ช่วยทีครับ จิตชอบฟุ้งซ่าน

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย joo12, 21 สิงหาคม 2011.

  1. joo12

    joo12 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +1
    คือ เวลาผมจะเข้าไปห้องพระเพื่อไปไหว้พระทีไร
    ในสมองมันชอบคิดเรื่องนู้นนี่ เต็มไปหมด คิดเรื่องไม่ดีๆ เรื่องแย่ๆ อยู่ตลอดเวลา จนทำให้ผมไหว้พระนานๆ หรือนั่งสมาธิ นานๆไม่ได้เลยคับ ไม่ทราบว่ามีวิธี แก้ไขมั้ยคับ :'(
     
  2. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย มีบางครั้งที่คิดไม่ดีด้วยใช่มั้ย
    อย่าคิดมาก ในครั้งที่คิดไม่ดีไม่ใช่เรา ถ้าเป็นเราคิดเราจะทุกข์ทำไม มันเป็นวิบากหนึ่งของจิต คิดซะว่าเป็นกรรมเป็นมารขวามธรรม ปล่อยมันไปไม่ต้องสนใจ พยายามมีธณรมะในใจมีพระพุทธเจ้าในใจก็พอแล้วค่อยๆขัดเกลาไปค่อยเป็นค่อยไป แค่มีพระพุทธเจ้าในใจก็ถือว่าเราเริ่มเดินถูกทางแล้ว ในเมื่อเริ่มเดินทางก็ถึงที่หมายในซักวัน ในพระพุทธศาสนาไม่มีคำว่าสาย เมื่อเดินทางถูกแล้ว ชาตินี้ไม่สำเร็จเดี๋ยวชาติต่อๆๆๆไปก็ถึงเวลาเอง ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาก็อยู่ในช่วงรอเก็บเกี่ยวประสบการณ์สะสมบุญบารมีละสิ่งที่ไม่ดี ซักวันก็จะถึงที่หมาย ขอแค่เดินถูกทางก็ไม่ต้องกลัวอะไร ปฏิบัติไม่สงบก็ไม่เป็นไรก็พยายามทำไปเรื่อย ก็กำหนดทำดูทำทุกวันเอาให้ได้วันละ5นาที หรือ10นาที หรือจะนานกว่านั้นก็ได้ จะไม่สงบก็ช่างมันขอทำไว้ก่อน สะสมทางบุญเดี๋ยวซักวันก็ถึงเอง แล้วธรรมก็ไม่ได้อยู่แค่การนั่งสมาธิ ยังอยู่ในการใช้ชีวิตประจำวันด้วย ไม่เบียดเบียนใคร มีศีลมีธรรม มีเมตตาถ้าไม่มีก็หัดมี มีกรุณาถ้าไม่มีก็หัดมี มีมุทิตาถ้าไม่มีก็หัดมี มีอุเบกขาถ้าไม่มีก็หัดมี ไม่มีสายธรรมะพระพุทธศาสนา อันไหนยังไม่ซะก็เริ่มต้นเอาเริ่มให้มันมีสะสมเอามากๆเข้าเดี๋ยวมันก็มีเอง แล้วก็หมั่นปฏิบัติเอาเพื่อความสงบ....สู้ๆตั้งใจครับ
     
  3. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    จิตฟุ้งซ่านก่อนหน้านานแล้ว แต่ไม่เคยสังเกตเอง มิใช่เพิ่งฟุ้งตอนเข้าห้องพระ

    นิพพานคืออะไร ?
     
