เปตวัตถุ

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 29 กรกฎาคม 2011.

  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    พระไตรปิฎกมหาวิตถาร ๕๐๐๐ นัย


    กัณฑ์ที่ ๑
    <O:p


    คัมภีร์ขุททกนิกาย เปตวัตถุ
    ว่าด้วยอารัมภกถา แห่งเปตวัตถุ
    <O:p



    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ<O:p


    มหาการุณิกํ นาถํ เญยฺยสาครปารคุ (คํ)
    (หมายเหตุผู้พิมพ์พิมพ์คำแบบนี้ไม่เป็น)<O:p


    วนฺเท นิปุณคมฺภีรํ วิจิตฺตนยเทสนนฺติ.
    <O:p

    ณ บัดนี้ อาตมภาพจักได้แสดงพระไตรปิฎกเทศนา มหาวิตถารนัย ในพระคัมภีร์ขุททกนิกาย เปตวัตถุ กัณฑ์ที่ ๑ ว่าด้วยอารัมภกถาแห่งเปตวัตถุสืบต่อไป เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ตลอดกาลนาน

    <O:pอรรถกถา

    <O:p</O:p
    ดำเนินความตามอรรถกถาแห่งเปตวัตถุ ในคัมภีร์ปรมัตถทีปนีนั้นว่าพระอรรถกถาจารย์ได้กล่าวคาถานมัสการพระรัตนตรัยไว้ว่า ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระพุทธเจ้า ผู้ประกอบด้วยพระมหากรุณา ผู้เป็นที่พึ่งของโลก ผู้ถึงซึ่งฝั่งแห่งมหาสมุทร คือไญยธรรม ผู้ทรงแสดงธรรมมีนัยอันวิจิตรละเอียดลึกซึ้ง ผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาจรณะ ผู้ออกจากโลกได้ฯ

    <O:p</O:p
    ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระธรรมอันประเสริฐสูงสุดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบูชา ทั้งพระอริยสงฆ์ผู้ทรงคุรธรรม มีศีลเป็นต้น ผู้ตั้งอยู่ในมรรคผล ซึ่งเป็นนาบุญอย่างเยี่ยมของโลกฯ บุญกุศลอันใดที่ข้าพเจ้าได้ทำให้เกิดแล้วด้วยการกราบไหว้พระรัตนตรัย ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากภัยอันตรายทั้งปวงด้วยเดชานุภาพแห่งบุญกุศลอันนั้นฯ กรรมใดๆ อันนำมาซึ่งความเป็นเปรตที่บุคคลนั้นๆ กระทำไว้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงแสดงฯ พระอรหันต์ทั้งหลายผู้แสวงหาคุณธรรมอันใหญ่ ได้รวบรวมกรรมอันทำให้เกิดความสลดใจ พร้อมทั้งผลแห่งกรรมกับทั้งเรื่องไว้ในขุททกนิกายว่า เปตวัตถุอันใดมีอยู่ ข้าพเจ้าผู้จะแสดงนิทานในที่นั้นๆ ตามนัยแห่งอรรถกถา ซึ่งแก้ไขมาจากขุทกนิกายนั้นให้พิสดารออกไป ให้บริสุทธ์บริบูรณ์ดี ไม่ให้ผิดเพี้ยนจากความรู้ของพระเถรเจ้าทั้งหลายผู้อยู่ในมหาวิหารตามสติกำลังของข้าพเจ้า ขอท่านทั้งหลายจงฟังซึ่งการพรรณนาเปตวัตถุ คือเรื่องเปรตที่ข้าพเจ้าจักแสดงต่อไปนี้ให้จงดีฯ ครั้นพระอรรถกถาจารย์กล่าวคำนมัสการพระรัตนตัยดังนี้แล้ว จึงกล่าวต่อไปว่า คำว่า เปตวัตถุนั้นได้แก่กรรมอันเป็นเหตุทำให้เกิดเป็นเปรตแห่งบุคคลนั้นๆ มีบุตรเศรษฐีเป็นต้นฯ พระปริยัติธรรมอันเป็นไปด้วยอำนาจแห่งการประกาศเปตวัตถุนั้น ขึ้นต้นว่า พระอรหันต์ทั้งหลาย อุปมาดังเปรต ดังนี้ ท่านก็รวมไว้ในเปตวัตถุนี้ฯ ก็เปตวัตถุที่จะแสดงต่อไปนี้ ใครแสดงไว้ แสดงไว้ที่ไหน แสดงไว้แต่เมื่อไร เหตุไรจึงแสดงไว้ฯ มีคำแก้ไขว่า เปตวัตถุนี้มีขึ้นได้ด้วยเหตุ ๒ ประการคือ ด้วยความเกิดขึ้นแห่งเรื่อง ๑ ด้วยการถามการแก้ ๑ฯ ในเหตุ ๒ ประการนั้น เหตุที่มีขึ้นด้วยความเกิดขึ้นแห่งเรื่อง เป็นคำที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ นอกนี้เป็นคำที่พระเถรเจ้าทั้งหลาย มีพระนารทเถรเจ้าเป็นต้นได้ถามเปรตเหล่านั้น แล้วได้กล่าวไว้ฯ แต่เพราะเหตุที่เมื่อคำถามคำตอบนั้นๆ อันพระเถรเจ้าทั้งหลายมีพระนารทเถรเจ้าเป็นต้น ได้กราบทูลองค์พระทศพลแล้ว พระพุทธองค์ก็ทรงถือเป็นต้นเหตุ แล้วทรงแสดงให้ประชุมชนฟัง จึงจัดว่า เปตวัตถุทั้งสิ้น เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วทั้งนั้นฯ ก็เมื่อพระพุทธองค์ทรงประกาศพระธรรมจักรอันประเสริฐแล้ว ประทับอยู่ในที่นั้นๆ มีกรุงราชคฤห์เป็นต้น ก็ได้ทรงแสดงเรื่องเปรตนั้นๆ เพื่อให้บุคคลทั้งหลายเล็งเห็นผลกรรมตามสมควรแก่เรื่องนั้นๆ และตามสมควรแก่คำทูลถาม อันนี้เป็นคำแก้ไขโดยทั่วไป สำหรับบททั้งหลายมีบทว่า เปตวัตถุนี้ ใครกล่าวไว้ ฯ ก็เปตวัตถุนั้นนับเข้าในพระสตตันตปิฎก ซึ่งมีในปิฎกทั้ง ๓ คือพระวินัยปิฎก พระสัตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎกและนับเข้าในขุททกนิกาย ซึ่งมีอยู่ในนิกายทั้ง ๕ คือ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย ขุททกนิกาย สำหรับในองค์ ๙ คือ สุตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ก็นับเข้าในคาถา เมื่อว่าโดยพระธรรม ๘ หมื่น ๔ พันพระธรรมขันธ์ ซึ่งพระอานนทเถรเจ้าได้ปฏิญาณไว้ว่า ข้าพเจ้าได้เรียนจากพระพุทธเจ้า ๘ หมื่น ๒ พันพระธรรมขันธ์ ได้เรียนจากพระภิกษุ ๒ พันพระธรรมขันธ์ อันรวมเป็น ๘ หมื่น ๔ พันพระธรรมขันธ์ เปตวัตถนี้ก็จัดเข้าในพระธรรมขันธ์เล็กน้อยฯ เมื่อว่า โดยภาณวาร ก็มี ๔ ภาณวาร เมื่อว่าโดยวรรค ก็มี ๔ วรรค คือ อุรควรรค ๑ อุพพริวรรค ๑ จูฬวรรค ๑ มหาวรรค ๑ ในวรรคแรกมี ๑๒ เรื่อง ในวรรคที่ ๒ มี ๑๓ เรื่อง ในวรรคที่ ๓ มี ๑๐ เรื่อง ในวรรคที่ ๔ มี ๑๖ เรื่องฯ เมื่อว่าโดยเรื่อง ก็มี ๕๑ เรื่อง มีเรื่องเขตตูปมาเปรตเป็นต้น แต่ได้เก็บเรื่องเปรตจากคัมภีร์อื่นๆ มาเติมเข้าอีก จึงเป็น ๙๐ เปรตฯ ก็เขตตูปมาเปรตนั้น มีคาถาว่า เขตฺตูปมา อรหนฺโต เป็นต้นฯ เรื่องนั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงที่พระเวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ ด้วยทรงปรารภเปรตซึ่งเป็นบุตรเศรษฐีคนหนึ่ง ให้เป็นต้นเหตุฯ กล่าวคือ มีเศรษฐีคนหนึ่งอยู่ในกรุงราชคฤห์ เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีเครื่องใช้สอยมาก มีเครื่องประกอบให้เกิดความปลื้มใจมาก มีทรัพย์ที่ฝังไว้หลายโกฎิ มีชื่อว่า มหาธนเศรษฐี เพราะเป็นผู้มีทรัพย์มาก ฯ เศรษฐีนั้นมีบุตรอยู่คนเดียวเป็นที่รักใคร่พอใจเขามากฯ เมื่อบุตรนั้นเติบโตแล้วมารดาบิดาก็คิดกันว่า เมื่อบุตรของเราเก็บทรัพย์ไว้วันละพันๆ ถึงจะใช้ตั้ง ๑๐๐ ปีก็จะไม่รู้จักหมด ประโยชน์อันใดที่จะให้บุตรของเราศึกษาเล่าเรียน จงให้บุตรของเราได้ใช้ทรัพย์ตามสบาย ไม่ต้องให้ลำบากจึงจะเป็นการดี คิดดังนี้แล้วก็ไม่ได้ให้บุตรศึกษาเล่าเรียนฯ เมื่อบุตรโตเป็นหนุ่มขึ้น เศรษฐีกับภรรยาซึ่งเป็นมารดาบิดานั้น ก็ได้ขอกุมารีซึ่งสมบูรณ์ด้วยตระกูลและรูปร่างกิริยามรรยาท มาให้แก่บุตรของตน กุมารรีนั้นเป็นผู้เบือนหน้าจากธรรมฯ บุตรเศรษฐีนั้น เมื่อได้ร่วมกินอยู่กับกุมารีนั้นก็เบือนหน้าจากธรรมเหมือนกัน ไม่เอื้อเฟื้อต่อสมณพราหมณ์และผู้ควรเคารพทั้งหลาย มีแต่ห้อมล้อมด้วยหมู่นักเลง มัวเมาอยู่ในกามคุณ ๕ ต่อมาภายหลังมารดาบิดาก็ล่วงลับไป บุตรเศรษฐีนั้นเมื่อใช้ทรัพย์ตามชอบใจแก่คนทั้งหลาย มีคนฟ้อนรำขับร้องเป็นต้น ทรัพย์ก็หมดเปลืองไป ไม่ช้าก็สิ้นทรัพย์ที่มีอยู่ แล้วไปกู้หนี้ยืมสินเขามาเลี้ยงชีวิต เมื่อหากู้หนี้ไม่ได้แล้ว เวลาถูกพวกเจ้าหนี้ทวงก็ยกเรือนชานบ้านช่องเป็นต้นให้แก่พวกเจ้าหนี้ แล้วก็ถือกระเบื้องเที่ยวขอท่านอาศัยนอนตามศาลาอนาถาฯ คราวนั้นมีโจรพวกหนึ่งได้พบเห็นบุตรเศรษฐีนั้น จึงว่าประโยชน์อะไรด้วยการเลี้ยงชีพอันลำบากเช่นนี้ เจ้าก็ยังหนุ่มยังแข็งแรงดีเหตุไรจึงทำตัวเหมือนคนมีมือมีเท้าพิการ จงมาร่วมการงานกับพวกเรา พากันถือเอาของผู้อื่นด้วยการลักขโมยมาเลี้ยงชีพให้สบายเถิดฯ บุตรเศรษฐีนั้นก็ตอบว่า ข้าพเจ้าไม่รู้จักวิธีลักขโมยฯ พวกโจรจึง่ว่า พวกเราจะสอนให้ แต่เจ้าต้องทำตามคำของพวกเราฯ บุตรเศรษฐีนั้นก็รับว่า ดีละ แล้วก็ไปกับพวกโจรนั้นฯ ลำดับนั้น พวกโจรนั้นก็ได้มอบไม้ค้อนใหญ่ให้แก่บุตรเศรษฐีนั้นแล้วบอกว่า เมื่อพวกเราเจาะฝาเรือนเข้าไป เจ้าจงยืนอยู่ข้างนอก ถ้ามีใครมา เจ้าจงตีด้วยไม้ค้อนนี้ให้ตายฯ บุตรเศรษฐีนั้นเป็นคนโง่เขลา ไม่รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ ก็ได้ยืนดูการมาของพวกอื่นอยู่ข้างนอกฯ ส่วนพวกโจรก็เข้าไปในเรือนเก็บเอาสิ่งของได้แล้ว พอคนในเรือนรู้ก็วิ่งออกหนีไปฯ เมื่อคนทั้งหลายตื่นขึ้นก็รีบวิ่งออกมาจากทางโน้นทางนี้ ได้มาเห็นบุตรเศรษฐีนั้นยืนอยุ่ข้างนอกก็พร้อมกัทุบตี แล้วนำไปถวายพระราชาว่าเป็นโจรที่ชั่วร้าย พระราชาก็ตรัสสั่งอำมาตย์ผู้รักษาเมือง ให้นำไปตัดศีรษะเสียฯ อำมาตย์ผู้รักษาเมืองรับพระราชโองการแล้วก็ให้มัดมือไพล่หลัง ให้สวมคอด้วยพวงดอกไม้แดง ให้ทาศีรษะด้วยขี้อูฐ แล้วนำตระเวนตีกลองป่าวร้องไปตามถนนหลวงและตรอกใหญ่ตรอกน้อย ทั้งเฆี่ยนตีไปด้วยหวาย นำออกไปที่ตะแลงแกงเพื่อจะฆ่า ในเวลานั้น ก็มีเสียงโกลาหลขื้นว่า โจรที่ปล้นเมืองถูกจับแลวฯ คราวนั้น มีหญิงนครโสเภณีคนหนึ่งชื่อว่านางสุลสา ยืนอยู่ที่ปราสาท ได้แลเห็นบุตรเศรษฐีที่เขาเฆี่ยนตีไปอย่างนั้นก็เกิดความกรุณาด้วยได้คุ้นเคยกันมาแต่เมื่อก่อน ว่าบุรุษคนนี้เป็นคนมั่งมีอยู่ในเมืองนี้ มาบัดนี้ก็มาถึงความพินาศเช่นนี้จึงส่งขนม ๔ ก้อนกับน้ำดื่มไปให้ ทั้งให้บอกผู้คุมว่า ขอได้โปรดรอให้บุรุษนี้ได้กินขนมและดื่มน้ำเสียก่อนเถิดฯ ในลำดับนั้นพระมหาโมคคัลลน์ก็เล็งเห็นด้วยทิพพจักษุแล้วก็เกิดความกรุณาว่า บุรุษนี้ยังไม่ได้ทำบุญสิ่งใดไว้ ได้แต่ทำบาป เวลาตายแล้วก็จักต้องไปตกนรก เมื่อเราไปในที่นั้น เขาได้ถวายขนมและน้ำดื่มแก่เรา แล้วก็จะได้เกิดเป็นรุกขเทวดา เราจะเป็นที่พึ่งของเขา คิดดังนี้แล้ว เมื่อคนนำขนมและน้ำไปให้บุตรเศรษฐีนั้น พระมหาโมคคัลลน์ก็ไปปรากฏอยู่ข้างหน้าฯ บุตรเศรษบีนั้นได้เห็นพระมหาโมคคัลลน์แล้วก็เกิดความเลื่อมใส คิดว่าเราจะต้องการอะไรกับขนมและน้ำนี้ เราจักทำขนมและน้ำดื่มนี้ให้เป็นเสบียงของเราผู้จะไปสู่โลกหน้า คิดดังนี้แล้วจึงได้ให้คนถวายขนมและน้ำแก่พระมหาโมคคัลลน์น พระมหาโมคคัลลาน์ก็นั่งฉันขนมและน้ำอยู่ในที่นั้นเพื่อให้บุตรเศรษฐีนั้นเกิดความเลื่อมใสยิ่งขึ้น ครั้นฉันแล้วก็ได้ลุกไปจากที่นั้นฯ บุตรเศรษฐีนั้นก็ถูกเขานำไปสู่ตะแลงแกง เวลาเขาตัดศีรษะแล้ว ก็ได้เกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ที่ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งมีในซอกเขาแห่งหนึ่งฯ บุตรเศรษฐีนั้นสมควรจะได้เกิดในเทวโลกขั้นสูง ด้วยบุญที่ได้กระทำไว้ต่อพระมหาโมคคัลลานเถรเจ้าซึ่งเป็นนาบุญอันเยี่ยม แต่เวลาบุตรเศรษฐีนั้นจะตายใจก็เศร้าหมองด้วยความนึกรักนางสุลสาว่า ของที่เราถวายนี้ เราได้เพราะนางสุลสาจึงได้เกิดเป็นรุกขเทวดาที่ต่ำช้าเช่นนั้นฯ ถ้าบุตรเศรษฐีนั้นจักขวนขวายดำรงวงศ์ตระกูลในเวลาปฐมวัย ก็จักได้เป็นเศรษฐีปานกลาง ถ้าประกอบการงานในปัจฉิมวัย ก็จักได้เป็นเศรษฐีน้อย ถ้าได้บวชในปฐมวัยก็จักได้เป็นพระอรหันต์ ถ้าได้บวชในมัชฌิมวัยก็จักได้เป็นพระสกทาคามี หรือพระอนาคามี ถ้าได้บวชในปัจฉิมวัย ก็จักได้เป็นพระโสดา แต่เพราะเขาคบกับคนเลวทราม จึงกลายเป็นนักเลงหญิง นักเลงสุรา ยินดีในทุจริต ไม่เคารพนับถือผู้เฒ่าผู้แก่ ได้ทำทรัพย์สมบัติให้สิ้นไป แล้วถึงซึ่งความพินาศฯ ต่อมาภายหลังรุกขเทวดานั้นได้เห็นนางสุลสาไปที่สวนอุทยานก็เกิดความรักใคร่พอใจ จึงบันดาลให้มืดไปทั้งสวนอุทยานแล้วนำนางสุลสาไปยังที่อยู่ของตนได้อยู่ร่วมกับนางสุลสาตลอด ๗ วันจึงได้บอกชื่อของตนแก่นางสุลสาฯ ฝ่ายมารดาของนางสุลสาก็ได้พากันเที่ยวหานางสุลสาข้างโน้นข้างนี้ฯ คนทั้งปวงจึงบอกว่า พระมหาโมคคัลลาน์เป็นผู้มีฤทธิ์มาก อานุภาพมาก ท่านจะรู้จักที่ไปแห่งนางสุลสา ขอจงไปถามท่านเถิด มารดาก็ไปถามพระมหาโมคคัลลาน์ ที่พระเวฬุวันวิหารฯ พระมหาโมคคัลลาน์ตอบว่า ในวันที่ ๗ นับจากวันนี้ไป เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร อุบาสิกาจักได้เห็นนางสุลสา ยืนอยู่นอกที่ประชุมชนฯ ครั้งนั้นนางสุลสาก็บอกรุกขเทวดานั้นว่า นับแต่ข้าพเจ้ามาอยู่ในวิมานของท่านก็ได้ ๗ วันเข้าวันนี้แล้ว เมื่อมารดาของข้าพเจ้าไม่เห็นข้าพเจ้าก็จักเศร้าโศกเสียใจ ขอท่านจงนำข้าพเจ้ากลับไปเถิด รุกขเทวดนั้นจึงได้นำนางสุลสาไปในเวลาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมอยู่ในพระเวฬุวัน ให้นางสุลสายืนอยู่นอกที่ประชุมชน ส่วนตนก็ยืนอยู่ในที่นั้น แต่ไม่มีผู้ใดเห็นฯ ลำดับนั้น มหาชนจึงถามนางสุลสาขึ้นว่า เจ้าไปไหนมา มารดาของเจ้ากำลังเศร้าโศกทุกข์ร้อนเหมือนกับจะเป็นบ้าฯ นางสุลสาก็เล่าเรื่องให้ฟังฯ แต่คนทั้งปวงไม่เชื่อ เมื่อคนทั้งปวงกล่าวว่าบุรุษคนนั้นได้ทำแต่บาปกรรมอกุศล เขาจักได้เกิดเทวดาอย่างไรฯ นางสุลสาก็เล่าให้ฟังว่า เขาได้เกิดเป็นเทวดาด้วยบญที่ได้ถวายขนมและน้ำดื่มแก่พระมหาโมคคัลลาน์ฯ มหาชนได้ฟังดังนี้แล้วก็เกิดความอัศจรรย์ใจ ได้ประกาศปีติโสมนัสอย่างยิ่งว่า พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นนาบุญอันเยี่ยมของโลกแท้ เพียงแต่บุรุษนั้นได้สักการบูชาด้วยของเพียงเล็กน้อยก็ยังได้เกิดเป็นเทวดาฯ ภิกษุทั้งหลายจึงได้กราบทูลเรื่องนี้แด่พระพุทธองค์ฯ ลำดับนั้น พระพุทธองค์จึงได้ทรงแสดงธรรมให้สมกับเรื่องนี้ว่า เขตฺตูปมา อรหนฺโต เป็นต้น ซึ่งมีเนื้อความพิสดารดังจะแสดงต่อไปในกัณฑ์หน้า ส่วนในกัณฑ์นี้จะได้ขยาย คำว่า พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นนาบุญอย่างเยี่ยมของโลก เพราะสักการะเพียงเล็กน้อยที่เขาถวายแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย ก็นำความเกิดเป็นเทวดามาให้แก่คนทั้งหลาย ดังนี้ออกไป เพื่อให้เป็นที่เข้าใจกว้างขวางแก่ผู้ฟังทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ขอให้ผู้ฟังทั้งหลายจงตั้งใจฟัง ดังจักแสดงต่อไป กล่าวคือ

    <O:pคำว่า พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นนาบุญอันเยี่ยมของโลกนั้น ด้วยเหตุว่า พระอรหันต์ทั้งหลายเป็ผู้ทรงคุณธรรมอันล้ำเลิศประเสริฐด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ หาผู้ใดเสมอมิได้ พระอรหันต์ทั้งหลายนั้นยังทรงคุณวิเศษอีกต่างๆ กัน คือ พระอรหันต์ทั้งหลายนั้นยังแยกออกไปอีกเป็น ๔ ประเภท คือ เป็นสุกฺขวิปสฺสโก ซึ่งแปลว่า ผู้เห็นแจ้งอย่างแห้งแล้ง ๑
    เป็นเตวิชโช ผู้ได้ไตรวิชชา ๑
    เป็นฉฬภิญฺโญ ผู้ได้อภิญญาหก ๑
    เป็นปฏิสัมภิทปฺปตฺโต ผู้ถึงปฏิสัมภิทา ๑ ฯ

    สุกฺขวิปสฺสโก พระอรหันต์ผู้เห็นแจ้งอย่างแห้งแล้งนั้น ได้แก่ท่านผู้เจริญวิปัสสนาล้วน ได้สำเร็จพระอรหัต สิ้นกิเลสไปอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีคุณวิเศษอื่นอีกฯ

    เตวิชฺโช พระอรหันต์ผู้ได้ไตรวิชชานั้นได้แก่พระอรหันต์ผู้ได้วิชชาหก ๓ คือ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ รู้ระลึกชาติได้ ๑ จุตูปปาตญาณ รู้จักกำหนดจุติและเกิด ๑ อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้น ๑ฯ ปุพเพนิวาสนุสสติญาณ การระลึกชาติได้นั้น ได้แก่การระลึกชาติหนหลังได้ ตั้งแต่ชาติหนึ่งไปจนตลอดหลายกัลป์ ว่าในชาติโน้นเราได้มีชื่อ โคตร ผิวพรรณวรรณะ อาหาร สุขทุกอย่างนั้น มีอายุเท่านั้น จุติจากชาติโน้นแล้ว ได้มาเกิดในชาตินี้ ได้มีชื่อ โคตร ผิวพรรณ วรรณะ อาหาร สุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเท่านั้น จุติจากชาติโน้นแล้วได้มาเกิดในชาตินี้ฯ จุตูปปาตญาณ ความรู้จักกำหนดจุติและเกิดนั้น คือมีจักษุทิพย์บริสุทธิ์ผ่องใสยิ่งกว่าจักษุมนุษย์ธรรมดา ได้เห็นสัตว์ทั้งที่กำลังจุติก็มี กำลังเกิดก็มี เลวก็มี ดีก็มี มีผิวพรรณวรรณะดีก็มี มีผิวพรรณวรรณะไม่ดีก็มี ได้ดีก็มี ตกยากก็มี รู้ชัดว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ คน บุคคลเหล่าใดทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นผู้ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ถือมั่นการกระทำของมิจฉาทิฏฐิ เวลาบุคคลเหล่านั้นตายแล้ว ต้องไปเกิดในอบายทุคติวินิบาตนรก ส่วนบุคคลเหล่าใดทำกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ ถือมั่นสัมมาทิฏฐิ คือถือว่า บาปบุญมีอยู่ ผลแห่งบาปบุญมีอยู่ นรก สวรรค์ นิพพานมีอยู่ เวลาบุคคลเหล่านั้นตายแล้วก็ได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ถือว่าผลแห่งการให้ทานมีอยู่ ผลแห่งการบูชามีอยู่ ผลแห่งการคำนับมีอยู่ ผลแห่งการทำดี ทำชั่วมีอยู่ โลกนี้มีสำหรับผู้จะมาจากโลกอื่น คือผู้มาจากโลกอื่นมาเกิดในโลกนี้มีอยู่ โลกอื่นมีสำหรับผู้จะมาจากโลกอื่น คือผู้มาจากโลกอื่นมาเกิดในโลกนี้มีอยู่ โลกอื่นที่ผู้อยู่ในโลกนี้จะต้องไปเกิดมีอยู่ ผลแห่งการทำผิดทำถูกต่อมารดาบิดามีอยู่ สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ รู้แจ้งโลกนี้โลกอื่นแล้วแสดงให้ผู้อื่นฟังมีอยู่ ผู้ถืออย่างนี้ย่อมทำดีด้วยกาย วาจา ใจ ทำบุญด้วยกาย วาจา ใจ เวลาตายแล้วได้กลับมาเกิดในมนุษย์นี้อีกก็มี ได้ไปเกิดในโลกอื่น คือ โลกนาค โลกครุฑ โลกอสูร โลกกุมภัณฑ์ โลกยักษ์ โลกเทวดา โลกพรหมก็มี การรู้เห็นได้อย่างชัดเจนด้วยทิพพจักษุ ดังที่ว่ามานี้เรียกว่า จุตูปปาตญาณ เป็นวิชชาที่ ๒ ของพระอรหันต์ผู้ได้วิชชา ๓ ส่วนวิชชาที่ ๓ นั้น ได้แก่อาสสวักขยญาณ คือความรู้อันทำให้สิ้นอาสวะไป ได้แก่ความรู้จักอาสวะ รู้จักเหตุให้เกิดอาสวะ รู้จักความดับอาสวะ รู้จักทางไปถึงความดับอาสวะ อีกนัยหนึ่งว่า ได้แก่ความรู้จักทุกข์ คือรู้ว่าความเกิด แก่เจ็บตาย ความเศร้าใจ ความบ่นเพ้อ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับอกคับใจ ความประจวบด้วยของไม่เป็นที่รัก ความพลัดพรากจากของอันเป็นที่รัก ความปรารถนาไม่สมหวัง เหล่านี้แต่ละอย่างๆ เป็นทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์นอกนี้ก็ยังมีอีกเป็นอันมาก การรู้อย่างนี้เรียกว่า รู้จักทุกข์ การรู้ว่าตัณหา คือความทะเยอทะยาน ความอยากได้อยากดี อยากมั่งอยากมี อยากเป็นนั่นเป็นนี่เป็นต้น ล้วนแต่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ต่างๆ ทั้งนั้น การรู้อย่างนี้เรียกว่ารู้จักเหตุให้เกิดทุกข์ การรู้ว่าความดับตัณหา ความคลายตัณหา ความสละตัณหา ความเลิกตัณหา ความไม่เกาะเกี่ยวกับตัณหาโดยสิ้นเชิง เป็นความดับทุกข์ การรู้อย่างนี้เรียกว่ารู้จักความดับทุกข์ การรู้ว่าหนทางประกอบด้วยองค์ ๘ ประการซึ่งเป็นทางบริสุทธิ์ มีสสัมมาทิฏฐิเป็นต้น เป็นหนทางทำให้สิ้นทุกข์ การรู้อย่างนี้เรียกว่ารู้จักทางไปถึงความดับทุกข์ฯ ความรู้จักทุกข์ ความรู้จักเหตุให้เกิดทุข์ ความรู้จักความดับทุกข์ ความรู้จักทางไปถึงความดับทุกข์ ดังที่ว่ามานี้รวมเรียกว่า อาสวักขยญาณ คือความรู้ที่ทำให้อาสวะกิเลสสิ้นไป จัดเป็นความรู้ที่ ๓ ของพระอรหันต์ผู้ได้ไตรวิชชา คือผู้ได้วิชชา ๓

