ความมหัศจรรย์ใน'บารมีธรรม'จาก...หลวงพ่อชาถึง...หลวงพ่อคูณ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย สังขารไม่เที่ยง, 5 สิงหาคม 2011.

  1. ฝันนิมิต

    ฝันนิมิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +547
    [​IMG]

    ...อ่านประวัติท่านแล้ว
    รู้ได้เลยว่า สิ่งที่
    หลวงปู่ได้ ทำ ทุกอย่าง
    ล้วนแล้วแต่มีเหตุผล
    เผื่อช้วยคน ยาก คนจน โดยแท้
    ไม่ว่าจะสร้าง สิ่งปลูกสร้าง
    สร้างสิ่งมงคล
    ท่านนำปัจจัยทั้งหมด
    เพื่อมา ช้วอนุเคราะห์
    คนยาก คนจน จริงๆ

    " กราบหลวงปู่คูณ น้อมกราบหลวงปู่เหนือเศียรเกล้า"
     
  2. Ji_ramet

    Ji_ramet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +222
    หลวงตามหาบัวท่านเคยยกตัวอย่างคำสอนของหลวงพ่อคูณครับ

    เรื่องที่ว่าลูกศิษย์ของท่านขับรถเร็ว 120 แล้วประสพอุบัติเหตุ
    แล้วมีคนไปถามหลวงพ่อครับว่าทำไมห้อยพระหลวงพ่อแล้วไม่คุ้มครอง
    หลวงพ่อเลยถามว่ามึงขี่เร็วเท่าไหร่
    ลูกศิษย์ตอบว่า 120 ครับ
    หลวงพ่อคูณ ท่านก็บอกว่ากูโดดลงตั้งแต่ 90 แล้ว
    หลวงตาท่านยกย่องธรรมะบทนี้ของหลวงพ่อคุณครับท่านว่าแก้กันดีนะต้องอย่างนี้
    หลวงตายังบอกอีกครับว่าการแก้ปัญหาระดับนี้ ต้องพระอนาคาขึ้นไปนะ

    ผมเคยได้ยินหลวงตาท่านพูดถึงหลวงพ่อคูณท่าน 2 ครั้ง อีกครั้งว่ายังไงผมก็จำไม่ค่อยได้ ข้อความอาจตกหล่นบ้างก็ขออโหสิกรรมด้วยครับ

    ขออนุโมทนากับเจ้า จขกท และกราบหลวงพ่อคูณด้วยใจเคารพรักยิ่งครับ
     
  3. poopenๆ

    poopenๆ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +86
    ธรรมใดที่หลวงพ่อได้เห็น ขอให้ข้าพเจ้าได้เห็นธรรมนั้นด้วยเทิญ....โมทนาสาธุ
     
  4. amarpinky

    amarpinky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    423
    ค่าพลัง:
    +522
    น้อมนมัสการหลวงพ่อคูณ ด้วยความศรัทธา ขออนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
     
  5. ฝันนิมิต

    ฝันนิมิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +547
    [​IMG]


    หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ

    อาลัย...ไอ้เฮย

    วันหนึ่งหลวงพ่องได้พบลูกสุนัขพันธุ์ไทย อายุประมาณเดือนเศษ
    ดูลักษณะแตกต่างไปจากตัวอื่น ให้รู้สึกเมตตาจึ่งเอ่ยปากขอ
    เจ้าของก็ถวายด้วยความเต็มใจ หลวงพ่อตั้งชื่อให้ว่า

    "ไอ้เฮย"

    ซึ่ง เป็นหมาที่ ฉลาด สอนง่าย จงรักภักดีต่อหลวงพ่อ
    เวลาหลวงพ่อจะ สรงน้ำที่สะพานท่าน้ำ เจ้าเฮยจะคาบขันสบู่วิ่งตามหลวงพ่อ
    เมื่อสรงน้ำเสร็จก็จะคาบวิ่งตามไปที่กุฏิ ตอนเช้าหลวงหลวงพ่อออกบิณฑบาต
    ไอ้เฮยจะตามอารักขาตลอดเวลา ด้วยความจงรักภักดี
    ไอ้เฮยรับใช้ หลวงพ่ออยู่ ๓ ปี ก็ล้มป่วย
    และตายอย่างกะทันหัน สร้างความ อาลัยและเสียดาย แก่หลวงพ่อ
    และพระภิกษุสงฆ์ภายในวัดเป็นอย่าง มากหลวงพ่อสั่งให้ฝังร่างอันไร้วิญญาณของไอ้เฮยเยี่ยงมนุษย์
    เพราะ ถึงแม้ว่าไอ้เฮยจะ เกิดเป็นหมา
    แต่ก็มีความซื่อสัตว์ และจงรักภักดี ต่อท่าน
    ไม่น้อยกว่ามนุษย์

    ในปีเดียวกัน มีหญิงสาวไม่ทราบชื่อ
    ได้ถูกฆาตกรรม มีผู้ไปพบศพ เป็นผีไม่มีญาติ
    หลวงพ่อจึงสั่งให้นำไปฝังไว้ก่อนจนถึง เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๐๗
    หลวงพ่อก็กำหนดฌาปนกิจศพ นางสาวไม่ทราบชื่อพร้อมไอ้เฮย
    โดยนิมนต์พระสงฆ์สวดอภิธรรม
    และสวดมาติกาบังสกุล ๕๐ รูป กลางคืนจัดมหรสพสมโภช ๑ คืน พร้อมถวายปัจจัยไทยธรรมพระสงฆ์
    และมอบแท็งก์น้ำให้โรงเรียนวัด บ้านไร่ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ทั้งคนและสุนัข

    หลังจากทำฌาปนกิจแล้ว หลวงพ่อได้กล่าวด้วยความอาลัยและเสียดายอยู่เนื่อง ๆ ว่า


    " จะหาหมาดี รุ้จักภาษาคน แบบไอ้เฮยนี่ คงไม่มีอีกแล้ว"




    ที่มาจากหนังสือ "กูสอนมึง"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 สิงหาคม 2011
  6. ฝันนิมิต

    ฝันนิมิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +547
    [​IMG]

    " หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ "

    ร่างกายที่ขาดสายโลหิต

    ปีพุทธศักราช ๒๕๐๘ ความแห้งแล้งได้สะกิดความทรงจำ
    ความเจ็บซ้ำจากการขาดแคลนน้ำอย่างแสนสาหัส
    ที่สลับกันมากดดันความทุกข์ทรมาน วิถีชีวิตของชาวด่านขุนทดเป็นระลอก
    นั่นคือธรรมชาติที่จะกำหนดว่า บางปีก็พอมีน้ำท่าได้อุปโภคบริโภค
    บางปีก็เหือดหายไป เหมือนกับไม่แยแสต่อความรู้สึกของใครทั้้งสิ้น

