สืบสานความเมตตา อุดมการณ์แห่งพระธรรมทูต

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย aprin, 15 สิงหาคม 2011.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    โดย...มนสิกุล โอวาทเภสัชช์


    วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๗.๓๐ น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีจะเสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชทานเพลิงศพ พระเทพโพธิเทศ ที่รู้จักกันในนาม หลวงพ่อทองยอด ภูริปาโล อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา หัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล ณ เมรุวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตาอย่างประมาณมิได้

    หลวงพ่อทองยอดมรณภาพด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพมหานคร จากนั้นศพหลวงพ่อตั้งบำเพ็ญกุศล สวดพระอภิธรรม มีกำหนด ๑๐๐ วัน ณ ตำหนักสมเด็จวัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ พระอาจารย์คมสรณ์ คุตตธัมโม พระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย เล่าว่า เป็นงานแรกที่วัดมหาธาตุฯ แทบไม่ต้องรับเป็นเจ้าภาพเลย เพราะมีญาติโยมผู้ศรัทธาหลวงพ่อนั้นมาจองเป็นเจ้าภาพทุกวันไม่เว้นวัน จนถึงวันนี้ ยังสามารถไปกราบสรีระท่าน พร้อมทั้งฟังสวดพระอภิธรรมและฟังการบรรยายธรรมได้ในเวลา ๑๙.๐๐ น. จนถึงวันที่ ๒๑ สิงหาคม

    สำหรับการสืบทอดงานพระธรรมทูตนั้น พระราชรัตนรังษี (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ ) ว่า อย่าประมาทกับชีวิต และให้คิดถึงอนิจจังเข้าไว้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เจ้าอาวาสวัดไทยกุสินารา อินเดีย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ซึ่งเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าพระธรรมทูต ฝ่ายประเทศอินเดีย-เนปาล สืบเนื่องต่อจากท่านเจ้าคุณพระเทพโพธิวิเทศ ตามมติของมหาเถรสมาคม เล่าว่า งานของพระธรรมทูตมีการลำดับการเผยแผ่ไว้แต่ละช่วงของเจ้าอาวาส ตั้งแต่พระธรรมทูตชุดที่หนึ่ง ชุดที่สอง ชุดที่สาม ซึ่งมีพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระเทพโพธิวิเทศเป็นประธาน โดยกาลเวลานี้ท่านได้มรณภาพไป ส่วนงานของคณะพระธรรมทูตก็ยังคงอยู่ เพราะเป็นงานที่เป็นไปตามแผนงาน ซึ่งคณะสงฆ์ไทยได้วางรูปแบบไว้โดยมหาเถรสมาคม และรัฐบาลได้วางร่วมกันมาโดยตลอด

    "งานพระธรรมทูตที่สำคัญประเด็นหนึ่งคือ ต้องต่อยอดให้อุดมการณ์ ให้วิธีการ ให้รูปแบบของการปฏิบัติงานของพระธรรมทูตสอดคล้องตามความต้องการของมหาชนที่มีความทุกข์ ความวุ่นวายผุดขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าในมุมของศาสนาไหน เราผู้อยู่ใกล้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรม ปรินิพพาน ก็ย่อมหาวิธีการเพื่อจะอภิบาลรักษา โดยวิธีการบัวมิให้ช้ำ น้ำมิให้ขุ่น เพื่อให้มองโลกอย่างรู้แจ้งเห็นจริง เพราะเราเกิดมาในโลก ก็ถูกแรงโลกนี้เหวี่ยงไป เมื่อมีหลักธรรมจากพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเครื่องมือไว้ป้องกันไม่ให้ถูกโลกเหวี่ยงไปโดยไร้ทิศทาง เราก็ต้องทำ เพราะเราเป็นคนเกิดมาในโลก แต่อย่าเป็นเหยื่อของโลก ต้องเห็นโลกตามความเป็นจริง บริหารโลก โดยนำหลักธรรมมาเป็นเครื่องค้ำจุน ให้เราใช้วัตถุปัจจัยสี่อย่างมีระบบ ใช้น้ำใช้ไฟด้วยอาการไม่มูมมาม ไม่สุรุ่ยสุร่าย ไม่ตะกระตะกราม พอเพียง ชีวิตมนุษย์ก็จะอยู่ได้ "

    ทำให้นึกถึงครั้งแรกในชีวิตที่ได้ไปเยือนสังเวชนียสถานในประเทศอินเดียเมื่อ ๗ ปีก่อน ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ สถานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม พุทธคยา รัฐพิหาร ที่พึ่งของผู้แสวงบุญในตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็คือ วัดไทยพุทธคยา ซึ่งอยู่ห่างจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ประมาณ ๓๐๐ เมตร

    วัดไทยพุทธคยาก่อตั้งมา ๕๔ ปี ตั้งแต่กึ่งพุทธกาล โดยได้รับเชิญจากรัฐบาลอินเดียและให้เช่าที่ดินในราคาถูกเป็นเวลา ๙๙ ปี และที่นี่เองเราได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อทองยอดเป็นอย่างสูง นอกจากให้ที่พัก ให้อาหาร แล้วก็ยังให้ธรรมะทุกเช้าที่ได้ไปกราบท่าน

    หลวงพ่อทองยอดบอกว่าอย่าประมาทกับชีวิต ให้คิดถึงอนิจจังเข้าไว้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้ขยันสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็นด้วยความตั้งใจอย่าได้ขาด จะได้อานิสงส์มาก เพราะในขณะสวดมนต์ มรรคมีองค์ ๘ อยู่ในนั้นหมดเลย อย่าให้ใจวอกแวก