    ฉฬภิญฺโญ พระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖ นั้น คือพระอรหันต์ผู้ความรู้ยิ่ง ๖ ประการ คือ ผู้ได้ อิทธิวิธิ อันได้แก่การแสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ ๑ ผู้ได้ทิพพโสต คือหูทิพย์ ๑ เจโตปริยญาณ คือรู้จักกำหนดใจผู้อื่น ๑ ปุพเพนิวาสานุสสติ ระลึกชาติหนหลังได้ ๑ ทิพพจักขุ ตาทิพย์ ๑ อาสวักขยญาณ รู้จักทำให้สิ้นอาสวะ ๑ฯ วิชชา ๓ เบื้องปลายได้อธิบายมาแล้วในแผนกไตรวิชชา ส่วนวิชชา ๓ เบื้องต้นยังไม่ได้อธิบาย เพราะฉะนั้นจึงจะได้อธิบายต่อไป กล่าวคือ อิทธิวิธี การแสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ นั้นคือ คนเดียวทำให้เป็นหลายคนก็ได้ หลายคนทำให้เป็นคนเดียวก็ได้ ผ่านไปในฝา กำแพง ภูเขาเหมือนกับไปในที่แจ้งก็ได้ ผุดขึ้นผุดลงในพื้นดินเหมือนกับในน้ำก็ได้ เดินไปบนน้ำเหมือนเดินไปบนดินก็ได้ นั่งไปในอากาศเหมือนนกบินก็ได้ ลูบคลำดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ด้วยมือก็ได้ ไปตลอดพรหมโลกด้วยกายก็ได้ฯ ทิพพโสตคือ หูทิพย์นั้นได้แก่ หูอันบริสุทธิ์ยิ่งกว่าหูมนุษย์ธรรมดา ฟังเสียงได้ ๒ อย่างคือ ฟังเสียงในที่ไกลก็ได้ ในที่ใกล้ก็ได้ ฟังเสียงมนุษย์ก็ได้ ฟังเสียงเทวดาก็ได้ เมื่ออยากฟังเสียงชนิดใดอยู่ไกลหรือใกล้ก็ได้ยินทั้งนั้น เมื่อได้ยินแล้วก็รู้ว่าเป็นเสียงของสิ่งใด เจโตปริยญาณ การรู้จักกำหนดใจผู้อื่นั้น ได้แก่ การรู้จักผู้อื่นว่า ใจของใครเป็นอย่างไร มีราคะ โทสะหรือไม่มี หรือเป็นอย่างไรก็รู้ได้ทั้งสิ้น

    ปฏิสมฺทิทปฺปตฺโต พระอรหันต์ผู้ถึงปฏิสัมภิทานั้นได้แก่พระอรหันต์ผู้มีความแตกฉานในอรรถ คือในความหมายแห่งถ้อยคำนั้นๆ ๑ ผู้แตกฉานในธรรม คือในหัวข้อธรรมนั้นๆ ๑ ผู้แตกฉานในมูลรากแห่งภาษาและในภาษาต่างๆ ๑ ผู้แตกฉานในความไหวพริบ คือความโต้ตอบถูกต้องตามเหตุการณ์ ๑ พระอรหันต์ทั้ง ๔ ประเภท คือ ประเภทสุกฺขวิปสฺสโก ผู้สำเร็จอรหัตด้วยการสิ้นกิเลสอย่างเดียว ๑ เตวิชฺโช ผู้ได้ไตรวิชชา ๑ ฉฬภิญโญ ผู้ได้อภิญญาหก ๑ ปฏิสัมภิทปฺปตฺโต ผู้ได้ปฏิสัมภิทา ๔ ตามที่แสดงมาแล้วนี้ ๑ พระอรหันต์ทั้ง ๔ จำพวกนี้แหละเป็นนาบุญอันเยี่ยมของโลก เป็นผู้ทำให้สักการบูชาอันน้อยของโลกให้มีผลมาก ดังพระมหาโมคคัลลาน์ได้ทำให้ผลแห่งการถวายขนมและน้ำดื่มของบุตรเศรษฐีนั้น ให้มีผลมาก จนกระทั่งบุตรเศรษฐีผู้จะต้องตายไปตกนรกได้เกิดเป็นรุกขเทวดา ดังที่แสดงมา.

    <O:p</O:p
    เอวํ ก็มี ด้วยประการฉะนี้ฯ.

    <O:p</O:p
     
  2. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    กัณฑ์ที่ ๒

    กัณฑ์ที่ ๒
    คัมภีร์ขุททกนิกาย เปตวัตถุ
    <O:p</O:p
    ว่าด้วยเขตตูปมาเปรต
    <O:p</O:p
    เขตฺตูปมา อรหนฺโต ทายกา กสกูปมา
    <O:pพีชูปมํ เทยฺยธมฺมํ เอโต นิพฺพตฺเต ผลนฺติ.<O:p</O:p


    ณ บัดนี้ อาตมภาพจักแสดงพระไตรปิฎกเทศนา มหาวิตถารนัย ในพระคัมภีร์ขุททกนิกาย เปตวัตถุ กัณฑ์ที่ ๒ ว่าด้วยเขตตูปมาเปรตสืบต่อไป เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชนทั้งหลายตลอดกาลนาน หาประมาณได้

    <O:pบาลี
    <O:p</O:p
    ดำเนินความตามวาระพระบาลี อันมีในคัมภีร์วิมานวัตถุ ในพระสุตตันตปิฎก คัมภีร์ขุททกนิกายนั้นว่า พระอรหันต์ทั้งหลายอุปมาด้วยนาทายกทั้งหลายอุปมาด้วยชาวนา ของที่ควรถวายอุปมาด้วยพืช ผลย่อมเกิดจากของที่ถวายนั้น พืชนั้นเป็นนาบุญแห่งเปรตและทายก เพราะเปรตทั้งหลายย่อมได้บริโภคพืชนั้น ทายกทายิกาย่อมเจริญด้วยบุญ บุคคลทำบุญในโลกนี้แล้วและได้บูชาเปรต ย่อมได้ไปเกิดในสวรรค์ ดังนี้ สิ้นเนื้อความในพระบาลีเพียงเท่านี้

    <O:pอรรถกถา
    <O:pในอรรถกถาว่า คำว่า อุปมาด้วยนานั้น มีคำอธิบายว่า ที่ใดรับพืชที่เขาปลูกหว่านลงไว้ คือทำพืชที่เขาปลูกหว่านไว้ให้มีผลมาก ที่นั้นชื่อว่า นาฯ นานั้นได้แก่ที่งอกขึ้นแห่งพืชข้าวสาลีเป็นต้นฯ พระอรหันต์ทั้งหลายย่อมเปรียบเหมือนกับนาฯ ที่เรียกว่าพระอรหันต์นั้นเพราะเป็นผู้กำจัดข้าศึกคือกิเลส และเป็นผู้หักกงกำแห่งสังขารจักร เป็นผู้สมควรรับสักการบูชา เป็นผู้ไม่มีความลับอย่างใดอย่างหนึ่ง คือไม่ได้ทำบาปไว้อย่างไรฯ ธรรมดานาซึ่งไม่มีสิ่งที่จะทำให้เสีย เป็นต้นว่าหญ้า ก็ย่อมมีผลมากแก่ชาวนาฉันใด พระอรหันต์ทั้งหลายผู้ไม่มีกิเลสก็ย่อมทำให้มีผลมากแก่ทายกผู้สักการบูชา ฉันนั้น เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จึงได้ทรงแสดงไว้ว่า พระอรหันต์ทั้งหลายอุปมาด้วยนาฯ ก็การทรงแสดงนี้เป็นการทรงแสดงถึงบุคคลชั้นสูง คือชั้นพระอริยเจ้า ชั้นต่ำก็เรียกว่าเป็นนาเหมือนกันฯ พวกทายกที่ถวายปัจจัย ๔ มีจีวรเป็นต้น ชื่อว่าผู้บริจาคฯ เพราะว่าพวกทายกย่อมบริจาคคือตัดเสียซึงความโลภเป็นต้น อันมีในจิตใจของตนได้ด้วยการบริจาคนั้นฯ ต่อนั้นไปทายกเหล่านั้นก็ได้ชื่อว่า ผู้ทำจิตของตนให้บริสุทธิ์ ได้ชื่อว่าเป็นผู้รักษาพืชไว้ฯ คำว่า เปรียบด้วยชาวนานั้น คือชาวนาไถนาข้าวสาลีเป็นต้น แล้วไม่ประมาทด้วยการไขน้ำเข้าไขน้ำออกเป็นต้นตามสมควรก่เวลา ก็ได้ข้าวกล้าดี ฉันใด ทายกไม่ประมาทในการทำบุญ คือ ในการบริจาคสิ่งของถวายแก่พระอรหันต์ ก็ได้ผลแห่งทานมากขึ้น ฉันนั้น เพราะฉะนั้นจึงว่าทายกทั้งหลายเปรียบเหมือนชาวนาฯ คำว่า ของที่ถวายเปรียบเหมือนกับพืชนั้น คือ ของที่ถวายนั้น ได้แก่ของ ๑๐ อย่างมีข้าวน้ำเป็นต้น คำว่าผลย่อมเกิดจากสิ่งนั้น คือผลแห่งทานย่อมเกิดย่อมเจริญอย่นานจากการบริจาคแห่งทายก และการรับสิ่งที่บริจาคแห่งปฏิคาหกฯ เพราะของที่ควรถวายมีข้าวน้ำเป็นต้น เปรียบเหมือนกับพืช จึงว่าของที่ควรถวายเปรียบเหมือนกับพืชฯ เพราะฉะนั้นจึงควรเห็นว่าเจตนาบริจาคซึ่งเป็นวิสัยแห่งวัตถุที่ควรถวายเป็นพืชด้วย การอ้างถึงของที่ควรถวายฯ เพราะว่าเจตนาบริจาคนั้นย่อมให้สำเร็จผลมีปฏิสนธิเป็นต้น และมีอารมณ์อันเป็นที่อาศัยแห่งของที่ควรถวายนั้น ไม่ใช่ของที่ควรถวาย คือเจตนาบริจาคอย่างหนึ่ง ของที่ควรถวายอย่างหนึ่ง ไม่ใช่อย่างเดียวกัน คำว่าพืชและการทำนของชาวนา ย่อมชื่อว่าเป็นประโยชน์แก่เปรตและทายกนั้น คือ พืชและนาตามที่กล่าวไว้แล้วนั้น ย่อมให้สำเร็จประโยชน์แก่เปรตทั้งหลาย ในเมื่อทายกทั้งหลายได้ให้ทานด้วยตั้งใจส่งผลให้พวกเปรต ถ้าทายกไม่ตั้งใจส่งผลให้พวกเปรต พืชนั้น คือ บุญกุศลนั้นก็ย่อมมีแก่ทายกฝ่ายเดียวฯ ตอนนี้เมื่อพระพุทธองค์มีพระพุทธปรสงค์จะทรงแสดงให้เห็นว่า บุญนั้นย่อมสำเร็จแก่พวกเปรต จึงได้ตรัสว่า พวกเปรตย่อมได้บริโภคของที่ให้ทานนั้น ส่วนผู้ให้ทานก็เจริญด้วยบุญ ดังนี้ฯ ในคำเหล่านั้น คำว่า พวกเปรตได้บริโภคของที่ให้ทานนั้น คือ เมื่อทายกให้ทานโดยตั้งใจให้ส่วนบุญแก่พวกเปรต เมื่อพวกเปรตได้อนุโมทนา พวกเปรตก็ได้รับส่วนบุญฯ คำว่า ผู้ให้ทานย่อมเจริญด้วยบุญนั้น คือผู้ให้ทานก็เจริญด้วยผลบุญ มีโภคสมบัติเป็นต้นในเทพยดามนุษย์ ด้วยบุญที่ตนได้ให้ทานฯ ถึงผลแห่งบุญก็เรียกว่าบุญ เช่นในคำทั้งหลายเป็นต้นว่า บุญนี้ย่อมเจริญเพราะการถือมั่นซึ่งกุศลธรรมทั้งหลาย ดังนี้ฯ คำว่า พระทำกุศลไว้ในชาตินี้แล้ว คือ กระทำกุศลอ้นสำเร็จด้วยการให้ทาน ด้วยให้ส่วนบุญแก่พวกเปรตไว้ในชาตินี้แล้วก็เป็นอันชื่อว่า ได้บูชาพวกเปรต คือ นับถือพวกเปรต ทำให้พวกเปรตพ้นทุกข์ฯ ทานที่บุคคลให้เพราะพวกเปรต ชื่อว่าเป็นการบูชาพวกเปรต เพราะฉะนั้น พระองค์จึงตรัสว่า พวกเปรตได้กล่าวว่า เขาได้บูชาพวกเราแล้ว การบูชาพวกเปรตย่อมมีผลมาก ดังนี้ฯ การให้ทานนั้นย่อมมีอานิสงส์นานาประการเป็นต้นว่า ผู้ให้ทานย่อมเป็นที่รักใคร่พอใจของสัปบุรุษทั้งหลาย ๑ ผู้ทานย่อมเป็นผู้มีคติดี ๑ ผู้ให้ทานย่อมเป็นผู้ที่ควรคุ้นเคย ๑ ผู้ให้ทานย่อมเป็นผู้ควรยกย่อง ๑ ผู้ให้ทานย่อมเป็นผู้ควรเคารพ ๑ เป็นผู้ควรสรรเสริญ ๑ เป็นผู้ที่ควรสรรเสริญของผู้รู้ทั้งหลาย ๑ฯ คำว่า ครั้นทำกรรมที่ดีแล้วก็ได้ไปสวรรค์นั้น คือ ครั้นทำกุศลกรรมไว้แล้ว ก็ได้ไปเกิดในเทวโลก อันเป็นที่เกิดแห่งผู้ได้ทำบุญไว้ ซึ่งได้ชื่อว่าสวรรค์ เพราะดีเลิศด้วยฐาน ๑๐ ประการ มีอายุทิพย์เป็นต้นฯ เกจิอาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่าพระอรหันต์ทั้งหลายก็เรียกว่าเปรตในที่นี้ ดังนี้ฯ คำว่าสักว่าเป็นความเข้าใจของเกจิอาจารย์เหล่านั้น เพราะไม่มีที่มาซึ่งกล่าวว่าพระอรหันต์เป็นเปรต และเพราะพระอรหันต์เป็นผู้ไม่สมควรแก่กำเนิดเปรต เหมือนกับทายกไม่สมควรแก่ความเป็นพืชฉะนั้นฯ ในเวลาจบเทศนา การตรัสรู้ธรรมก็ได้มีแก่เทพยดามนุษย์ถึง ๘ หมื่น ๔ พัน มีรุกขเทวดาและนางสุลสาเป็นต้นฯ เป็นอันจบการพรรณนาเรื่องเปรตในข้อว่า พระอรหันต์เปรียบด้วยนาซึ่งมีในอรรถกถาแห่งเปตวัตถุ อันมีชื่อว่า ปรมัตถทีปนีเพียงเท่านี้


    <O:pในอรรถกถาว่า ข้อที่ว่าพระอรหันต์ทั้งหลายเปรียบด้วยนานั้น คือพระอรหันต์ทั้งหลายเปรียบด้วยนาที่ดี เพราะธรรมดานาที่ดี ย่อมทำให้ได้ข้าวกล้ามาก ฉันใด นาคือพระอรหันต์ก็ทำให้ได้บุญมาก ฉันนั้น ธรรมดานาที่ดี ถึงบุคคลจะทำน้อยก็ย่อมได้ข้าวมาก ฉันใด พระอรหันต์ก็ฉันนั้น คือ ถึงบุคคลจะถวายข้าวน้ำเป็นต้น แก่ท่านแม้เพียงเล็กน้อย ก็ได้ผลมาก ดังบุตรเศรษฐีซึ่งได้แสดงมาแล้วในกัณฑ์ก่อนเป็นอุทาหรณ์

    <O:pข้อว่า ทายกเปรียบเหมือนชาวนานั้น คือธรรมดาชาวนาย่อมมีหน้าที่ทำนา ทายกก็มีหน้าที่ให้ทาน ชาวนาต้องเอาใจใส่ในการทำนาจึงจะได้ข้าวกล้าดี ทายกก็ต้องเอาใจใส่ในการให้ทานจึงจะได้ผลมาก ถ้าชาวนาเกียจคร้านในการทำนา ก็ไม่ได้ข้าวกล้ามาก ถ้าทายกเกียจคร้านในการให้ทานก็ไม่ได้บุญมาก ชาวนาต้องตั้งใจทำนาจึงจะได้ข้าวกล้ามาก ทายกก็ต้องตั้งใจให้ทานจึงจะได้บุญมาก ทำอย่างไรจึงเรียกว่าตั้งใจให้ทาน ทำอย่างนี้ คือ ของที่จะให้ทานก็ต้องเป็นของที่ได้มาด้วยสุจริต มีได้มาด้วยการทำนาค้าขายเป็นต้น เวลาจะให้ทาน ก็ต้องนึกให้มีใจเลื่อมใสยินดี ขณะที่ให้ทานก็ต้องให้ดีใจ เวลาให้ทานแล้วก็ต้องให้มีใจผ่องใส ไม่ให้นึกเสียดายถึงของที่ให้ทานแล้ว เมื่อทำได้อย่างนี้เรียกว่าให้ทานดี

    <O:pข้อว่า ไทยธรรม คือของที่จะให้ทานเปรียบเหมือนพืชนั้น อธิบายว่า ธรรมดาพืช ซึ่งเขาเรียกว่าข้าวปลูกหรือพันธุ์ข้าว ถึงจะน้อยก็ย่อมให้ผลมาก เพียงแต่ข้าวเมล็ดเดียวก็แตกออกเป็นหลายร้อยเม็ด คือเมื่อข้าวเมล็ดเดียวเกิดเป็นต้นข้าว แล้วออกเป็นรวงข้าว ข้าวเมล็ดเดียวนั้นก็จะกลายเป็นหลายร้อยเมล็ด ข้อนี้ฉันใด ถึงของที่ให้ทานมีเพียงเล็กน้อย ก็ย่อมได้ผลมาก ฉันนั้นจงนึกดูเรื่องบุตรเศรษฐี ที่ได้แสดงมาแล้วในกัณฑ์ก่อนนั้นเป็นตัวอย่างเถิด บุตรเศรษฐีนั้นได้ให้ทานขนมต้มเพียง ๔ ก้อนเท่านั้นแก่พระมหาโมคคัลลาน์ ก็ยังได้ทิพยสมบัติมากมาย เพราะฉะนั้น ไทยธรรมจึงว่าเปรียบเหมือนพืช คำที่โบราณว่า ให้ทานเฟื้องได้ร้อยเฟื้องนั้นย่อมเป็นความจริง เพราะเมื่อเปรียบกับข้าวเมล็ด ๑ ซึ่งแตเป็นหลายร้อยเมล็ดดังที่ว่ามาแล้วนี้ กับเมื่อนึกถึงตัวอย่างต่างๆ ดังบุตรเศรษฐีได้ถวายขนมต้มเพียง ๔ ก้อนเท่านั้น ก็ยังได้ทิพยสมบัติมากมากก็จะเห็นได้ว่าคำนี้เป็นคำจริง จึงไม่ควรที่ใครๆ จะกริ่งใจในเรื่องผลทานว่าให้ทานเพียงเล็กน้อยจะได้ผลมากอย่างไร

    <O:pข้อว่าผลย่อมเกิดจากพืชนั้น คือ พืชต่างๆ มีพืชข้าวเป็นต้น ย่อมทำให้เกิดผลเป็นอันมาก ฉันใด ทานที่บุคคลให้ถึงจะเพียงเล็กน้อยก็ย่อมให้ผลมากฉันนั้น

    <O:pข้อว่า พืชที่บุคคลปลูกหว่านลงในนา ย่อมมีประโยชน์แก่เปรตและทายกนั้น คือทานที่บุคคลให้ด้วยตั้งใจยกส่วนบุญให้พวกเปรต เมื่อพวกเปรตได้อนุโมทนา ก็ต้องได้พ้นจากความเป็นเปรต ได้เสวยทิพยสมบัติส่วนทายกที่ให้ทานก็ยังได้ผลอีกด้วย ดังนี้

    <O:pก็ข้อว่า ทานที่ทายกทำกุศลให้แก่เปรต ชื่อว่าได้บูชาเปรตนั้น ในอรรถกถาว่า เพราะเปรตได้อนุโมทนาแล้วก็พ้นจากความเป็นเปรตดังนี้นั้น ก็สมจริงตามที่มาโดยแท้ เพราะว่าเปรตที่ได้อนุโมทนา คือแสดงความยินดีต่อทานของทายก ที่ได้ให้เพื่อตนนั้นแล้วพ้นจากความเป็นเปรต มีอยู่เป็นอันมาก มีเปรตที่เป็นพวกญาติของพระเจ้าพิมพิสารเป็นอุทาหรณ์ กล่าวคือ เมื่อครั้งพระพุทธองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ นั้น พอถึงปลายปีตรัสรู้ ก็ได้เสด็จไปสู่กรุงราชคฤห์พร้อมด้วยพระอรหันต์พันองค์ ประทับที่พระราชอุทยานของพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารกับพราหมณ์ คฤหบดีเป็นอันมากเสด็จออกไปเผ้า ได้ฟังพระธรรมเทศนาขององค์พระพุทธเจ้าแล้วก็ได้สำเร็จมรรคผล เช้าขึ้นจอมมหิดลพิมพิสารก็ได้ถวายอาหารแก่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธองค์เป็นประธาน แต่ไม่ได้ทรงแผ่ส่วนบุญให้ผู้ใด พวกเปรตที่เคยเป็นญาติในปางก่อน มีกำหนด ๘ หมื่น ๔ พันตน ซึ่งคอยมารับส่วนบุญนั้น เมื่อไม่ดั้บส่วนบุญก็พากันหมดหวังที่จะพ้นจากเปรต พอถึงเวลากลางคืน ก็ไปส่งเสียงร้องอันน่ากลัวอย่างยิ่งในพระราชวัง เช้าขึ้นพระเจ้าพิมพิสารจึงกราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า ข้าพระองค์ได้ยินเสียงร้องอันน่ากลัวอย่างนั้นๆ จักมีเหตุผลประการใด พระพุทธองค์จึงตรัสว่า อย่ากลัวเลยมหาราช ผลร้ายอันใดจักไม่มีแก่พระองค์เลย แล้วก็ทรงเล่าเรื่องทั้งปวงของเปรตนั้นให้พระเจ้าพิมพิสารฟัง เมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้ฟังแล้วจึงทูลถามว่า เมื่อข้าพระองค์ถวายทานในบัดนี้แล้วแบ่งส่วนบุญให้พวกเปรต พวกเปรตจักได้ส่วนบุญหรือไม่พระเจ้าข้า ตรัสตอบว่า ได้มหาบพิตร พระเจ้าพิมพิสารจึงได้ถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น พอได้หลั่งน้ำลงว่ อิทํ เม ญาตินํ โหตุ ขอทานนี้จงมีแก่ญาติของข้าพระองค์ ดังนี้ สระโบกขรณีอันดาษด้วยดอกปทุม ก็เกิดแก่เปรตพวกนั้นในทันใด เปรตพวกนั้นก็ได้ลงอาบดื่มในสระโบกขรณีนั้น แล้วก็หมดความลำบากกระวนกระวาย มีผิวพรรณเหมือนกับทองคำขึ้นทันที เวลาพระเจ้าพิมพิสารได้ถวายอาหาร คือข้าวต้ม ขนม ข้าวสวยและกับข้าวต่างๆ แล้วแผ่ส่วนบุญให้พวกเปรต ในทันใดนั้น ข้าวต้ม ขนมและข้าวสวยพร้อมด้วยกับข้าวอันเป็นทิพย์ ก็ได้เกิดแก่เปรตพวกนั้น เวลาเปรตพวกนั้นได้บริโภคแล้ว ก็มีร่างกายเอิบอิ่มพ่วงพีเป็นสุขสบายดี แต่ยังไม่มีเครื่องนุ่งห่ม ไม่มีที่นั่งที่นอน เวลาพระเจ้าพิมพิสารถวายสบงจีวรและที่นั่งที่นอนแก่พระภิกษุสงฆ์ แล้วแผ่ส่วนบุญให้ เครื่องนุ่งเครื่องห่มยานพาหนะอัเนป็นทิพย์ ปราสาททิพย์ ที่นั่งที่นอนทิพย์ เป็นต้น ก็เกิดขึ้นแก่เปรตเหล่านั้น เปรตเหล่านั้นก็ได้กลายเป็นเทพยดา มีทิพยวิมานอยู่ในอากาศ พระพุทธองค์มีพระพุทธประสงค์จะให้พระเจ้าพิมพิสารเกิดความเลื่อมใสยิ่งขึ้น จึงทรงบันดาลให้ท้าวเธอได้เห็นสมบัติของเปรตเหล่านั้น เมื่อท้าวเธอได้เห็นแล้วก็ทรงยินดีอย่างยิ่ง ได้ถวายทานเหมือนในวันนั้นอีกตลอดถึง ๗ วัน เพราะฉะนั้นจึงว่า เปรตที่ทายกทายิกาทำบุญแผ่ผลไปให้นั้น เรียกว่าได้รับการบูชาอย่างยิ่ง คือการทำบุญแล้วแผ่ส่วนบุญให้พวกเปรต ชื่อว่าบูชาพวกเปรต พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า เปตานญฺจ ปูชา จ กตา อุฬารา ซึ่งแปลว่า การทำบุญเพื่อให้ผลแก่พวกเปรตนั้นชื่อว่าเป็นการบูชาพวกเปรตอย่างยิ่ง ดังนี้ พวกเปรตที่ได้รับการบูชาแล้วย่อมพ้นจากกำเนิดเปรตในทันใด เหมือนกับพวกเปรตที่เป็นญาติของพระเจ้าพิมพิสาร ดังแสดงมา