    หลวงพ่อได้ฝ่านร้อนผ่านหนาวมานานม ก็เกิดความคิดที่สรุปได้ว่า
    ถ้ารอคอยเทวดาฝ่ายเดียว เห็นที่จะไปไม่รอด
    จึงชักชวนญาติโยมลูกหลานให้ช่วยกันพึ่งพาตนเอง
    ด้วยการสร้างแหล่งน้ำให้ถาวร
    เพื่อได้ใช้สอยให้พอเพียงให้ได้

    "กูจะขุดสระน้ำให้ใหญ่ ที่ดินวัดกว้างขวาง
    พอจะทำได้กูจะสร้างทั้งๆ ที่ไม่มีเงินนี่แหละ ก็จะขุดมันเอง
    เดี๋ยวก็คงเสร็จสักวัน กูจะทำให้ชาวบ้าน
    เพื่อตอบแทนข้าวน้ำ ที่เขาให้กูกินทุกวัน "


    ปีพุทธศักราช ๒๕๐๙ ก็ได้สระขานด ๓๕ ไร่ งาน ๙๒ ตาราง
    ด้วยศรัทธาและบุญบารมี ที่ศิษย์
    ทั่วประเทศร่วมทำบุญกับหลวงพ่อ

    ที่มาจากหนังสือ "กูสอนมึง"

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 สิงหาคม 2011
  7. คิงคอง99

    คิงคอง99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    3,277
    ค่าพลัง:
    +23,769
    เป็นกระทู้ที่ดีมากครับ อนุโมทนาสาธุ ลูกช้างขอกราบหลวงพ่อคูณ ด้วยความเคารพ ขอให้หลวงพ่อ สุขภาพแข็งแรง ครับ. ขอขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับ
     
  8. แก่วัด

    แก่วัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +1,461
    เมตตาธรรมค้ำจุนโลก บารมีธรรม เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป
     
  9. ฝันนิมิต

    ฝันนิมิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +547
    [​IMG]


    หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ (๓) โดย อ.เล็ก พลูโต


    หลวงพ่อคูณได้ออกธุดงค์เริ่มแรกกับหลวงพ่อคง
    หลวงพ่อคงได้สอนวิชาพุทธาคม และไสยเวทย์ (เรื่องอิทธิฤทธิ์ ฤทธิ์เดช)
    ควบคู่การเรียนวิชาวิปัสสนากัมมัฏฐาน วิชาพุทธาคมที่หลวงพ่อคงสอน
    คือ การฝังตะกรุด เมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี
    แม้เรื่องนี้พระสายวิปัสสนากัมมัฏฐานควรหลีกเลี่ยง
    (เรื่องฤทธิ์เดชเป็นของเล่นไม่ควรยึดติด)
    แต่หลวงพ่อคงมีเหตุอธิบายว่า



    “การกระทำใดที่ขัดกับหลักพุทธศาสนา
    และไม่มีในคำภีร์พระไตรปิฏก (คำสอน 3 เล่ม)
    หากเป็นการกระทำที่ช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากกรรม
    และเป็นประโยชน์สุขแก่สาธารณชนแล้วก็ปฏิบัติได้”


    หลวง พ่อคงท่านเดินธุดงค์ร่วมกับหลวงพ่อคูณไปได้สักระยะหนึ่ง
    เมื่อเห็นว่าศิษย์ของท่านสามารถดำรงตนอยู่ในป่าเยี่ยงพระธุดงค์องค์อื่นๆ
    ได้เป็นอย่างดีแล้ว ท่านจึงได้แยกตัวเพื่อกลับวัด

    หลวง พ่อคูณได้เดินธุดงค์รอนแรมตามลำพังไปตามสถานที่ต่างๆ
    ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ถึง พ.ศ. ๒๕๑๒ ทั้งในประเทศ
    และต่างประเทศ จากนั้นท่านได้สร้างบารมี ด้วยการไปจำพรรษาตามวัดต่างๆ
    ทั้งกรุงเทพฯ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคอีสาน
    ก่อนที่จะมาปักหลักอยู่ที่วัดบ้านไร่ เท่าที่มีการบันทึกเอาไว้ ดังนี้


    - ในแนวเขตภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เดินทางจากนครพนมสู่ประเทศลาว จำพรรษาที่ถ้ำเขาควาย และสีทันดร ประเทศกัมพูชา
    - จำพรรษาที่เมืองโพธิสัตว์ วัดบ้านไร่ วัดสระแก้ว จ.นครราชสีมา
    - ในเขตภาคกลาง พ.ศ. ๒๕๑๔ กรุงเทพฯ จำพรรษาที่วัดใหม่พิเรนทร์ วัดสิงหาราม จ.ลพบุรี
    - ในเขตภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๒๐ จำพรรษาที่วัดสว่างอารมณ์ หาดราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต
    -ในเขตภาคเหนือ พ.ศ. ๒๕๒๔ จำพรรษาที่วัดพันอ้น อ.เมือง จ.เชียงใหม่
    - ในเขตภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๒๕ จำพรรษาที่วัดเขาถ้ำ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี

    หลวงพ่อคูณได้เล่าให้กับศิษย์ทั้งหลายฟังถึงประสบการณ์ในการเดินธุดงค์ของท่านว่า
    วัน แรกๆ ก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าดีอยู่ สู่วันที่สอง สังขารเริ่มเบียดเบียน
    เท้าเปล่าเริ่มระบม ความปวดเมื่อยตามร่างกายทวีมีขึ้นตามลำดับ หลวงพ่อคูณท่านเป็นลูกอีสาน
    ธรรมชาติสอนถึงความอดทนมาตามสายเลือดอยู่แล้ว
    และด้วยจิตที่เคยฝึกทำสมาธิมากับครูอาจารย์ ประกอบกับคำบอกเล่าถึงความยากลำบากในป่ามีอย่างไร
    ควรทำอย่างไร แต่บางครั้งความท้อแท้มันก็สอดแทรกเข้ามาในจิตเอาบ้างเหมือนกัน แต่ท่านก็ระงับเสียได้ เรื่องความท้อแท้
    ท่านกำหนดจิตเอาไว้ บอกกับตนเองไว้เสมอๆ
    ว่า จุดหมายปลายทางของเราไม่มีเรื่องเดินทาง ความมุ่งหมายของเราคือ
    การค้นหาเรื่องของสัจธรรม การเวียนว่ายตายเกิดของสังขารต่างหากที่เราอยากรู้
    และอยากรู้ว่า ถ้าไม่ให้มีเรื่องเหล่านี้จะไม่ได้หรือ นั่นคือสิ่งที่ต้องการ