  4. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ฝึกสติสัมปชัญญะครับรู้ตัวทั่วพร้อม...ทำอะไรอยู่ก็รู้ว่าทำอะไรอยู่ อะไรผ่านไปแล้วก็รู้ว่าผ่านไปแล้วละทิ้งไปอยู่กับปัจจุบัน...ก้าว เดิน นั่ง กราบ ใหว้...ถ้ามีสติสัมปชัญญะ จะ เห็น ร่างกาย และจิต ใจนี้ ผ่านไปผ่านไป...จะไม่หยุดอยู่กับที่เลย...คราวนี้ เรา จะเริ่มเห็นความคิด และความฟุ้งซ่าน ผ่านไป โดยไม่มีสาระที่จะนำมาพิจารณาเพื่อก่อทุกข์ต่อได้เลย ลองดู นะครับ................................
     
  5. joo12

    joo12 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +1
    @ ท่าน Reynolds , มาจากดิน , paetrix
    ขอบคุณคับ
    ผมพยายามที่จะไม่คิดแล้วคับ แต่พอหลับตาทีไร มันคิดเองทุกทีเลย ผมควบคุมมันไม่ได้ด้วย ทั้งๆที่นั่งไหว้พระอยู่แท้ๆ แต่ในหัวกลับคิดเรื่อง อกุศล อยากจะร้องไห้ ผมคงมีวิบากกรรมจริงๆ การฝึกสติสัมปชัญญะ คือรู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ใช่ปะคับ
     
  6. cast

    cast สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2011
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +3
    คุณ joo12 เรื่องแบบนี้ไม่ได้มีแต่คุณหรอกค่ะ
    ดิฉันก็เป็น แต่เป็นแบบคิดไปเรื่อยเปื่อย ต่อยอดไปด้วยน่ะสิคะ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็คิดได้จบเรื่องนั้นพอดี :'( เหมือนตอนที่เราคิด มันไม่รู้ตัวน่ะคะ
    กำลังหาวิธีอยู่เหมือนกันค่ะ
    ใครก็ได้ช่วยด้วยค่ะ
     
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    แนะนำครับ มีสัมปชัญญะ ดู การเคลื่อนใหวของร่างกายก่อน เดิน ยืน นั่ง กราบ ยกมือ ใหว้ พอ นั่งแล้ว ขอ แนะนำ อานาปานสติครับ รู้ลมหายใจเข้าออก โดย ไม่ต้องมีคำภาวนา เข้าผ่านไป ออกผ่านไป(ดูการทำอานาปานสติเพิ่มเติมครับ)....
     
  8. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ทำ อานาปานสติ ครับ หาเพิ่มเติมดูนะครับว่าปฎิบัติยังไง รับรอง.
     
  9. totccccc

    totccccc สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +24
    หาที่โล่งๆ แล้วเดินจงกลม บุญเราก็ไม่เอา บาปเราก็ไม่เอา เอาสัมผัสที่เท้าอย่างเดียว น่าจะช่วยได้ครับ :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 สิงหาคม 2011
  10. อินทร์ธนู

    อินทร์ธนู สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +2
    หยุดคิดสิครับ เลิกบัญญัติว่าอะไรเป็นอะไร เพราะเรื่องที่เราคิดแต่ละเรื่องก็ไม่เที่ยงอยู่แล้ว เกิดและดับไปตังนานแล้ว เหลือเพียงแต่อัตตาความเป็นเราเข้าไปเนื่องในสิ่งที่มันผ่านไปแล้ว ไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่มันเกิด ลองฝึกหยุดคิดดูสิ แรกๆ ก็ฝืนหน่อยแต่เดี๋ยวสักพักเริ่มชำนาญและกลายเป็นธรรมชาติแห่งว่าง โดยที่เราไม่ต้องปฏิบัตฺอะไรเลย....


    ปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย

    หากไปศึกษาในพระสูตรต่างๆในพระสุตันตปิฏกไล่เรียงตั้งแต่ธรรมจักรกัปปวัฏตนสูตร อนัตลักขณะสูตร อาทิตยสูตร เป็นต้น พระพุทธองค์ได้ตรัสลักษณะธรรมที่เหมือนกันไว้คือ "ขันธ์ 5 ไม่เที่ยงโดยสภาพมันเอง ขันธ์ 5 เป็นทุกข์ และขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนโดยสภาพมันเอง" และผู้ที่มาฟังธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสไว้แบบนี้แล้วต่างก็บรรลุธรรมในระดับชั้นแตกต่างกันไปตามความเข้าใจในธรรมของตน
    การพิจารณาธรรมว่าขันธ์ 5 ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นการเรียนรู้เพื่อขจัดความไม่เข้าใจลังเลสงสัยในธรรมทั้งปวง เมื่อได้เรียนรู้ว่าอะไรคือทุกข์และจะดับทุกข์นั่นได้อย่างไร เมื่อเข้าใจว่าขันธ์ทั้ง5 เป็นทุกข์ เมื่อเข้าใจว่าขันธ์ทั้ง5 ไม่เที่ยงโดยตัวมันเองอยู่แล้วไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่นไม่ควรเข้าเนื่องเข้าไปเนิ่นช้า ไม่ควรเข้าไปสาละวน เมื่อเข้าใจว่าขันธ์ทั้ง 5 ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้วโดยสภาพมันเอง ก็ถือว่าได้เข้าใจในกระบวนการแก้ไขปัญหาในกองทุกข์ได้ทั้งหมด


    เมื่อพิจารณาจนเกิดความเข้าใจชัดเจนแล้ว ก็จงปล่อยให้ขันธ์ทั้ง5 ดับไปทุกกรณี การดับของขันธ์ทั้ง 5 เป็นการดับโดยตัวมันเองสภาพมันเองอยู่แล้วโดยมีพื้นฐานแห่งความรู้ความเข้าใจในธรรมในการแก้ไขปัญหา เป็นวิธีการแบบที่ไม่มี "เรา" เข้าไปเกี่ยวข้องเข้าไปจัดการ มันเป็นวิธีการโดยตัวมันเองซึ่งเรียกว่า "วิธีแบบธรรมชาติ" เป็นธรรมชาติที่มันดับมันไม่เที่ยงโดยตัวมันเองอยู่แล้ว และเป็นธรรมชาติที่มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนโดยตัวมันเองอยู่แล้วเช่นกัน


    การปฏิบัติธรรมโดยการปล่อยให้มันเป็นไปตามกระบวนการ "ธรรมชาติแห่งขันธ์" ดังกล่าวนี้เป็นการปฏิบัติธรรมตามความหมายที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ ในพระสูตรต่างๆ และข้อยืนยันในสัจจธรรมอันเป็นธรรมชาติแห่งขันธ์ 5 ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน โดยสภาพมันเองโดยตัวมันเองนี้ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในนิพพานสูตรว่า "นิพพานคือธรรมชาติอันปรุงแต่งไม่ได้แล้ว" ซึ่งหมายถึงพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมไว้ว่า เส้นทางแห่งพระนิพพานเป็นเส้นทางในกระบวนการ "ธรรมชาติ" เท่านั้น เป็นธรรมชาติที่ไม่เที่ยงอยู่แล้ว โดยตัวมันเองนั้นเท่ากับว่ามันเป็นธรรมชาติที่มันไม่ปรุงแต่งอยู่แล้วโดยสภาพมันเองอีกด้วยเช่นกัน เป็นความหมายโดยนัยยะ


    -การที่คิดว่าจะต้องเข้าไปทำอะไรสักอย่างหนึ่งกับอีกอย่างหนึ่งเพื่อให้พระนิพพานเกิดเช่น การคิดว่าเราจักต้องทำสติ สมาธิ ปัญญา เพื่อให้ไปสู่เส้นทางพระนิพพาน ความคิดเช่นนี้เป็นลักษณะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 โดยลืมนึกว่าความคิดแบบนี้ก็ล้วนไม่เที่ยงโดยตัวมันเองอยู่แล้ว ล้วนไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้วเช่นกัน การเข้าใจและการลงมือปฏิบัติด้วยความคิดแบบนี้อยู่ตลอดเวลาเป็นการเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เพราะมันไม่ใช่วิธีในการแก้ไขปัญหาในกองทุกข์แบบ "ธรรมชาติ" ตามที่พระพุทธองค์ตรัส วิธีแบบธรรมชาติมันเป็นวิธีของมันอยู่แล้วมันต้องอาศัยความมีเราเข้าไปจัดการเข้าไปปฏิบัติ


