มุมมองวิทยาศาสตร์กับพระสังขารไม่เน่า

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 28 กุมภาพันธ์ 2007.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,487
    มุมมองวิทยาศาสตร์กับ'พระสังขารไม่เน่า'

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="100%"><TBODY><TR><TD>มุมมองวิทยาศาสตร์ กับ "พระสังขารไม่เน่า"

    โดย ตวงศักดิ์ ชื่นสินธุ

    [​IMG]
    </TD><TD vAlign=top align=right>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    <CENTER>หลวงพ่อสด</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>เรื่องราวดุจปาฏิหาริย์ที่ปรากฏทางหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับพระสงฆ์ที่มรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อยสลายไปตามธรรมชาติ

    แต่กลับเป็นคล้าย "มัมมี่" คงสภาพร่างกายให้บรรดาสานุศิษย์และประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธากราบไว้ต่อไปนั้นในเมืองไทยมีอยู่มากมาย

    นับแต่พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พระดังๆ อาทิ หลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี, หลวงปู่วงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน, หลวงพ่อบุญเหลือ วัดเขาตะกร้าทอง จ.ลพบุรี, ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่, ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนาม จ.ลำพูน, หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุนนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์, หลวงปู่พรหม วัดช่องแค จ.นครสวรรค์, หลวงปู่สงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จ.ชุมพร, หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ กทม., หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี, หลวงพ่อเภา วัดเขาวงกต อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ล่าสุดหลวงพ่ออุตตมะ (พระราชอุดมมงคล) อ.สังขละ จ.กาญจนบุรี

    ทั้งหมดที่เอ่ยนามมาข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพระเถระผู้ใหญ่ที่ละสังขารแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อย แต่หากจะนับตัวเลขกันจริงๆ แล้ว ยังมีอีกหลายรูป

    เรื่อง "ศพพระไม่เน่า" จึงกลายมาเป็นข้อปุจฉา-วิสัชนา กันอยู่อย่างไม่จบสิ้น เป็นเรื่องที่คนอยากรู้กระทั่งลงทุนไปศึกษากับเกจิดังๆ หลายรูปเพื่อหาข้อเท็จจริง

    ในบรรดาสานุศิษย์ของพระเกจิชื่อดัง *กิตติชัย เชาว์ชนพันธ์* เป็นคนหนึ่งที่คนในแวดวงพระรู้จักกันดี

    กิตติชัยเป็นเจ้าของบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง ปัจจุบันอายุ 41 ปี เขาแนะนำตัวเองว่า เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจ่าง วัดเขื่อนเพชร จังหวัดเพชรบุรี จบคณะวิทยาศาสตร์ เอกคณิตศาสตร์ มศว.ประสานมิตร ปี 2534

    กิตติชัยเล่าให้ฟังถึงการศึกษาเกี่ยวกับพระละสังขารแล้วไม่เน่า ว่าเริ่มสนใจเรื่องนี้เมื่อครั้งมีหนังสือพิมพ์ลงข่าวเกี่ยวกับคนถูกยิง เป็นเรื่องของสองผัวเมีย ที่มีปัญหาขัดแย้งเรื่องมรดกกัน สามีตายคาที่ แต่ภรรยาแม้จะถูกยิงด้วยกระสุนชนิดจะจะ แต่กระสุนปืนไม่ระคายผิว ทำให้เริ่มต้นศึกษาในเรื่องเหล่านี้

    พอเริ่มศึกษา ทำให้ได้ไปรู้จักครูบาอาจารย์หลวงพ่อหลายรูป แต่ละรูปเป็นเกจิชื่อดังทางด้านต่างๆ กันไป

    อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตในการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ แต่ละรูปขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นต่างได้ฝึกสมาธิ ฝึกจิต นั่งวิปัสสนากรรมฐานแทบทั้งสิ้น