    ฉะนั้น จึงไม่ได้กำหนดจุดว่า จะต้องถึงจุดตรงนั้นเมื่อนั่น เมื่อนี่ เดินมันไปเรื่อยๆ
    เย็นลงตรงไหนเมื่อใด ปลดบริขารออกจากบ่า มองหาที่เหมาะๆ หาแหล่งน้ำสรงร่างกาย พอสบายกาย
    จิตก็สบาย คำลงสวดมนต์ไหว้พระ จากนั้นก็นั่งเจริญภาวนาตามที่ได้เล่าเรียนมาจากอาจารย์ พระธุดงค์ขาด
    ไม่ได้เรื่องแผ่กุศลผลบุญ คือ การกรวดน้ำอุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวร
    แม้กับเทพยพา รุกขเทวดา ภูตผีปีศาจ ต้องแผ่ให้หมด ไม่อย่างนั้น สิ่งเหล่านี้ที่มองไม่เห็น
    จะเล่นงานเอาตอนไหนไม่รู้ได้เข้าสักวัน พระธุดงค์จะลืมเรื่องกรวดน้ำไม่ได้เหมือนกัน
    ขนาดหลวงพ่อคูณท่านไม่ลืมในเรื่องนี้ แต่ท่านก็ต้องเผชิญเข้าจนได้ในวันหนึ่ง.....


    หลวง พ่อคูณท่านได้เล่าให้ลูกศิษย์ใกล้ชิด
    ภายหลังจากท่านปลงเรื่องการธุดงค์ คือ งดการออกธุดงควัตรแล้ว
    เมื่อมีคนมาถามถึงว่า ระหว่างที่ท่านออกธุดงค์ไปตามป่านั้น ท่านไปเจอกับสัตว์ร้ายๆ
    มีอะไรบ้างที่เจอ เจอแล้วมันกระทำกับท่านอย่างไร ท่านก็บอกว่า



    “กู เจอกะพวกเสือพวกช้าง กูจะไปทำอะไรกะมัน เจอกันซึ่งๆหน้า มันก็มองกู ๆ
    ก็มองมัน แล้วกูก็กำหนดจิตถาม หรือบอกมันไปว่า มันกับกูเคยก่อเวรกันไว้หรือเปล่า เมื่อชาติก่อนนี้
    ข้าเคยก่อเวรผูกพันกะเอ็งไว้ ก็เอาเลย เอ็งจะฆ่าจะแกงข้าอย่างไรก็เอา
    แต่ถ้าหากเอ็งกับข้าไม่เคยผูกเวรกันไว้ เอ็งหลีกทางให้ข้า
    ซึ่งเป็นพระธุดงค์ ออกมาเพื่อแสวงหาสัจธรรม
    ไม่ได้คิดมาเบียดเบียนใครในป่านี้ทั้งนั้น ขอจงหลีกทางให้ข้าไปเถอะ
    ไอ้พวกนั้นมันก็หลีกทาง ต่างคนต่างไป มันก็เท่านั้นเอง”



    แล้ว ถ้ามีใครถามท่านไปถึงเรื่องที่ว่า ท่านเคยเจอกับพวกภูตผีปีศาจบ้างไหม
    แล้วหลวงพ่อเจอกับมันที่ใด แล้วมันทำอย่างไรกับหลวงพ่อ
    หลวงพ่อคูณท่านก็จะบอกเล่าอย่างสำรวมๆ ว่า



    “ไป ป่ามันก็ต้องเจอผีซีวะ
    ป่าช้าในนั้นก็มีผีทั้งสิ้น แต่ตอนที่ข้าไปเจอบนภูควาย นั่นข้าก็เจอกับมันหลายตน
    เหมือนเจอกับผีในโลงศพที่อยู่ในป่าช้าหลายตัวนั่นล่ะวะ
    ที่บนภูควาย ถ้าใครใจไม่ถึง ก็ลำบากเหมือนกัน”



    “วัน นั้นข้าไปถึงที่ภูควาย มันเป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว ข้ากำลังจะขึ้นไปบนภูควาย
    ข้าก็เจอกับชาวป่าเข้าพอดี เขาเห็นข้าเข้า เขาก็เข้ามาถามว่า
    ข้าจะไปไหน ข้าก็บอกกับมันว่า ข้าจะขึ้นไปบนภูควาย เขาทำตาโต
    บอกกะข้าว่า อย่าขึ้นไปเลย บนนั้นเต็มไปด้วยอันตราย เสือก็ร้าย ช้างป่าก็เกเร
    เคยฆ่าพระธุดงค์ ฆ่าชาวป่าตายมาแล้ว ผีก็ดุ หลวงพ่ออย่าขึ้นไปเลยนะ
    มันทัดทานข้าอย่างให้เห็นเป็นจริงเป็นจัง”



    “ข้าก็บอกพวกชาวป่าพวกนั้นว่า ข้าไม่กลัวมันหรอก
    ข้าก็มีอาวุธของข้ามา ข้าจะกลัวอะไรกะมัน”

    พวกชาวป่าก็ถามข้าว่า

    “ไหนมีอาวุธอะไร ผมไม่เห็นมี”


    “เออ ข้ามีซิ อาวุธของข้า
    คือ สัจธรรมที่องค์ตถาคตพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสอนข้าไว้ว่า ถ้าเราไม่เบียดเบียนเขา
    ไม่เคยก่อเวรกะเขาไว้ เขาก็ไม่มาเบียดเบียนเรา
    อาวุธของข้ามีอย่างนี้ ขอบใจนะที่เป็นห่วงข้า


    [​IMG]