    -การที่คิดว่าจะต้องเข้าไปกำหนดว่าสิ่งนี้ไม่เที่ยง เข้าไปกำหนดว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เข้าไปกำหนดว่า สิ่งนี้คือเวทนาทั้งหลาย การเข้าไปสำรวมระวังแบบกำหนดสติไว้ในอริยบทต่างๆคือ ยืน นั่ง เดิน นอน เข้าไปกำหนดว่าอะไรคืออะไรในกระบวนการแห่งขันธ์ การกำหนดเช่นนี้เป็นลักษณะจิตปรุงแต่งซ้อนเข้าไปทำให้มีเรามีอัตตาขึ้นมาเป็นการขัดขวางธรรมชาติโดยสิ้นเชิง การรู้ชัดแบบมีสัมมาสตินี้เป็นการรู้แบบ "ธรรมชาติ"ในการรู้มีสติ เป็นการรู้มีสติบนพื้นฐานที่ขันธ์ 5 ไม่เที่ยงโดยตัวมันเองอยู่แล้วไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้ว เป็นการรู้มีสติแบบ "ไม่มีเรา ไม่มีอัตตา" แต่การกำหนดเป้นการปรุงแต่งยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 จนทำให้เกิดตัณหาอุปทานมีเราขึ้นมาซึ่งไม่ใช่ "ธรรมชาติ" แห่งขันธ์ซึ่งมันต้องดับไปเองอยู่แล้วโดยสภาพ


    -การเข้าไปจับกุมจับฉวย สภาวะธรรมใดสภาวะธรรมหนึ่งตลอดเวลาเพื่อทำให้พระนิพพานเกิด การจับกุมจับฉวยก็เป็นการกระทำที่ขัดขวางต่อกระบวนการธรรมชาติโดยสิ้นเชิงเช่นกัน
    การปฏิบัติธรรมโดยที่มี "เรา" เข้าไปคิดจัดการจัดแจงเข้าไปกำหนดเข้าไปจับกุมจับฉวย เพื่อที่จะมี "เรา" หรือ "อัตตา" เข้าไปปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลานั้นเป็นความเข้าใจผิดในธรรมเป็นความลังเลสงสัยไม่เข้าใจในเนื้อหาแห่งธรรมอยู่ เปรียบเสมือน เอา "เรา" หรือ "อัตตา" ไปแสวงหา "นิพพานอันเป็นธรรมชาติแห่งธรรมล้วนๆ" ซึ่งเป็น "อนัตตา" เอา "อัตตา" ไปทำเพื่อให้เกิด "อนัตตา" ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ นิพพานธรรมก็จักไม่เกิดขึ้นเพราะจิตยังติดปรุงแต่งในตัววิธีปฏิบัติธรรมนั่นเอง


    แต่การที่ปฏิบัติธรรมโดยอาศัยความเข้าใจในธรรมแล้วปล่อยให้ขันธ์ 5 ดำเนินไปสู่ "วิธีธรรมชาติ" ที่มันดับโดยสภาพมันเองที่มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนโดยสภาพมันเองอยู่แล้ว เป็นการ "ปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย" เป็นการปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่มีอัตตาไม่มีเราเข้าไปเกี่ยวข้อง เป็นการปฏิบัติธรรมตรงต่อสัจธรรมตรงต่อที่พระพุทธองค์ประสงค์จะให้เรียนรู้และเข้าใจแบบนี้ เป็นการปฏิบัติธรรมแบบ "ธรรมชาติแห่งความไม่มีเรา ไม่มีอัตตาเข้าไปปฏิบัติ" "เป็นการปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่ต้องใช้จิตปรุงแต่งให้มีเราเข้าไปทำอะไรอีกเลย"
     
