เทคโนโลยีของพระเจ้า

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย satan, 15 กุมภาพันธ์ 2007.

  1. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ก่อนอ่านบทความนี้ ขอบอกไว้ก่อนนะครับว่า ผมไม่ได้เขียนบทความนี้เองและไม่ได้เชื่อแนวนี้ ( แนวที่ว่าพระเจ้ามาจากต่างดาว แต่ผมเชื่อว่า มนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริง และเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า จักรวาลนี้มีเราเป็นผู้มีปัญญาแต่เพียงชาวโลกของเรา ) แต่ผมจำไม่ได้ว่าเอามาจาก web ไหน เพราะผมเก็บใส่เครือ่งไว้นานแล้วล่ะ ( เดียวคนเขาเข้าใจผิดว่าผม กราบไหว้ มนุษย์ต่างดาว 555 คัดลอกมาให้อ่านกัน สนุกๆครับ )


    เทคโนโลยีของพระเจ้า "โลกของเรามีสัตว์ในสปีชี่ส์ลิงและกบี่(Ape)อยู่ 193 สปีชี่ส์ 192 ใน 193 เป็นสัตว์ที่มีขนปกคลุมตัวรุงรัง ดูเหมือนมีอยู่สปีชี่ส์เดียวเท่านั้นที่ดูแตกต่างออกไป นั่นคือลิงเปลือยที่มีชื่อว่า โฮโม เซเปียนส์"
    - Desmond Moriis -
    "สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ของวันวานคือความหวังในวันนี้ และเป็นไปได้จริงในวันพรุ่งนี้"
    - Robert Goddard -
    คำแนะนำ: โปรดอ่าน The Origin of Human ก่อนเสียหากคุณยังไม่เคยอ่าน จะได้รู้ว่าเรากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่
    สำหรับสาวกทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศแล้ว ตำนานการสร้างโลกโดยพระเจ้าหรือที่เรียกกันว่า Divine Creation นั้น มีหลายจุดในตำนานที่ชวนให้ระลึกถึงเทคโนโลโลยีที่กำลังก้าวหน้าอยู่ในปัจจ ุบัน ครับ... เรากำลังพูดถึงเรื่องของเทคโนโลยีชีวภาพหรือ BioTechnology กันอยู่ เชื่อไหมครับว่า จริงๆแล้ว Biotechnology ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งค้นพบในปัจจุบันเลย มันเป็นการ"ค้นพบอีกครั้ง"หลังจากที่เทคโนโลยีนี้เคยถูกใช้บนโลกของเรามาเ มื่อนานแสนนานแล้วต่างหาก เหมือนที่วงการดาราศาสตร์พบว่ามีดาวเคราะห์ในระบบสุริยะทั้งหมด 9 ดวงในต้นศตวรรษที่แล้ว ทั้งที่ชาวสุเมเรียนหรือชาวอียิปต์รู้ความจริงนี้มาตั้งหลายพันปีแล้วด้วย ซ้ำ เทคโนโลยีชีวภาพก็เช่นเดียวกัน...
    บทนี้จะเป็นการขยายความเรื่องที่ผมเคยลงไปแล้ว คือ ไบเบิลกับพระเจ้าจากอวกาศ และ Planet X ของชาวสุเมเรียน นะครับ โดยจะยกตัวอย่างของการตีความเล็กๆน้อยๆจากหลักฐานทางโบราณคดี เนื่องจากหลายท่านคงสงสัยแหละว่า เรื่องอัศจรรย์พันลึกเหล่านี้ คนโบราณเค้าบันทึกไว้อย่างไรหรือ แล้วแปลกันออกมาอีท่าไหนไหงได้เรื่องเหลือเชื่อราวกับนิยายวิทยาศาสตร์เสี ยอย่างนั้น พร้อมจะดูกันหรือยังล่ะครับ?
    ---------------------------------------------------------------
    เทคโนโลยีของพระเจ้า
    นักคิดนักเขียนหลายคนเชื่อกันอย่างหัวปักหัวปำว่า นานมาแล้ว โลกเราเคยถูกเยี่ยมเยือนและพัฒนาโดยนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่งจากดวงดาวอันไก ลโพ้น พวกเขามาตั้งอาณานิคมอยู่บนโลกด้วยวัตถุประสงค์บางอย่าง ทำการพัฒนาสภาพแวดล้อม ระบบนิเวศ และพัฒนามนุษย์เพื่อวัตถุประสงค์บางประการ นักท่องอวกาศกลุ่มนี้ปกครองโลกอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง มีมนุษย์คอยเป้นพลเมืองอันจงรักและยกย่องพวกเขาให้เป็นพระเจ้า ครับ จะเรียกว่าพระเจ้าก็ไม่ผิดนัก เพราะคำจำกัดความในแง่ศาสนาแล้ว มหิทธานุภาพของพระเจ้าซึ่งไม่มีสิ่งใดมาเทียมทานได้ก็คือ ความสามารถในการให้กำเนิดหรือสร้างชีวิตนั่นเอง (ไม่ใช่สร้างชีวิตด้วยการสืบพันธุ์นะครับ อันนั้นคุณหรือผมก็ทำได้ แต่กามเทพคงต้องทำงานหนักหน่อยสำหรับบางคู่น่ะนะ หึหึ..)