    "ผมอาจจะอธิบายแล้วฟังยากสักหน่อยสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงนี้ แต่พูดแบบง่ายๆ ว่าจากการศึกษาของผมพบว่า เกจิอาจารย์ที่ฝึกนั่งสมาธิ ฝึกจิตทั้งหลายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เกิดรังสีประเภทหนึ่งขึ้นในตัว

    "รังสีที่เกิดขึ้นนี้จะทำให้ผิวหนังร่างกายเปลี่ยนแปลงไป เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนที่ปฏิบัติ เคยมีการวัดรังสีเหล่านี้แบบวิทยาศาสตร์ โดยมีเครื่องมือวัดเหมือนวัดรังสีออร่า ก็สามารถตรวจวัดได้ระดับหนึ่ง แต่ทีนี้คลื่นรังสีตัวนี้คืออะไร ยังตอบไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์ อาจจะแตกต่างไปจากแสงออร่าบ้าง คือความถี่น่าจะไม่เท่ากัน"

    กิตติชัยอธิบายต่อไปว่า ในร่างกายคนเราปกติจะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาอยู่แล้ว ถ้าเอามือไปอังใกล้ๆ จะรู้สึกมีการคลายความร้อน รังสีตัวนี้เมื่อคนที่ฝึกกรรมฐานมาแล้ว จิตพัฒนาไปจนสามารถที่จะรวบรวมรังสีเหล่านี้ได้ และส่งออกไปข้างนอกได้ ก็คือส่งไปอาบวัตถุมงคลที่เราเรียกกันว่า "การปลุกเสก" นั่นเอง

    "เมื่อพระอาจารย์ทั้งหลายมีการปฏิบัติตรงนี้บ่อยๆ รังสีที่ว่านี้ก็จะอาบไปทุกอณูเซลล์ของร่างกาย เวลาหมดลมหายใจสุดท้าย หรือเวลามรณภาพ ดับขันธ์ พระเกจิเหล่านี้จะกำหนดอารมณ์ของตนเข้าไปอยู่ในที่ตั้งของกรรมฐาน รังสีตัวนี้ก็จะแผ่ปกคลุมในอณูเซลล์ เป็นเหตุให้แบคทีเรียไม่สามารถเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อได้"

    ถ้าจะพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้หรือไม่ กิตติชัยบอกว่าต้องขอความร่วมมือจากนักวิทยาศาสตร์ให้มาช่วยศึกษาอีกที

    "แต่ถ้าจะพิสูจน์ในลักษณะของเหตุและผล หรือดูข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ในแง่ของความรู้ทางพระที่ศึกษา

    ผ่านมาแน่ชัดอยู่มากทีเดียวว่า พระที่ปฏิบัติกรรมฐาน จนมาถึงตรงที่ตั้งของรังสี ซึ่งเรียกว่ารังสีธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ จะมีร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง เช่น ในตาดำจะมีวงแหวน จะไม่เหมือนกับคนที่ตาเป็นต้อ เพราะคนตาเป็นต้อจะเป็นสีฟ้าสีเดียวแล้วไม่สามารถเปลี่ยนสีได้ แต่คนที่ปฏิบัติตรงนี้วงแหวนในตาดำสามารถเปลี่ยนเป็นสีเทา สีไข่ไก่ได้ แล้วแต่อารมณ์ที่เขากำหนด"

    นอกจากนี้ หัวคิ้วจะเปลี่ยนไป เพราะเวลานั่งกรรมฐานเขาจะเอาตาเพ่ง แล้วมองกลับเข้าไปข้างใน ดังนั้นกล้ามเนื้อตาด้านบนจะหดเวลากลอกตาขึ้น เมื่อทำแบบนี้ตลอด คนที่แก่กรรมฐาน กล้ามเนื้อเหมือนจะยืดตัว ตาดำเหมือนจะลอยขึ้นตลอด และมีการยกกระบังลมที่เปลี่ยนไป นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์

    "พอถึงตอนมรณภาพหรือเสียชีวิต รังสีที่เกิดจากการฝึกปฏิบัติก็ยังอาบอณูเซลล์ร่างกายอยู่ จึงทำให้เซลล์ผิวหนังไม่เน่าเปื่อย มีพระนับร้อยองค์ที่เป็นแบบนี้