    หลวง พ่อคูณบอกกับชาวป่าไปแล้ว ท่านก็ออกเดินทางขึ้นภูควาย
    ไปถึงบนนั้นก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ท่านก็มองหาแหล่งน้ำเพื่อชำระกายที่อาบเหงื่อมาทั้งวัน
    สำรวจได้ที่หมายแล้ว ท่านก็หาที่พอเหมาะแก่การปักกลด ปลดบริขาร จากนั้นก็สรงน้ำพอแก่อัตภาพพระธุดงค์
    จากนั้นท่านก็เข้ามานั่งทอดสายตามองทัศนียภาพไปรอบๆ
    ก็ไม่เห็นสิ่งใดที่แปลกปลอม มันก็เหมือนป่าทั่วๆ
    ไป ไม่ได้มีลางสังหรณ์อะไรว่าที่นี่จะเป็นที่ที่น่ากลัว มองไปรอบๆ
    แล้ว ค่ำลงท่านก็ทำกิจสวดมนต์ไหว้พระ กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญกุศลให้กับสัตว์ทั้งหลาย
    ที่เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งปวงทั้งสิ้น
    จากนั้น ท่านก็ทอดอิริยาบถ พักผ่อนเป็นครู่ใหญ่
    จิตสบายกายสบาย



    ท่าน ก็เข้าสมาธิจิต เข้าสู่ฌานสมาธิไปเรื่อยๆ
    จนยามหนึ่งไปยามสอง (สามทุ่มถึงเที่ยงคืน)
    และจะเป็นยามใดก็ไม่รู้ คือ หลังจากสองยามล่วงไปแล้ว
    หลวงพ่อคูณท่านก็ถอนสมาธิกลับเข้าสู่สมาธิของจิตปัจจุบัน
    ผ่อนลมหายใจพอสบายๆ จิตสงบนิ่งอยู่กับตนเอง มองออกไปนอกกลด มันมืดไปหมด
    ไม่รู้ว่าเป็นเวลาของยามใดแล้ว ได้ยินแต่เสียงของหรีดหริ่งเรไร
    ส่งเสียงร้องกันระงมไปทั่วทั้งป่าสลับกัน บางครั้งจะได้ยินเสียงสัตว์ใหญ่ๆ
    ส่งเสียงร้องเป็นบางครั้ง และเป็นอย่างนี้ จะทำให้หลวงพ่อคูณนั้นขนหัวลุกชันด้วยความกลัว
    อย่าหวังเลยในเรื่องนี้ ในเมื่อจิตของท่านสละแล้วทุกอย่าง หวังเพียงที่จะหาสิ่งที่เป็นอมตะ
    และไอ้ที่จะเป็นอมตะนั้น จะหาได้เมื่อใด
    และที่ไหน สิ่งที่ต้องการคือแค่นั้น



    หลวง พ่อคูณนั่งในกลด ปล่อยให้จิตว่างไปเรื่อยๆ
    ท่านก็มากำหนดเห็นสิ่งผิดสังเกตเอา เมื่อป่าทั้งป่าเงียบสงัด เสียงหรีดหริ่งเรไร
    แมลงสัตว์ปีกเล็กๆ ซึ่งเมื่อครู่นี้ร้องกันระงม แต่ทำไมเดี๋ยวนี้จึงหยุดนิ่งเงียบไปแล้ว
    ทำไม เมื่อครู่นี้ลมที่พัดมาโชยแผ่ว บัดนี้ลมพัดอู้เหมือนฝนทำท่าจะตก
    แน่แล้วเดี๋ยวฝนคงจะตก ท่านนึกไปอย่างนั้น มิได้มีการสนใจอะไร
    ท่านนั่งทอดใจไปเรื่อยๆ



    บัด นั้นเอง ท่ามกลางลมพัดอู้มานั้น มันมีเสียงสอดแทรกมากับเสียงลม
    มันเป็นคล้ายเสียงคน หรือเสียงสัตว์ แว่วมาอย่างไม่รู้ได้ว่าเป็นเสียงอะไร
    ท่านเงี่ยหูฟังว่ามันเป็นเสียงของอะไร
    ท่านพยายามจับเสียงกำหนดดู เอ๊ะ เสียงนี้มันคล้ายๆ เสียงคนพูดกันนี่นะ

    คน ใครจะมาพูดกันจ๊อกแจ๊กบนภู ในเมื่อดึกสงัดออกอย่างนี้
    ท่านตะแคงหูจับฟัง จับใจความว่า มันเป็นเสียงคน
    ท่านได้ฟังเพียงแผ่ว ใจความว่า



    “พวก เรา สีเหลืองเหยือของเรา มาปักกลดอยู่บนถิ่นเราอีกแล้ว
    เอาเลย ในเมื่อมันรุกล้ำถิ่นของเรา มันไม่เข็ดหลาบ มันมาตายกันก็ตั้งหลายคน
    คนนี้คงไม่รอดพวกเราไปได้หรอก ฮ่ะๆๆๆ”



    มัน เป็นเสียงกระท่อนกระแท่น แต่ก็พอจับได้ในน้ำเสียง เมื่อมีเสียงมากระทบหูอย่างนี้
    จะเป็นอะไรหรือใครไม่ได้นอกเสียจากผี หรือไม่ก็รุกขเทวดานางไม้ แต่ไม่ใช่แน่ ถ้าไม่ใช่ แน่แล้ว


    “ปีศาจเป็นแน่”


    [​IMG]

    จิตกำหนดว่าเป็นปีศาจ ความกลัวนั้นไม่มี มีที่อยากรู้ ก็เรื่องของปีศาจพวกนี้เป็นพวกไหน
    เขาต้องการอะไร เผื่อระงับ ช่วยเขาได้ ก็จะได้ช่วยเขาไป

    ใจ ของหลวงพ่อคูณ คิดไปในทำนองนั้น ที่ทำต่อไป
    คือ การเข้าสมาธิจิต ดึงจิตเข้าสู่ฌานสมาบัติ กำหนดจิตถอดออกไป
    หรือจะเรียกว่า ส่งกระแสจิตออกไป สำรวจว่าสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่ ในขณะที่ถอดจิตส่งออกไป
    มันเหมือนเป็นตาเห็น ในที่เห็นนั้น

    ท่าน ได้เห็นว่า มีผู้คนหญิงชายหลายคน จะเป็นจำนวนเป็นร้อยก็ว่าได้ มีชายหนึ่ง
    และหญิงหนึ่ง นั่งมาบนคานหาม บอกลักษณะว่า คนคู่นี้ น่าจะเป็นนายหรือหัวหน้า
    และหญิงชายที่นั่งบนคานหามนั้น จะต้องเป็นนายและเป็นผัวเมียกัน คนพวกนี้แต่งกายบ่งบอกว่าเป็นผู้มีอารยะธรรมที่เจริญมาแล้ว
    แต่จะเป็นสมัยใดไม่อาจบอกได้

