด และจะได้รู้ว่า อ้ออันนั้มันไม่ใช่นะ ก็เท่านั้นเอง
    ท่านไปมา ถึง 5 ประเทศ(ไทย-อินเดีย-ธิเบต-พม่า-มาเลเซีย/สิงคโปร์)
    พูดได้ 7 ภาษา(ไทย-อังกฤษ-พม่า-จีนฮกเกี้ยน-ยาวี-มอญ/กระเหรี่ยง-ฮินดี้)
    เดินทางด้วยเท้าเปล่ามาไม่ต่ำกว่า 30,000 กิโล
    อายุ13บวชเณร
    อายุ15 ออกป่าอยู่มาไม่ต่ำกว่า45จังหวัด(เพราะเดินธุดงค์)
    เข้าหาชาวบ้านตลอดที่มีประวัติการบันทึก(ลงหนังสือนิตยสารก็5-6จังหวัด)
    เข้าไปทุกศาสนา(พุทธหลายนิกายตั้งแต่จีน/พวกสถานธรรม/โยเร/นัมเมียว/เต๋า-และอื่นๆเช่นบาร์ไฮเป็นต้นหลังจากนี้ไม่ขอพูดถึง) เพราะต้องการทำวิจัย
    ผมถามพวกท่านว่าพระเณรบางรูปสมัยนั้น(สมัยที่ท่านบวช) พวก ยังแบมือขอเงินแม่ หรือไม่ก็ ไปไล่วิ่งเตะบอลยิงนก ตกปลากันอยู่เลย (เพราะผมก็เป็น)หรือไม่ก็นั่งหาวในห้องเรียนกันอยู่เลย
    เราไม่พูดเรื่องวัตถุหรือสร้างคน
    ว่าแต่พระเคยเข้าหาชาวบ้านบ้างไหมแทนที่จะเข้าไปหาชาวบ้าน แต่กลับรออยู่วัดให้ชาวบ้านมาหา และท่านจะเรียกว่าเผยแพร่ศาสนาได้อย่างไร
    โดนพวกอื่นเอาไปกินหมดแล้ว
    ขนาดผมถามตัวผมเองผมยังโคตร!!!เบื่อพระเลย นี่ท่าไม่มีท่านครูนะ(หมายถึงถ้าผม ไม่ได้เจอท่านครูน่ะ) ผมจะไปเข้าคริสแล้วเสียด้วยเพราะตอนแรกผมไม่ศาสนานะผมน่ะ
    เพราะไม่ชอบไม่เชื่อ โดยการส่วนตัว ส่วนที่จะไปเข้าคริสต์ไม่ใช่เพราะศรัทธา แต่เพราะว่าเท่ห์ดีก็เหตุผลแค่นี้เท่านั้นเอง
    ยิ่งเพื่อนผมยิ่งแล้วใหญ่ ไม่มีศาสนา สมัยก่อนมันคิดว่าแล้วตายไปจะทำศพที่ไหน เพราะที่เมืองนอกเขามี ที่เผาศพสาธารณะเขียนพินัยกรรมก่อนตายแล้วเอาเงินไปจ่ายไว้ล่วงหน้าเลย ไม่แพงด้วย (มันเป็นเด็กนอกน่ะ)เลยไม่ค่อยใส่ใจ แต่เมืองไทยนี่ไม่มี แต่พอไม่นานมานี่ไอ้เพื่อนผมมันค้นพบว่า การบริจาคศพให้โรงบาลน่ะ เขาเอาไปทำอะไรก็ได้ แถมมีการประกอบพิธีทางศาสนาแบบรวมหลายศาสนาเลยซึ่งตรงนี้มันไม่ใส่ใจอยู่แล้ว เพราะมันถือว่าตายคือตาย
    ผมถามพระคุณเจ้านิสิตนะครับ ถ้า มีคนแบบอย่างไอ้เพื่อนผมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและรวดเร็วอย่างน่ากลัว หรือหันไปนับถือศาสนาอื่น ท่านลองคิดสิครับมันจะเป็นยังไง
    เรื่องนี้มันควรเป็นเรื่องของพระเพราะเป็นคนมีหน้าที่กรอปกู้เผยแพร่อยู่แล้วในเรื่องศาสนาอยู่แล้ว ตอนนี้พระเผยแพร่ศานาแบบปฏิรูป ละทิ้งการสร้างศรัทธาแถมใครสร้างศรัทธาแบบออกหน้าออกตา
    ก็เกิดการทำลายแบบฉิบหายวายป่วง ในขณะอีกศาสนาหนึ่งสร้างความศรัทธาอย่างเต็มที่ ออกรายการทีวี จนหน้าใจหาย ผมว่าท่านกำลังเผยแพร่ผิดประเด็นและมุมไปนะครับ
    สาธุ......................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2011
  20. ศิษย์ฤาษี

    ศิษย์ฤาษี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +257
    ขอบคุณที่ช่วยแปลนะครับสาธุๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...