    "ตัวผมสนใจเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2535 ติดตามมาตลอด ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงร่างกาย ไปถึงการปลุกเสก ด้วยความที่เราเป็นนักวิทยาศาสตร์ สมัยนั้นผมทำงานอยู่ที่บริษัท ซีเกต เทคโนโลยี ประเทศไทย เราเรียนจบวิทยาศาสตร์ ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เบื้องต้นผมไปเห็นหลวงพ่อรูปหนึ่งที่ จ.นครสวรรค์ ท่านอยู่ในหีบแก้วร่างกายไม่เน่า แวบแรกคิดว่าเป็นหุ่นขี้ผึ้ง ก็ขึ้นไปเกาะโลงศพดู พวกลูกศิษย์เขาบอกกันว่ามีเล็บงอก ผมงอก ผมก็บอกว่าไม่แปลกหรอกถ้าไม่ใช่หุ่นขี้ผึ้ง เพราะถ้าผิวหนังแห้งผมก็ต้องโผล่ขึ้นมา แต่ต้องจนมุมเมื่อเขาบอกว่าโกนแล้วยังงอกขึ้นมาอีก ผมก็ไปเกาะโลง จ่อหน้ากับท่านเพื่อจะดู แล้วก็ยอมลงมาจุดธูปขอเป็นลูกศิษย์

    "จากนั้นเลยศึกษาเรื่องนี้อยู่นานมาก เดินทางพบพระเป็นพันรูปเพื่อศึกษาตรงนี้ บางรูปอยู่กับท่านตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ จนมรณภาพไปทีละรูป เอารูปท่านตั้งแต่หนุ่มมาดูจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเรื่อยๆ ที่อัศจรรย์กว่านั้น คือ ท่านซ่อนวงแหวนในตาดำได้

    "แม้แต่ไอน์สไตน์ก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้เลยนะ" เสียงกิตติชัยย้ำดังๆ เมื่อถูกมองว่าเป็นเรื่องของไสยศาสตร์

    "มันเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง ซึ่งต้องการนักวิชาการทางฟิสิกส์เข้าไปค้นคว้าศึกษา คือวิทยาศาสตร์บางทีตอบได้ไม่หมดทุกเรื่อง บางเรื่องเรายังต้องเรียนรู้ต่อไปอีก"

    กิตติชัยบอกด้วยว่า เรื่องกรรมฐาน คือการนั่งฌาน ญี่ปุ่นเอาไปใช้เรียกว่า "เซน" วิธีนั่งฌานถ่ายทอดกันมายาวนาน โดยเฉพาะนิกายมหายาน จะกล่าวถึงเรื่องฌานค่อนข้างมาก ส่วนหินยาน (เถรวาท) เองก็กล่าวถึงโดยตลอด ไม่ว่าจะในพระอภิธรรม พระไตรปิฎก

    และเมื่ออธิบายเรื่องฌานในแบบวิทยาศาสตร์ ขั้นตอนการทำฌานก็เหมือนขั้นตอนที่หลอกล่อให้คนฝึกหัดสมาธิ เมื่อทำไปจนถึงระดับหนึ่งจะพบที่ตั้งของรังสีตัวนี้ ที่ขนานนามว่า "รังสีธาตุ" พอพบแล้วก็สามารถจะนำรังสีตัวนี้ส่งออกไปข้างนอกได้ ไปประจุไว้ในวัตถุได้ ที่เรียกกันว่าการปลุกเสก

    กิตติชัยบอกว่า เรื่องแบบนี้เป็นได้เฉพาะคน ใครที่ฝึกได้ทำได้ดีมากๆ ก็สามารถรวมพลังงานตรงนี้ได้มาก

    "แต่ถ้าถามว่า แล้วพลังงานนี้เมื่อประจุเข้าในวัตถุมงคลแล้วทำไมถึงไปส่งอิทธิปาฏิหาริย์ทำให้ยิงไม่เข้า ตรงนี้ผมก็ตอบไม่ได้.."

    ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกอย่าง คือ พระที่สังขารไม่เน่า สังขารต้องค่อยๆ ดำ เช่น หลวงพ่อผล วัดเชิงหวาย สีผิวจะค่อยๆ เปลี่ยนจากสีเนื้อเป็นสีน้ำผึ้ง แล้วเป็นสีน้ำผึ้งเก่าแก่ แล้วแห้ง น้ำค่อยๆ ออก อาจารย์ดังๆ ที่ปฏิบัติถึงขั้นแล้วสังขารไม่เน่า มีทั่วทุกภาค แต่จังหวัดทางภาคใต้มีมากเป็นพิเศษ

    "เรื่องตายแล้วร่างกายไม่เน่า ไม่ใช่เรื่องแปลก อธิบายได้หมด แล้วก็ยังมีพระที่ร่างกายพร้อมจะไม่เน่าอยู่อีกเยอะแยะ และไม่ใช่แค่ประเทศไทย อย่างพระจีน พระญวน มรณภาพแล้วไม่เน่าก็มี นั่งสมาธิตายแข็งอยู่ทุกวันนี้ก็มี ที่ จ.ฉะเชิงเทรา วัดจีนประชาสโมสร ท่านนั่งฌานปฏิบัติแบบเดียวกัน อันนี้ไม่ใช่เรื่องอภินิหาร ที่ต่างประเทศก็มีการค้นคว้าเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดออกมา"

    เรื่องพระสังขารไม่เน่าของพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แม้ว่าจะมีการพิสูจน์ว่าคนทั่วไปก็สามารถทำได้ และมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ แต่ตามความเชื่อของคนไทยแล้ว เมื่อมีข่าวพระสังขารไม่เน่า ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ เป็นอภินิหาร

    ดังนั้น แม้จะมีคำอธิบายระดับหนึ่งจากคนที่ศึกษาในเรื่องนี้ แต่คำตอบที่แน่นอนชัดเจนนั้นยังไม่มี เรื่องนี้ยังคงต้องการการศึกษาให้มากยิ่งขึ้นไปอีก และต้องขยายออกไปในวงกว้าง

    -------------------
    Ref.
    http://www.matichon.co.th/matichon/...g=01pra01280250&day=2007/02/28&sectionid=0131
     
  2. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,487
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. sacrifar

    sacrifar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +3,221
    วิทยาศาสตร์ยังคงเดินตามหลังธรรมชาติครับ
     
  4. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    น่าสนใจมากครับ ผมเคยอ่านหนังสือ "เต๋าแห่งฟิสิกส์" แล้วก็ หนังสือ "วิถีแห่งพลัง" ยุคนี้นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็เริ่มหันมาสนใจเรื่องจิตวิญญาณกันมากขึ้นแล้วล่ะครับ ถ้าอ่านหนังสือ "เต๋าแห่งฟิสิกส์" ก็จะทราบว่าทำไมนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ถึงปฎิเสธเรื่องจิตวิญญาณหรือเรื่องนรกสวรรค์การกลับชาติมาเกิด อะไรทำนองนี้ นั่นเป็นผลมาจากความคิดเห็นของนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่ง ที่นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังๆยึดไว้เป็นแบบแผน

    จนกระทั่งมาถึงยุคนี้ หลังจากที่วงการฟิสิกส์เริ่มค้นพบ ความจริงเกี่ยวกับเรื่อง อะตอม ปรมาณู รังสีและคลื่นต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอะตอม รวมถึงอิทธิพลแนวคิดและการค้นคว้าทดลองของนักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลกอย่าง อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ก็มีผลกระทบกับวงการวิทยาศาสตร์จนทำให้เริ่มตระหนักถึงเรื่องนี้มากขึ้น