    นักท่องอวกาศกลุ่มนี้ถูกเรียกขานจากคนโบราณว่าพระเจ้า ซึ่งถ้าใครสนใจเรื่องทำนองนี้จะพบว่า หนังสือหลายๆเล่มเรียกนักท่องอวกาศกลุ่มนี้ต่างๆกันไป God from space บ้างล่ะ Ancient Astronauts บ้างล่ะ ก็ขอให้เข้าใจนะครับว่าเป็นชื่อเรียกของสิ่งเดียวกัน แต่จะเป็นกลุ่มหรือคนเดียวกันนั้นไหมไม่รู้ด้วยนะครับ เนื่องจากคนโบราณที่บันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ต่างก็มีอัตลักษณ์ทางว ัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แม้บางส่วนจะคล้ายกันบ้างแต่ก็ยังต่างกันอยู่ ทำให้ชวนเชื่อเหลือเกินว่า พระเจ้าดังกล่าวไม่ได้มาเยือนโลกเพียงแค่กลุ่มเดียวเสียกระมัง
    แล้วพวกเขามาทำอะไรกันบนโลก มาตากอากาศอย่างเดียวเรอะ?
    คงจะไม่หรอกกระมังครับ เพราะหลักฐานที่เราพอจะหาได้ พระเจ้าจากอวกาศมาตั้งรกรากบนโลกของเราด้วยวัตถุประสงค์หลายประการอยู่ ชาวสุเมเรียนบอกว่าพระเจ้าที่พวกเขาเรียกขานกันว่า Anunnaki นั้น มาแสวงหาแหล่งทรัพยากรบนโลกของเราเพื่อส่งกลับไปยังดินแดนบ้านเกิดของพวกเ ขา อันเป็นดาวเคราะห์ขนาดมหึมาที่มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ถึง 3600 ปี ส่วนชาวมายานั้นบอกว่า พระเจ้าเสด็จลงมายังโลกเพื่อแสวงหาอาณานิคมและสร้างอาณาจักรชั่วคราว ก่อนจะเสด็จกลับไปยังดาวที่เป็นแหล่งพำนัก ส่วนอียิปต์นั้นเล่า ไม่ได้กล่าวขานกันว่าพระเจ้าของพวกเขาลงมาทำอะไรกันบนโลกใบนี้ แต่ก็ระบุเป็นนัยๆถึงถิ่นฐานของพระเจ้าว่าอยู่อีกฟากหนึ่งของท้องฟ้า บริเวณที่เป็นกลุ่มดาว Orion นั่นเป็นบันทึกของชาติที่ยิ่งใหญ่ในอดีตครับ ลองมาดูชนเผ่าเล็กๆด้อยพัฒนาอ่างชาวโดกอนในแอฟริกา พวกเขารู้จักแฝดของดาวซิริอุสมากว่าพันปีทั้งที่ไม่มีกล้องโทรทัศน์ แต่วงการดาราศาสตร์สมัยใหม่เพิ่งมาส่องพบเอาเมื่อเร็วๆนี้เอง มันหมายความว่าอย่างไรหรือครับ หรือสิ่งที่ชาวโดกอนสั่งสอนกันมาว่า นอมโมส มนุษย์มัจฉาพระเจ้าของพวกเขาเดินทางมาจากดาวดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆดาวซิริอ ุส และลงมาสั่งสอนวิชาความรู้ให้บรรพชนชาวโดกอนอยู่พักหนึ่งนั้นมันเป็นความจ ริง?