    ใน จิตของหลวงพ่อคูณ ที่กำหนดส่งออกไปนั้น ได้เห็นว่าขบวนกลุ่มของคนพวกนี้
    ได้แบกคานหามที่มีคนหญิงชายสองคนนั้นนั่งมา พากันเดินมุ่งหน้ามาทางกลดที่หลวงพ่อคูณปักกลดอยู่
    ท่านได้เห็นในจิตที่เหมือนฝันนั้นว่า คนพวกนี้ได้ยกคานหามของคนสองคนมาวางลงห่างจากกลดที่ปักไปเล็กน้อย
    ถ้าพูดกันก็พอจะพูดกันรู้เรื่องโดยไม่ต้องตะโกน เมื่อมองเห็นในจิตอย่างนั้น ท่านก็ถามออกไปในจิต

    หลวงพ่อคูณท่านส่งกระแสจิตไปถาม เหล่าสัมภเวสี (วิญญาณที่วนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ ไม่ยอมไปผุดไปเกิด หรือ หาทางไปผุดไปเกิดไม่ได้)
    ที่แห่แหนกันมาอย่างมากมายเช่นไร และพวกนั้นจะฟังท่านหรือไม่ คงต้องติดตามกันในตอนหน้า
    เพราะเนื้อที่นำเสนอคงไม่เพียงพอ ที่จะนำคำสนทนาทางจิตของทั้งสองฝ่ายมานำเสนอได้หมด
    อย่าพลาดการติดตามตอนสนุกของเรื่องนะครับ

    ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก
    Sereechai.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 สิงหาคม 2011
  10. ติ้งลิงติง

    ติ้งลิงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,365
    ค่าพลัง:
    +3,977
    ขออนุโมทนาสาธุครับ เคยไปกราบท่านที่วัด ท่านเมตตาจริง ๆ ครับ...สาธุ
     
  11. Ji_ramet

    Ji_ramet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +222
    [​IMG]