    <O:pอีกอย่างหนึ่ง การทำบุญให้แก่ผู้ตาย ได้ชื่อว่าเป็นการบูชาผู้ตายเป็นการประกาศความดีของผู้ตายให้ปรากฏแก่คนทั้งหลาย เป็นการแสดงญาติธรรมมิตตธรรมของตนกับผู้ตายให้ปรากฏแก่คนทั้งหลาย เพื่อให้คนทั้งหลายรู้ว่า ผู้ตายกับตนเป็นอะไรกัน มีอุปการคุณแก่กันอย่างไร เมื่อบุตรธิดาทำบุญอุทิศให้แก่มารดาบิดาที่ตายไป จะตายช้าหรือตายเร็วก็ตาม ก็เรียกว่าได้บูชาบิดามารดา ด้วยการบูชาอย่างยิ่ง เรียกว่าได้ประกาศความดีของบิดามารดา ว่าเป็นผู้สมควรบูชาให้คนทั้งหลายทราบ เรียกว่าได้ประกาศความกตัญญกตเวทีของตนให้ปรากฏแก่คนทั้งหลาย ถ้ามารดาบิดาทำบุญให้บุตรธิดาที่ตายไป ก็เป็นอันว่ามารดาบิดาได้ประกาศเมตตากรุณาแก่บุตรให้ปรากฏแก่คนทั้งหลายว่า ถึงบุตรธิดาตายไปแล้วก็ยังมีเมตตากรุณาทำบุญให้ ถ้าภรรยาทำบุญให้สามี ก็เป็นอันประกาศให้คนทั้งหลายรู้ว่าตนเป็นผู้มีความภักดีต่อสามี หวังอยากให้สามีมีความสุขในภายภาคหน้า ไม่ว่าสามีจะไปเกิดในที่ใด ก็อยากให้มีความสุขเสมอไป ถ้าสามีทำบุญให้ภรรยา ก็เป็นอันประกาสให้คนทั้งหลายรู้ว่าตนยังมีเมตตาแก่ภรรยา ยังอนุเคราะห์ภรรยาอยู่จนกระทั่งเวลาตาย ตายไปแล้วก็อยากให้ไปเกิดในที่ดีมีสุข ถ้าญาติต่อญาติ มิตรต่อมิตร สหายต่อสหาย ทำบุญให้แก่กัน ก็เรียกว่าเป็นการแสดงญาติธรรม มิตรธรรม ในระวห่างกันและกันให้ปรากฏแก่คนทั้งหลาย การทำบุญให้ผู้ตายนั้น ไม่ใช่จะได้ผลแต่ผู้ตายเท่านั้น ถึงผู้ยังเป็นอยู่ก็พลอยได้ผลตามกัน พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงว่า ทายกา จ อนิปฺผลา ซึ่งแปลว่า อีกอย่างหนึ่ง ทายกก็ไม่ไร้ผล ดังนี้ คำนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า ทายกทายิกาผู้ที่ทำบุญให้ผู้ตายนั้นก็ยังได้ผลบุญอยู่ ไม่ใช่ว่าทำบุญให้ผู้ตายแล้วตนผู้ทำจะไม่ได้ผลบุญเลย ถ้าผู้นั้นได้ทำบุญไว้ในพระพุทธศาสนา คือได้ถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นองค์สาวกของพระพุทธเจ้า บุญนั้นก็ยิ่งใหญ่ไพศาล เพราะฉะนั้น ท่านจึง่ว่าพระอรหันต์ทั้งหลายเปรียบด้วยนา ทายกทั้งหลายเปรียบเหมือนชาวนา ของที่ให้ทานเปรียบเหมือนพืช ผลแห่งทานเปรียบเหมือนผลแห่งพืช เปรตทั้งหลายย่อมได้รับผลทานนั้น ผู้ให้ทานย่อมเจริญด้วยบุญ ผู้ทำบุญไว้แล้ว ผู้ได้บูชาเปรตแล้ว ย่อมได้ไปสู่สวรรค์ ดังนี้ สิ้นเนื้อความในเทศนากัณฑ์นี้เพียงเท่านี้.
    <O:pเอวํ ก็มี ด้วยประการฉะนี้ฯ<O:p</O:p
     
  3. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,254
    อนุโมทนา สาธุ ๆ
    กับท่านที่ได้นำพระธรรมมาเผยแพร่
    และทำบุญสร้างกุศลทุกอย่างในกาลนี้ด้วยครับ
    นิพพานัง ปัจจโย โหตุ
    นิพพานัง ปรมัง สุขขัง
     
  4. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    กัณฑ์ที่ ๓

    คัมภีร์ขุททกนิกาย เปตวัตถุ<O:p

    ว่าด้วยเปรตปากสุกรและเปรตปากเน่า<O:p

    <O:p

    กาเย เต สพพโสวณฺโณติ อิทํ สตฺถริ ราชคหํ อุปนิสฺสาย เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปติ.

    <O:p

    ณ บัดนี้ อาตมภาพจักแสดงพระไตรปิฎกเทศนา มหาวิตถารนัยในคัมภีร์ขุททกนิกาย เปตวัตถุ กัณฑ์ที่ ๓ ว่าด้วยเรื่องเปรตปากสุกรและเปรตปากเน่า สืบต่อไป เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศานาและพุทธศาสนิกชนทั้งหลายตลอดกาลนาน

    <O:pบาลี

    <O:p</O:p
    ดำเนินความตามอรรถกถา ที่ได้ยกขึ้นไว้เป็นเบื้องต้นแห่งเทศนานั้นว่า เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน อันเคยเป็นสถานที่ให้เหยื่อแก่กระแตแต่เมื่อก่อน อาศัยกรุงราชคฤห์ ได้ทรงปรารภสุกรมุขเปรต คือเปรตปากสุกรให้เป็นต้นเหตุ จึงตรัสเทศนาพระคาถาว่า กาโย เต สพฺพโสวณฺโณ นี้ไว้ ฯ ดังได้สดับมาว่า ในครั้งศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ล่วงมาแล้วโน้น มีภิกษุองค์หนึ่งเป็นผู้สำรวมกาย แต่ไม่สำรวมวาจา ได้ด่าว่าภิกษุทั้งหลายฯ เวลาภิกษุนั้นมรณภาพแล้วก็ไปเกิดในนรก ไหม้อยู่ในนรกตลอดพุทธันดรหนึ่ง เวลาพ้นจากนรกนั้นมาแล้ว ก็ได้มาเกิดเป็นเปรตอดอยากอยู่ที่เชิงเขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ด้วยเศษบาปอันนั้นฯ กายของเปรตนั้น มีสีเหมือนทองคำ ปากของเปรตนั้นเหมือนกับปากสุกรฯ คราวนั้นพระนารทเถรเจ้าอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฎเช้าขึ้นได้ถือเอาบาตรจีวรลงมาจากภูเขาคิชฌกูฎ เพื่อจะไปบิณฑบาตที่กรุงราชคฤห์ ได้เห็นเปรตนั้นในระหว่างทาง เมื่อจะถามถึงกรรมที่เปรตนั้นได้กระทำไว้ จึงได้ถามว่า ร่างกายของเธอทั้งสิ้นมีผิวพรรณดังทองคำ ทำให้ส่องสว่างตลอดทิศทั้งปวง แต่ปากของเธอเหมือนกับปากสุกร เธอได้ทำบาปกรรมอะไรไว้ในปางก่อนฯ เมื่อเปรตนั้นจะตอบคำถามของพระเถรเจ้า จึงตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้สำรวมกาย แต่ไม่ได้สำรวมวาจา เพราะฉะนั้นแหละ กายของข้าพเจ้าจึงมีสีเหมือนทองคำ ปากของข้าพเจ้าจึงเหมือนกับปากสุกร ข้าแต่พระนารทะ ร่างกายของข้าพเจ้าเหมือนกับร่างกายมนุษย์ มีผิวพรรณดังทองคำ แต่ปากของข้าพเจ้าเหมือนกับปากสุกร ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะข้าพเจ้าได้สำรวมกาย ไม่ได้สำรวมวาจา ครั้นเปรตนั้นตอบอย่างนี้แล้ว เมื่อจะให้โอวาทแก่พระเถรเจ้าจึงกล่าวว่าข้าแต่ท่านนารทะ เพราะเหตุนี้แหละข้าพเจ้าจึงขอบอกท่าน ร่างกายของข้าพเจ้านี้ ท่านได้เห็นด้วยตนเองแล้ว ท่านอย่าได้กระทำบาปด้วยปาก อย่าให้ปากของท่านเป็นเหมือนนกับปากสุกรเหมือนกับข้าพเจ้า ถ้าท่านเป็นคนปากกล้ากระทำบาปด้วยปาก ท่านก็จะต้งมีปากดังสุกร เพราะฉะนั้นท่านได้กระทำบาปด้วยปากเลย ดังนี้

    <O:pลำดับนั้น พระนารทเถรเจ้าก็เลยไปเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ต่อไป เวลากลับจากบิณฑบาตหลังอาหารแล้ว ก็ไปกราบทูลเรื่องนี้แด่พระองค์ซึ่งทรงแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางบริษัท ๔ฯ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า นารทะ เปรตนั้นเราได้เห็นก่อนแล้ว ตรัสดังนี้แล้วเมื่อพระองค์จะทรงแสดงโทษแห่งวจีทุจริต และแสดงคุณแห่งวจีสุจริต จึงได้ทรงแสดงธรรมตามสมควรแก่ต้นเหตุ การทรงแสดงธรรมนั้นก็ให้สำเร็จคุณวิเศษแก่ประชุมชนในคราวนั้น จบเรื่องเปรตปากสุกรเพียงเท่านี้

    <O:pในเรื่องเปรตปากสุกรนี้ ขอท่านผู้ฟังทั้งหลาย จงเข้าใจเถิดว่า กาย วาจา ใจ ของเรานี้แหละ ย่อมทำคุณและโทษให้แก่เรา เมื่อเราใช้ กาย วาจา ใจ ให้ทำ พูด คิด ในสิ่งที่ดี ก็ให้คุณแก่เรา เมื่อเราจะใช้ให้ทำ พูด คิด สิ่งที่ไม่ดี ก็ให้โทษแก่เรา เปรตปากสุกรนั้นในเรื่องบ่งชัดแล้วว่า เมื่อก่อนได้เป็นภิกษุด่าว่าพระภิกษุทั้งหลายด้วยกัน เพราะฉะนั้น จงเข้าใจว่า พระด่าพระก็บาปเหมือนกัน ยิ่งคฤหัสถ์ด่าพระด้วยแล้ว ก็ยิ่งบาปมากเพราะว่า คฤหัสถ์เป็นผู้มีศีลธรรมต่ำกว่าพระมาก เพราะถึงพระด้วยกันมีศีลธรรมดีเหมือนกัน ก็ยังได้บาปดังเปรตปากสุกรนี้เป็นอุทาหรณ์

    ต่อนี้ไปเป็นเรื่องปูติมุขเปรต คือ เปรตปากเน่าว่า เมื่อครั้งพระศาสดาประทับอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร ใกล้กรุงราชคฤห์ ได้ทรงปรารภเปรตปากเน่าตนหนึ่งให้เป็นต้นเหตุแล้วจึงตรัสเทศนาว่า ทิพฺพํ สุภํ ธาเรสิ วณฺณธาตํ เป็นต้น ซึ่งจะมีคำแปลในภายหลัง ส่วนในตอนนี้จะได้ว่าเรื่องเปรตตนนี้ต่อไป กล่าวคือ ในครั้งศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ล่วงไปแล้วโน้น มีกุลบุตร ๒ คน ได้ออกบวชในพระพุทธศาสนาเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีลและอาจารมรรยาทเป็นผู้มีความประพฤติเคร่งครัด อาศัยอยู่ในวัดแห่งหนึ่งซึ่งมีอยู่ในบ้านนอกตำบลหนึ่งฯ ต่อมาภายหลังก็มีภิกษุที่มีอัธยาศัยลามกที่ยินดีในการส่อเสียดองค์หนึ่งไปที่วัดนั้นฯ พระเถรเจ้าทั้ง ๒ ก็ได้ต้อนรับภิกษุองค์นั้นเป็นอย่างดี ได้จัดที่อยู่ที่อาศัยให้ เช้าขึ้นก็ได้พาเข้าไปบิณฑบาตฯ ชาวบ้านก็ได้พากันน้อมนำข้าวต้มข้าวสวยเป็นต้น มาใส่บาตรด้วยความเคารพเป็นอย่างดีฯ เวลาพระภิกษุอาคันตุกะนั้นกลับไปถึงวัดก็คิดว่า บ้านนี้ดีมาก ชาวบ้านมีศรัทธาดี ได้ถวายอาหารที่ดีๆ ทั้งวัดนี้ก็มีร่มเงาและน้ำบริบูรณ์ เราอาจจะอยู่สบายในวัดนี้ ก็แต่ว่าเมื่อภิกษุทั้ง ๒ นี้ ยังอยู่ในวัดนี้เราก็จะไม่สบายใจ เราจะเป็นเหมือนศิษบ์ของภิกษุทั้ง ๒ นี้ อย่าอย่างนั้นเลยเราจะยุให้ภิกษุทั้ง ๒ นี้แตกกัน ไม่ให้อยู่ในวัดนี้ได้ คิดดังนี้แล้ว อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อภิกษุองค์แก่ให้โอวาทแล้วเข้าไปสู่ที่อยู่ของตน ภิกษุองค์ส่อเสียดก็เข้าไปหา เมื่อพระเถรเจ้าบอกว่ามาทำไม ก็ตอบว่ากระผมมีเรื่องจะพูดอยู่อย่างหนึ่ง เมื่อพระเถรเจ้าบอกว่าจงพูดไป ก็กล่าวว่า ท่านขอรับ พระเถรเจ้าที่เป็นเพื่อนของท่านย่อมทำเหมือนเป็นมิตรเฉพาะต่อหน้าเท่านั้น เวลาลับหลังก็ติเตียนท่านเหมือนกับเป็นศัตรูฯ พระเถรเจ้าองค์นั้นจึงถามว่า เขาว่าอย่างไร ตอบว่าพระเถระองค์นั้นว่า ท่านเป็นคนโอ้อวด เป็นคนมีมารยา เป็นคนลวงโลก เป็นคนหาเลี้ยงฃีพในทางผิดฯ พระเถรเจ้าจึงว่า อย่าว่าอย่างนี้ เพราะภิกษุนั้นจักไม่ว่าเราอย่างนี้ เรารู้จักเขาดีเริ่มแต่เป็นคฤหัสถ์มา เขาเป็นผู้มีอัธยาศัยดี มีศีลน่ารักใคร่ฯ ภิกษุองค์นั้นจึงว่า ถ้าท่านคิดอย่างนี้ก็เป็นการดี ความคิดอย่างนี้ย่อมสมควรแก่ท่าน ทั้งกระผมจะไม่ผิดใจกันกับภิกษุนั้น แต่เพราะเหตุไรกระผมจึงจะบอกว่า ภิกษุนั้นได้กล่าวอย่างนี้ เรื่องนี้ท่านจะรู้ได้เองในไม่ช้าฯ ฝ่ายพระเถรเจ้าก็เกิดความสงสัยว่าจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์นี้พูดกระมัง เมื่อเกิดความสงสัยก็คลายความคุ้นเคยลงไปเล็กน้อย แล้วภิกษุองค์นั้นก็หาเรื่องไปยุแหย่พระเถรเจ้าองค์ที่ ๒ อีก ต่อมาพระเถรเจ้าทั้ง ๒ นั้นก็ไม่พูดกัน เช้าขึ้นก็ครองบาตรจีวรเข้าไปเที่ยวบิณฑบาต แล้วกลับมาที่อยู่ของตน ไม่แสดงความเคารพนับถือกันเหมือนที่เคยกระทำมา อยู่มาไม่ช้าพระเถรเจ้าทั้ง ๒ นั้น ก็แยกกันไปองค์ละทาง ทิ้งวัดนั้นไปเสียฯ เวลาภิกษุองค์ยุแหย่นั้นเข้าไปบิณฑบาต ชาวบ้านจึงถามว่า พระเถรเจ้าทั้ง ๒ นั้นไปไหน ตอบว่า พระเถรเจ้าทั้ง ๒ นั้นทะเลาะกันคืนยังรุ่ง ถึงฉันจะห้ามปรามก็ไม่เชื่อฟัง เช้าขึ้นก็พากันหนีจากวัดไป ฯ ชาวบ้านได้ฟังดังนั้นก็ตอบว่า ถึงพระเถรเจ้าทั้ง๒ จะหนีไปแล้วก็ตาม แต่ขอท่านจงอยู่ในวัดนี้เพื่อจะอนุเคราะห์พวกข้าพเจ้าต่อไป ภิกษุนั้นก็รับว่า ได้ แล้วก็อยู่ในวัดนั้น ต่อมาไม่ช้าก็คิดได้ว่า เราได้ยุแหย่ภิกษุผู้มีศีลธรรมอันดีให้แตกกันด้วยความอยากได้อาวาส เราได้ทำบาปกรรมไว้มาก เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว ก็มีความเสียใจอย่างยิ่ง ถึงกับเป็นไข้แล้วตายไป ตกอเวจีนรก พระเถรเจ้าทั้ง ๒ องค์นั้นได้ไปพบกันในอาวาส แห่งหนึ่งได้เล่าถึงถ้อยคำที่ภิกษุองค์นั้นพูด แล้วก็กลับพร้อมเพรียงกันอีก ได้พากันกลับไปอยู่ที่วัดนั้นอีก ชาวบ้านก็พากันดีใจอย่างยิ่ง ต่อมาพระเถรเจ้าทั้ง ๒ นั้นก็ได้สำเร็จพระอรหัต ภิกษุผู้ส่อเสียดนั้นไหม้อยู่ในนรกตลอด ๑ พุทธันดร แล้วจึงมาเกิดเป็นเปรตปากเน่าอยู่ใกล้กรุงราชคฤห์ ในครั้งพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายเกิดขึ้น เปรตนั้นมีสีร่างกายดังสีทองคำ แต่มีหมู่หนอนออกมาจากปาก มากกัดกินปากข้างโน้นข้างนี้ ทั้งมีกลิ่นปากเน่าเหม็นไปในที่ไกลฯ คราวนั้น พระนารทเถรเจ้าซึ่งลงมาจากภูเขาคิชฌกูฏได้เห็นเปรตนั้นแล้ว จึงถามว่า ทิพฺพํ สุภํ ธาเรสิ วณฺณธาตํ เป็นต้น ซึ่งมีคำแปลว่า เจ้ามีร่างกายดังทองคำยืนอยู่ในอากาศ แต่มีหมู่หนอนออกจากปากของเจ้า ทั้งกลิ่นปากของเจ้าก็เหม็นฟุ้ง เจ้าได้กระทำบาปสิ่งใดไว้ เปรตนั้นจึงตอบว่า เมื่อก่อนข้าพเจ้าได้เป็นพระภิกษุลามก มีวาจาไม่ดี ได้ยุแหย่พระภิกษุผู้มีศีลให้แตกกัน แต่ข้าพเจ้าได้รักษาศีลดี เพราะฉะนั้น ร่างกายของข้าพเจ้าจึงมีสีเหมือนทองคำ ปากของข้าพเจ้าจึงมีกลิ่นเหม็น ท่านได้เห็นร่างกายของข้าพเจ้าด้วยตนเองแล้ว ขอจงสั่งสอนคนทั้งหลาย อย่าให้กล่าวส่อเสียดยุยงผู้ใด ทั้งท่านเองก็สมควรสำรวมวาจา เมื่อพระเถรเจ้าได้ฟังดังนี้แล้ว จึงไปกราบทูลพระพุทธองค์ให้ทรงทราบ พระพุทธองค์จึงได้ทรงยกเรื่องเปรตนั้นขึ้นเป็นต้นเหตุแล้วตรัสเทศนาแก่ประชุมชนซึ่งอยู่สถานที่นั้นให้มั่นอยู่ในวจีสุจริต อย่าให้พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดคำที่ไม่มีประโยชน์ เพราะจะให้โทษเหมือนดังเปรตนั้นเป็นอุทาหรณ์

    <O:pก็แลตามเรื่องเปรตทั้ง ๒ ซึ่งได้แสดงมาแล้วนี้ ล้วนแต่เป็นเรื่องชี้ให้เห็นโทษแห่งวจีทุจริต คือ การพูดไม่ดีทั้งนั้น การพูดไม่ดีนั้น แยกออกเป็น ๔ ประการ เรียกตามบาลีโวหารว่า วจีทุจริต ๔ คือ มุสาวาท การพูดเท็จ ๑ ผรุสวาท การพูดหยาบคาย ๑ ปุสุณวาจา การพูดส่อเสียด ยุยง ๑ สัมผัปปลาป การพูดสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ๑ รววมเป็น ๔ อย่าง ด้วยกัน ดังนี้ฯ การพูดเท็จนั้นได้แก่พูดสิ่งที่ไม่เป็นจริง การพูดหยาบคายนั้น ได้แก่ การพูดด้วยเจตนาร้าย คือ ด้วยเจตนาเพื่อจะด่าว่าสาปแช่งให้อีกข้างหนึ่งเกิดความโทมนัสขัดแค้น หรือเกิดความละอาย เกิดความไม่สบายใจอย่างใดอย่างหนึ่ง การพูดส่อเสียดยุยงนั้น ได้แก่การพูดเพื่อให้คนทั้ง ๒ ฝ่ายแตกกัน การพูดสิ่งที่ไม่มีประโยชน์นั้น ได้แก่การพูดเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ เช่นพูดเรื่องตามสีดา และเรื่องรบของภารตะเป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีสาระประโยชน์อันใด ไม่ใช่การพูดเหลวไหลอย่างที่พวกเราเข้าใจกัน คือที่พวกเราเข้าใจกันว่า สัมผัปปลาป ได้แก่การพูดเหลวไหล คือได้แก่การพูดแล้วไม่ทำตามนั้นเป็นอันไม่ถูกเพราะการพูดและไม่ทำตามนั้นเป็นการพูดเหลวไหลจริงแต่ว่าไม่เป็นสัมผัปปลาปๆ นั้นหมายพูดเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ ไม่ได้หมายพูดแล้วไม่กระทำตาม การพูดแล้วไม่ทำตามนั้น ในหลักธรรมบาลีเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่ง ไม่ได้เรียกว่าสัมผัปปลาป การที่พูดแล้วไม่ทำตามนั้น ไม่เรียกว่ามุสาวาทด้วย เพราะฉะนั้น ขอจงจำไว้เถิดว่า สัมผัปปลาปนั้น ได้แก่ การพูดเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ คือเล่าเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ เช่นเรื่องตามสีดา เรื่องรบของภารตะเป็นต้น จนกระทั่งถึงเรื่องลิเก ละคร โขนเป็นที่สุด ผู้ที่ไปดูลิเกละครมาแล้วกลับมาเล่าให้พวกช่าวบ้านฟังว่า พระเอกอย่างนั้น นางเอกอย่างนี้ คนนั้นตลกดี คนนั้นร้องเพลงเพราะ คนนั้นน่ารัก คนนี้น่าชัง คนนั้นน่ากระทืบเป็นต้น ล้วนแต่จัดเข้าในสัมผัปปลาป อันเป็นบาปใหญ่ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น จึงควรที่ผู้เฒ่าผู้แก่ตลอดถึงเด็กหนุ่มสาวทั้งหลายจะระวังวาจาของตนเมื่อกลับมาจากดูมหรสพแล้วให้จงได้ ถ้าใครระวังไม่ได้ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่า สร้างกลีโทษไว้ด้วยปากของตน ผลที่ตนจะได้รับก็คือบาปกรรม คล้ายกับเปรตทั้ง ๒ ที่แสดงมา หากจะมีคำถามว่า เพราะเหตุไรการเล่าเรื่องลิเก ละคร โขน จึงจัดเป็นบาปอันใหญ่โตถึงเพียงนี้ มีคำแก้ไขว่า เพราะเรื่องลิเก ละคร โขนนั้น เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดกิเลสแก่ผู้ฟังทั้งหลายเช่น เรื่องกล่าวถึงพระเอกนางเอกว่าสวยอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ทำให้เกิดราคะกิเลส คือ ความรักใคร่พอใจแก่ผู้ฟังทั้งหลาย การพูดถึงตัวโกง ตัวกบฏ ก็ทำให้เกิดโทสะกิเลสแก่ผู้มีเจตนาร้าย การพูดถึงตอนเศร้าโศก ก็ทำให้เกิดวิโยคทุกข์แก่ผู้ฟังทั้งหลาย ความความว่า การพูดถึงการละเล่นต่างๆ ล้วนแต่ทำให้เกิดกิเลสทั้งนั้น ก็ถ้าอย่างนั้น อุบาสกอุบาสิกาผู้เฒ่าผู้แก่กลับมาจากวัดวาอารามนั้น มาเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าคราวเสวยพระชาติเป็นนั้นๆ มีเสวยพระชาติเป็นพระสุวรรณสามถูกพระยากบิลยักษ์ยิงให้ถึงซึ่งความตาย ให้ลูกหลานทั้งหลายฟัง ทำให้ลูกหลานทั้งหลายเกิดความเศร้าสลดใจนั้นไม่เป็นบาปหรือ การที่ผู้เฒ่าผู้แก่ หรือนักปราชญ์ราชบัณฑิตกล่าวสรรเสริญพระรูปลักษณะของพระพุทธเจ้า หรือของพระอรหันตสาวกองค์นั้น องค์นี้ว่า สวยงามล้ำเลิศ ทำให้เกิดความรักใคร่พอใจแก่ผู้ฟังทั้งหลายนั้นไม่เป็นบาปหรือ การที่เล่าเรื่องพระโพธิสัตว์เจ้าพลัดพรากจากลูกรักเมียขวัญเช่นพระเวสสสันดรเป็นอุทาหรณ์ ทำให้คนทั้งหลายรู้สึกเศร้าสลดใจนั้นไม่เป็นบาปหรือ แก้ว่า ไม่เป็นบาป ก็การพูดนั้น ทำให้เกิดความรักใคร่พอใจเหมือนกัน ทำให้เกิดโทมนัสขัดเคืองเหมือนกัน ทำให้เกิดความเศร้าสลดใจเหมือนกัน เหตุไรจึงว่าไม่เป็นบาป เพราะเหตุว่า อย่างหนึ่งทำให้เกิดกิเลส อีกอย่างหนึ่งทำไม่ให้เกิดกิเลส ข้อนี้ขอยกการร้องไห้ขึ้นมาเป็นตัวอย่าง เพื่ออ้างให้ท่านทั้งหลายเห็น คือการร้องไห้นั้นมีอยู่ ๒ อย่าง ร้องไห้ด้วยความเสียใจก็มี ร้องไห้ด้วยความดีใจก็มี ร้องไห้ด้วยความเสียใจนั้นเช่นไร เช่น ร้องไห้ด้วยความโทมนัสขัดแค้นในการถูกด่าว่าเฆี่ยนตี หรือร้องไห้ด้วยความเสียใจในการพลัดพรากจากคนรัก ของรักเป็นต้น กับการร้องไห้ในเมื่อฟังธรรมถูกใจแล้วเกิดความดีใจ ซึ่งเรียกว่าเกิดปีติจนน้ำตาไหลเป็นต้น ก็การร้องไห้ทั้ง ๒ อย่างนี้ไม่มีน้ำตาออกมาเหมือนกันไม่ใช่หรือ ทำไมจึงว่าอย่างหนึ่งดี อีกอย่างหนึ่งไม่ดี แก้ว่า ที่ว่าไม่ดีนั้น ด้วยอย่างนั้นเป็นอย่างให้เกิดกิเลส มีโทมนัสเป็นต้น ที่ว่าดีนั้นเพราะอย่างนั้นให้เกิดบุญกุศล มีโสมนัสอันประกอบกับปรีชาญาณเป็นต้น ก็น้ำตาของคนทั้ง ๒ นั้นไม่เหมือนกันหรือ น้ำตาของคนที่ร้องไห้ด้วยโทมนัสนั้น ในคัมภีร์มิลินทปัญหาว่าเป็นน้ำตาร้อน ส่วนน้ำตาของผู้ที่ร้องไห้ด้วยโสมนัสนั้นเป็นน้ำตาเย็น ดังนี้ เพราะฉะนั้นการเล่าเรื่งอของผู้กลับมาจากดูมหารสพกับการเล่าเรื่องของผู้กลับจากการฟังเทศน์ย่อมเป็นเหตุให้เกิดความบาปบุญต่างกันดังที่พรรณนามา ในที่สุดนี้ขอให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายจงจำไว้ว่า ปากของเรานี้แหละเป็นสำคัญมากกว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย จงระวังไว้ให้ดี อย่าให้เป็นดังเปรตทั้ง ๒ ซึ่งแสดงมา สิ้นเนื้อความในเทศนากัณฑ์นี้เพียงเท่านี้.