    พระเจ้าจากอวกาศให้อะไรกับโลกนี้มากหลาย ทั้งในเชิงสร้างสรรค์และทำลาย การสร้างกองทัพโคลนเหมือนใน Star Wars Episode II ตลอดจนการใช้อาวุธมหาประลัยประหัตประหารชิงอำนาจกัน ยังคงมีหลักฐานหลงเหลืออยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ชะรอยว่า นิสัยก้าวร้าวก่อสงครามของมนุษย์นั้น พระเจ้าจากอวกาศเป็นผู้ประทานให้เป็นมรดกสืบทอดมากระมังครับ... (เรื่องสงครามนิวเคลียร์สมัยโบราณนี้ จะอยู่ในบทของ"สงครามปิระมิด" กับ "Wars of Gds and Men" ที่ผมกำลังเรียบเรียงอยู่)

    มรดกที่บ่งถึงความรุ่งเรืองในยุคสมัยแห่งพระเจ้ากระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งก็มีบ้างที่รอการค้นพบ ที่ถูกทำลายไปโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็แยะ ผมเองก็เล่าเรื่องพวกนี้ไปเยอะแล้วเหมือนกันในเว็บไซต์แห่งนี้ ทั้งถาวรวัตถุและโบราณสถาน, เศษชิ้นส่วนที่เราเรียกกันว่า Artifacts, แผนที่โบราณอายุหลายพันปีที่สร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีถ่ายภาพทางอากาศ, หินไอก้าในเปรู, คอมพิวเตอร์โบราณที่ใต้ก้นทะเลอีเจี้ยน นี่คือสิ่งที่จับต้องได้ครับ ยังไม่รวมถึงทฤษฎี-ความรู้-แนวคิด ของคนโบราณ(ซึ่งอ้างว่าพระเจ้าสอนฉันมานะ)เช่น เรื่องของดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ เกษตรศาสตร์ ตลอดจนวิศวกรรมศาสตร์อันเหลือเชื่อ และอีกสิ่งหนึ่งซึ่งเรากำลังแกะรอยกัน เพราะวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเพิ่งก้าวมาถึงขั้นที่พอจะเข้าใจขอบเขตของความรู ้แขนงได้ นั่นคือ Biotechnology ครับ
    -------------------------------------------------------------
    ตัวอย่างแนวทางการตีความตามตำนาน
    เป็นไงครับ เรื่องราวที่เพิ่งผ่านตามาเมื่อหน้าที่แล้ว อาจสร้างความกระพร่องกระแพร่งมึนงงให้กับหลายๆท่านเอาได้ บางท่านก็อาจสงกาว่า คนโบราณเค้าบันทึกไว้อย่างนี้ตรงๆหรือ นักเขียนบางคนที่อ้างตำนานโบราณเค้ายกเมฆเอาเองไหมนะ... ซึ่งตรงนี้ผมคงต้องเรียนว่า ต้นฉบับที่ผมใช้อ้างอิงนั้นเป็น text ที่ค่อนข้างยาวครับ รายละเอียดครบถ้วนชนิดยกมาวิเคราะห์กับบทต่อบทคำต่อคำ ครั้นจะให้ผมยกมาทั้งดุ้นแล้วแปลทีละบรรทัดน่ะ ผมไม่อุตสาหะทำขนาดนั้นแน่
    แต่ว่าน่ะนะครับ ถ้าไม่มีตัวอย่างแนวทางการตีความสักหน่อย เดี๋ยวท่านจะหาว่านายโซนิคยกเมฆเอาได้ ดังนั้น ผมขอ quote มาซักตัวอย่างนึงเพื่อให้ท่านเห็นว่า งานเขียนของนักเขียนเหล่านี้ค่อนข้างสมบูรณ์และมีรายละเอียดชวนเชื่อ(ไม่ไ ด้บอกว่าให้เชื่อนา...)อยู่บ้างเหมือนกัน บทที่ยกมาเป็นบทที่เรารู้จักกันดี เพราะกล่าวตรงกันทั้งสองแหล่ง นั่นคือตำนานของชาวสุเมเรียนกับบทเยเนซิสที่ว่าด้วยการสร้างโลกและมนุษย์
    นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันผู้ทำงานกับ DNA เรากำลังตามรอยของพระเจ้ายังงั้นรึ?