    “โยม.......จะพากันไปไหน มากันมากมาย มีอะไรจะให้อาตมาช่วยก็บอกนะ อาตมาเป็นพระมาแสวงหาสัจจธรรม อาตมาไม่ยึดติดอะไรแล้ว ขอหาความเป็นอมตะของสังขาร ความเวียนว่ายตายเกิดนั้น จุดหยุดนิ่งมันอยู่ที่ใด ที่ค้นหาเช่นนี้ ก็เพื่อเอาหนทางที่พบนั้นไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ต่อไป มีอะไรไหม หรือจะมาฟังธรรมะของอาตมาที่ได้รับคำสอนมาจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาไหม อาตมามาดี ไม่ได้มาร้ายหรอก”
    “มาดีอย่างไร มาก็ไม่บอกกล่าว แดนนี้ถิ่นนี้เป็นถิ่นของพวกเรา ท่านมาลุแก่อำนาจได้อย่างไร มาในแบบนี้ไม่รู้หรือว่าเอาชีวิตมาทิ้งเสียที่นี่นักต่อนักแล้ว ออกไปซะถ้าไม่อยากเหมือนพวกก่อนๆ ท่านเหมือนขโมย เข้ามาในถิ่นไม่บอก ท่านนั้นสมควรตาย”
    “โยม อาตมาไม่ทราบว่าถิ่นนี้เป็นถิ่นของโยม ในอดีตเป็นมาอย่างไรล่ะ เมื่อเป็นถิ่นของโยม อาตมาก็ต้องขออภัย เพราะไม่รู้จริงๆ ไหนโยมลองเล่าความเป็นไปในอดีตให้ฟังซิ แล้วอาตมาจะให้ธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอบแทน อาตมาเป็นลูกตถาคต อาตมาหลุดพ้นแล้วเรื่องกิเลส ขอค้นหาสัจจะธรรมไปโปรดเพื่อนมนุษย์ แค่นั้นล่ะคือสิ่งที่มุ่งหมายของอาตมา”
    “ก็ได้ ในเมื่อพระคุณเจ้าไม่รู้ ก็จะเล่าให้ฟัง แดนของเรานี้เดิมเป็นถิ่นที่เจริญรุ่งเรืองมาก แต่แล้วเมืองของเราต้องล่มลง ผู้คนล้มตายด้วยเกิดโรคระบาด ไม่สามารถมีใครช่วยใครได้ เราสองคนเป็นพระราชา พระราชินี เห็นผู้คนล้มตายลงโดยที่ช่วยเขาเหล่านั้นไม่ได้ จึงได้ฆ่าตัวตายพร้อมกัน แต่ด้วยความหวงแหนสมบัติพัสถาน ซึ่งเป็นสมบัติของเมืองเรากลัวจะตกเป็นของคนอื่น เมื่อเราตายลงกันหมด ด้วยความห่วงสมบัติ วิญญาณของเราทั้งหมดนี้จึงมาอยู่คอยเฝ้าสมบัติ เราอยู่มาชั่วนาตาปีหลายกัปหลายกัลป์แล้ว ฉะนั้นใครมาในถิ่นนี้ พวกเราเข้าใจว่า เมื่อมาในถิ่นของเรานี้ คงมาเพื่อจะเอาสมบัติของพวกเราที่เฝ้าอยู่อย่างหวงแหน”
    “อ้อ อย่างนั้นรึโยม อาตมานี้ ไม่ได้มาเพื่อหาสมบัติ อาตมามาเพื่อค้นหาสัจจะธรรม มาเอาบุญเอากุศล หาสัจจะธรรมไปโปรดด เพื่อให้พวกญาติโยมของอาตมาได้หลุดพ้น พวกท่านทั้งหลายก็เหมือนกัน อย่าได้ยึดติดอยู่กับภพนี้อยู่เลย นิพพานต่างหากที่จะหลุดพ้นไป ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด นิพพานเป็นแดนอมตะ ตถาคตเจ้าพระองค์ท่านทรงสอนไว้อย่างนั้น พวกท่านจงเชื่ออย่างนั้นเถอะ นี่คือแก่นแท้แน่นอน เชื่อเราเถอะ”
    “เจ้าข้า พวกเราเห็นเดี๋ยวนี้แล้ว พวกเราไม่เคยได้ยินอรรถรสในเรื่องนี้มาก่อนเลย สาธุ พวกเราเดินหลงทางมาเสียนาน มายึดติอยู่กับสมบัติพัสถาน สิ่งเหล่านี้ถึงทำให้พวกเราไปผุดไปเกิดไม่ได้ พระคุณเจ้าได้โปรดให้พวกเราได้หลุดพ้นไปทีเถิดเจ้าข้า และพวกเราขออโหสิกรรมให้พวกเราด้วย ที่ได้พูดจาล่วงเกินคุกคามพระคุณเจ้าไปเมื่อครู่นี้”
    “ไม่เป็นไรหรอก เราอโหสิให้ พวกท่านจงรับพรบุญกุศลจากเราไปเถอะ จงตั้งใจรับผลบุญที่เราจะแผ่ให้ท่านไปในบัดนี้ ท่านจงไปเลือกภพที่ดีไปเกิดเอาเถอะ สรรพสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย จงเป็นสุขๆ เถิด จงอย่างได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงสุขกายสุขใจเถิด ขอท่านทั้งหลาย จงหลุดพ้นไป ณ บัดนี้เทอญ”
    “สาธุ สาธุ” เสียงสรรเสริญดังไปพร้อมๆ กันและบัดนั้น ในจิตของหลวงพ่อคูณได้เห็นกลุ่มควันลอยคลุ้งตลบ ม้วนตัวสู่เบื้องบน นั่นแสดงว่าวิญญาณของภูตพวกนั้นที่อยู่บนภูควาย ได้หลุดพ้นบ่วงกรรม ไปผุดไปเกิดในวาระนั้นนั่นเอง
    และหลังจากคืนนั้น บนภูควาย ก็ไม่ปรากฏว่ามีวิญญาณที่ดุร้ายมาให้พบพานอีกต่อไป พอถึงรุ่งอรุณวันใหม่ หลวงพ่อคูณท่านก็ออกไปโปรดสัตว์ อันเป็นกิจของพระสงฆ์ที่ต้องปฏิบัติเป็นประจำ แม้ว่าจะออกธุดงค์ในป่า หาผู้คนไม่ได้ก็ตาม การออกบิณฑบาตของพระธุดงค์ ไม่หวังว่าใครจะใส่บาตรหรือไม่ แต่ต้องทำ พระธุดงค์ถือเรื่องการออกบิณฑบาตเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งเหมือนกัน
    มีพระนักธุดงค์เคยเล่าให้ฟังว่า เช้าขึ้นต้องออกไปโปรดสัตว์ด้วยการออกบิณฑบาต การออกบิณฑบาตในป่าก็รู้ๆ กันอยู่ว่า บ้านช่องของผู้คนมีที่ไหน บางครั้งที่ไปปักกลด ไม่เจอบ้านใคร แต่ก็ต้องไป บางทีสามวันบิณฑบาตไม่ได้ข้าวเลยสักทัพพี หลวงพ่อบางองค์ ท่านยังเคยเอาบาตรไปแขวนกับต้นไม้ ขอบิณฑบาตกับรุกขเทวดา แล้วเอาบาตรมาล้าง เอาน้ำที่ล้างบาตรนั้นมาฉันก็มี บางทีต้องจับตามองนกกาที่มันกินลูกไม้ ผลไม้ที่นกกินได้ พระก็ฉันได้ บางทีอีกเหมือนกัน มะขามป้อมหล่น มะขามป้อมนั้นทั้งฝาดทั้งขม พระธุดงค์ก็ต้องฉัน เพื่อประทังความหิวโหย แต่มีเรื่องอัศจรรย์เหมือนกัน มีหลวงพ่อบางองค์เคยพบ
    ท่านเล่าว่า บางครั้งอธิษฐานขอบิณฑบาตกับรุกขเทวดา หรือนางไม้ เอาบาตรไปแขวนไว้ พอย้อนกลับไปเอาบาตรคืนมา ไม่น่าเชื่อว่าในบาตรนั้น พบว่ามีข้าวปั้นเป็นปั้นๆ หรือ ปั้นเป็นก้อนๆ สักสองสามก้อน เป็นข้าวปั้นที่แปลก มันเป็นข้าวที่เหลืองหอมน่ากิน แล้วพอเอามาฉันนั้น มันอิ่มพอดีกับปากท้อง แล้วมันอิ่มเอิบไปทั้งวัน เดินป่าทั้งวัน วันนั้นไม่มีหิว
    บางทีออกบิณฑบาตไป นึกว่าไม่มีคนหรอกย่านนี้ แต่พอออกไป ก็พบผู้คนเขาดักรอใส่บาตรพระอยู่ตั้งหลายคน สังเกตดูโยมๆ ผู้นั้นเป็นคนที่แปลก แต่งเนื้อแต่งตัวจะเป็นชาวบ้านป่าก็ไม่เชิง ดักรอใส่บาตร พอใส่เสร็จยกมือสาธุ แล้วลุกขึ้นเดินจากไป แต่พอพระท่านหันไปมองอีกที ไม่รู้ชาวป่านั้นหายไปไหนซะแล้ว หลวงพ่อบางองค์ยืนยันว่า เป็นเจ้าป่า หรือรุกขเทวดา นางไม้ ที่เขาเกิดศรัทธากับพระ จึงมาใส่บาตร นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์