  11. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    ผมก็เคยเป็นถึงเข้าใจไงว่ามันคิดไม่ดีด้วยใช่มั้ย ก็อย่างที่บอกไม่ต้องสนใจ ปล่อยมัน เราไม่ได้คิด ถ้าเราคิดเราจะมานั่งทุกข์ทำไม รู้แล้วก็ปล่อยวางช่างมัน มันเป็นตัวมารเข้ามาขวางธรรมะเป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นกรรม เป็นบททดสอบว่าเราจะผ่านมันได้มั้ย ไม่เป็นไร ทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว จำไว้นะว่าสิ่งศักสิทธิ์ ไม่เคยโกรธคุณ ที่มีเมตตา สงสาร ท่านเข้าใจว่ามันเป็นธรรมดา
    โลกเรานี้ไม่มีใครผิดใครถูก มีแต่ผู้ที่ถูกวิบากกรรมนำไป คุณก็เช่นกัน อยู่ที่ว่าคุณจะอดทน และเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้าแค่ไหน ท่านไม่โกรธคุณเลย ฉะนั้นไม่ต้องกลัวในบททดสอบของกรรม มีคนจับจ้องและรับรู้ใรความพยายามของคุณ ไม่ต้องห่วงมันไม่เสียแรงเปล่าหรอก ขอให้ยึดมั่น เชื่อมั่นในพระพศาสดา เอาเท่าที่ทำได้ อย่าไปหวังอะไรไกล เอาแต่พอสงบ สงบไม่ได้ก็จะนั่งอยู่อย่างงั้น ทำให้ได้ วันละ5นาที ขอให้ทำทุกวัน ทำได้มากกว่านั้นก็ดี ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆหรอก อยู่ที่ใจ พระพุทธศาสนาอยู่ที่ใจ อยู่ที่ความพยายาม อยู่ที่ใจจริงๆ ใจคุณถึงแค่ไหน อย่าท้อครับ กว่าพระศาสดาของเราจะมาถึงขั้นท่าน ท่านผ่านอะไรมาเยอะกว่าคุณมาก ขึ้นสวรรค์ลงนรก เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ทุกอย่างสารพัด ฉะนั้น คุณได้เกิดเป็นคนแล้วนับว่าโชคดีแล้วที่มีบุญได้ปฏิบัติ ได้ใช้ชีวิตได้ทำบุญ เทวดายังอธิษฐานขอเป็นมนุษย์ เพราะสร้างบารมีได้ ทีนี้ก็อยู่ที่ความพยายาม ได้ไม่ได้ก็ขอให้ได้ทำ ยังไงก็เกิดเป็นคนแล้ว อย่าให้เสียชาติเกิด
     
  12. คิดดีจัง

    คิดดีจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,626
    ค่าพลัง:
    +5,353
    เวลาคิดฟุ้งซ่านก็ให้รู้ตัวว่าขณะนี้เราคิดฟุ้งซ่านอยู่

    ทำแค่นั้น เดียวมันก็จะค่อยๆดับไป พอดับไปมันก็จะฟุ้งซ่านอีก ก็เอาใจไปรู้อีก

    แต่ที่เราเครียดเพราะเราไปอยากสงบ ตั้งใจให้สงบเกินไป

    ปล่อยว่าง เอาใจเข้าไปรู้ แค่นั้น..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. พยัคฆ์หลับ

    พยัคฆ์หลับ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +83
    วีธีของผมคือถ้าสวดมนต์แล้วจิตฟุ้งซ่านให้ทำอย่างนี้ สวดดังๆ พร้อมกับลืมตามองพระพุทธรูป พอจิตสงบก็หลับตาเหมือนเดิม