    บอกว่าจะยกมาทั้งดุ้นผมก็ยกมาจริงๆนะเนี่ย บทที่ว่าด้วยการตัดสินใจของเทพแห่งเมโสโปเตเมียที่จะสร้างมนุษย์ขึ้นมา ลองอ่านกันดูครับ ไม่ต้องห่วงหรอก ผมเอาภาษาอังกฤษมาครับ (ถ้าผมอ่านคิวนิฟอร์มออกก็ดีน่ะสิ)

    "... Mix to a core to Clay
    from the basement of Earth,
    just above the Abzu -
    and shape it into the form of a core.
    I shall provide good, knowing young gods.
    who will bring that caly to the right condition."

    Abzu คือดินแดนของเทพเจ้าครับ บทนี้กล่าวถึงการตัดสินใจของ Enki ในการสร้างมนุษย์และมอบหมายหน้าที่ให้เทพธิดาแห่งความรู้ หาทางสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากวัตถุบนโลก อะไรคือวัตถุดังกล่าวครับ ลองมาดูประโยคที่ว่า "Mix to a core the clay " สิครับ ไปตรงกับ "ปั้นแต่งมนุษย์จากฝุ่นผงแห่งพสุธา" หรือ "from the dust of ground" ในบทเยเนซิสของไบเบิล โคลนหรือฝุ่นชนิดไหนกันครับที่พระเจ้าเอามาสร้างมนุษย์ เรื่องพวกนี้ถ้าอ่านผ่านๆมันก็ตำนานอภินิหารธรรมดานั่นแหละ แต่ถ้าลองมาวิเคราะห์จริงๆจากมุมอื่นแล้ว เราจะเห็นอะไรซ่อนอยู่มากมาย ลองดูตัวอย่างกันนะครับ

    ไบเบิลฉบับพันธสัญญาเก่าถูกเขียนขึ้นด้วยภาษาฮีบรูว์ ฉบับแปลทั้งหลายแหล่ที่เรารู้จักกันนั้น คำแปลก็ผิดเพี้ยนไปตาภาษาและการตีความของคนแปล ดังนั้น การศึกษาเราจึงต้องศึกษาจากต้นฉบับที่เป็น Original ของมัน ซึ่งมันจะ Original จริงๆหรือเปล่าก็ไม่มีใครบอกได้ แต่ที่แน่ๆคือฉบับที่เก่าที่สุดย่อมเพี้ยนน้อยที่สุด บทในการสร้างมนุษย์ในไบเบิลกล่าวถึงฝุ่นผงหรือโคลนที่ใช้ในการสร้างมนุษย์ ภาษาฮีบรูว์โบราณใช้คำว่า 'tit' ซึ่งไปตรงกับภาษาสุเมเรียนว่า 'TI.TI' อันมีความหมายในภาษาอังกฤษได้ทั้งคำว่า clay และ "that which is with life'
    ... นั่นคืออาดัมถูกสร้างขึ้นมาจากสิ่งที่มีชีวิตอยู่แล้วงั้นหรือครับ?