    หลวงพ่อคูณ แต่เช้าในวันนั้นบนภูควาย ท่านก็ออกไปโปรดสัตว์ด้วยการออกบิณฑบาตเหมือนกัน ท่านเดินลงจากภูควายหมายจะเจอชาวบ้านป่ามาดักรอใส่บาตรสักคนสองคน แล้วเมื่อท่านเดินลงมา ท่านก็เจอจริงๆ เหมือนกัน
    ชาวป่าเจ็ดแปดคน ในมือมีอาวุธกันครบทุกคน มายืนเหมือนจะเตรียมขึ้นบนภูควาย หรือหมายดักรอใครสักคน หรืออะไรสักอย่าง เมื่อเห็นหลวงพ่อคูณเดินถือบาตรลงมา เขาเหล่านั้นหน้าตายังไม่หายตื่น ต่างมองซ้ายมองขวา เจอหลวงพ่อคูณ ชาวป่าก็ถาม
    “หลวงพ่อเมื่อคืนรอดมาได้อย่างไร เสือตัวโตยังกะช้าง มันป้วนเปี้ยนตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อคืนมันไม่เข้าไปขบหลวงพ่อถึงในกลดก็บุญโขแล้ว หลวงพ่อไปจากที่นี่ซะเถอะ ไม่ต้องบิณฑบาตแล้ว ที่นี่ไม่มีบ้านคนหรอก พวกผมเอาข้าวมาถวายด้วยแล้ว เดี๋ยวหลวงพ่อฉันเสร็จแล้วรีบไปนะ”
    “กูจะต้องรีบไปไหน กู้ไม่ได้รีบร้อน เสือมันจะมามันจะไปก็เป็นเรื่องของมัน เสือมันก็ต้องอยู่ป่า ถ้ามันอยากจะกินกู กูก็จะให้มันกิน กูมาดี แต่ถ้าเมื่อชาติก่อนกูกะมันผูกเวรกันไว้ มันก็ต้องมาจองเวรกินกูในชาตินี้ เอาเถอะ กูขอบใจพวกมึงที่เป็นห่วงกู เสือสางหากเราไม่ไปทำอะไรมัน เสือมันก็จะไม่ทำอะไรเรา เอาเถอะกูตั้งใจจะอยู่บนภูควายสักสองสามมื้อ สบายแก่การบำเพ็ญเพียรของกูแล้วกูก็จะไป เอานะ กูจะไปบิณฑบาตก่อนล่ะ มันเป็นกิจที่กูต้องทำ มีบ้านหรือไม่มี กูก็ต้องไปโปรดสัตว์ ขอให้พวกมึงจงอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุขนะ”
    หลวงพ่อคูณพูดแล้วเตรียมจะก้าวออกเดิน ชาวป่าพวกนั้นก็ขออาราธนาให้รับใส่บาตรด้วยข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนๆ มีปลาร้าสับ มีผักป่าจิ้มนิดหน่อย อาหารยังชีพในป่าจะเอาวิเศษไม่ได้ ขอให้อิ่มปากท้องเป็นพอ หลวงพ่อคูณรับบาตรแล้วอนุโมทนาให้ศีลให้พรอีกครั้ง พร้อมก้าวเดินจากไป ชาวป่ามองตามด้วยความเป็นห่วง
    หลวงพ่อคูณแยกจากชาวป่าก็เดินภาวนากำหนดจิตตนเองให้อยู่กับตัว ดังที่พระธุดงค์จะขาดสติไปคิดว่อกแว่กไม่ได้ ต้องเจริญภาวนาไปตลอด จะคิดฟุ้งซ่านโน่นนี่ จิตเตลิดเพลิดเพลินไปที่ไหนๆ มีหวังเจอดี ไม่เจอกับสัตว์ร้ายก็ต้องเจอกับภูตผีปีศาจ ต้องทำจิตให้ติดกับตัวไว้ เผื่อว่ามีสถานการณ์ที่จะเป็นอันตรายกับตนเอง จะได้แก้ไขทัน คืบก็ป่า วาก็ป่า เต็มไปด้วยอันตรายทุกย่างก้าว ฉะนั้นพระธุดงค์จึงต้องสังวรณ์ในเรื่องนี้
    ผู้แสวงหาความวิเวกตามความตั้งใจ ต้องเตรียมฝึกจิตทำสมาธิฝึกฝนมาดีแล้ว ท่านจึงไม่หวั่นเกรงอะไร แล้วท่านก็ปลงชีวิตแล้วด้วย อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ท่านพาชีวิตของท่านมาลำบากก็เพื่อแสวงหาความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด จากความเงียบสงัดวิเวกในป่า นั่นคือความปรารถนาของท่าน ที่ท่านปรารถนาก็เพื่อว่าจะเอาสิ่งที่ค้นพบนั้นไปโปรดแนะนำสั่งสอนให้มนุษย์ได้หลุดพ้น ท่านขอเพียงเท่านี้ ฉะนั้น จึงไม่คิดห่วงแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง ท่านสมาทานมาแล้วจากวัด ก่อนออกมาพบความลำบากของชีวิตสังขาร
    ฉะนั้น เมื่อไม่มีความห่วงใย ไม่ได้กำหนดสิ่งใด หลวงพ่อคูณท่านจึงเดินดุ่มออกบิณฑบาตไปเรื่อยๆ ต่อเมื่อท่านกำหนดเห็นว่าเดินไปไกลจากกลดพอสมควรแล้ว ท่านก็เดินกลับหวังไปที่กลดเพื่อฉันอาหารที่บิณฑบาตมาได้แล้ว จากชาวป่าที่เจอกันแต่แรก ท่านเดินยังไม่ทันได้ขึ้นบนภูควาย ท่านก็ได้เจอชาวป่าชุดที่เจอเมื่อแรกเข้าอีก เขามองท่านอย่างห่วงใยตลอด
    “หลวงพ่ออยู่ที่นี่ไม่ได้จริงๆ นะ หลวงพ่อไม่รู้หรอกว่า เสือมันเดินสะกดรอยตามหลวงพ่ออยู่ตลอดเวลา มันเตรียมจะขย้ำหลวงพ่อเมื่อไรก็ไม่รู้ หลวงพ่อลองก้มดูรอยตีนมันนั่นสิ นั่นไง รอยตีนมันโตยังกะรอยตีนช้าง มันเดินตามหลวงพ่อตลอด เห็นรอยตีนหลวงพ่อ และดูรอยตีนมันนั่น จะเห็นรอยตีนมันเดินตามหลังหลวงพ่อไม่ห่าง และก็ไม่ใช่รอยตีนมันเดินไว้เก่านะ เมื่อสักครู่นี้มันก็ยังอยู่ พวกผมเห็นหลังมันไวๆ หลวงพ่อ พวกผมกลัวว่าเดี๋ยวจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่เสียเปล่าๆ”
    “อย่าห่วงกูเลย กูคุ้มตัวกูได้ แต่ก็ขอขอบใจพวกมึงที่เป็นห่วงกู ไม่ต้องกลัว กูมีอาวุธมาป้องกันแล้ว กูจึงบอกว่า ไม่กลัวไง พวกมึงไปทำงานของพวกมึงเถอะ กูจะขอตัวไปฉันเช้าก่อนล่ะ” หลวงพ่อคูณพูดคำว่ามีอาวุธแล้วยิ้มเป็นนัยๆ พลางขอตัวไปฉันเช้าตามกิจ
    “หลวงพ่อมีอาวุธอะไร พวกผมไม่เห็นมีเลย หลวงพ่อทำพูดเป็นเล่นไปได้ ไม่รู้ว่าเสือน่ะมันร้ายแค่ไหน เจอคนเจอสัตว์มันขบไม่เลือกหรอก พวกผมรู้จักสันดานพวกมันดี พวกผมอยู่ป่ามานาน” ชาวป่าพยายามพูดอย่างหวังดีกับหลวงพ่อคูณ
    “กูบอกว่าไม่ต้องห่วง อาวุธของกูก็คือ การไม่จองเวรไม่ผูกเวรใคร ไม่ว่าสัตว์หรือคน ถ้าเขาอยากจะผูกเวรกับกู นั่นก็ช่างเขา อีกอย่างถ้าเสือที่เอ็งเห็นแล้วบอกข้าให้รีบไปนั้น เมื่อชาติก่อนกูฆ่ามันไว้ ชาตินี้มันจะมาจองเวรคืน กูก็จะให้ร่างกายแก่มัน แต่ถ้าเมื่อชาติก่อนมันกะกูไม่เคยผูกเวรกันมา กูเชื่อว่า มันคงไม่มาหาเวรใส่ตัวมัน หรือผูกเวรไปชาติหน้าอีก เพราะมันต้องรู้ตัวมัน ชาตินี้มันได้เกิดมาเป็นแค่สัตว์เดรัจฉานต่ำช้ากว่ามนุษย์อยู่แล้ว มันคงอยากเกิดเป็นคนเหมือนกันล่ะนะ”
    หลวงพ่อคูณบอกเป็นเชิงสอนเรื่องบาปกรรมไปถึงชาติหน้าให้ชาวป่าฟัง เป็นเชิงสอนกลายๆ แล้วก็ขอตัวเดินจากไป เพื่อจะต้องไปทำกิจ คือ ฉันอาหารเช้า ปล่อยให้ชาวป่ามองตาม พร้อมกับส่ายหน้า คงเห็นว่าหลวงพ่อคูณองค์นี้รั้นดันทุรัง บอกอย่างไรก็ไม่เชื่อ เห็นเสือเป็นแมวไปได้ เมื่อเห็นว่าพระไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของท่าน จึงหันมาชวนกันเดินจากไป