    "มีภาษิตหนึ่งบอกว่า หลีกเลี่ยงคนพาล สังสรรค์บัณฑิต ทำดีเป็นนิจ คิดถึงอนิจจัง เป็นกรรมฐานในตัว ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง อย่าไปยึดมั่นถือมั่น เดี๋ยวพลาดไปใจเสีย ทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา คิดถึงอนิจจังไว้ เมื่อเห็นอนิจจัง ก็จะเห็นทุกขัง และเห็นอนัตตาด้วย"

    และในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่ท่านกำลังให้อาหารปลาในสระใหญ่ ได้กราบเรียนถามประวัติท่าน ท่านก็เมตตาเล่าให้ฟังว่า เป็นชาวอยุธยาโดยกำเนิด ตอนแรกที่บวชเพราะปีนั้นกำลังเกิดสงคราม แล้วพี่ชายบวชพระ โยมแม่ก็เลยขอร้องว่า ให้ลูกบวชเณรให้แม่หน่อย คนโบราณถือว่า บวชเณรได้กับแม่ บวชพระได้กับพ่อ

    "แต่ความจริงแล้วบวชพระหรือบวชเณรก็ได้บุญทั้งพ่อและแม่นั่นแหละ"

    ตอนแรกท่านคิดบรรพชาเป็นสามเณรเพียง ๗ วัน แต่พอครบ ๗ วันกลับมาบ้าน โยมแม่บอกท่านว่า ผ้าเหลืองยังไม่ติดตัวเลย ขอให้บวชต่อสัก ๓ เดือนเถอะ พอสามเดือนจะสึก พี่ชายบอกว่า เณรให้เรียนต่อก่อน เรียนให้ได้พระธรรม และให้ได้ภาษาก่อนสึก แต่ในที่สุด ก็อยู่มาเรื่อยๆ จนผ่านไปห้าสิบกว่าพรรษา

    ท่านเล่าว่า สมัยก่อนมาอินเดียลำบากกว่านี้มาก จำได้ว่า เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๐๓ มาถึงอินเดียก็ต้องไปลงที่กัลกัตตาก่อน แล้วกว่าจะเดินทางมาถึงพุทธคยาต้องใช้เวลาถึง ๓ วัน

    "เมื่อก่อนที่นี่เงียบมาก มีแท็กซี่คันเดียว ต้องมารถม้ากันบ้าง ตอนนั้นตั้งใจว่าจะอยู่ที่นี่สองวันก็จะลากลับ เจ้าอาวาสท่านบอกให้อยู่ก่อน ท่านบอกว่า คุณมหาอย่าเพิ่งกลับ ตอนนั้นจอมพลป.พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เมืองไทยไม่ได้ จึงลี้ภัยมาอยู่ที่นี่และจะบวช ๒๔ วัน ท่านจึงบอกว่าให้อยู่กันให้ครบ ๑๐ รูปหน่อย พระหายาก อาตมาก็เลยอยู่"

    แล้วหลวงพ่อก็ให้ธรรมะว่า เพราะสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม "อาตมาไม่ไม่ขืนกรรม ก็เลยไม่ได้สึก" ท่านจึงเป็นดั่งหน่อเนื้อแห่งโพธิ์ตามรอยพระพุทธองค์ที่อยู่ให้เห็น เย็นให้สัมผัส ณ วัดไทยพุทธคยาจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายมาเยือน

    http://www.komchadluek.net/detail/20110814/105929/สืบสานความเมตตาอุดมการณ์แห่งพระธรรมทูต.html
     
  2. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    กราบนมัสการร่วมไว้อาลัย พระคุณเจ้าครับ....
     
  3. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,254
    กราบ อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
    ในบุญกุศลทุกอย่างด้วยครับ
    นิพพานัง ปัจจโย โหตุ
     
  4. สังสารวัฏ

    สังสารวัฏ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +5,382
    เมื่อปีที่แล้วไปอินเดีย ได้มีโอกาสกราบนมัสการหลวงพ่อ
    ท่านใจดีมากๆๆ เลยค่ะ .. เมตตาสูง ผิวกายท่านผ่องใสมาก
    ท่านบอกอยู่อินเดียมา 50 กว่าปีแล้ว ท่านมักจะไปนั่งสมาธิที่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์
    สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าบ่อยๆ..ที่นั่นมีพลังงานสูง
    ขอนอบน้อมกราบนมัสการส่งหลวงพ่อเจ้าค่ะ
    และขอกราบอนุโมทนาบุญกับหลวงพ่อทุกประการ
    ธรรมใดที่หลวงพ่อได้เห็นแล้ว ขอลูกเห็นธรรมนั้นด้วยเทอญ.. สาธุ _/|\_

    รูปที่ตั้งอยู่หน้าโลง ท่านถ่ายกับดอกบัวสีขาวในอ่าง
    ดอกบัวนี้ท่านบอกพิเศษมาก ออกดอก 3 ดอกในก้านเดียวกัน
    แต่ละดอกก็สมบูรณ์สวยงามมาก ท่านถ่ายรูปไว้ทุกระยะตั้งแต่ดอกตูม
    จนผลิกลีบบานเต็มที่ จนกระทั่งเหี่ยว .. วันหนึ่งคนงานชาวอินเดียทำความสะอาด
    เห็นว่าดอกบัวเหี่ยวแห้งแล้วจึงเด็ดออก ปรากฏว่าไม่สบายเลย
    ต้องมาจุดธูปขอขมาถึงหาย และดอกบัวนั้นหลวงพ่อก็เก็บไว้ติดบอร์ดให้คนดู

    http://palungjit.org/posts/4970974
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 สิงหาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...