    เพื่อเพิ่มความเวียนหัวอีกตลบ มาต่อกันอีกจึ๋งสองจึ๋งท่าจะดี มาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่อาดัมถูกสร้างขึ้นมาแล้ว สรรพสิ่งย่อมมีอยู่เป็นคู่ เมื่อมีมนุษย์ผู้ชายก็จำต้องมีผู้หญิงอยู่ด้วย ดังนั้นอีฟจึงถูกสรางขึ้นมาโดยอาศัยอาดัมเป็นต้นแบบ ผมจะลองยกบทที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้มาให้อ่านกัน ขอให้อ่านย่อหน้าด้านล่างนี้กันอย่างระมัดระวังนิดนึงนะครับ

    "So the Lord God caused the man to fall in to a deep sleep; and while he was sleeping, he look one of the man's 'ribs' and closed up to place with flesh. Then the Lord God made a woman from the 'rib' he had taken out of the man..."
    ---------------------------------------------------------------
    พระเจ้าของชาวสุเมเรียนกับการสร้างมนุษย์ สิ่งที่เราเห็นในรูป คือความลับของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์ งูสองตัวที่กระหวัดรัดพันกันอยู่ ผมคงไม่ต้องแนะนำท่านกันหรอกนะครับว่า มันดูเหมือนและหมายถึงอะไร
    ---------------------------------------------------------------------- ----------
    อ่านแล้วนึกถึงอะไรกันไหมครับ การพิเคราะห์พิจารณาก่อนผ่าตัดของศัลยแพทย์? การวางยาสลบให้ผู้ป่วยหลับลึก? พระเจ้าดึงเอา ribs - - กระดูกซี่โครงของอาดัมออกมาเพื่อสร้างอีฟ ก่อนอื่นเรามาดูคำส่า ribs กันนิดนึง ต้นฉบับของภาษาสุเมเรียนนั้นคำส่า rib คือคำว่า TI อันมีความหมายสองนัยคือ rib(กระดูกซี่โครง) และ life(ชีวิต)
    อืมห์... ถ้ามันคือชีวิตแล้วล่ะก็นะ 'ชีวิต'ชนิดไหนครับที่พระเจ้าดึงออกมาจากตัวของอาดัมเพื่อสร้างอีฟ อิทธิฤทธิ์ชนิดนี้ของพระเจ้า ทำให้ผมนึกไปถึงการดึงเอาอณูแห่งชีวิต ส่วนประกอบเล็กๆที่เรียกว่า DNA มาผ่านกรรมวิธีก่อนทำโคลนนิ่งยังไงชอบกล หรือนายโซนิคคิดมากไปก็ไม่รู้สินะครับ
    [ป.ล. และนี่คือตัวอย่างเล็กๆน้อยๆของการถอดความและศึกษาตำนานโบราณ ว่าตีความอย่างไรถึงออกมาได้แบบนี้ แต่ขอบ่นหน่อยนะครับ แค่หัวข้อเล็กๆแค่บทเดียวผมยังต้องยกตัวอย่างออกมายืดยาวขนาดนี้ ถ้าเขียนโดยละเอียดชนิดบทต่อบทล่ะ บรื๋อ... ไม่อยากจะคิด (แต่มันก็ให้รายละเอียดที่ครบถ้วนและเห็นภาพตามใช่ไหมล่ะครับ?) ทีนี้เข้าใจกันหรือยังว่าทำไมนายโซนิคชอบบ่นจังเลยว่าต้องตัดโน่นนิดย่อนี ่หน่อยนัก]
    ---------------------------------------------------------------
    ตำนานก็คือตำนาน แต่ในบางมุมมองนั้น ตำนานโบราณบางเรื่องชวนให้เราอดนำมาเปรียบเทียบกับศาสตร์สมัยใหม่อย่าง Biotechnology ไม่ได้ โดยเฉพาะตำนานของชาติที่"เข้าข่ายน่าสงสัย"บางชาติ บทบาทที่แทรกอภินิหารหลายบท มันคืออภินิหารของ Biotechnology ชัดๆ มาดูกันหน่อยไหมล่ะ?