    <O:pเอวํ ก็มี ด้วยประการฉะนี้ฯ

    <O:p</O:p
     
  5. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    960
    ค่าพลัง:
    +711
    พระไตรฉบับ ส.ธรรมภักดี อ่านแล้ว ได้ ความรู้กระจ่าง

    อธิบายทั้งบทบาลี อรรถกถา ธัมมัตถาธิบาย
    แสดงทั้งการผสมคำให้ได้เรียนรู้ภาษาบาลีไปในตัว

    อนุโมทนาอีกครั้งที่พิมพ์มาเผยแพร่ครับ​
     
  6. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    960
    ค่าพลัง:
    +711
    ในหมวดพระธรรมบทนี่
    อ่านสนุกได้ความรู้
    ได้ฝึกตาม
    ได้ตามอนุโมทนากับพระอรหันต์ทั้งหลาย
     
  7. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    กัณฑ์ที่ ๔

    คัมภีร์ขุททกนิกาย เปตวัตถุ
    <O:p</O:p

    ว่าด้วยเปรตสุกร
    <O:p


    วาจานุรกฺขีติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรนฺโต สูกรเปตํ อารพฺภ กเถสีติ.


    ณ บัดนี้ อาตมภาพจักแสดงพระไตรปิฎกเทศนา มหาวิตถารนัยในคัมภีร์ขุททกนิกาย เปตวัตถุ กัณฑ์ที่ ๔ ว่าด้วยเรื่องเปรตสุกร ตามธัมมปทัฏฐกถา สืบต่อไป เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชนทั้งหลายตลอดกาลนาน

    <O:pดำเนินความตามคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา ซึ่งได้ยกขึ้นไว้เป็นเบื้องต้นแห่งเทศนานั้นว่า เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน ทรงปรารภสุกรเปรต คือ เปรตสุกรให้เป็นต้นเหตุ แล้วจึงตรัสพระธรรมเทศนาซึ่งขึ้นต้นว่า วาจานุรกฺขี นี้ให้เป็นผล มีเรื่องพิสดารต่อไปว่า อยู่มาวันหนึ่งพระมหาโมคคัลลานเถรเจ้า ซึ่งลงจากภูเขาคิชฌกูฏกับพระลักขณะเถรเจ้าได้ยิ้มขึ้นในที่แห่งหนึ่ง เวลาพระลักขณเถรเจ้าถามว่า เพราะเหตุไรจึงยิ้ม ก็ตอบว่าไม่ใช่เวลาที่จะแก้ปัญหานี้ ท่านควรถามข้าพเจ้าในที่ใกล้พระศาสดา ตอบดังนี้แล้ว ก็ไปเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์กับพระลักขณเถรเจ้า เวลากลับจากบิณฑบาตแล้วก็ไปสู่พระเวฬุวัน ถวายบังคมองค์พระศาสดาแล้วก็นั่งลงในที่สมควรแก่ตน ลำดับนั้น พระลักขณะเถรเจ้าจึงถามเรื่องนั้นขึ้นต่อพระมหาโมคคัลน์ๆ จึงตอบว่า ข้าพเจ้าได้เห็นเปรตตนหนึ่งในที่ข้าพเจ้ายิ้มนั้น เปรตตนนั้นมีตัวยาวประมาณ ๓ คาวุต คือ ๓๐ เส้น มีตัวเหมือนมนุษย์ แต่มีศีรษะเหมือนสุกร มีหางเกิดที่ปาก มีหมู่หนอนไหลออกจากปาก ข้าพเจ้าได้เห็นแล้วจึงยิ้มให้ปรากฏด้วยคิดว่า สัตว์เช่นนี้ไม่เคยเห็น สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงสดับดังนี้แล้วจึงตรัสขึ้นว่า ภิกษุทั้งหลาย สาวกทั้งหลายของเราย่อมเป็นผู้มีจักษุ ตรัสดังนี้แล้วจึงตรัสต่อไปว่า สัตว์ตัวนั้นเราตถาคตก็ได้เห็น แต่ในเวลาที่เราตถาคตอยู่ที่บริเวณไม้ศรีมหาโพธิ์โน้น ก็แต่ว่าเราตถาคตไม่ได้พูดขึ้นเพราะเอ็นดูผู้อื่น ด้วยคิดว่า ผู้ใดไม่เชื่อเราก็จะได้รับโทษทุกข์ภัยตลอดกาลนาน มาคราวนี้เราได้โมคคัลลาน์เป็นพยานเราจึงพูดขึ้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลาน์กล่าวจริง ภิกษุทั้งหลายได้ฟังดังนี้จึงทูลถามว่า บุพพกรรมของเปรตนั้นเป็นอย่างไร พระเจ้าข้า จึงตรัสตอบว่า ถ้าอย่างนั้นเธอทั้งหลายจงตั้งใจฟังให้ดี ครั้นตรัสดังนี้แล้ว จึงได้ทรงแสดงบุพพกรรมของเปรตนั้น ให้ภิกษุทั้งหลายฟังต่อไปว่า ในครั้งพระกัสสปพุทธเจ้าโน้น มีพระเถระ ๒ องค์อยู่ด้วยกันด้วยความพร้อมเพรียงในอาวาสใกล้บ้านน้อยตำบลหนึ่ง ในภิกษุ ๒ องค์นั้น องค์หนึ่งมีพรรษา ๖๐ องค์หนึ่งมีพรรษา ๕๙ องค์ที่มีพรรษา ๕๙ นั้น ได้ถือเอาบาตรจีวรขององค์ที่มีพรรษา ๖๐ ในเวลาไปเที่ยวบิณฑบาต ได้ทำข้อวัตรปฏิบัติทั้งปวงเหมือนกับสามเณร เมื่อพระเถรเจ้าทั้ง ๒ องค์ก็ขอให้พระธรรมกถึงองค์นั้นแสดงธรรม พระธรรมกถึกองค์นั้นก็แสดงธรรม พระเถรเจ้าทั้ง ๒ องค์ก็ดีใจว่า เราได้พระธรรมกถึงไว้แล้ว เช้าขึ้นก็พาไปเที่ยวบิณฑบาต เวลาฉันอาหารแล้วก็ให้แสดงธรรมให้ชาวบ้านฟัง ชาวบ้านได้ฟังธรรมแล้วก็นิมนต์เพื่อวันรุ่งขึ้น พระเถรเจ้าทั้ง ๒ นั้นได้พาพระธรรมกถึงนั้นไปเที่ยวบิณฑบาตบ้านละ ๒ วัน พระธรรมกถึกจึงคิดว่า พระเถระทั้ง ๒ องค์นี้ยังอ่อนนัก เราควรจะให้พระเถระ ๒ องค์นี้หนีไปเสียแล้วอยู่ในวิหารนี้ พอคิดดังนี้แล้ว ถึงเวลาเย็นก็ไปหาพระเถรเจ้าองค์ใหญ่บอกว่า ท่านขอรับ ข้าพเจ้ามีเรื่องจะพูดอยู่เรื่องหนึ่ง เมื่อพระเถรเจ้าองค์นั้นบอกว่า พูดไปเถิด ก็ทำเป็นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า ธรรมดาการพูดย่อมเป็นของมีโทษมาก แล้วก็ไม่พูด จึงลุกลาไปเสีย เมื่อออกจาพระเถรเจ้าองค์ใหญ่ ก็ไปหาพระเถรเจ้าองค์รอง ได้กิริยาเหมือนกันกับเวลาที่ไปหาพระเถรเจ้าองค์ใหญ่ ทำอยู่อย่างนั้นถึง ๓ วัน เมื่อเห็นว่าพระเถรเจ้าทั้ง ๒ นั้นเกิดความฉงนเต็มที่ จึงไปหาพระเถระองค์ใหญ่บอกว่า ท่านขอรับ เรื่องที่ข้าพเจ้าจะพูดมีอยู่ ก็แต่ว่า ข้าพเจ้าไม่อาจพูดให้ท่านฟังได้ พระเถรเจ้าก็รบเร้าให้พูดให้ฟัง จึงพูดว่า พระเถรเจ้าองค์รองเป็นศัตรูของท่านหรือ พระเถรเจ้าองค์ใหญ่ก็ถามว่า เหตุไรจึงว่าอย่างนี้ เราทั้งสองเป็นเหมือนลูกท้องเดียวกัน สิ่งที่ผู้หนึ่งได้ก็เท่ากับอีกผู้หนึ่งได้ เราไม่เห็นโทษของเขาจนตลอดกาลถึงเพียงนี้ พระธรรมกถึกจึงว่า อย่างนั้นหรือขอรับ ตอบว่า อย่างนั้นแหละเธอ พระธรรมกถึกจึงว่า ท่านขอรับ พระเถระองค์เล็กได้บอกกับผมว่า ท่านเป็นกุลบุตรของผู้มีตระกูล เมื่อท่านคบกับพระเถระองค์ใหญ่จงระวังให้ดี พระเถระองค์เล็กได้บอกกับผมอย่างนี้ เริ่มแต่วันที่กระผมมาถึง พระเถรองค์ใหญ่พอได้ฟัง ก็โกรธ ได้แตกจากองค์เล็กเหมือนกับภาชนะดินที่ถูกตีด้วยไม้ ฝ่ายพระรรมกถึกก็ลุกไปบอกพระเถระองค์เล็กเหมือนอย่างนั้น พระเถระองค์เล็กก็แตกจากองค์ใหญ่เหมือนกัน ถึงพระเถรเจ้าทั้ง ๒ ไม่เคยไปบิณฑบาตแยกกันเลย แต่รุ่งเช้าขึ้นก็ต้องไปบิณฑบาตแยกกัน พระเถรองค์เล็กกลับมาก่อน ไปยืนอยู่ที่หอฉัน ฝ่ายพระเถระองค์ใหญ่ได้กลับมาทีหลัง พระเถรองค์เล็กจึงคิดว่า เราควรจะรับบาตรจีวรของพระเถระองค์นี้หรือไม่ พอคิดังนี้ก็คิดอีกว่าจักไม่รับ แต่ก็ใจอ่อนด้วยคิดว่า เราไม่เคยเห็นท่านทำไม่ดีเลย เราไม่ควรจะให้ข้อวัตรของเราเสียไป จึงเดินเข้าไปใกล้บอกว่ ขอจงส่งบาตรจีวรมาให้กระผม พระเถระองค์ใหญ่จึงว่า ไปคนหัวดื้อ เธอไม่สมควรรับบาตรจีวรของเรา ว่าดังนี้พระเถรองค์เล็กก็ตอบว่า ขอรับ ถึงกระผมก็คิดแล้วว่าจักไม่รับบาตรจีวรของท่าน พระเถระองค์ใหญ๋จึงว่า เธอคิดหรือว่าเราจะเกี่ยวข้องอยู่ในวิหารนี้ พระเถระองค์เล็กตอบว่า ก็ท่านเล่าเข้าใจว่ากระผมจะเกี่ยวข้องอยู่ในวิหารนี้หรือ วิหารนี้จงเป็นของท่าน ว่าแล้วก็ถือบาตรจีวรไป ฝ่ายพระเถระองค์ใหญ่ก็เหมือนกัน พระเถรเจ้าทั้ง ๒ องค์นั้นไม่ได้ไปร่วมทางกัน องค์หนึ่งไปทางตะวันตก องค์หนึ่งไปทางตะวันออก ฝ่ายพระธรมกถึกจึงว่า ท่านอย่าทำอย่างนี้เลย แต่เมื่อถูกห้ามว่าหยุดอย่าพูด ก็กลับวัด รุ่งเช้าขึ้นก็ไปบิณฑบาต เมื่อชาวบ้านถามว่า พระเถรเจ้าทั้ง ๒ ไปไหน ก็ตอบว่า อย่าถามเลย พระของท่านทั้งหลายได้ทะเลาะกัน แล้วหนีไปแต่วานนี้ ถึงข้าพเจ้าห้ามก็ไม่ฟัง เมื่อชาวบ้านได้ฟังดังนี้ต่างก็คิดกันคนละอย่าง พวกโง่เจลาก็นิ่งอยู่ ส่วนพวกมีความคิดก็คิดว่า พวกเราไม่เคยเห็นความพลั้งพลาดอันใดอันหนึ่ง ของพระเถรเจ้าทั้ง ๒ องค์นั้นเลย ภัยที่เกิดขึ้นแก่พระเถรเจ้าทั้ง ๒ องค์นั้น จักเกิดขึ้นเพราะพระธรรมกถึกองค์นี้แน่ คิดดังนี้แล้วก็พากันเสียใจ ฝ่ายพระเถรเจ้าทั้ง ๒ นั้นไปทางไหนก็มีความสุขใจ พระเถรเจ้าองค์ใหญ่จึงคิดว่า โอ! พระเถรเจ้าองค์เล็กได้ทำกรรมหนักเสียแล้ว ควรหรือที่จะบอกพระอาคันตุกะที่เพิ่งเห็นกันครู่เดียวว่า อย่าคบกับพระเถรเจ้าองค์ใหญ่ ฝ่ายพระเถรเจ้าองค์เล็กก็คิดว่า พระเถรเจ้าองค์ใหญ่ได้ทำกรรมหนักเสียแล้ว ได้บอกพระอาคันตะกะที่เพิ่งเห็นเพียงครู่เดียวว่า อย่าคบกับภิกษุนี้เลย เป็นอันว่า พระเถรเจ้าทั้ง ๒ องค์นั้นไม่มีความสุขใจอยู่ด้วยการคิดอย่างนี้ เมื่อใจไม่มีสุขก็ไม่ได้ท่องบนสาธยายเจริญสมณธรรม พอต่มาได้ ๑๐๐ ปี พระเถรเจ้าทั้ง ๒ นั้นก็ได้ไปที่วิหารแห่งหนึ่ง ซึ่งมีในทิศตะวันตก ในวิหารนั้นมีกุฎิอยู่เพียงหลังเดียว เมื่อพระเถรเจ้าองค์ใหญ่เข้าไปนั่งอยู่บนเดตียงแล้ว พระเถรเจ้าองค์เล็กก็เข้าไป พอพระเถรเจ้าองค์ใหญ่ได้เห็นก็จำได้แต่ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ พระเถรเจ้าองค์เล็กก็จำพระเถรเจ้าองค์ใหญ่ได้ แล้วมีตานองด้วยน้ำตาคิดว่า เราจะพูดหรือไม่พูด ก็คิดได้ว่า พระอาคันตุกะนั้นเราไม่สมควรเชื่อถือ จึงไหว้พระเถระองค์ใหญ่แล้วพูดว่า ท่านขอรับ กระผมได้ถือบาตรจึวรของท่านไปตามท่านตลอดกาลนาน ท่านเคยได้เห็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างใดอย่างหนึ่งทางกายเป็นต้นของกระผมบ้างหรือ พระเถระองค์ใหญ่ตอบว่าไม่เคยเห็นเลย พระเถระองค์เล็กจึงว่า ถ้าอย่างนั้นเหตุไรท่านจึงบอกพระธรรมกถึกว่า อย่าคบกับภิกษุองค์นี้ พระเถระองค์ใหญ่จึงว่า เราไม่ได้บอกอย่างนี้ก็เธอเล่าเหตุไรจึงว่าอย่างนั้น กระผมก็ไม่ได้ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน ในขณะนั้นพระเถรเจ้าทั้ง ๒ นั้นจึงรู้ว่า พระธรรมกถึกอยากให้เราแตกกันจึงได้พูดอย่างนี้ แล้วก็ขอโทษต่อกัน พระเถรเจ้าทั้ง ๒ นั้น ไม่ได้ ความสบายใจอยู่ตลอด ๑๐๐ ปีเพิ่งได้ความสบายใจในวันนี้ แล้วพากันกลับไปไล่พระธรรมกถึงนั้นไปเสีย พระธรรมกถึกนั้นก็ได้ออกจากวัดนั้นไปเจริญสมณธรมอยู่ตลอด ๒ หมื่นปี แต่ถึงอย่างนั้นก็ดี สมณธรรมที่กระทำอยู่ตลอด ๒ หมื่นปีนั้นก็ไม่อาจช่วยได้ เวลาตายแล้วก็ได้ไปตกอเวจีนรกอยู่ตลอดพุทธันดร แล้วมาเกิดเป็นเปรตสุกรอยู่ที่ภูเขาคิชกูฎ ดังที่แสดงมา ครั้นพระพุทธองค์ทรงแสดงบุพพกรรม แห่งเปรตสุกรอย่างนี้แล้ว จึงทรงแสดงธรรมต่อไปว่า วาจานุรกฺขี มนสา สุสํวุโต เป็นต้น ซึ่งมีเนื้อความว่า บุคคลควรรักษาวาจา คือไม่ควรพูดวจีทุกจริต ๓ ประการ ควรรักษาใจให้ดี คือไม่ควรให้เกิดอภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ ไม่ควรทำอกุศลกรรมด้วยกาย คือ ไม่ทำปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร ควรรักษากรรมบถที่เป็นกุศลที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้แล้วให้ได้ ควรเดินตามทางพระอริยเจ้าอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ จึงจะเป็นการดี เมื่อจบเทศนานี้ลงก็มีผู้ได้บรรลุมรรคผลเป็นอันมาก

    <O:pก็แล พระพุทธพจน์ว่า วาจนุรกฺขี มนสา สุสํวุโต เป็นต้น ซึ่งมีคำแปลว่า บุคคลควรรักษากายวาจา ควรสำรวมใจให้ดี ไม่ควรทำอกุศลด้วยกาย ควรทำให้กรรมบถทั้ง ๓ นี้บริสุทธิ์ดี ควรเดินตามทางที่ฤาษีมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นได้แสดงมาแล้วนั้นไว้ มีคำอธิบายว่า กายวาจาใจนี้แหละเป็นของทำทุกข์สุขให้แก่สัตว์โลก ไม่ใช่สิ่งอื่นเลย กายของเรานี้แหละทำทุกข์สุขให้แก่เรา วาจาของเรานี้แหละทำทุกข์สุขให้แก่เรา ใจของเรานี้แหละทำทุกข์สุขให้แก่เรา ไม่ใช่ผู้อื่นหรือสิ่งอื่นทำให้แก่เราเลย เพราะฉะนั้นพระพุทธองค์จึงได้ทรงสอนให้ระวังกายวาจาใจฯ การระวังกายวาจาใจนั้นคืออย่างไร คือระวังกายไม่ให้ทำสิ่งที่เป็นบาป อกุศล ทุจิต คือปาณาติบาต การทำร้ายชีวิตผู้อื่น อทินนาทาน การลักขโมยฉ้อโกงปล้นสะดมผู้อื่น กาเมสุมิจฉาจาร การประพฤติผิดในทางความรักของผู้อื่น คือการเป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น การนอกใจสามี แต่ว่าภรรยาผู้อื่นนั้น หมายความกว้าง หมายถึงหญิง ๒๐ จำพวก คือหญิงที่มารดาผู้เดียวปกครอง ๑ หญิงที่บิดาผู้เดียวปกครอง ๑ หญิงที่ปกครองทั้งมารดาบิดา ๑ หญิงที่พี่ชายน้อชายปกปครอง ๑ หญิงที่พี่หญิงน้องหญิงปกครอง ๑ หญิงที่ญาติปกครอง ๑ หญิงที่โคตรวงศ์ปกครอง ๑ หญิงที่ธรรมปกครอง ๑ คือหญิงที่ประพฤติพรหมจรรย์ ๑ หญิงที่ธรรมะปกครอง คือหญิงที่ผู้ประพฤติธรรมด้วยกันในศาสนาเดียวกัน หรือผู้มีกุศลธรรมเสมอกันปกครอง ๑ หญิงที่มีอารักขาคือที่มีสามี ๑ หญิงที่พระราชาทรงหวงแหน ๑ หญิงที่อยู่เป็นภรรยาด้วยเห็นแก่เครื่องนุ่งห่ม ๑ หญิงที่ถูกจับมือจุ่มลงในถาดน้ำแล้วได้รับพรว่า เจ้าทั้ง ๒ จงอย่าแตกกันเหมือนกับน้ำ อันได้แก่หญิงที่เข้าพิธีแต่งงานแล้วแต่ยังไม่ได้ส่งตัว ๑ หญิงที่บุรุษสวมพวงมาลัยให้ด้วยหมายใจจะไปสู่ขอมาเป็นภรรยา ๑ หญิงที่เป็นทั้งทาสีทั้งภรรยา ๑ หญิงที่เป็นกรรมกรและภรรยา ๑ หญิงที่อยู่รวมกับบุรุษเพียงครู่เดียวซึ่งยังไม่แยกจากบุรุษนั้น ๑ รวมเป็นหญิง ๒๐ จำพวกด้วยกยันดังนี้ หญิง ๒๐ จำพวกนี้ตามหลักพระบาลีเรียกว่าเป็นภรรยาทั้งนั้น แต่ว่าเป็นภรรยาแท้ก็มี ไม่แท้ก็มี ที่เป็นภรรยาแท้นั้น คือเป็นภรรยาที่สมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมาย ได้แก่ หญิงที่มีอารักขา ๑ หญิงที่บุรุษไถ่มาด้วยทรัพย์ ๑ หญิงที่อยู่เป็นภรรยาด้วยความเต็มใจ ๑ หญิงที่เป็นภรรยาด้วยเห็นแก่ทรัพย์สมบัติ ๑ หญิงที่อยู่เป็นภรรยาด้วยความเต็มใจ ๑ หญิงที่เป็นภรรยาด้วยเห็นแก่ทรัพย์สมบัติ ๑ หญิงที่อยู่เป็นภรรยาด้วยเห็นแก่เครื่องนุ่งห่ม ๑ หญิงที่เข้าพิธีแต่งงานแล้วแต่ยังไม่ได้ส่งตัว ๑ หญิงที่บุรุษสวมพวงมาลัยให้ ๑ หญิงที่เป็นทั้งทาสีทั้งภรรยา ๑ หญิงที่เป็นทั้งกรรมกรทั้งภรรยา ๑ หญิงที่เสนานำมาด้วยธงเพื่อจะให้เป็นภรรยา ๑ หญิงที่อยู่ร่วมกับบุรุษเพียงครู่เดียวแต่ยังไม่แยกจากบุรุษนั้น ๑ รวมเป็น ๑๒ จำพวกด้วยกัน ทั้ง ๑๒ จำพวกนี้จัดเป็นภรรยาแท้ แต่ยังไม่แท้เท่าจำพวกมีอารักขาคือจำพวกที่มีสามีแล้ว ส่วนหญิงอีก ๘ จำพวกข้างต้น คือหญิงที่มารดาปกครอง หญิงที่บิดาปกครอง หญิงที่มารดา บิดาปกครอง หญิงที่พี่ชายน้องชายปกครอง หญิงที่พี่หญิงน้องหญิงปกครอง หญิงที่มีโคตรวงศ์ปกครอง หญิงที่ธรรมะปกครองเหล่านี้ยังเป็นภรรยาไม้แกท้ คือยังไม่เป็นภรรยาสมบูรณ์ ในภาษาของเราเรียกว่า ยังโสดอยู่ หญิงโสด ๗ จำพวกนี้ก็เป็นวัตถุแห่งกาเมสุมิจฉาจารเหมือนกันกับหญิง ๑๒ จำพวกเบื้องปลาย เพราะฉะนั้น การล่วงละเมิดสิทธิในหญิง ๒๐ จำพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นจำพวกใดจำพวกหนึ่ง ก็เป็นกาเมสุมิจฉาจารทั้งนั้น แต่หญิง ๘ จำพวกเบื้องต้นมีหญิงที่มารดาปกครองเป็นต้นร่วมรักกับชาย ไม่เป็นกาเมสุมิจฉาจาร ส่วนหญิง ๑๒ จำพวกเบื้องปลายมีหญิงที่มีอารักขาเป็นต้น เมื่อร่วมรักกับชายอื่น เป็นกาเมสุมิจฉาจารทั้งนั้น จะต้องได้บาปทั้งนั้นก็ถ้าอย่างนั้น ผู้ชายจะหาภรยาได้อย่างไร เพราะห้ามกระทั่งลูกเขาเสียแล้ว แก้ว่าได้ คือเมื่องจงใจหญิงใด ก็ให้ไปสู่ขอหญิงนั้น แล้วแต่งงานตามประเพณีกัน ไม่ให้ลอบรักกันเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นเวลาเขาไปแอบพูดกัน จะเป็นกาเมสุมิจฉาจารหรือไม่ แก้ว่า เป็นบ้างเล็กน้อย คือเป็นในฐานที่พูดโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง ไม่ใช่เป็นในฐานอื่น เมื่อพูดเป็นตกลงกันแล้วจึงสู่ขอต่อภายหลัง โทษที่ลักพูดกันนั้นก็เป็นอโหสิกรรมไปไม่ให้โทษอีกต่อไป บาป ๓ อย่างคือ ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร ดังที่ว่ามานี้เป็นบาปที่ต้องกระทำด้วยกาย ส่วนบาปที่ต้องทำด้วยวาจานั้นมีอยู่ ๔ อย่าง คือการพูดเท็จ พูดหยาบคาย พูดส่อเสียด พูดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ บาปที่ต้องทำด้วยใจนั้นมีอยู่ ๓ อย่าง คือ อภิชฌา การนึกอยากได้ของผู้อื่นว่า ขอให้ของนั้นเป็นของเรา ๑ พยาบาท การนึกปองร้ายผู้อื่น ๑ มิจฉาทิฏฐิ การเห็นผิดเป็นชอบ ๑ พระพุทธองค์ทรงสอนว่า เอเต ตโย กมฺมเถ วิโสธเย บุคคลควรกระทำกรรมบถ ๓ นี้ให้บริสุทธิ์ คือควรเว้นจากบาปทางกาย วาจา ใจ ดังนี้จึงจะเป็นการดี สิ้นเนื้อความในเทศนากัณฑ์นี้เพียงเท่านี้.