    ส่วนการนั่งสมาธิถ้าสมาธิหลุดก็ลองนำลูกประคำมานับพร้อมกับลมหายใจเข้าออก เพราะกำกับด้วยลมหายใจเข้าออกที่จมูกอย่างเดียวอาจไม่พอสำหรับคนที่ไม่แข็ง ต้องใช้สัมผัสอย่างอื่นมาช่วยกำกับด้วย
     
  14. unta

    unta สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +6
    ใช่วิธีนี้ดูซิ...... ไม่เหมือนชาวบ้านเค้านะ
    1. น้ำสะอาด 1 แก้ว(ขนาด 8 ออน) ดอกไม้(สีขาว) 1 จานหรือพวง บูชาพระก่อนสวดมนต์
    2. ตอนนั่งสมาธิ หากใจมันคิด ให้ตามความคิด คือคิดตาม แล้วพิจารณาสิ่งที่คิดนั่น อาทิ เห็นดอกไม้(สมมุติ) ก็ให้มองวาเป็นดอกไม้ ดูว่ามีกี่กลีบ มีเกสรอยู่ตรงไหน มีสีมีกลิ่นไม มีพิษไม มีอะไรเกาะอยู่หรือเปล่า มันอยู่กับต้นสวยดี เด็ดเอามาเป็นของตนเองถือไปด้วยดีไหม หรือจะปล่อยให้มันอยู่กับต้นแค่รู้ว่า...แล้วเดินผ่านไปดี
    ....ค่อยข้างแวกแนวนะ.... เราคิดไม่เหมือนอื่น....
    การบังคับจิตให้นิ่ง....ทั้งๆที่จิตยังมีสิ่งตกค้างคาอยู่....กับการล้างมันออกไป แบบสมัยใหม่...เรียกว่า เกลือจิ่มเกลือ.
    ลองดููนะ ได้ผลยังไง...จะเข้ามะตามดู แต่หากต้องการเพิ่มแบบส่วนตัว E-Mail untaanatta@Gmail.com ก็ได้ นะ.......
     
  15. aefkung

    aefkung Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +113
    ผมก็เคยเป็นครับ ชอบคิดเรื่องฟุ้งซ่าน เรื่องอกุศล เรื่องไม่ดี แต่ตัวผมรู้นะครับว่าผมไม่ได้เจตนา มันคิดของมันเอง ตัวผมไม่ได้ตั้งใจจะคิดแบบนั้นเลย ตอนนั้นรู้สึกกังวลมาก กลัวบาปกรรมจากการคิดไม่ดี ผมเครียดมากเลยนะ แต่ก็พยามยามปรับปรุงตัวเองไปเรื่อย จนไปอ่านเจอธรรมะบทหนึ่งบอกไว้ว่า ถ้าเราคิดฟุ้งซ่านก็อย่าไปสนใจ ถึงแม้เราจะคิดไม่ดี แต่เราไม่ได้เจตนาก็อย่าไปสนใจมัน เพราะมารกำลังทำหน้าที่ขวางบุญเราอยู่ ถ้าเรายิ่งกลัวยิ่งยึดติด มารจะยิ่งได้ใจ

    ตอนนี้ผมก็ปล่อยวาง ไม่สนใจมันซะ ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้วครับ ตอนหลับตาสวดมนต์จะชอบนึกว่าผมสวดมนต์ต่อหน้าพระพุทธเจ้าที่แดนนิพพาน ทำอย่างนี้แล้วเป็นสุขดีครับ
     
  16. Wanthip_house

    Wanthip_house สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +1
  17. Zintellar