    ธ็อธ เทพแห่งความรู้ของอียิปต์โบราณ ได้ช่วยเหลือเทวีไอซิส ในการสกัดและผสมผสานส่วนหนึ่งของร่างกายนางและสวามีคือเทพโอสิริส เพื่อให้กำเนิดเทพเหยี่ยวโฮรัสขึ้นมา จากนั้นสงครามเพื่อล้างแค้นให้โอสิริสผู้เป็นบิดาจึงเกิดขึ้น (ตามตำนานกล่าวไว้ว่า เซธผู้เป็นอนุชาของโอสิริสได้ปองร้ายโอสิริสจนถึงแก่ความตาย และปกครองอียิปต์แทนโอสิริส จนกระทั่งโฮรัสมาชิงอำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กุมภาพันธ์ 2007
  2. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ช่วงนี้ผมไม่ไค่อยมีเวลาเขียนบทความเองน่ะครับ...เพราะงานยุ่งมากๆ แต่ก็คัดลอกเอาเรื่องแนวมนุษย์ต่างดาวมาให้อ่านกันไงครับ...ไม่ได้เขียนเองเน้อครับ...และไมได้ไหว้จานบินด้วยครับ..ที่เอามาลงเนี่ย...มีคนวิเคราะห์ไว้ ครับ...และพ่อมดโลจิ...ไหว้เฉพาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพระโพธิสัตว์เท่านั้นครับ / และยิ่งถ้าเป็นมนุษย์ที่อวดอุตริมนุษธรรมด้วยแล้ว ไม่มีทางยกมือไหว้แน่นอนครับ ^_^
    และแนวคิดมนุษย์ต่างดาวที่มารับสมอ้างเป็นพระเจ้านี้เป็นของศาสนาอื่นๆนะครับ ซึ่งโดยเฉพาะมันกระทบกับความเชื่อดั้งเดิมกะบศาสนาดังศาสนาหนึ่งของโลก ที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธของเราครับ คนของศาสนานั้นก็มีบางส่วนที่เห็นด้วยกับ บางส่วนที่ไม่เห็นด้วย เพราะมันขัดกับความเชื่อของเขา / การนำเสนอข้อมูลของมนุษย์ต่างดาว ไม่ได้หมายความว่า ไว้จานบินนี่ครับ ใช่ป่ะ / แสดงว่า เราไม่ใชฃ่สิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญา 1 เดียวในจักรวาล / เพราะไม่งั้นคงไม่มี เรื่อง จุไรท่องดวงดาวให้เราได้อ่านกัน ครับ / เพราะต่างดาวบางกลุ่มก็ดีบางกลุ่มก็ไมได้ / พวกนี้จิตสอาดกว่ามนุษย์เรานะครับ เจริญทั้งวิทยาการและเจริญทางจิตด้วย แต่พวกที่มาสมอ้าง ก็คงเป็นคนละพวกกันกับของจริงล่ะครับ ^_^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กุมภาพันธ์ 2007
  3. ป้อม

    ป้อม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2005
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +223
    เหมือนพยายามจะบอกว่า พระเจ้า สร้างโลก ว่างั้นเถอะ
     
  4. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ไม่ได้บอกว่าพระเจ้าสร้างโลกครับ...ต้องไปถามคนเขียนบทความเอาเอง...ผมคัดลอกเขามานะครับ...^_^
     
  5. jdean

    jdean เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +147
    น่าสนใจคับ ชวนให้คิดตามได้มาก
     
  6. รัตนประทีปกร

    รัตนประทีปกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +121
    ในจักรวาลยังมีอีกหลายแกแล็กฃี่ตามพระไตรปิฎกน่าจะเชื่อได้ว่ามีภพภูมิอื่นๆนอกจากมนุษย์ ถ้าเชื่อในพระพุทธศาสนาก็น่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึงภพภูมิต่างๆ เกิดความรู้เพราะการบำเพ็ญเพียรสะสมบุญบารมีจนสมบูรณ์จึงทราบความเป็นมาเป็นไปของโลกฃึ่งเป็นของที่มีอยู่แล้วในโลก แต่ไม่มีใครสัมผัสได้มาก่อน จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้แจ้ง สาธุ
     
  7. visanu

    visanu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2005
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +197
    อ้าวพี่ป้อมคับ แล้วอณาจักรโซลาริสล่ะ ใครสร้างเหรอคับ
     
  8. kiatp123

    kiatp123 โมฆะแมน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,493
    ค่าพลัง:
    +19,616
    บทความนี้ คุณโซนิค พี่ใหญ่แห่ง mythland.org แกเขียนไว้ครับ
    ใครสนใจก็เข้าไปดูมีอีกเยอะเลยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...