    เอวํ ก็มี ด้วยประการฉะนี้ฯ
    <O:p</O:p
     
  8. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    กัณฑ์ที่ ๕


    คัมภีร์ขุททกนิกาย เปตวัตถุ
    <O:p


    ว่าด้วยเรื่องเปรตงูเหลือม
    <O:p

    อถ ปาปานิ กมฺมานีติ อิมฺ ธมฺมเทสานํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรนฺโต อชครเปตํ อารภพฺ กเถสีติ.

    <O:p</O:p
    ณ บัดนี้ อาตมภาพจักได้แสดงพระไตรปิฎกเทศนา มหาวิตถารนัยคัมภีร์ขุททกนิกาย เปตวัตถุ กัณฑ์ที่ ๕ ว่าด้วยเรื่องเปรตงูเหลือม สืบต่อไปเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา และพุทธศาสนิกชนทั้งหลายตลอดกาลนาน

    <O:pอรรถกถา

    <O:pดำเนินความตามอรรถกถาแห่งพระธรรมบทว่า เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาประทับอยู่ที่พระเวฬุวันได้ทรงปรารภเปรตรงูเหลือมให้เป็นต้นเหตุ จึงได้ตรัสเทศนาพระธรรมเทศนานี้ว่า อถ ปาปานิ กมฺมานิ เป็นต้นแก่ประชุมชนทั้งหลายตามสมควรแก่เวลา

    <O:pมีเรื่องพิสดารมาว่า คราวหนึ่งเมื่อพระมหาโมคคัลลานเถรเจ้าลงจากภูกเขาคิชฌกูฏพร้อมกับพระลักขณเถรเจ้า ก็ได้เห็นเปรตงูเหลือตัวหนึ่งซึ่งมีตัวยาวได้ ๒๕ โยชน์ ด้วยทิพพจักษูฯ มีเปลวไฟพลุ่งขึ้นจากศีรษะของเปรตงูเหลืมนั้นลามไปตลอดหาง พลุ่งขึ้นจากหางลามไปตลอดศีรษะพลุ่งขึ้นจากข้างทั้ง ๒ ไปรวมลงในกลางตัวฯ ครั้นพระเถรเจ้าได้เห็นเปรตงูเหลือมนั้นแล้ว ก็ได้ยิ้มขึ้น เวลาพระลักขณเถรเจ้าถามถึงเหตุที่ยิ้ม ก็ตอบว่า เวลานี้ไม่ใช่เวลาแก้ปัญหานี้ ขอให้ท่านถามข้าพเจ้าในที่ใกล้พระศาสดาว่าดังนี้แล้ว ก็พากันไปเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ พอกลับจากบิณฑบาตแล้วไปเฝ้าองค์พระศาสดา พระลักขณเถรเจ้าจึงถามขึ้น แล้วจึงตอบว่า ข้าพเจ้าได้เห็นเปรตตนหนึ่งในที่นั้น เปรตตนนั้นเป็นเปรตงูเหลือม มีตัวยาว ๒๕ โยชน์ มีเปลวไฟพลุ่งขึ้นจากศีรษะถึงหาง พลุ่งจากหางจรดศีรษะ พลุ่งจากข้างทั้ง ๒ ไปรวมในตัวกลาง ครั้นข้าพเจ้าเห็นแล้วจึงยิ้มขึ้นด้วยคิดว่า ร่างกายเช่นนี้เราไม่เคยเห็น ฯ เมื่อพระมหาโมคคัลลาน์ว่าดังนี้แล้ว พระพุทธองค์จึงตรัสว่า สาวกทั้งหลายของราย่อมเป็นผู้มีจักษุ แล้วตรัสยืนยันตามถ้อยคำของพระเถรเจ้าว่า เปรตตนนั้นเราก็ได้เห็นแล้ว แต่ในเวลาเราอยู่ที่บริเวณไม้ศรีมหาโพธิ แต่เราไม่ได้พูดเพราะเห็นว่าพวกใดไม่เชื่อถ้อยคำของเรา พวกนั้นก็จักได้รับโทษทุกขภัยในบัดนี้ เราได้โมคคัลาน์เป็นพยานแล้วจึงได้พูด เวลาภิกษุทั้งหลายทูลถามถึงบุพพกรรมของเปรตนั้น จึงได้ทรงแสดงให้ฟังว่า ในครั้งพระกัสสปพุทธเจ้าโน้น มีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อว่าสุมังคลเศรษฐี ได้ปูพื้นดินด้วยอิฐทองคำแล้วให้สร้างวิหารด้วยทรัรพย์อีกเป็นจำนวนมาก ในที่กว้างยาวได้ ๒๐ อสุภ แล้วให้ฉลองวิหารด้วยทรัพย์อีกเป็นจำนวนมากฯ เช้าวันหนึ่งเมื่อสุมังคลเศรษฐีนั้นจะไปเฝ้าพระศาสดา ได้เห็นโจรคนหนึ่งนอนคลุมศีรษะอยู่ในศาลาหลังหนึ่ง มีเท้าเปื้อนโคลนจึงว่า บุรุษที่เท้าเปื้อนโคลนเลนจักเป็นบุรุษที่เที่ยวกลางคืนแล้วมานอนในกลางวันฯ โจรนั้นเปิดผ้าคลุมหน้าออกก็ได้เห็นเศรษฐี จึงผูกอาฆาตว่าเราจักแก้แค้นให้ได้ แล้วจึงเผานาเศรษฐีถึง ๗ ครั้ง ตัดเท้าฝูงโคในคอก ๗ ครั้ง เผาเรือน ๗ ครั้งฯ ถึงอย่างนั้นก็ดี โจรนั้นก็ยังไม่อาจทำความโกรธให้ดับได้จึงไปตีสนิทกับคนใช้เศรษฐีถามว่า สิ่งใดเป็นที่รักของเศรษฐี ได้รับคำตอบว่า สิ่งอื่นจะเป็นที่รักของเศรษฐียิ่งไปกว่าพระคันธกุฎีไม่มี โจรนั้นจึงคิดว่า เอาละ เราจะเผาพระคันธกุฎีให้หมดคามโกรธของเราให้ได้ เมื่อพระกัสสปพุทธเจ้ากับเหล่าพระภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าไปบิณฑบาต เขาก็ไปทุบต่อยหม้อน้ำเสียสิ้น แล้วเผาพระคันธกุฎีฯ เศรษฐีได้ทราบว่าไฟไหม้พระคันธกุฎีก็รีบมา พอมาเห็นพระคันธกุฎีถูกไฟไหม้ก็ไม่เสียใจแม้เพียงเล็กน้อย มีแต่ดีใจตบมือฯ พวกที่ยืนอยู่ใกล้จึงถามว่า ท่านเศรษฐีสละทรัพย์ออกสร้างพระคันธกุฎีมากมาย เมื่อพระคันธกุฎีถูกไฟไฟม้เหตุไรจึงตบมือดีใจฯ เศรษฐีตอบว่า เพราะเราได้ฝังทรัพย์ไว้ในพระพุทธศาสนาอันไม่ทั่วไปแก่อัคคีภัยเป็นต้นไว้เป็นอันมากแล้ว ยังจักได้สละทรัพย์ออกสร้างพระคันธกุฎีอีก เรานึกดีใจอย่างนี้เราจึงได้ตบมือฯ เศรษฐีนั้นก็ได้สละทรัพย์เท่าเดิมออกสร้างพระคันธกุฎีอีก แล้วได้ถวายทานแก่องค์พระศาสดา พร้อมทั้งภิกษุ ๒ หมื่นองค์ฯ โจรได้เห็นดังนั้นจึงคิดว่า ถ้าเราจักไม่ฆ่าเศรษฐีนี้ เราก็จักไม่อาจที่จะงดความโกรธได้ เราจะฆ่าเศรษฐีนี้ให้ได้ คิดดังนี้แล้วจึงผูกกริชไว้ในผ้านุ่ง เที่ยวไปมาอยู่ในวิหารตลอด ๗ วันแต่ไม่มีโอกาส ฝ่ายมหาเศรษฐีถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธองค์เป็นประธานอยู่ตลอด ๗ วันแล้ว จึงกราบทูลขึ้นว่า มีบุรุษคนหนึ่งได้เผานาข้าพระองค์ถึง ๗ ครั้ง ได้ตัดเท้าโคในคอกถึง ๗ ครั้ง ได้เผาเรือนข้าพระองค์ถึง ๗ ครั้ง ครั้งนี้ผู้ที่เผาพระคันธกุฎีก็เห็นจะเป็นบุรุษนั้น ข้าพระองค์ขอยกส่วนบุญในคราวนี้ให้แก่บุรุษนั้นก่อนผู้อื่น พระเจ้าข้า พอโจรนั้นได้ฟังดังนี้ก็คิดว่า เราได้ทำกรรมอันหนักเสียแล้ว เราทำความผิดถึงเพียงนี้ เศรษฐีนี้ยังไม่มีความโกรธแก่เราเลย ยังแบ่งส่วนบุญให้แก่เราก่อนผู้อื่น เราได้ประทุษร้ายเศรษฐีนี้แล้ว เมื่อเราไม่ให้เศรษฐีนี้ยกโทษให้ฟ้าจะต้องผ่าศีรษะเราเป็นแน่ คิดดังนี้แล้ว จึงหมอบลงในที่ใกล้เท้าเศรษฐีกล่าวว่า ข้าแต่นาย ขอนายจงอดโทษให้แก่ช้าพเจ้าด้วยเถิด เมื่อเศรษฐีถามว่า จะให้เราอดโทษเรื่องอะไร ก็เล่าเรื่องให้ฟังดังแสดงมาแล้วนั้นฯ ลำดับนั้น เศรษฐีจึงถามได้ทราบเรื่องทั้งปวงตลอดแล้ว จึงว่าเราไม่เคยเห็นเธอเลย เพราะเหตุใดเธอจึงโกรธเราถึงกับทำแก่เราอย่างนี้ฯ โจรนั้นก็ให้เศรษฐีระลึกถึงถ้อยคำ ซึ่งเศรษฐีผู้ออกจากเมืองได้พูดไว้ในวันหนึ่งแล้วบอกว่า ข้าพเจ้าโกรธท่านด้วยเหตุอันนั้นฯ เศรษฐีก็ระลึกได้ถึงถ้อยคำที่ตนได้พูด จึงขอโทษโจรนั้นว่า เราได้พูดอย่างนั้นจริง เธอจงอดโทษให้เราด้วย แล้วบอกว่าลุกขึ้นเถิด เราอดโทษให้เธอแล้ว เธอจงไปฯ โจรจึงว่า ถ้าท่านอดโทษให้แก่ข้าพเจ้าแล้ว ขอท่านจงทำข้าพเจ้าพร้อมทั้งบุตรภรรยาให้เป็นทาสอยู่ในเรือนของท่านฯ เศรษฐีตอบว่า เพียงแต่เรากล่าวเท่านั้น เธอยังทำความเสียหายให้เราถึงเพียงนี้ เมื่อเธอไปอยู่ที่บ้านของเรา เราไม่อาจจะพูดอะไรกับเธอได้ เราไม่ต้องการที่จะให้เธออยู่ในบ้านของเรา แต่เราอดโทษให้เธอ เธอจงไปเถิด โจรนั้นได้ไปตกอเวจีนรกอยู่ตลอดกาลนาน แล้วมาเกิดเป็นเปรตงูเหลือมอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏด้วยเศษบาปกรรมเหล่านั้น


    <O:pครั้นพระพุทธองค์ทรงแสดงบุพพกรรมของเปรตงูเหลือมนั้น จบลงอย่างนี้แล้วจึงตรัสว่า ธรรมดาคนพาลเมื่อทำบาปกรรมย่อมไม่รู้สึก ต่อเมื่อถูกบาปกรรมเผาจึงรู้สึกตัวว่า ตัวได้ทำบาปกรรมที่ไม่ดีไว้ บาปกรรมที่ไม่ดีของตัวย่อมเป็นเหมือนกับเปลวไฟ ครั้นตรัสดังนี้แล้ว จึงได้ตรัสต่อไปว่า อถ ปาปานิ กมฺมานิ เป็นต้น ซึ่งมีเนื้อความว่า คนพาลที่กระทำบาปกรรมย่อมไม่รู้สึกตัว คนพาลย่อมเดือดร้อนด้วยกรรมของตนเหมือนกับถูกไฟไหม้ ดังนี้ฯ ในคำเหลานี้มีคำอธิบายว่า ไม่ใช่แต่คนพาลจะทำบาปด้วยอำนาจความโกรธอย่างเดียวเท่านั้น ถึงเมื่อคนพาลทำบาป ก็ย่อมไม่รู้สึกตัวว่า เราทำบาป คือไม่รู้สึกว่า บาปที่เราทำนี้จะมีผลเช่นไร คนพาลคือคนไม่มีปัญญา ต้องเดือดร้อนด้วยกรรมของตน คือ ต้องตกนรกอยู่ตลอดกาลนาน ดังนี้ เมื่อจบเทศนานี้ลง บุคคลเป็นอันมากก็ได้สำเร็จมรรคผลตามวาสนาบารมีของตน เป็นอันว่า จบเรื่องเปรตงูเหลือมเพียงเท่านี้.

    <O:pขอท่านผู้ฟังทั้งหลายจงเข้าใจเถิดว่า การที่เปรตงูเหลือมจะมีเปลวไฟไหม้อยู่เป็นนิจดังที่แสดงมาแล้วนั้น ก็เพราะเมื่อชาติก่อนโน้นเปรตงูเหลือมนั้นได้เผาไร่นาบ้านเรือนของเศรษฐี ทั้งได้เผาพระคันธกุฎีที่เศรษฐีได้สร้างไว้ดังที่แสดงมา เพราะฉะนั้น ขอท่านทั้งหลายจงจำไว้ว่าขึ้นชื่อว่าบาปกรรมแล้วเป็นของไม่ควรทำทั้งนั้นเพราะเมื่อผู้ใดทำบาปกรรมไว้แล้ว ผู้นั้นย่อมได้รับความทุกข์ตลอดกาลนาน เวลาตายไปแล้วต้องไปตกนรก เวลาพ้นจากนรกต้องมาเกิดเป็นเปรต พ้นจากเปรตต้องมาเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน พ้นจากสัตว์เดรัจฉานต้องมาเกิดเป็นคนพิการ เป็นคนยากไร้เข็ญใจอีกหลายร้อยชาติ ทั้งจงจำไว้ว่า ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี้แหละเป็นต้นเหตุให้ทำบาปกรรม เพราะฉะนั้น เมื่อมีความโลภ หรือความโกรธ ความหลงอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในใจแล้ว จงอย่าทำสิ่งใด ต้องรอให้หายความโลภ ความโกรธ ความหลง นั้นเสียก่อนจึงกระทำ เพราะถ้าทำในเวลาโลภ โกรธ หลงย่อมผิดมากกว่าถูกด้วยเหตุว่า ในขณะที่คนเราโลภ โกรธ หลงนั้น ย่อมคิดเห็นผิดเป็นถูกทั้งนั้น คิดเห็นชั่วเป็นดี ในเวลาเกิดความโลภ หรือความโกรธ ความหลงขึ้นแล้วจงพยายามละความโลภ ความโกรธ ความหลง นั้นเสียด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง มีการพยายามลืมเรื่องที่ให้โลภ ให้โกรธ ให้หลงนั้นเสียเป็นต้น เมื่อหายโลภ โกรธ หลง แล้วจึงทำ พูดคิด สิ่งใดสิ่งหนึ่งต่อไป องค์พระจอมไตรศาสดาได้โปรดประทานเทศนาไว้ในมลสุตตบาลี วรรคที่ ๔ แห่งติกนิบาตร ในคัมภีร์อิติวุตตกะว่า อนตฺถชนโน โลโภ โลโภ จิตฺตปฺปโกปโน เป็นต้น แปลตามพระพุทธนิพนธภาษิตว่า โลภะ ทำให้เกิดสิ่งไม่มีประโยชน์แก่ตนและคนอื่น โลภะทำให้จิตกำเริบ โลภะเกิดขึ้นในใจเป็นภัยภายใน แต่คนไม่รู้สึกว่าเป็นพัยภายใน ผู้เกิดโลภะแล้วย่อมไม่รู้จักประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่น ไม่แลเห็นสิ่งที่เป็นธรรม โลภะครอบงำเวลาใด ความมืดย่อมมีในเวลานั้นฯ โทสะเป็นของทำให้เกิดสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตนและคนอื่น โทสะทำให้จิตกำรเบ โทสะเป็นภัยภายใน แต่คนไม่รู้สึก ผู้เกิดโทสะแล้วย่อมไม่รู้จักประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่น ผู้เกิดโทสะแล้วย่อมไม่เห็นธรรม โทสะครอบงำในเวลาใด ย่อมเกิดความมืดในเวลานั้นฯ โมหะทำให้จิตให้กำเริบ โมหะเป็นภัยภายในแต่คนไม่รู้สึก ผู้เกิดโมหะแล้วย่อมไม่รู้จักประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น ผู้เกิดโมหะแล้วย่อมไม่เห็นธรรม โมหะครอบงำในเวลาใด ความมืดก็เกิดขึ้นในเวลานั้นดังนี้

    <O:pในอรรถกถาว่า คำว่า ให้เกิดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ตนและประโยชน์คนอื่นนั้น คือให้เกิดความเสียหายแก่ตนและคนอื่น คำว่า ทำจิตให้กำเริบนั้น คือทำจิตให้เสียไป ให้เปลี่ยนแปลงไปไม่ให้เป็นปกติ คำว่า เป็นภัยภายในนั้น คือเป็นภัยในจิตของตน คำว่า คนไม่รู้สึกนั้นคือ คนที่เป็นพาลย่อมไม่รู้สึกว่า โลภะ โทสะ โมหะ เป็นภัยภายใน คือเป็นต้นเหตุให้เกิดความเสียหาย เป็นของทำให้จิตใจกำเริบ คำว่า ไม่เห็นธรรมนั้น คือเพียงแต่กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ มีการงดเว้นจากปาณาติบาตเป็นต้น ก็คิดไม่เห็น ไม่ต้องพูดถึงธรรมอันสูงยิ่งกว่านั้น คำว่า เกิดความมืดนั้น ได้แก่เกิดความืดในใจ เพราะฉะนั้น บุคคลจึงควรละโลภะ โทสะ โมหะ ให้ได้เป็นคราวๆ ไป ผู้ใดละไม่ได้ ผู้นั้นย่อมได้รับทุกข์เหมือนกับบุตรช่างกัลบก และทุฏฐกุมารเป็นต้น ดังจักยกมาแสดงต่อไป

    <O:pเวสาลิยํ เอโก นหาปิโต สทฺโธ กล่าวคือ ในอรรถกถาแห่งสิคาลชาดกวรรคที่ ๑ แห่งทุกนิบาตว่า ที่เมืองเวสาลีมีช่างกัลบก คือช่างตัดผมผู้หนึ่งเป็นผู้มีศรัทธา มีความเลื่อมใสนับถือพระรัตนตรัย มีศีล ๕ ประจำตัว ได้ทำหน้าที่ตัดผมโกนหนวดให้แก่พระราชาและข้าราชสำนักเป็นต้น อยู่มาวันหนึ่ง ช่างกัลบกนั้นได้พาบุตรของตนเข้าไปในพระราชวัง บุตรนั้นได้ไปเห็นเจ้าหญิงลิจฉวีองค์หนึ่ง ซึ่งเปรียบเหมือนกับนางเทพธิดาประดับประดาพระกายเป็นอันดีในพระราชวังนั้น ก็มีจิตรักใคร่ด้วยกิเลส เวลากลับไปถึงนิเวศน์ของตนแล้ว ก็ไปนอนอดอาหารอยู่ด้วยคิดว่า เมื่อตายเราได้เจ้าหญิงนั้นเราก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เมื่อเราไม่ได้ เราก็จะต้องในที่นี้ ลำดับนั้น บิดาก็ไปว่ากล่าวสั่งสอนว่า ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าได้รักใคร่พอใจให้เกินฐานะไปเลย เพราะเราเป็นคนตระกูลต่ำช้า เจ้าเพียงแต่เป็นบุตรของช่างตัดผมเท่านั้น เจ้าหญิงลิจฉวีทั้งหลาย ล้วนแต่เป็นผู้มีตระกูลสูง เจ้าหญิงนั้นไม่สมควรแก่เจ้าเลย บิดาจักหากุมาริกาอื่น ซึ่งมีชาติตระกูลเสมอกันกับเรามาให้กับเจ้า แต่บุตรนั้นไม่เชื่อฟังคำของบิดาไม่อาจละความรักนั้นได้แม้เพียงชั่วครู่ชั่วคราว ปล่อยให้ความรักนั้นเผาใจให้เหือดแห้งตายไป ดังนี้

    <O:pเรื่องทุฏฐกุมารนั้น มีในอรรถกถาแห่งธรรมธชชาดก วรรคที่ ๗ ทุกนิบาตว่า ในอดีตกาลล่วงมาแล้ว มีพระราชาพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระเจ้ากิตวาส พระองค์มีพระราชโอรสอยู่พระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าทุฏฐกุมาร ในเวลาที่พระราชโอรสประสูตินั้น พวกทายพระลักษณะได้กราบทูลว่า พระราชโอรสองค์นี้จักสิ้นพระชนม์เพราะไม่ได้เสวยน้ำ พระเจ้ากิตวาสทรงกลัวพระราชโอรสจะสิ้นพระชนม์ เพราะไม่ได้เสวยน้ำตามคำทำนาย จึงโปรดให้สร้างสระโบกขรณีทั้งหลายลงที่ประตูพระนครทั้ง ๓ และภายในพระนครตลอดไปในที่ทั้งปวง โปรดให้ตั้งตุ่มน้ำไว้ในประรำต่างๆ มีถนน ๔ แพร่งเป็นต้น เมื่อพระราชโอรสทรงพระเจริญวัยแล้ว ก็โปรดตั้งให้เป็นอุปราช อยู่มาวันหนึ่ง เมื่ออุปราชนั้นออกไปเที่ยวสวนแต่เช้า ก็ได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในระหว่างมรรคา ฝ่ายมหาชนได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ก็กราบไหว้สรรเสริญ บ้างก็ยกมือไหว้ด้วยความเลื่อมใส อุปราชนั้นก็นึกน้อยใจว่า พวกนี้มากับผู้เช่นเรายังมากราบไหว้สรรเสริญสมณะศีรษะโล้นนี้ได้ จึงลงจากช้างไปแย่งเอาบาตรของพระปัจเจกพุทธจ้ามาฟาดลงกับพื้นดิน ขยี้ด้วยเท้าให้แตกกระจายไปพร้อมทั้งข้าวในบาตร พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ทอดพระเนตรดูหน้าของอุปราชนั้นด้วยดำริว่า ผู้นี้พินาศเสียแล้ว ทุฏฐกุมารจึงว่า เราเป็นทุฏฐกุมาร เป็นโอรสของพระเจ้ากิตวาส ท่านโกรธแก่เรา มองหน้าเราแล้วก็จะทำอะไรแก่เราได้ พระปัจเจกพุทธเจ้าขาดอาหารแล้ว ก็เหาะกลับไปสู่เงื้อมภูเขานันทมูลกะในป่าหิมพานต์ ในทันใดนั้นเอง บาปกรรมของอุปราชนั้น ก็ให้ผลมีความร้อนรนเกิดขึ้นทั่วตัว แล้วล้มลงกับพื้นดิน น้ำทั้งสิ้นไม่ว่าอยู่ในแห่งหนตำบลใด จนกระทั่งน้ำในเหมืองก็แห้งไปสิ้น เมื่ออุปราชนั้นไม่ได้ดื่มน้ำก็ตายไปตกอเวจีนรก เป็นอันว่าคนพาลที่ลุ่มหลงด้วยโมหะ ขัดแค้นด้วย โทสะ โกรธต่อผู้ที่ไม่ควรโกรธ ย่อมได้รับโทษทุกขภัยใหญ่หลวง เหมือนกับทุฏฐกุมารนี้ ดังนี้ เพราะฉะนั้นจึงควรที่คนทั้งหลายอย่าให้โลภะ โทสะ โมหะ ครอบงำจิตใจ อย่าให้เป็นดังบุตรของช่างตัดผม และทุฏฐกุมาร กับเปรตงูเหลือม ซึ่งได้แสดงมาแล้วในเบื้องต้นนั้นเป็นอันขาด เพื่อจะได้ไม่แคล้วคลาดจากประโยชน์สุขในมนุษย์และสวรรค์ สิ้นเนื้อความที่ควรพรรณนาในเทศนากัณฑ์นี้เพียงเท่านี้.