    Zintellar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    423
    ค่าพลัง:
    +143
    เหอๆ ต้องเจอกับสิ่งที่ทำให้เรายิ้มได้เยอะๆ แล้วก็หัดทำบุญตักบาตรให้บ่อยๆ ผมก็เป็นนะ แต่ผมก็ฝึกเรื่อยๆ โดยนั่งสมาธิห้านาทีก่อน มันก็เริ่มดีเอง ตอนสวดมนต์มันก็มา สมาธิหาย ลืมว่าสวดไปถึงไหนแล้ว ต้องตั้งสติให้ดี
     
  18. กาน้ำ

    กาน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +153
    ความฟุ้งซ่่าน(อุทธัจจะ) ดับได้ด้วยคุณธธรรมของพระอรหันตร์
    ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ยังต้องฟุ้ง ไม่เลือกว่าเป็นเพศชายหรือหญิง

    ใช้วิธีให้งานทวารทั้ง ๖ ดูนะคะ
    ๑ตา มองบทสวดมนตร์
    ๒หู สวดออกมาให้หูได้ยิน
    ๓จมูก กลิ่นหนังสือสวดมนตร์ กลิ่นดอกมะลิ
    ๔ลิ้น ปากอ่านออกเสียง
    ๕กาย นั่งสำรวม มือถือบทสวด
    ๖ใจ สติอยู่กับบทสวดและ ความหมายคำบาลีพร้อมแปลเป็นภาษาไทย

    ส่วนการนั่งสามารถทำได้เช่นเดียวกันค่ะ
    ๑ตา มองตรงจุดโฟกัส อย่าเพ่งเดี๋ยวจะปวดตา
    ๒หู ได้ยินเสียงลมหายใจที่เข้าออก
    ๓จมูก รับรู้ถึงลมหายใจที่ทอดผ่านออกมาจนกระทบเหนือริมฝีปาก
    ๔ลิ้น ปากปิดไม่ได้รับรสภายนอก รู้แต่ว่ามีลมหายใจตกกระทบ
    ๕กาย นั่งสมาธิด้วยท่าตามถนัด
    ๖ใจ มีสติระลึกรู้ถึงลมหายใจเข้าและ ลมหายใจออก
    เบื้องต้นเอาแค่นี้ก่อน ลองดูนะคะคุณjoo12 และทุกคนที่ติดปัญหานี้อยู่
     
  19. บิลลี่

    บิลลี่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +123
    ฟุ้งก็ฟุ้งไปซิครับ มันเป็นธรรมชาติไม่ใช่เหรอครับ ? ฝนมันจะตก แดดมันจะออก ถ้านายไม่ได้ไปสนใจมันก็จบครับ มันก็เป็นธรรมชาติของมัน นายไปสนใจมันเองแหละ เค้าให้สนใจลมหายใจไม่ใช่หรือครับ (หรือกองอื่นๆ) พอมันเสร่อไปสนใจเรื่องอื่น ก็ทิ้งซะ แล้วกลับมาสนใจลมหายใจต่อครับ ไม่ต้องไปซีเรียสให้เสียเวล่ำเวลาครับผม
     
  20. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    หนึ่งในวิธีแก้ไขครับ
    1.หาอะไรให้จิตทำ เช่น ตั้งวัตถุประสงค์เอาไว้ว่าจะนั่งไปทำไมในวันนี้แล้วคิดแต่เรื่องนั้น แต่ต้องเอาเรื่องดีๆนะครับ เพื่อให้จิตมีงานทำ
    2.ใช้การภาวนาแบบมีจุดมุ่งหมายเช่น นับลูกประคำที่เพื่อนสมาชิกแนะนำครับ หรือผมใช้วิธีนับ"พุทโธ" ครับ แต่ไม่เกิน 108 นะครับ
    3.ในระหว่างการภาวนา หัดกั้นลมหายใจสักเล็กน้อย เพื่อที่จะดึงจิตกลับมานะครับ
    4.จะจิตฟุ้งซ่านมากเปลี่ยนมาเป็นกสิณต่างๆแทนครับ เช่น กสิณไฟ เป็นต้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...