    อนุโมทนา
    Sereechai.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2011
  12. ฝันนิมิต

    ฝันนิมิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +547
    [​IMG]

    สาธุคะ
     
  13. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    ขอบคุณมากๆๆๆค่ะ คุณมณีน้อย :cool:
    เราก็คนโคราชเหมือนกันเด้อค่ะ รักเคารพและศรัทธาหลวงพ่อคูณมากๆๆๆ ขออนุโมทนาในธรรมทานด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ^/\^
     
  14. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สาธุ อนุโมทนาบุญอย่างสูงค่ะ ไม่เคยได้ยินเรื่องราว ประวัติของหลวงพ่อคูณมาก่อนเลย เพิ่งมาได้อ่านนี้แหล่ะค่ะ สาธุๆๆๆๆ
     
  15. ฝันนิมิต

    ฝันนิมิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +547
    [​IMG]
    [​IMG]


    " หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ "

    ความกตัญญูต่อมาตุภูมิ

    หลาวพ่อกลับแผ่นดินบ้านเกิด
    เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๙๕
    จิตสำนึกยังฝังแน่นบ่งบอกถึงความเก็บกด
    โดยนัยน์ตาที่แฝงไว้ซึ่งความครุ่นคิด


    "ทำยังไงกูจะช้วยคนเหล่านี้ให้พ้นทุกข์ได้"


    ตลอดเวลาหลวงพ่อมิได้นั่งเฉย
    ได้เฝ้ามองปัญหาของชาวบ้าน
    ตั้งแต่จำความได้จนบัดนี้
    ตามคติที่ตั้งมั่นในใจตลอดเวลาว่า


    "พระต้องไม่ขอบิณฑบาตข้าวชาวบ้านอย่างเดียว
    แต่จะต้องตอบสนองให้กับชาวบ้านอีกด้วย"


    แผ่นดินเกิดมีแต่ความแห้งแล้ง
    พี่น้องญาติโยมลูกหลานมีแต่คนยากคนจน
    วัดวาอารามทรุดโทรมหาที่เปรียบมิได้


    "กูไม่ทำแล้วใครจะทำ"


    ลูกหลานเหลนโหลนตัวปอนๆ
    ทำตาปริบๆ ที่เรียนหนังสือก็ไม่มี
    ศาลาก็เก่าแสนเก่า
    จะให้ทางข้าราชกาลช้วยเหลือก็เห็นจะสิ้นหวัง
    ถึงหน้าแล้งเดือนสี่เดือนห้าแม่น้ำลำคลองแห้งขอด
    ขุดบ่อลงไปถึงน้ำ ก็เค็มแสนเค็ม
    บางปีแผ่นดินทั้งแผ่นดินหาน้ำสักหยดไม่มี
    เป็นเวลาถึงสี่ห้าเดือน


    กูทนดูไม่ได้


    สิ่งแรกที่จะต้องทำคงจะต้องดูแลวัดวาอาราม
    หลวงพ่อจึงติดต่อทางราชการขอไม้ในป่าที่อยู่เหนือวัดบ้านไร่ขึ้นไปหลายสิบกิโม่มตร ผสมกับการซื้อไม้ซุงจากโรงเลื่อย
    และเป็นผู้นำชาวบ้าน
    ญาติโยมลูกหลานเกณฑ์แรงงานในหมู่บ้านช่วยกันเลื่อยกันตัดหลายเดือน
    ต่อมากุฏิทั้งสามหลังได้ซ่อมแซมสำเร็จ
    และศาลาการเปรียญหลังเล็กๆ
    ได้ผุดขึ้นใหม่ที่สำคัญอุโบสถแต่เดิมไม่เคยมี
    ไม่เคยเห็น ก็ได้โบสถ์ไม้โผล่ขึ้นมาให้ชาวบ้าน
    ได้ชื่นชม

    ที่มาจากหนังสือ "กูสอนมึง"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 สิงหาคม 2011
  16. ttt2010

    ttt2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,754
    ค่าพลัง:
    +904
    อนุโมทนาสาธุ บุญนี้ ขอยกให้กับท่านเจ้าของกระทู้ด้วยเทอญ...
    ttt2010 ศิษย์พระอาจารย์บุญยง อภิลาโส ภิกขุ

    _____________________________________________________
    บอกบุญแหล่งทำบุญ
    เปิดดวง พิธีกรรมแก้ดวงชะตา (สำนักสงฆ์พรหมรังศรี)
    กฐินสามัคคีปฐมฤกษ์เบิกชัย ที่พักสงฆ์พรหมรังศรี
    ท่องวัดและศาสนสถานที่สำนักสงฆ์พรหมรังศรี<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...