    <O:pเอวํ ก็มี ด้วยประการฉะนี้ฯ

    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2011
  9. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    กัณฑ์ที่ ๖
    คัมภีร์ขุททกนิกาย เปตวัตถุ
    ว่าด้วยเรื่องเปรตตุ๊กตา เปรตกา เปรตงู

    ยํ กิญจารมฺมณํ กตฺวาติ อิทํ สตฺถา สาวตฺถิยํ เชตวเน วิหรนฺโต อนาถปิณฺฑิกสฺส คหปติโน ทานํ อารพฺภ กเถสีติ.

    ณ บัดนี้ อาตมภาพจักได้แสดงพระไตรปิฎกเทศนามหาวิตถารนัย ในพระคัมภีร์ขุททกนิกาย เปตวัตถุ กัณฑ์ที่ ๖ ว่าด้วยเรื่องเปรตตุ๊กตา เปรตกา เปรตงู สืบต่อไป เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา และพุทธศาสนิกชนทั้งหลายตลอดกาลนาน

    อรรถกถา

    ดำเนินความตามอรรถกถาแห่งเปตวัตถุ คัมภีร์ปรมัตถทีปนีนั้นว่า เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาประทับอยู่ที่พระเชตวัน กรุงสาวัตถี ทรงปรารภการถวายทานของอนาถบิณฑิกคฤหบดีให้เป็นเหตุ จึงตรัสเทศนาว่า

    ยํ กิญฺจารมฺมณํ กตฺวา

    ดังนี้เป็นต้น ซึ่งจะมีเนื้อความแจ่มแจ้งในภายหลัง ดังได้สดับมาว่า พี่เลี้ยงได้ให้ตุ๊กตาแป้งแก่ทาริกา ซึ่งเป็นหลานของอนาถบิณฑิกคฤหบดีด้วยคิดว่าจะให้ถือเล่นฯ ทาริกานั้นก็เกิดความเข้าใจว่าตุ๊กตาแป้งนั้นเป็นธิดาของตนฯ อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อทาริกานั้นถือตุ๊กตาแป้งนั้นเล่น ตุ๊กตาแป้งนั้นก็ตกแตกด้วยความเผลอฯ ลำดับนั้น ทาริกานั้นก็ร้องไห้ว่าลูกสาวของดิฉันตายแล้วฯ คนในเรือนไม่มีใครอาจปลอบทาริกานั้นให้หยุดร้องไห้ได้ฯ ในคราวนั้น พระพุทธองค์ได้ประทับอยู่ที่เรือนของอนาถบิณฑิกคฤหบดีฯ เศรษฐีก็ได้นั่งอยู่ในที่เฝ้านั้นฯ พี่เลี้ยงได้อุ้มทาริกานั้นไปหาเศรษฐีฯ เศรษฐีจึงถามว่า เด็กร้องไห้ทำไมฯ พี่เลี้ยงก็เล่าเรื่องให้ฟังดังที่แสดงมาฯ เศรษฐีอุ้มทาริกานั้นนั่งบนตักปลอบโยนว่า ตาจะให้ทานเพื่อลูกสาวของเจ้า แล้วก็กราบทูลพระพุทธองค์ให้ทรงทราบว่า ข้าพระองค์ประสงค์จะถวายทานให้แก่ตุ๊กตาแป้ง ซึ่งเป็นธิดาแห่งหลานของข้าพระองค์ พรุ่งนี้เช้าขอพระองค์จงเสด็จมาฉันพร้อมกับพระภิกษุ ๕๐๐ องค์ฯ พระพุทธองค์ก็ทรงรับด้วยอาการนิ่งอยู่ฯ พอถึงวันรุ่งขึ้น พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ ก็ได้เสด็จไปฉันที่บ้านเศรษฐี ครั้นฉันอิ่มแล้วเมื่อจะทรงกระทำอนุโมทนา ก็ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ยํ กิญจารมฺมณํ กตฺวา เป็นต้น ซึ่งมีเนื้อความว่า บุคคลผู้ไม่มีความตระหนี่ ควรทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เป็นอารมณ์แล้วควรให้ทานโดยปรารภผู้ล่วงลับไปก่อน หรือวัตถุเทวดา ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ซึ่งเป็นผู้รักษาโลก เป็นผู้มียศ คือท้าวกุเวระ ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักข์ ท้าววิรุฬหก บุคคลเหล่านีั้นเป็นอันชื่อว่า ทายกได้บูชาแล้ว ส่วนทายกก็ไม่ไร้ผลฯ บุคคลไม่ควรร้องไห้ ไม่ควรเสียใจ ไม่ควรบ่นเพ้อรำพัน เพราะการร้องไห้เป็นต้นนั้นย่อมไม่สำเร็จประโยชน์แก่เปตชนผู้ล่วงลับไปแล้ว เพราะญาติทั้งหลายผู้ล่วงลับไปแล้วย่อมอยู่ตามธรรมดาของต ทานที่บุคคลถวายพระสงฆ์นี้ย่อมสำเร็จประโยชน์สุขแก่เปตชนตามฐานะที่สมควร ดังนี้

    ในอรรถกถาว่า คำว่า ควรทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เป็นอารมณ์นั้น คือควรทำงานมงคลเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่งให้เป็นอารมณ์แล้วควรให้ทานฯ คำว่าผู้ไม่ตระหนี่ คือผู้ไม่มีความตระหนี่ อันมีการเกียดกันสมบัติของตนไม่ให้ทั่วไปแก่ผู้อื่น ผู้ชอบการให้ทาน ควรกำจัดมลทินแห่งใจ มีความตระหนี่และความโลภเป็นต้นให้ห่างไกลแล้วให้ทาน คำว่า ปรารถผู้ล่วงลับไปก่อนนั้น ได้แก่ให้ทานเพื่อส่งผลให้แก่มารดาบิดาหรือบุตรธิดาที่ตายไปก่อนฯ คำว่า วัตถุเทวดานั้น ได้แก่เทวดาที่สิงอยู่ในบ้านเรือนเป็นต้น อีกอย่างหนึ่งว่า ควรให้ทานโดยปรารภผู้ใดผู้หนึ่ง มีเทพยดามนุษย์เป็นต้นเหล่าอื่นฯ ในเทพยดาเหล่านั้น เมื่พระพุทธองค์จะรงแสดงเทพยดาบางจำพวกให้ปรากฏจึงตรัสว่า ท้าวมหาราช ๔ เมื่อจะทรงระบุชื่อของท้าวมหาราช ๔ นั้น จึงตรัสว่า ท้าวกุเวระ ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักข์ ท้าววิรุฬหก แล้วตรัสต่อไปว่า ท้ายมหาราชทั้ง ๔ นั้นก็ดี บุคคลอื่นมีผู้ล่วงลับไปก่อน และวัตถุเทวดาเป็นต้นก็ดี เป็นอันตนได้ชื่อว่า ทายกนั้นได้แสดงความนับถือด้วยการทำบุญให้ฯ คำว่า ทายกก็ไม่ไร้ผลนั้น คือ ทายกเหล่าใดให้ทาน ทายกเหล่านั้น ก็ไม่ไร้ผลด้วยการส่งผลให้แก่ผู้อื่น คือยังได้ส่วนผลทานของตนอยู่นั่นเองฯ คราวนี้เมื่อพระพุทธองค์จะทรงแสดงให้เห็นว่า การร้องไห้เป็นต้น ถึงบุคคลที่ตายไป ย่อมไม่มีประโยชน์อันใด มีแต่จะทำตนให้เป็นทุกข์เท่านั้น จึงได้ตรัสว่า บุคคลไม่ควรร้องไห้ ไม่ควรเศร้าใจ ไม่่ควรพิไรรำพัน เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นย่อมไม่สำเร็จประโยชน์แก่ผู้ที่ตายไป เพราะผู้ที่ตายไป ย่อมไปตามกรรมของตน ถึงมีผู้ร้องไห้เสียใจก็ไม่รู้ ส่วนทานที่บุคคลถวายแก่พระสงฆ์เท่านั้น ให้สำเร็จประโยชน์ผลแก่ผู้ที่ตายไป ตามสมควรแก่ฐานะที่ตนไปเกิดโดยเร็วพลัน ดังนี้ฯ ครั้นพระพุทธองค์ทรงสอนธรรมอย่างนี้แล้วก็เสด็จกลับสู่พระวิหาร รุ่งขึ้นภรรยาเศรษฐีและพวกญาติก็พากันให้ทานตามเยี่ยงอย่างเศรษฐีอยู่ตลอด ๓ เดือน ต่อมาพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงทราบ ก็ได้ให้ทานเพื่อผู้ตายไปก่อนและวัตถุเทวดา ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ตามเยี่ยงอย่างเศรษฐี ทั้งชาวเมืองก็ได้ทำตามเยี่ยงอย่างพระราชา เป็นอันว่าการถวานทานมีตุ๊กตาแป้งเป็นต้นเหตุ ได้มีอยู่ตลอดกาลนาน จบเรื่องตุ๊กตาแป้งเพียงเท่านี้ฯ ในเรื่องตุ๊กตาแป้งนี้ พระอรรถกถาจารย์ถือว่าเป็นเปตชนผู้หนึ่งจึงจัดเข้าวไว้ในเรื่องเปรต เพราะท่านหมายความแต่เพียงว่า เปตะ ได้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้วเท่านั้น ไม่ได้หมายความถึงเปรตจริงๆ เพราะฉะนั้น เป็นอันว่า เปรตตุ๊กตาแป้งนี้เพียงแต่เป็นเปรตสมมติเท่านั้น ไม่ใช่เป็นเปรตจริง ส่วนเปรตจริงนั้น ได้แก่ผู้ที่พ้นจากนรกแล้วมาเสวยผลกรรมอยู่อีก ดังที่เคยแสดงมาและดังจะแสดงต่อไป

    ต่อนี้ไป จะได้ยกเอาเรื่องเปรตจริงจากคัมภีร์พระธรรมบทมาแสดงให้ท่านทั้งหลายฟัง เรื่องเปรตจริงที่จะยกมาแสดงนี้ ตาลบาลีเรียกว่า อหิเปรต แปลว่า เปรตงูนี้ๆ นี้ เป็นเปรตที่พระโมคคัลลาน์ได้พบเห็น เวลาลงจากภูเขาคิชฌกูฏ พร้อมกับพระลักขณเถรเจ้า เปรตงูนี้มีศีรษะเหมือนมนุษย์ ร่างกายที่เหลือเหมือนกับงู มีตัวยาวถึง ๒๕ โยชน์ มีเปลวไฟพลุ่งขึ้นจากศีรษะไหม้ลุกลามไปตลอดทาง มีเปลวไฟพลุ่งขึ้นจากทาง ไหม้ลุกลามไปตลอดศีรษะ พลุ่งขึ้นจากกลางตัวไหม้ลุกลามไปตลอดทั้ง ๒ พลุ่งจากข้างทั้ง ๒ ไปรวมกันที่กลางตัวฯ เปรตที่มีตัวยาวถึง ๒๕ โยชน์ มีอยู่ ๒ เปรตคือเปรตงูกับเปรตกาเท่านั้น เปรตนอกนั้นมีตัวยาว ๓ คาวุต คือ ๓๐๐ เส้น

    พระมหาโมคคัลลาน์ได้เห็นเปรตกา ซึ่งถูกไฟไหม้อยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏก็ได้ถามถึงบุพพกรรมว่า เจ้ามีปากยาวถึง ๕ โยชน์ มีศีรษะยาวถึง ๙ โยชน์ มีตัวยาวถึง ๒๕ โยชน์ เจ้าได้ทำกรรมสิ่งใดไว้จึงได้มารับทุกข์เช่นนี้ฯ เปรตกาตอบว่า ข้าแต่พระมหาโมคคัลลาน์ ข้าพเจ้าได้เกิดเป็นกาในชาติก่อน เวลาคนทั้งหลายนำอาหารไปถวายพระในวัด ข้าพเจ้าได้ไปคาบเอาอาหารที่เขาจัดไว้ในภาชนะไปกิน ประมาณ ๓ คำเท่านั้น เวลาข้าพเจ้าตายแล้วกว็ได้ไปไหม้อยู่ในอเวจีนรกตลอดกาลนาน พ้นจากอเวจีนรกมาแล้วกซ็ได้มาเกิดเป็นเปรตกา เสวยทุกขเวทนาอยู่ในที่นี้

    ส่วนเปรตงูนั้น มีเรื่องมาว่า ในอดีตกาล คนทั้งหลายได้สร้างบรรณศาลาถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง ใกล้เมืองพาราณสีฯ เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นอยู่ในบรรณศาลานั้น ก็ได้ไปเที่ยวบิณฑบาตประจำในเมืองพาราณสีฯ ชาวพาราณสีก็ได้ถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งเย็นทั้งเช้าฯ มีบุรุษชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่งทำนาอยู่ใกล้ทางนั้นฯ เวลามหาชนไปไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ได้เดินผ่านนาบุรุษนั้นไปฯ บุรุษคนนั้นไม่อาจห้ามได้ เขาจึงคิดว่า ถ้าไม่มีบรรณศาสลาของพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ในที่นี้ คนทั้งหลายก็จะไม่มาเหยียบนาของเรา รุ่งขึ้นวันหลังเวลาพระปัจเจกพุทธเจ้าเข้าไปบิณฑบาต เขาก็ไปทุบต่อยภาชนะใช้สอยเสียสิ้น แล้วได้เผาบรรณศาลาเสียฯ พระปัจเจกพุทธเจ้าเห็นไฟไหม้บรรณศาลาแล้ว ก็ไปที่อื่นเสีย พอคนทั้งปวงรู้ว่า บุรุษนั้นเผาบรรณศาลาก็พร้อมกันฆ่าบุรุษนั้นเสีย เวลาบุรุษนั้นตายแล้ว ก็ไปตกอเวจีนรกอยู่จนกระทั่งแผนดินนี้สูงได้โยชน์หนึ่ง จึงได้ขึ้นมาเกิดเป็นเปรตงูอยู่ที่ยอดภูเขาคิชฌกูฏ ดังแสดงมา บุพพกรรมของเปรตงูนี้ พระพุทธองค์เป็นผู้ทรงแสดงได้ สิ้นเรื่องเปรตงูตามคัมภีร์พระธรรมบทเพียงเท่านี้

    ก็แลเรื่องเปรตทั้ง ๓ ตามที่แสดงมาแล้วนี้จัดเป็นเปรตแท้มีแต่เปรตกากับเปรตงูเท่านั้น ส่วนเปรตตุ๊กตาแป้งนั้น เป็นเปรตสมมติเท่านั้น เพราะว่าสมมติตุ๊กตาที่แตกไปว่าเป็นคนตายเท่านั้น ส่วนเปรตกาและเปรตงูทั้ง ๒ นั้น เป็นเปรตแท้ด้วยอำนาจบุพพกรรมที่ทำมา ขอให้ผู้ฟังทั้งหลายเข้าใจเถิดว่า บาปกรรมนั้นอย่าว่าแต่คนกระทำจึงได้ผลเลย ถึงสัตว์ดิรัจฉานกระทำก็ได้ผลเหมือนกัน ส่วนบุญกุศลก็เหมือน สัตว์ดิรัจฉานกระทำก็ได้รับผลเหมือนกัน ำหรับในเรื่องเปรตนั้น มีว่าไว้ในเรื่องชัดเจนว่า กาได้คาบเอาอาหารที่เขาจะถวายพระไปเพียง ๓ คำเท่านั้น แต่กานั้นได้ไปตกอเวจีนรกอยู่ตลอดกาลนาน แล้วได้มาเกิดเป็นเปรตเสวยทุกขเวทนา ดังที่แสดงมาที่เป็นดังนั้น เพราะว่าอาหารที่เขาจะนำไปถวายพระในวัดนั้นจัดว่าเป็นของที่เขาตั้งใจถวายสงฆ์อยู่แล้ว ธรรมดาของสงฆ์ ย่อมเป็นของหนัก การลักขโมยของสงฆ์ ลักกินของสงฆ์ ปล้นสะดมของสงฆ์ ฉ้อโกงของสงฆ์ จัดเป็นบาปหนัก คล้ายกับอนันตริยกรรมทั้ง ๕ เพราะฉะนั้นจึงได้ไปตกอเวจีนรกอยู่ตลอดกาลนาน มิหนำซ้ำมาเกิดเป็นเปรตเสวยทุกขเวทนาอยู่อีก โดยเหตุนี้ ควรที่เราท่านทั้งหลายจะระวังให้งดี อย่าให้ลูกหลานเหลน ล้กขโมยฉ้อโกง ปล้นสะดมของสงฆ์เป็นอันขาด สิ่งใดที่เขาตั้งใจจะถวายสงฆ์ ได้ออกปากว่าจะถวายสงฆ์แล้ว สิ่งนั้นก็จัดว่าเป็นของสงฆฺ์ ต้องห้ามไม่ให้ลูกหลานเหลนกินสิ่งนั้น ถือว่าสิ่งนั้นมาเป็นของตัวเป็นอันขาด ถ้าผู้ใดกินสิ่งนั้น หรือถือเอาสิ่งนั้นเป็นของตัว ผู้นั้นได้ชื่อว่ากินของสงฆ์ ถือเอาของสงฆ์ เหมือนกับเปรตกาที่แสดงมา และเหมือนกับเปรตที่เป็นบุพพญาติของพระเจ้าพิมพสารเป็นอุทาหรณ์ เปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสารนั้นได้เคยแสดงมาในกัณฑ์ก่อนแล้ว แต่เกรงว่าผู้ไม่ได้ฟังจะไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นจึงจักได้ยกมาแสดงในกัณฑ์นี้อีก กล่าวคือ ในกัลป์ที่ ๙๒ นับถอหลังจากกัลป์นี้ลงไปมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระปุสสพุทธเจ้า ได้เกิดขึ้นที่เมืองกาสีนคร พระพุทธบิดาทรงพระนามว่า พระเจ้าชัยเสน พระพุทธมารดาทรงพระนามว่า พระนางสิริมาฯ พระปุสสพุทธเจ้านั้น มีพระอนุชาต่างพระมารดากันอยู่ ๓ พระองค์ พระอนุชาทั้ง ๓ องค์นั้น มีนายคลังและผู้เก็บส่วยซึ่งเรียกว่านายเสมียนอยู่ที่หัวเมืององค์ละคนฯ ในคราวนั้นพระราชกุมารทั้ง ๓ นั้นอยากจะปฏิบัติองค์พระศาสดาผู้เป็นพระเจ้าพี่ของตนในไตรมาส ๓ เดือน จึงได้ทูลขอต่อพระราชบิดา พระราชบิดาได้ทรงอนุญาตฯ พระราชกุมารทั้ง ๓ นั้นจึงมีหนังสือบอกไปที่นายเสมียนที่เมืองของตนว่า จงสร้างวิหารถวายองค์พระทศพลแล้วจงแจ้งมาให้ทราบฯ นายเสมียนก็ได้กระทำตามรับสั่งแล้วแจ้งไปให้ทราบฯ พระราชกุมารทั้ง ๓ ก็ได้ทูลอาราธนา องค์พระศาสดาให้เสด็จไปที่เมืองของตนแล้วถวายวิหาร ครั้นถวายวิหารแล้วก็ตรัสสสั่งนายคลังและนายเสมียนว่า พวกท่านจงจัดทานวัตถุ คือของที่จะให้ทานจำนวนเท่านี้ ถวายทานแด่พระพุทธองค์และพระภิกษูสงฆ์ ๙ หมื่นองค์ จงจัดอาหารให้พร้อมสำหรับพวกเรา จำเดิมแต่นี้ไป พวกเราจักไม่บอกสิ่งใดอีก สั่งดังนี้แล้วก็พาบุรุษพันหนึ่งออกไปอยู่วัดรักษาศีล ๑๐ อยู่ตนตลอด ๓ เดือนไม่เคลื่อนคลาฯ จำเดิมแต่นั้นมา คนทั้งหลายมีนายคลังเป็นต้นที่พระราชกุมารทั้ง ๓ สั่งไว้แล้วก็เปลี่ยนเวรกันจัดการถวายทานฯ นายคลังกับภรรยาเป็นคนมีศรัทธาเลื่อมใสได้ถวายทานโดยเคารพฯ ถึงนายเสมียนกับบุรุษ ๑๑ หมื่นก็ได้ถวานทานโดยเคารพเหมือนกันฯ แต่มีคนบางพวกมีจิตใจไม่ดี มีจำนวนถึง ๘หมื่น ๔ พันคนฯ คนเหล่านั้นได้ทำให้เป็นอันตรายแก่การถวายทาน ได้กินของที่จะถวายทานนั้นด้วยตนเองบ้าง ได้ให้บุตรทั้งหลายกินบ้าง ทั้งให้เผาโรงทานเสีย เวลาคนเหล่านั้นตายแล้วก็ได้ไปตกนรกฯ ส่วนพระราชกุมารกับบริวารและนายคลัง นายเสมียนก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ฯ นับแต่คน ๒ พวกนั้นยู่ในสวรรค์และนรก ก็ล่วงไปได้ ๙๑ กัลป์ฯ มาถึงกัลป์นี้ พวกที่มีใจเป็นบาปนั้นได้พ้นจากนรกมาเกิดเป็นเปรต อยู่ในครั้งศาสนาพระกัสสปโลกเชษฐ์ ผู้เป็นพระศาสดาจารย์ฯ คราวนั้นคนทั้งหลายได้ถวายทานแล้วแผ่ส่วนบุญให้พวกเปรตที่เป็ฯญาติของตนๆ ว่า อมฺหากํ ญาตีนํ โหตุ ขอผลทานนี้จงมีแก่พวกญาติของเราทั้งหลายฯ เปรตเหล่านั้นก็ได้ทิพยสมบัติกลายเป็นเทพยดาอย่างน่าอัศจรรย์ใจฯ ในคราวนั้น เปรตจำพวกที่ว่านี้ก็ได้กันไปทูลองค์พระกัสสปชินศรีว่า เหตุไรข้าพระองค์ทั้งหลายจึงไม่ได้สมบัติเหมือนเขา พระเจ้าข้าฯ องค์พระกัสสปพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ในเวลานี้พวกเจ้าจะได้ไม่สมบัติอันใด ต่อเมื่อพระโคดมพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก ในเวลาข้างหน้าโน้น ญาติของพวกเจ้าจักได้เป็นพระราชา ทรงพระนามว่าพระเจ้าพิมพิสาร จักได้ถวายทานแก่พระโคดมพุทธเจ้า แล้วจักแผ่ผลให้พวกเจ้า พวกเจ้าจึงจักได้สมบัติในคราวนั้น ฯ เปรตพวกนั้นก็ได้รอพระเจ้าพิมพิสารอยู่ตลอด ๑ พุทธันดร มาถึงครั้งพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย พระราชกุมารทั้ง ๓ กับบริวารพันหนึ่งนั้นจึงได้จุติจากสวรรค์ลงมาเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในแว่นแคว้นมคธ แล้วได้บวชเป็นฤาษีสวมชฎามีนามว่าพวกชฎิล มีอุรุเวลากัสสปเป็นต้นฯ นายคลังได้มาเกิดเป็นเป็นมหาเศรษฐีมีนามว่า วิสาขมหาเศรษฐี ส่วนภรรยาของนายคลังได้มาเกิดเป็นธิดาเศรษฐีมีชื่อว่า ธัมมทินนาฯ นายเสมียนได้มาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสาร บริวารนอกจากนั้นก็ได้มาเกิดเป็นบริวารของพระเจ้าพิมพิสาร เปรตนั้นมีร่างกายน่าทุเรศต่างๆ กัน บางพวกก็มีผมยาว หนวดยาว หน้าดำ มีร่างกายซูบผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น มีสีดำเหมือนกับต้นตาลที่ไฟไหม้ บางจำพวกก็มีเปลวไฟเกิดขึ้นในท้อง ด้วยอำนาจความหิวกระหายแล้วพลุ่งออกจากทางปากไหม้ตลอดร่างกาย บางจำพวก็มีหลอดคอเท่ารูเข็มมีท้องประหนึ่งภูเขา ถึงได้ข้าวน้ำก็ไม่อาจกินให้อิ่มได้ บางจำพวกก็ได้ดื่มกินเลือดหนองเป็นต้น อันไหลออกจากปากแผลในร่างกายแห่งกันและกัน และในร่างกายแห่งสัตว์อื่นเป็นอาหาร ปานประหนึ่งว่าได้กินของทิพย์ฉะนั้น ในตอนนี้ขอรวบรัดตัดใจความว่า เมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้ถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์ มีองค์พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วแผ่ส่วนกุศลให้ด้วยคำว่า อิทํ เม ญาตีนํ โหตุ ขอผลทานนี้จงมีแก่พวกญาติของข้าพระองค์ ดังนี้ เปรตเหล่านั้นก็ได้ทิพยสมบัติกลับกลายเป็นเทพบุตร เทพธิดาทันที ดังนี้ สิ้นเนื้อความโดยย่อเพียงเท่านี้ ส่วนเนื้อความพิสดารจักมีในกัณฑ์ข้างหน้า เพราะฉะนั้น ขอท่านทั้งหลายจงบอกกล่าวสั่งสอนลูหลานเหลนให้จงดี อย่าให้กินของสงฆ์ ลักขโมยของสงฆ์ ฉ้อโกงของสงฆ์ ปล้นสะดมของสงฆ์เป็นอันขาด เพื่อไม่ให้เขาได้รับบาปกรรมเหมือนกับเปรตกา และเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสารดังแสดงมา สิ้นเนื้อความในเทศนากัณฑ์นี้เพียงเท่านี้.

    เอวํ ก็มี ด้วยประการฉะนี้ฯ
     
  10. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    กัณฑ์ที่ ๗
    คัมภีร์ขุททกนิกาย เปตวัตถุ
    ว่าด้วยเปรตญาติพระเจ้าพิมพิสาร

    ติโรกุฑเฑสุ ติฏฺฐนฺตีติ อิทํ สตฺถา ราชคเห วิหรนฺโตติ.

    ณ บัดนี้ อาตมภาพจักได้แสดงพระไตรปิฏกเทศนา มหาวิตถารนัย ในคัมภีร์ขุททกนิกาย เปตวัตถุ กัณฑ์ที่ ๗ ว่าด้วยเปรตญาติพระเจ้าพิมพิสารสืบต่อไป เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชนทั้งหลายตลอดกาลนาน

    อรรถกถา
    ดำเนินความตามอรรถกถาแห่งเปตวัตถุ ในคัมภีร์ปรมัตถทีปนีนั้นว่า เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ได้ทรงปรารภเปรตเป็นอันมากให้เป็นต้นเหตุ จึงได้ตรัสเทศนาว่า ติโรกุฑฺเฑสุ ติฏฺฐนฺติ ดังนี้เป็นต้น ซึ่งจะมีเนื้อความแจ่มแจ้งในภายหลัง

    ในตอนนี้จะได้แสดงถึงเรื่องพิสดาร อันเป็นเรื่องเบื้องต้นแห่งเปรตเหล่านั้นก่อน กล่าวคือ ในกัลป์ที่ ๙๒ นับถอยหลังจากกัลป์นี้ลงไป มีพระนครหนึ่ง ชื่อว่า พระนครกาสีปุระฯ ที่พระนครกาสีปุระนั้น มีพระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระเจ้าชัยเสนๆ นั้น มีพระราชเทวีทรงพระนามว่าพระนางสิริมา พระโพธิสัตว์เจ้าชื่อว่า ปุสสะ ได้ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสิริมา เมื่อประสูติแล้วก็ทรงพระเจริญวัยเป็นลำดับมา จนกระทั่งได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฯ พระเจ้าชัยเสนทรงถือว่าโอรสของเราก็เป็นพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ก็ต้องนับว่าเป็นของเรา แล้วก็ทรงบำรุงเสียด้วยพระองค์เอง ไม่ให้โอกาสแก่บุคคลเหล่าอื่นฯ พระราชกุมารพี่น้อง ๓ พระองค์ ซึ่งเป็นพระเจ้าน้องต่างมารดากันของพระปุสสพุทธเจ้านั้นจึงคิดกันว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์แก่โลกทั้งปวง ไม่ใช่เพื่อบุคคลผู้เดียว ส่วนพระราชบิดาของพวกเราไม่ให้โอกาสแก่บุคคลเหล่าอื่น ทำอย่างไรพวกเราจึงจะได้ปฏิบัติพระพุทธองค์กับทั้งพระภิกษุสงฆ์ จึงตกลงกันว่า พวกเราต้องทำอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งจึงจะได้ ครั้นตกลงกันแล้วจึงให้ทำเป็นเหมือนพรมแดนเกิดวุ่นวายขึ้นฯ ลำดับนั้น พระเจ้าชัยเสนก็ทราบว่า พรมแดนเกิดวุ่นวายขึ้น จึงโปรดให้พระเจ้าลูกทั้ง ๓ เสด็จไปปราบปรามฯ เมื่อพระเจ้าลูกทั้ง ๓ เสด็จไปปราบปรามกลับมาแล้ว ท้าวเธอก็ทรงยินดีได้พระราชทานพรว่า พวกเจ้าต้องการสิ่งใด ก็จงขอสิ่งนั้นฯ พระเจ้าลูกทั้ง ๓ กราบทูลว่า พวกข้าพระองค์ต้องการจะปฏิบัติพระพุทธองค์ฯ พระราชตรัสตอบว่า จงขออย่างอื่นยกอย่างนี้เสียฯ พระเจ้าลูกทั้ง ๓ จึงกราบทูลว่า พวกข้าพระองค์ไม่ต้องการอย่างอื่น พระเจ้าข้าฯ ตรัสตอบว่า ถ้าอย่างนั้นจงขอให้มีกำหนดกาลเวลาฯ พระเจ้าลูกทั้ง ๓ จึงทูลขอ ๗ ปี ท้าวเธอก็ไม่ยอมพระราชทาน จึงทูลขอลดลงไปคราวละ ๖ ปี ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี ท้าวเธอจึงยอมฯ ลำดับนั้น พระราชกุมารทั้ง ๓ นั้นก็พากันไปเฝ้าพระปุสสพุทธเจ้า กราบทูลว่า ข้อพระองค์ทั้งหลายประสงค์จะปฏิบบัติพระองค์ตลอด ๓ เดือนด้วยเถิด พระเจ้าข้าฯ พระพุทธองค์ก็ทรงรับด้วยพระอาการนิ่งอยู่ฯ พระราชกุมารทั้ง ๓ นั้นจึงส่งหนังสือไปถึงหัวหน้าส่วยและนายคลังในหัวเมืองของตนๆ ว่า พวกเราจะต้องปฏิบัติพระพุทธเจ้าอยู่ตลอด ๓ เดือนนี้ พวกเจ้าจงจัดสิ่งทั้งปวงมีสร้างวิหารเป็นต้นไว้ให้พร้อมฯ หัวหน้าส่วนก็ได้จัดสิ่งทั้งปวงให้เสร็จแล้วแจ้งไปให้ทราบ พระราชกุมารทั้ง ๓ นั้นก็นุ่งผ้าเหลืองพร้อมกับบริวาร ๑ หมื่น ๒ พัน ๕ ร้อยคนไปอยู่ที่วัด นำพระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ไปสู่วิหารในหัวเมืองของตนและให้จำพรรษาอยู่ในที่นั้น ฯ พระราชกุมารทั้ง ๓ นั้น มีนายคลังอยู่คนหนึ่ง นายคลังคนนั้นพร้อมทั้งภรรยาได้เป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใสมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดีฯ นายพรานผู้นั้นได้จัดการถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธองค์เป็นประธานโดยเคารพ ส่วนหัวหน้าส่วยในหัวเมืองกับบริวาร ๑๑ หมื่นก็ได้จัดการถวายทานโดยเคารพเหมือนกันฯ แต่มีบริวารบางพวกไม่พอใจ ได้ทำอันตรายแก่การให้ทาน ได้กินของที่จะให้ทานเสียด้วยตนเอง ทั้งได้เผาโรงครัวเสียก็มีฯ พระราชกุมารทั้ง ๓ กับทั้งบริวารได้กระทำการสักการบูชาพระพุทธเจ้าตลอด ๓ เดือนแล้วก็อัญเชิญพระพุทธเจ้ากลับไปสู่เมืองของพระราชบิดาฯ ต่อมาภายหลังพระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานอยู่ในเมืองนั้นฯ พระราชากับพระราชโอรสทั้ง ๓ และหัวหน้าเก็บส่วยกับนายคลังก็ได้ขึ้นไปเกิดในสวรรค์ ส่วนพวกที่ทำอันตรายแก่การถวายทานเหล่านั้นได้พากันไปตกนรกฯ เมื่อคนทั้ง ๓ พวกนั้นกลับไปกลับมาอยู่ในสวรรค์และนรกนั้น ก็ล่วงไปได้ ๙๒ กัลป์ฯ มาถึงภัทรกัลป์อันนี้ พวกที่ทำอันตรายแก่ทานนั้นได้มาเกิดเป็นเปรตในครั้งศาสนาพระกกุสนพุทธเจ้า ในคราวนั้น คนทั้งหลายได้ให้ทานอุทิศผลให้แก่พวกเปรตซึ่งเป็นญาติของตนๆ ว่า ขอทานนี้จงมีแก่พวกญาติของข้าพเจ้า เปรตพวกนั้นก็ได้สมบัติด้วยอำนาจผลทานที่พวกญาติส่งไปให้คราวนั้น เปรตจำพวกนี้ได้พากันไปเฝ้าพระกกุสนธสัมมาสัมพุทธเจ้า ทูลถามว่าทำอย่างไรพวกข้าพระองค์จึงจักพ้นจากโลกเปรต พระเจ้าข้า พระกกุสนธพุทธเจ้าจึงตรัสบอกว่า เมื่อแผ่นดินนี้สูงขึ้นได้ ๑ โยชน์ จักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระโกนาคมน์เกิดขึ้นในโลก พวกเจ้าจงรอทูลถามพระโกนาคมน์เถิด เปรตเหล่านั้นก็ได้รอทูลถามพระโกนาคมน์ พระโกนาคมน์จึงตรัสว่า เมื่อแผ่นดินนี้สูงขึ้นไปได้ ๑ โยชน์ จักมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระกัสสปเกิดขึ้นในโลก พวกเจ้าจงทูลถามพระกัสสปโน้นเถิด เปรตเหล่านั้นก็ได้ทูลถามพระกัสสปพุทธเจ้าตรัสบอกว่า เมื่อแผ่นดินนี้สูงขึ้นไปได้ ๑ โยชน์ จักมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าโคดมเกิดขึ้นในโลก ในคราวนั้น ญาติของพวกเจ้า จักได้เกิดเป็นพระราชาทรงพระนามว่า พิมพิสาร พระราชาพิมพิสารนั้นจักถวายทานแก่พระโคดมพุทธเจ้าแล้วอุทิศผลให้แก่พวกเจ้า พวกเจ้าจะได้ทิพยสมบัติพ้นจากความเป็นเปรตในคราวนั้น พระกัสสปพุทธเจ้าตรัสบอกดังนี้แล้ว เปรตเหล่านี้ก็ดีใจเหมือนกับตนจักได้ทิพยสมบัติในวันพรุ่งนี้ ต่อจากนั้นมาได้ตลอด ๑ พุทธันดร คือชั่วแผ่นดินสูงขึ้น ๑ โยชน์ พระโคดมพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายก็ได้เกิดขึ้นในโลก พระราชกุมารทั้ง ๒ นั้นก็ได้จุติจากเทวโลกพร้อมกับบริวาร ๑ พัน แล้วมาเกิดในตระกูลพรามหณ์ในแว่นแคว้นมคธ เวลาเติบโตขึ้นก็ได้บวชเป็นดาบสอยู่ในคยาสีสประเทศ หัวหน้าเก็บส่วยก็ได้มาเกิดเป็นพระจ้าพิมพิสาร นายคลังได้มาเกิดเป็นวิสาขเศรษฐี ภรรยาของนายคลังได้มาเกิดเป็นธิดาเศรษฐีผู้มีชื่อว่านางธัมมทินนา บริวารนอกนั้นก็ได้มาเกิดเป็นบริวารของพระราช ครั้นพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายได้ตรัสรู้แล้วประกาศพระธรรมจักรแล้วก็ได้เสด็จไปทรมานพวกดาบส ๓ พี่น้องกับทั้งบริวาร ๑ พัน แล้วเสด็จไปกรุงราชคฤห์ ได้โปรดให้พระเจ้าพิมพิสารกับพวกพราหมณ์และคฤหบดี ๑๑ หมื่น ซึ่งออกไปเฝ้าให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล คราวนั้น พระเจ้าพิมพิสารได้ทูลนิมนต์พระพุทธองค์กับทั้งพระภิกษุสงฆ์ ให้เสด็จเข้าไปฉันที่พระราชวังในวันรุ่งขึ้น เพราะฉะนั้นพอเช้าขึ้นท้าวสักกเทวราชซึ่งทรงจำแลงเป็นมาณพหนุ่มน้อยก็ได้เสด็จนำหน้าพระพุทธเองค์เข้าไปสู่กรุงราชคฤห์ พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ที่เคยเป็นดาบสทั้ง ๓ พี่น้องกับทั้งบริวาร ก็ได้ทรงรับมหาทานของพระเจ้าพิมพิสารในราชนิเวศน์ เปรตเหล่านั้นก็กล่าวกันว่า คราวนี้พระราชาจักได้ทานเพื่อพวกเรา แล้วก็พากันไปยืนล้อมพระราชวัง ครั้นพระราชาถวายทานแล้วก็ทรงนึกถึงที่ประทับของพระพุทธองค์ว่า พระพุทธองค์ควรจะประทับอยู่ในที่ไหน ก็ไม่ได้แบ่งผลทานนั้นให้แก่ใครๆ เมื่อพวกเปรตรู้อย่างนั้นก็หมดความหวัง พอถึงเวลากลางคืนก็ได้มาทำเสียงร้องอย่างน่าสะพึงกลัวในพระราชวัง พระราชาก็ทรงสะดุ้งกลัว เช้าขึ้นจึงได้ไปกราบทูลเรื่องนั้นแต่พระพุทธองค์ว่า ข้าพระองค์ได้ยินเสียงอย่างนั้นๆ จักมีเหตุผลอย่างไรแก่ข้าพระองค์ พระพุทธองค์จึงตรัสว่าอย่ากลัวเลยมหาราช สิ่งที่ไม่ดีอย่างใดอย่างหนึ่งจักไม่มีแก่มหาบพิตร ในครั้งพระปุสสสัมมาสัมพุทธเจ้าโน้น พวกญาติของมหาบพิตรได้กินของที่เขาตั้งใจถวายสงฆ์ แล้วได้เกิดเป็นเปรตอดอยาากอยู่ตลอดกาลนาน เปรตพวกนั้นหวังว่าจะได้รับผลทานของมหาบพิตร แต่เมื่อวานนี้ เป็นแต่มหาบพิตรได้ถวายทานแล้วไม่ได้เปล่งวาจายกผลทานให้ เปรตพวกนั้นก็หมดความหวังจึงได้มาส่งเสียงร้องให้น่ากลัวดังที่พระองค์ทรงสดับแล้วนั้น พระเจ้าพิมพิสารจึงทูลถามว่า ถ้าข้าพระองค์ได้ให้ทานอีกแล้ยวยกผลทานให้เปรตพวกนั้นจักได้รับผลหรือ พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า ได้รับ จึงกราบทูลว่า ถ้าอย่างนั้น ขอพระองค์จงเสด็จเข้าไปฉันที่วังของข้าพระองค์ในเช้าวันนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า กราบทูลดังนี้แล้วก็เสด็จกลับพระราชวัง ได้ตรัสสั่งให้ตกแต่งมหาทานเสร็จแล้ว ให้ไปกราบทูลเวลาเสด็จแด่พระพุทธองค์ๆ กับทั้งพระภิกษุสงฆ์ก็ได้เสด็จเข้าไปในพระราชวัง ประทับนั่ง ณ อาสนะที่เขาแต่งตั้งไว้ถวาย เปรตเหล่านั้นก็ได้พากันไปยืนอยู่ในที่ต่างๆ มีภายนอกฝาเป็นต้น ด้วยหวังว่าเราจะได้ทิพยสมบัติในวันนี้ พระพุทธองค์ได้ทรงบันดาลให้เปรตเหล่านั้นปรากฏแก่พระราชา เมื่อพระราชาถวายน้ำทักษิณาคือน้ำอันเป็นเครื่องหมายแห่งการให้ทานแล้วเปล่งวาจาว่า ขอทานนี้จงแก่พวกญาติของข้าพระองค์ ในทันใดนั้นก็มีสระโบกขรณีอันเต็มด้วยอดอกบัวตูมเกิดขึ้นแก่พวกเปรตๆ ได้พากันอาบน้ำดื่มน้ำในสระโบกขรณีนั้นแล้วก็หมดความกระวนกระวายสิ้นความเสียหายมีกายดังทองคำ เวลาพระราชาถวายอาหารแล้วเปล่งวาจากยกผลทานให้ เปรตพวกนั้นก็ได้กินอาหารทิพย์มีร่างกายอิ่มเอิบบริบูรณ์ดี เวลาพระราชาถวายเครื่องนุ่งห่มและที่นั่งที่นอนเป็นต้น แล้วยกผลให้เครื่องนุ่งห่มคือผ้าทิพย์ ปราสาททิพย์ ที่นั่งที่นอนทิพย์ เครื่องใช้สอยทิพย์ต่างๆ ก็เกิดแก่เปรตเหล่านั้นในทันใด พระพุทธองค์ได้ทรงบันดาลให้สมบัติของเปรตเหล่านั้น ปรากฏแก่พระราชๆ ได้ทรงเห็นแล้วก็ทรงดีพระทัยอย่างยิ่ง เมื่อพระพุทธองค์ทรงเสวยเสริ็จแล้วก็ได้ทรงแสดง ติโรกุฑฑคาถา เพื่ออนุโมทนาทานของพระราชาว่า ติโรกุฑฺเทสุ ติฏฺฐนฺติ ซึ่งมีเนื้อความว่า เปรตทั้งหลายได้มาสู่เรือนของตนแล้วก็ยืนอยู่ในที่ต่างๆ บางจำพวกก็ยืนอยู่ที่นอกฝา บางจำพวกก็ยืนอยู่ตามที่ต่อแห่งเรือนและตรอกสามแพร่งสี่แพร่ง บางจำพวกก็ยืนอยู่ที่บานประตูฯ เมื่อคนทั้งหลายจัดข้าวน้ำไว้แล้วกวซ็ไม่มีใครระลึกถึงเปรตเหล่านั้น เพราะกรรมของเปรตเหล่านั้นเป็นปัจจัยฯ บุคคลเหล่าใดซึ่งเป็นผู้มีความเมตตา บุคคลเหล่านั้นย่อมให้ข้าวน้ำอันสะอาด อันประณีต อันสมควรแก่สมณะตามเวลา เพื่อพวกญาติเหมือนกับพระเจ้าพิมพิสาร แล้วเปล่งวาจาว่า ขอทานนี้จงมีแก่พวกญาติของเรา ขอพวกญาติของเราจงเป็นสุข เปรตเหล่านั้นมาพร้อมกันแล้วเมื่อเขาจัดข้าวน้ำไว้แล้วก็อนุโมทนาโดยเคารพว่า พวกเราได้สมบัติเพราะญาติเหล่าใด ขอญาติเหล่านั้นจงมีชีวิตอยู่ยืนนาน พวกเราเป็นอันพวกญาติได้ทำการบูชาแล้ว พวกทายกย่อมไม่ไร้ผล การทำนา การเลี้ยงโค ย่อมไม่มีในเปรตวิสัย การค้าขายด้วยเงินก็ไม่มีในเปรตวิสัยฯ พวกเปรตในที่นั้นๆ ย่อมได้เลี้ยงชีพด้วยผลทานที่บุคคลให้จากโลกนี้ฯ น้ำฝนที่ตกลงมาในที่ดอน ย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่มฉันใด ทานที่บุคคลให้จากโลกนี้ก็สำเร็จแก่พวกเปรตฉันนั้นฯ ห้วงน้ำเต็มด้วยน้ำแล้วก็ไหลไปสู่มหาสมุทรสาครฉันใด ทานที่บุคคลให้แล้วจากโลกนี้ก็สำเร็จแก่พวกเปรตฉันนั้นฯ บุคคลผู้ระลึกถึงอุปการคุณที่เขาทำไว้เมื่อก่อนนั้นว่า ผู้นั้นได้เคยให้สิ่งนี้แก่เรา ได้เคยทำสิ่งนี้ให้แก่เรา ได้เป็นญาติมิตรสหายของเรา ดังนี้ แล้วควรให้ทานเพื่อพวกเปรตฯ ใครๆ ไม่ควรร้องไห้ ไม่ควรเศร้าโศกเสียใจ ไม่ควรพิไรรำพันถึงผู้ที่ตายไป เพราะว่าการร้องไห้เป็นต้นนั้น ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ตาย ขอทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติสาโลหิตที่ล่วงลับไปแล้ว ขอญาติสาโลหิตที่ล่วงลับไปแล้วจงได้บริโภคทานนี้ ข้าพเจ้าขอถามว่า ท่านนั้นจักสำเร็จแก่ญาติสาโลหิตที่ล่วงลับไปแล้วบ้างหรือ ญาติสาโลหิตจักได้บริโภคทานนั้นบ้างหรือ พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า สำเร็จในที่ควรสำเร็จ ไม่สำเร็จในที่ไม่ควรสำเร็จ พราหมณ์นั้นจึงทูลถามว่า ที่ควรสำเร็จและไม่สำเร็จนั้นเป็นอย่างไร ตรัสตอบว่า บางคนในโลกนี้ได้เป็นผู้ทำปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร ได้กล่าวเท็จ กล่าวส่อเสียด กล่าวหยาบคาย กล่าวเหลวไหว ได้คิดโลภเอาของผู้อื่น คิดปองร้ายผู้อื่น คิดเห็นผิด เวลาเขาตายแล้วเขาก็ไปเกิดในนรก สิ่งใดเป็นอาหารของพวกสัตว์นรก เขาก็มีชีวิตอยู่ด้วยสิ่งนั้น อันนี้แหละพราหมณ์ เป็นที่ไม่ควรสำเร็จผลแห่งทาน บางคนทำบาปต่างๆ มีปาณาติบาตเป็นต้นแล้วไปเกิดเป็นสัตว์ติรัจฉาน สิ่งใดเป็นอาหารของพวกสัตว์ดิรัจฉาน เขาก็มีชีวิตอยู่ด้วยสิ่งนั้น ที่นี้ก็เป็นที่ไม่ควรสำเร็จแห่งทานเหมือนกัน บางคนงดเว้นจากบาปกรรมต่างๆ มีปาณาติบาตเป็นต้น เวลาตายแล้วได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็มีได้เกิดเป็นเทพเจ้าก็มี สิ่งใดเป็นอาหารของมนุษย์และเทพเจ้า เขาก็มีชีวิตอยู่ด้วยสิ่งนั้น ที่นี้ก็ชื่อว่าไม่ควรสำเร็จแห่งทานเหมือนกัน บางคนทำบาปกรรมต่างๆ มีปาณาติบาตเป็นต้น มีมิจฉาทิฏฐิเป็นที่สุด เวลาตายแล้วได้ไปเกิดในเปรตวิสัย สิ่งใดเป็นอาหารของเปรตวิสัย เขาก็มีชีวิตอยู่ด้วยสิ่งนั้น อีกอย่างหนึ่ง พวกมิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิต ได้อุทิศผลทานอันใดไปให้ เขาก็มีชีวิตอยู่ด้วยผลทานอันนั้น ที่นี้แหละพราหมณ์เรียกว่าเป็นที่ควรสำเร็จแห่งผลทาน พรามหณ์นั้นจึงทูลถามต่อไปว่า ถ้าญาติสาโลหิตนั้นไม่ได้เกิดในเปรตวิสัย ใครเล่าจักได้บริโภคผลทานนั้น ตรัสตอบว่า พวกญาติสาโลหิตเหล่าอื่นซึ่งได้เกิดอยู่ในเปรตวิสัยจักได้บริโภคผลทานนั้น พราหมณ์นั้นจึงทูลถามต่อไปว่า ถ้าญาติสาโลหิตของผู้นั้นก็ไม่ได้เกิดในเปรตวิสัย ญาตสาโลหิตเหล่าอื่นก็ไม่ได้เกิดในเปรตวิสัย ใครเล่าจักได้บริโภคผลทานนั้น จึงตรัสตอบว่า เป็นไปไม่ได้พราหมณ์ คือการที่จะว่างจากญาติสายโลหิตซึ่งเกิดเป็นเปรตมาแล้วตลอดกาลนานถึงเพียงนี้เป็นอันไม่มี ทั้งทายกผู้ให้ทานก็ไม่ไร้ผล ดังนี้

    คราวนั้นพระพุทธองค์มีพระพุทธปรสงค์จะทรงแสดงความไม่มีแห่งเหตุที่จะให้ได้สมบัติมีการทำนาและเลี้ยงโคซื้อขายเป็นต้น อย่างอื่นในเปรตวิสัยนั้นจึงได้ตรัสว่า ในเปรตวิสัยนั้น ไม่มีการทำนา ไม่มีการเลี้ยงโค ไม่มีการซื้อขาย พวกเปรตย่อมได้สมบัติด้วยทาน ที่มิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิตส่งไปให้แล้วทรงแสดงให้เห็นว่า ทานที่มิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิตทำส่งไปให้นั้น ย่อมสำเร็จแก่พวกเปรต เหมือนกับน้ำฝนที่ตกในที่สูง แล้วไหลไปสู่ที่ต่ำและเหมือนน้ำในแม่น้ำต่างๆ ไหลไปสู่มหาสมุทรฉะนั้น

    ครั้นตรัสดังนี้แล้ว จึงได้ทรงสอนให้ผู้มีเมตตากตัญญูบริจาคทานแล้วแผ่ส่วนบุญไปให้แก่ผู้ที่ตายไป โดยถือว่าได้มีบุญคุณแก่ตนหรือเป็นญาติมิตสหายของตน แล้วทรงสอนไม่ให้บุคคลผู้ยังร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ พิไรรำพันถึงผู้ที่ตายไปแล้ว เพราะไม่มีประโยชน์อันใด จะมีประโยชน์แก่ผู้ที่ตายไปก็แต่การถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์เท่านั้น ผู้ที่ให้ทานแล้วส่งผลบุญให้พวกที่ตายไป ได้ชื่อว่า แสดงญาติธรรม คือความเป็นญาติมิตรสหายกันให้ปรากฏแก่คนทั้งหลาย ทั้งได้ชื่อว่า ได้บูชาพวกเปรตด้วยทำให้พวกเปรตได้ทิพยสมบัติ ทั้งได้ชื่อว่าเพิ่มกำลังให้แก่พระภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่ถวายทานเพื่อผู้ตายไป ย่อมได้รับผลทานของตนคงที่ ผลทานนั้นไม่หมดไปด้วยการแผ่นส่วนบุญให้ผู้ที่ตายไป

    เมื่อทรงแสดงจบลงอย่างนี้แล้ว ก็มีผู้ได้บรรลุมรรคผลเป็นอันมาก รุ่งขึ้นวันที่ ๒ จนถึงวันที่ ๗ ก็ได้ทรงแสดงติโรกุฑฑคาถานี้อีกทุกวัน มีเทพยดามนุษย์ ได้บรรลุมรรคผลเป็นอันมากทุกวัน สิ้นเนื้อความในติโรกุฑฑคาถาเพียงเท่านี้


    <FONT face="Microsoft Sans Serif"><FONT color=#000080>ในคัมภีร์มงคลทีปนีว่า บุคคลควรให้ทานเพื่อพวกญาติที่เป็นเปรต เพราะพวกเปรตได้อนุโมทนาแล้ว ย่อมได้รับผล ดังพวกเปรตที่เป็นญาติของพระเจ้าพิมพิสารซึ่งแสดงมา เป็นนอันได้ใจความว่า เจตนาอนุโมทนาของพวกเปรตย่อมให้ผลในทันใด ไม่ต้องกล่าวถึงเจตนาของมนุษย์ทั้งหลายดังเรื่องทั้งหลายที่จะแสดงต่อไป กล่าวคือ ในอรรถกถาแห่งสีลานิสังสชาดกในวรรคที่ ๓ แห่งทุกนิบาตว่า ในครั้งศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพธเจ้าโน้น มีอุบาสก โสดาบันคนหนึ่งได้ลงเรือไปกับกฎุมพีช่างตัดผมคนหนึ่ง พอถึงวันที่ ๗ เรือก็ได้แตกในท่ามกลางทะเล คนทั้ง ๒ นั้นได้นอนที่กระดานแผ่นเดียวกันไปถึงเกาะแห่งหนึ่ง แล้วก็ขึ้นไอาศัยอยู่บนเกาะนั้น ช่างตัดผมนั้นได้ฆ่านกทั้งหลายมาปิ้งกิน แล้วแบ่งให้อุบาสก อุบาสกก็ไม่กินด้วยคิดว่าไม่สมควรแก่เรา แล้วคิดว่า ในที่นี้ยกเว้นพระไตรสรณคมน์เสียแล้วที่พึ่งอย่างอื่นของเราไม่มี เมื่ออุบาสกนั้นระลึกถึง คุณพระรัตนตรัยอยู่อย่างนั้น พญานาคซึ่งเกิดอยู่ในเกาะนั้นก็ได้จำแลงตัวเป็นเรือใหญ่เต็มด้วยแก้ว ๗ ประการ สมุทรเทวดาได้เป็นต้นหน ยืนอยู่ที่หัวเรือ ร้องประกาศว่า ผู้จะไปชมพูทวีปมีอยู่หรือฯ อุบาสกนั้นตอบว่ามีอยู่ ข้าพเจ้าทั้งหลายจักไป เมื่อเทวดาบอกว่าจงมาลงเรือ ก็ไปลงเรือแล้วเรียกช่างกัลบกฯ เทวดาบอกว่า ศีลธรรมของช่างกัลบกนั้นไม่มีเพราะฉนั้น ช่างกัลบกนั้นจึงไม่สมควรลงเรือลำนี้ฯ อุบาสกจึงว่าข้อที่เขาไม่มีศีลธรรมนั้นจงยกไว้ ข้าพเจ้าขอให้ส่วนบบุญที่ข้าพเจ้าได้ให้ทานรักษาศีล เจริญภาวนาแก่เขา ช่างกัลบกก็รับว่า ข้าพเจ้าขออนุโมทนาฯ ในเวลานั้นเทวดาจึงให้ช่างกัลบกนั้นลงเรือ แ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2012
  11. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
  12. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    กัณฑ์ที่ ๙
    คัมภีร์ขุททกนิกาย เปตวัตถุ

    ว่าด้วยนางเปรตที่กินลูกของตน

    นคฺคา ทุพฺพณฺณรูปาสีติ อิทํ สตฺถริ สาวตฺถิยํ วิหรนฺเต ปญฺจปุตฺตขาทกเปตึ อารพฺภ วุตฺตนฺติ.

    ณ บัดนี้ อาตมภาพจักแสดงพระไตรปิฎกเทศนามหาวิตถารนัย ในคัมภีร์ขุททกนิกาย เปตวัตถุ กัณฑ์ที่ ๙ ว่าด้วยนางเปรตที่กินลูกของตนสืบไป เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา และพุทธศาสนิกชนทั้งหลายตลอดกาลนาน

    อรรถกถา

    ดำเนินความตามอรรถกถาแห่งเปตวัตถุ คัมภีร์ปรมัตถทีปนีนั้นว่า เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาประทับอยูที่พระเชตวัน กรุงสาวัตถี ได้ทรงปรารภนางเปรตผู้กินบุตรคราวละ ๕ คนให้เป็นต้นเหตุ จึงได้ตรัสเทศนาว่า นคฺคา ทุพฺพณฺณรูปาสิ เป็นต้น ซึ่งจะมีเนื้อความแจ่มแจ้งในตอนปลาย ส่วนในตอนต้นนี้จะได้ว่าถึงเรื่องนางเปรตตนนี้ก่อน คือมีภรรยาของกุฎุมพีคนหนึ่งซึ่งอยู่ในบ้านตำบลหนึ่งใกล้กรุงสาวัตถี เป็นหญิงหมันฯ พวกญาติของกุฎุมพี นั้นได้บอกกุฎุมพีนั้นว่า ภรรยาของเจ้าเป็นหญิงหมันฯ พวกเราจะหาหญิงอื่นมาให้ฯ กุฎุมพีนั้นก็ไม่ต้องการเพราะความรักภรรยา ลำดับนั้น ภรรยาของกุฎุมพีนั้นก็ทราบเรื่องจึงบอกสามีว่า ข้าพเจ้าเป็นหญิงหมันท่านควรจะหาหญิงอื่นมาเป็นภรรยาอย่าให้ตระกูลของท่านขาดสูญฯ กุฎุมพีนั้นถูกภรรยารบเร้าก็ได้ไปหาหญิงอื่นมาเป็นภรรยาฯ ต่อมาภายหลังภรรยาใหม่นั้นมีครรภ์ หญิงหมันก็เกิดความริษยาว่า หญิงนั้นได้บุตรแล้วก็จะเป็นใหญ่ในเรือนนี้ จึงคิดหาอุบายที่จะฆ่าลูกในท้องของหญิงนั้นเสีย จึงได้รับปฏิบัติปริพาชกคนหนึ่ง ด้วยข้าวน้ำเป็นต้น แล้วขอให้ปริพาชกนั้นประกอบยาฆ่าลูกในท้องของหญิงนั้น เมื่อครรภ์ของหญิงนั้นตกไป หญิงนั้นก็บอกแก่มารดาของตนฯ มารดาก็ประชุมพวกญาติแล้วเล่าเรื่องนั้นให้ฟังฯ พวกญาติก็บอกหญิงหมันนั้นว่า เจ้าได้ทำครรภ์ของหญิงนี้ให้ตกไปฯ หญิงหมันนั้นก็ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำฯ คนทั้งหลายจึงว่า ถ้าเจ้าไม่ได้ทำครรภ์ของหญิงนี้ให้ตกไปเจ้าจงสบถฯ หญิงหมันนั้นก็สบถว่า ถ้าข้าพเจ้าได้ทำครรภ์ของหญิงนี้ให้ตกไป ขอให้ข้าพเจ้าไปไปเกิดเป็นเปรตอดอยาก ให้คลอดบุตรเช้า ๕ คน เย็น ๕ คน ให้ข้าพเจ้าได้กินบุตรของข้าพเจ้าจงอย่าให้รู้อิ่ม ทั้งให้กลิ่นกายข้าพเจ้าเหม็นฟุ้งอยู่เป็นนิจ กัปให้แมลงวันตอมอยู่ทั่วตัว ดังนี้ฯ ต่อมาไม่ช้าหญิงหมันนั้นก็ตาย แล้วไปเกิดเป็นนางเปรตมีรูปร่างน่าเกลียดอ่างยิ่งอยู่ใกล้บ้านนั้นฯ ในคราวนั้นมีพระเถรเจ้า ๘ องค์ ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่หัวเมือง เวลาออกพรรษาแล้วก็พากันมาสู่กรุงสาวัตถีเพื่อจะเฝ้าพระพุทธองค์ ได้พากันแวะพักในป่าแห่งหนึ่งซึ่งสมบูรณ์ด้วยร่มเงาและน้ำใกล้บ้านตำบลนั้นฯ ในคราวนั้น นางเปรตนั้นก็ได้แสดงตัวให้ปรากฏแก่พระเถรเจ้าทั้ง ๘ฯ พระเถรเจ้าผู้เป็นหัวหน้าจึงถามนางเปรตนั้นว่า เจ้าเป็นผู้เปลือยกายมีรูปร่างน่าเกลียด มีกลิ่นเหม็นฟุ้งไป มีแมลงวันตอมอยู่เป็นหมู่ฯ เจ้าเป็นอะไรจึงมายืนอยู่ในที่นี้ฯ นางเปรตนั้นตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นเปรตอยู่ในยมโลก ข้าพเจ้าได้ทำบาปกรรมไว้แล้วแต่เมื่อเกิดเป็นมนุษย์จึงได้มาเกิดเป็นเปรตอยู่ในที่นี้ ข้าพเจ้าได้คลอดลูเช้า ๕ คน เย็น ๕ คน (ตามต้นฉบับ) คลอดออกมาก็กินเสีย แต่ถึงอย่างนั้นลูกเหล่านั้นก็ไม่พอแก่ข้าพเจ้าๆ ถูกไฟไหม้อยู่เป็นนิจ ร้อนท้องอยู่เป็นนิจ ไม่ได้ดื่มน้ำเลย ขอจงดูข้าพเจ้าผู้ได้รับความทุกอยู่ในที่นี้เถิด พระเถรเจ้าได้ฟังคำของนางเปรตนี้แล้ว เมื่อจะถามถึงกรรมที่เขาได้กระทำไว้ จึงได้ถามถึงกรรมที่เขาได้กระทำไว้ด้วย กาย วาจา ใจ อย่างไร จึงได้มาเกิดเป็นเปรตกินลูกของตนอยู่เช่นนี้ฯ นางเปรตตอบว่า เมื่อชาติก่อนโน้น หญิงร่วมสามีของข้าพเจ้าได้เป็นหญิงมีครรภ์ ข้าพเจ้าได้มีจิตคิดร้ายกระทำให้ครรภ์ของหญิงนั้นตกไป หญิงนั้นมีครรภ์เพียง ๒ เดือนเท่านั้น มารดาของหญิงนั้นก็โกรธให้ข้าพเจ้าสบถ ทั้งด่าว่าข้าพเจ้าๆ ก็ได้สบถว่า ถ้าข้าพเจ้าได้ทำสิ่งนี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้กินบุตรของข้าพเจ้าเอง เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงได้กินบุตรของข้าพเจ้าอันเปื้อนด้วยปุพโพโลหิตด้วยกรรมอันนี้ ทั้งด้วยโทษแห่งการกล่าวเท็จฯ ครั้นนางเปรตนั้น แสดงปุพพกรรมของตนอย่างนี้แล้ว จึงเล่าให้พระเถรเจ้าฟังต่อไปว่า เมื่อชาติก่อนข้าพเจ้าได้เป็นภรรยาของกุฎุมพีชื่อโน้นในบ้านนี้ ได้มีความริษยาจึงได้ทำบาปกรรมไว้ แล้วได้มาเกิดในกำเนิดเปรต ขอท่านทั้งหลายจงไปที่เรือนของกุฎุมพีนั้น กุฎุมพีนั้นถวายทานแก่ท่านทั้งหลายแล้ว ท่านทั้งหลายจงให้แผ่ส่วนบุญให้แก่ข้าพเจ้าๆ จึงจะได้พ้นจากกำเนิดเปรตฯ พระเถรเจ้าทั้งหลายก็เกิดเมตตากรุณาจึงได้ไปบิณฑบาตที่บ้านของกุฎุมพีนั้นๆ ได้เห็นพระเถรเจ้าทั้งหลายแล้วก็เกิดความเลื่อมใส ลงไปรับเอาบาตร นิมนต์ให้ขึ้นเรือนของตน แล้วถวายอาหารอันประณีตแก่พระเถรเจ้าทั้งหลายๆ ก็เล่าเรื่องนั้นให้กุฎุมพีฟังแล้วให้กุฎุมพีแผ่นผลทานนั้นไปให้นางเปรตนั้นฯ ในขณะนั้นเอง นางเปรตนั้นก็ได้พ้นจากความเป็นเปรตกลายเป็นนางเทพธิดา แล้วมาแสดงตัวให้ปรากฏแก่กุฎุมพีนั้นในเวลากลางคืนฯ ส่วนพระเถรเจ้าทั้งหลายก็ได้ออกเดินทางต่อไปจนกระทั่งถึงกรุงสาวัตถี กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระพุทธองค์ๆ ก็ทรงทำเรื่องนั้นให้เป็นต้นเหตุแล้วทรงแสดงธรรมแก่ประชุมชนทั้งหลายฯ มหาชนที่ได้ฟังเรื่องเปรตแล้วนั้นก็เกิดความสลดใจ ได้พากันงดเว้นซึ่งความริษยา และความตระหนี่ฯ กรทรงแสดงธรรมของพระพุทธองค์ได้มีประโยชน์แก่มหาชนตามสมควรแก่บารมีของตนๆ เป็นอันว่า จบเรื่องนางเปรตกินลูกคราวละ ๕ คนเพียงเท่านี้

    ต่อไปนี้เป็นเนื้อความในอรรถาธิบายว่า เรื่องนางเปรตที่กินลูกของตนคราวละ ๕ คน คือเช้าา ๕ คน เย็น ๕ คน ดังที่แสดงมาแล้วนี้เป็นบาปกรรมที่ได้ฆ่าลูกในท้องของแล้วทำการสบถดังแสดงมา การที่นางเปรตนั้นจะฆ่าลูกในท้องของผู้อื่น ดังที่แสดงมาแล้วนั้นก็เพราะเป็นด้วยความริษยา คือความหึงหวงเกียดกันไม่อยากให้หญิงร่วมสามีนั้นได้ดี คือในคราวนั้นที่บ้านเมืองนั้นเขาถือกัน ตระกูลใดไม่มีบุตร ตระกูลนั้นต้องขาดสูญ เพราะฉะนั้นถ้าตระกูลใดไม่มีบุตร ตระกูลนั้นต้องหาภรรยาใหม่ เมื่อภรรยาคนใดมีบุตรก็ตั้งภรรยาคนนั้นให้เป็นใหญ่ ถึงภรรยาคนนั้นจะเป็นภรรยาน้อยก็ตาม แต่เมื่อมีบุตรแล้วเขาก็ต้องยกให้เป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นจึงเกิดความริษยา คือนึกเกียดกันไม่อยากให้หญิงนั้นมีบุรจึงได้คิดหาอุบายฆ่าลูกในท้องของหญิงนั้นเสีย การฆ่าลูกในท้องไม่ว่าลูกของตนหรือของผู้อื่นย่อมบาปหนักทั้งนั้น เพราะจัดเป็นการฆ่ามนุษย์โดยแท้ เพราะฉะนั้น ในพระวินัยจึงได้มีบัญญัติไว้ว่า ถ้าพระภิกษุแกล้งฆ่ามนุษย์โดยที่สุดฆ่าลูกในท้องของเขาก็ตาม ก็ต้องเป็นปาราชิกขาดความเป็นภิกษุ ดังนี้บาปห่ามนุษย์ย่อมเป็นบาปมากกว่าสัตว์ดิรัจฉานหลายเท่า สมควรที่หญิงนั้นจะต้องไปตกนรก แต่เพราะหญิงนั้นได้สบถไว้ว่า ขอให้ได้เกิดเปรตได้กินลูกของตนเป็นอาหารดังที่แสดงมา หญิงนั้นจึงไม่ได้ไปตกนรก เพียงแต่ได้ไปเกิดเป็นเปรตเท่านั้น ไม่ใช่แต่จะบาปเฉพาะหญิงนั้นก็หามิได้ ถึงปริพาชกผู้ประกอบยาฆ่าลูกในท้องนั้นก็บาปเหมือนกัน เพราะการฆ่าผู้อื่น ฆ่าก็บาป ให้ผู้อื่นฆ่าก็บาป ผู้ที่ถูกบังคับให้ฆ่า อ้อนวอนให้ฆ่าก็บาป ยินดีในการที่เป็นผู้อื่นฆ่าก็บาป สรรเสริญการฆ่าว่าเป็นการดีก็บาป อันการฆ่าลูกในท้องในประเทศของเราก็มีอยู่เสมอ แต่ดดยมากมารดาฆ่าเองคือมารดาที่จะฆ่าลูกในท้องนั้น ได้แก่หญิงที่ลอบลักกับชายโดยไม่ได้อยู่กินเป็นสามีภรรยากัน เมื่อมีท้องก็ละอายชาวบ้านจึงกินย่าฆ่าลูกในท้องเสียหรือฆ่าด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง การฆ่าลูกในท้องของหญิงในบ้านเมืองของเราย่อมเป็นอย่างนี้โดยมาก เพราะฉะนั้นถ้าหญิงคนใดกลัวตกนรก กลัวเกิดเป็นเปรต ดังนางเปตที่แสดงมาแล้วนี้ หญิงคนนั้นจงอย่าฆ่าลูกในท้องของตัวเองหรือของคนอื่นเป็นอันขาด เพราะการฆ่าลูกในท้องเป็นบาปมากจะต้องไปตกนรก หรือเกิดเป็นเปรตดังที่แสดงมา

    ก็นรกที่หญิงผู้ทำครรภ์ให้ตก คือผู้ฆ่าลูกในท้องของตนนั้นได้แก่เวตรณีนรก อันเต็มไปด้วยเครือหวายซึ่งมีคมหนามอันคม มีพระบาลีที่เป็นคาถาในสังกิจจชากดว่า

    ขุรธารมนุกฺกมฺม ติกฺขํ ทูรภิสมฺภยํ
    ปตนฺติ คพฺภปาตินิโย ทุคฺคํ เวตฺตรณี นทีฯ

    ซึ่งมีคำแปลว่า พวกหญิงที่ทำให้ครรภ์ตก ย่อมตกเวตรณีนทีนรก คือนรกที่มีหนามหวายอันแหลมคมแข็ง เต็มไปด้วยน้ำแสบน้ำเค็มข้ามไปได้ยากดังนี้ ในคัมภีร์ไตรภูมิโลกวินิจฉัยว่า เวตรณีนทีนั้นแปลว่า แม่น้ำอันเต็มไปด้วยน้ำเค็ม อธิบายว่า นรกนี้เต็มไปด้วยน้ำเค็มย่ิ่งนัก ขอบปากนรกนี้ดาษไปด้วยเครือหวายและขวากหนาม กรรมบันดาลให้สัตว์นรกทั้งหลายแลเห็นว่าเป็นสระใหญ่ เข้าใจว่าจะได้กินอาบตามสบายแล้วก็วิ่งไป เมื่อไปจวนจะถึงก็ถูกขวากหนามปักเท้าล้มลงไป เมื่อลุกขึ้นได้ ก็ได้วิ่งเซซังหนีกลับมา พวกนายนิรยบาลก็ต้อนไปไล่ตีให้วิ่งไปด้วยค้อนอันใหญ เมื่อทนไม่ได้ก็วิ่งต่อไป เมื่อวิ่งไปถึงนรกอันเต็มไปด้วยน้ำเค็มแล้วก็กระโดดลงไปถูกเครือหวายและหนามหวายแล้ว ตกลงไปในน้ำเค็ม รู้สึกทั้งเจ็บทั้งแสบยิ่งนัก ลอยไปลอยมาอยู่ในน้ำเค็มนั้นจนกว่าจะสิ้นบาปกรรม ในขณะที่ลอยไปมาอยู่นั้น พวกนายนิรยบาลก็เอาเบ็ดเหล็กใหญ่เกี่ยวลากขึ้นมาขึงไว้กับแผ่นเหล้กแดง กรอกปากด้วยก้อนเหล็กแดง เวลาตายแล้วก็เกิดอีก พวกนายนิรยบาล ก็จับโยนลงไปในน้ำเค็มอีก ทำอยู่อย่างนี้จนกว่าจะสิ้นบาปกรรมดังนี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรที่ใครจะทำครรภ์ให้ตก คือ ฆ่าลูกในท้องของตนหรือของคนอื่นเป็นอันขาด


    <FONT face="Microsoft Sans Serif"><FONT color=#000080>ในคัมภีรเนมิราชชากดว่า มาตลีเทพบุตรได้บันดาลให้พระเจ้าเนมิราชได้ทอดพระเนตรเห็นเวตรณีนทีนรก คือแม่น้ำอันเต็มไปด้วยเหคือหวายที่ข้ามได้ยาก ประกอบไปด้วยน้ำ ซึ่งเหมือนน้ำกรดร้อนดังเปลวเพลิงฯ ในอรรถกถาว่า นรกนั้น เป็นแม่น้ำชนิดหนึ่ง ซึ่งดาษไปด้วยเครือ มีหนามแหลมเหมือนปลายหอกลุกเป็นเปลวไฟ พวกสัตว์นรกตกอยู่ในนรกนี้หลายพันปี มีหัวขาด ตัวขาด เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่อยู่บนหนามหวายที่คมเหมือนมีดโกน ทั้งลุกเป็นเปลวไฟฯ ใต้หนามหวายลงไปเต็มไปด้วยหลาวเหล็กแดงๆ แต่ละอันๆ ใหญ่เท่าลำตาลฯ พวกสัตรซืนรกครั้นตกตจากเครือหวายลงไป ก็ถูกหลายเหล็กเสียบไว้เหมือนปลาที่บุคคลเสียบไว้ตลอดกาลนานฯ ในขณะที่ถูกเสียบอยู่นั้น หลาวเหล็กก็ลุกเป็นเปลวเพลิง ตัวสัตว์นรกก็ลุกเป็นเปลวเพลิงฯ ครั้นตกจากหลาวเหล็กลงไป ก็ไปถูกใบบัวเหล็กแดงอยู่ข้างล่าวง เสวยทุกขเวทนาอยู่ตลอดกาลนานฯ ตกจากใบบัวเหล็กแดงลงไป ก็ไปถึงน้ำแสบน้ำเค็มข้างล่าง ซึ่งลุกเป็นเปลวเพลิง พวกสัตว์นรกก็ลุกเป็นเปลวเพลิงเมือนกัน ทั้งมีควันกลุ้มอยู่ ใต้น้ำแสบน้ำเค็มลงไปเป็นน้ำกรด พวกสัตรว์นรกคิดว่า ข้างล่างจะเป็นอย่างไรหนอ จึงพร้อมกันดำลงไป ครั้งลงไปถูกน้ำกรดเข้า ร่างกายก็ขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ พากันร้องไห้เสียงระงมไป พากันหงายไปมาอยู่ตามกระแสน้ำฯ ฝ่ายพวกนายนิรยบาล ซึ่งยืนอยู่บนริมฝั่งก็ช่วยกันแทงด้วยหอก หลาว ซ่อมสว่าน เหมือนกับแทงปลา แล้วเอาเหล็กแดงเกี่ยวลากขึ้นไปทิ้งไปบนแผ่นเหล็กแดง เอาก้อนเหล็กแดงกรอกเข้าปาก ดังนี้ เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรที่จะฆ่าลูกในท้องของตน หรือของคนอื่นเป็นอันขาด เพราะผู้ที่ฆ่าลูกในท้องย่อมไปตกเวตรณีนรกดังที่ว่ามาแล้วนี้ เมื่อพ้นจากเวตรณีนรกแล้วยังไปเกิดเป็นเปรตอยู่อีกตลอดกาลนาน การที่จะห่าลูกในท้องของตนหรือของคนอื่นนั้นย่อมมีเหตุผลหลายประการ เป็นต้นว่า ตนไม่มีสามีแต่มีท้องก็เกิดความละอายแล้วจึงฆ่าลูกในท้องก็มี ตนมีความริษยาผู้อื่นแล้วคิดฆ่าลูกในท้องของผู้อื่นเหมือนกับหญิงเปรตที่กินลูกของตั เช้า ๗ คน เย็น ๗ คน (ตามต้นฉบับ) ดังที่แสดงมาแล้วนั้นก็มี เห็นแก่สิ้นจ้างสินบน แล้วห่าลูกในท้องคนอื่นก็มี ดังนี้เป็นต้น แต่ว่าเหตุไม่สมกับผล เพราะว่า เหตุที่จะให้ฆ่าลูกในท้องย่อมไม่สมกับผลที่จะได้ คือผลที่จะได้ในชาตินี้นั้นเพียงแต่ไม่ได้รับความอับอายชาวบ้าน หรือเพียงแต่ได้รับสินจ้างรางวัลอย่างหนึ่งเท่านั้น ส่วนโทษที่จะได้รับนั้นมีมากกว่าหลายแสนเท่า เพราะต้องไปตกเวตรณีนรกอันเป็นนรกร้ายกาจดังที่แสดงมา ทั้งยังจะต้องมาเกิดเป็นเปรตอีก หนทางที่ดีที่สุดแล้วคือ หญิงทั้งหลายที่ยังไม่มีสามี ไม่ควรให้มีท้องเป็นอันขาด ต้องนึกถึงความเสื่อมเสีย ความอับอาย ความทุกข์ในการที่จะอุ้มท้องประคองครรภ์และเลี้ยงลูกน้อยซึ่งไม่มีพ่อให้มากที่สุด อย่าเห็นแก่ความรักเป็นอันขาด ต้องนึกไว้เสมอว่า ยังไม่มีสามีตราบใด เรายังไม่สละพรหมจรรย์อยู่ตราบนั้น เราจะต้องรักษาพรหมจรรย์ คือความบริสุทธิ์ของเราอยู่ตราบนั้น แต่ผู้ที่ถลำใจไปแล้วก็ควรคิดว่า ไหนๆ ก็ท้องแล้ว เราจะต้องเลี้ยงลูกต่อไป เราเลี้ยงไว้ดีกว่าเราห่าเสีย ลูกเราเองต้องดีกว่าลูกคนอื่น ผู้ที่หาลุกคนอื่นมาเลี้ยงก็มีถมไป ถึงเราจะมีลูกที่ได้ชื่อว่า ไม่มีพ่อก็ตาม เราก็ต้องพยายามเลี้ยงไปตามกรรมของเรา ดังนีั้ ส่วนผู้ที่รับสินจ้างรางวัลให้ฆ่าล%u
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...