    ในที่สุดต่อมาวงการวิทยาศาสตร์ก็เริ่มจะมีการเปลี่ยนแปลงแล้วล่ะครับ เริ่มมีนักวิทยาศาสตร์ที่หันมาสนใจเรื่องจิตวิญญาณกันมากขึ้นแล้ว ไม่ได้สนใจค้นคว้าแต่เรื่องวัตถุแต่เพียงอย่างเดียว โดยใช้หลักการความก้าวหน้าทางฟิสิกส์ที่พึ่งค้นพบนี่แหละครับ เป็นเครื่องช่วยทำการทดลอง แต่ว่าก็ยังถือว่าเป็นส่วนน้อยมาก และมีอุปสรรคพอสมควร เนื่องจากมีทั้งแรงต้านจากวงการนักวิทยาศาสตร์ด้วยกันเอง และการขาดวัตถุดิบหรือตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ (เพราะนักวิทยาศาสตร์ส่วนมากเป็นชาวตะวันตก นี่ถ้าพวกเขามาทำการทดลองค้นคว้าวิจัยในเมืองไทยล่ะก็ คงจะได้ข้อมูลที่มีประโยชน์ และอาจค้นพบอะไรดีๆใหม่ๆ ที่ทำให้วงการวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าไปกว่านี้ก็ได้)

    ส่วนเมืองไทยเองทั้งๆที่มีวัตถุดิบพร้อมอยู่แล้ว แต่ว่าเนื่องจากคนส่วนใหญ่ก็รับเอากระแสนิยมทางโลกตะวันตกมาเป็นมาตรฐานในการดำรงชีวิต โดยหารู้ไม่ว่าตอนนี้ โลกตะวันตกได้ถึงจุดที่จะหวนกลับมาสนใจค้นคว้าเรื่องจิตวิญญาณแล้ว เนื่องจากเขาค้นคว้าทางวัตถุจนมาถึงจุดที่เป็นทางตันไม่สามารถไปต่อได้แล้ว เป็นไปตามหลักปรัชญาเต๋าที่ว่า "สูงสุดกลับคืนสู่สามัญ"

    จริงๆถ้านักวิทยาศาสตร์ไทยเองเห็นค่าตรงจุดนี้กันมากๆเหมือนอย่างคุณกิตติชัย ไม่แน่อนาคตอาจจะผลิตยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยความคิดหรือพลังจิตของมนุษย์ขึ้นมาก็ได้ครับ

    หรือไม่ก็อาจจะสามารถพิสูจน์เรื่องฤทธิ์ อภิญญา พลังจิตต่างๆ นรกสวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด จนเข้าใจสาเหตุและความเป็นมา รวมถึงวิธีการปฏิบัติ จนสามารถอธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ และทำการทดลองจนเห็นผลจริงได้ (จิตวิญญาณคือตัวแปรสำคัญ) จนผู้คนหันมาสนใจสัจธรรมกันมากขึ้นและลดละเลิกกิเลส เพราะเห็นแล้วว่า สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง จึงตั้งใจพัฒนาจิตวิญญาณของตนเองให้สูงส่งขึ้น

    เช่นนั้นแล้ว แม้ว่าโลกหรือวัตถุจะไม่พัฒนาไปมาก แต่เนื่องจากไม่มีวัตถุอะไรที่ผิดธรรมชาติเกิดขึ้นมากมายเกินไป จนทำให้ระบบนิเวศหรือสมดุลธรรมชาติเสียไป รวมถึงจิตใจมนุษย์สูงขึ้น คลื่นจิตที่มนุษย์แผ่ออกมาก็จะทำให้ธรรมชาติสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม อาจจะมีพืชพรรณผลไม้แปลกๆที่มีประโยชน์มากมายเกิดขึ้นมา แบบนั้นก็จะเป็นเหตุให้อายุมนุษย์ยืนยาวนานขึ้นไปด้วย

    อนาคตของโลกมีความเป็นไปได้ 3 ทางด้วยกันคือ

    1.หากเจริญทางวัตถุอย่างเดียวหรือเป็นส่วนมาก สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ จะส่งผลให้จิตวิญญาณมนุษย์ต่ำลง ระบบนิเวศ เสียหาย ธรรมชาติขาดความสมดุล วิทยาการที่คิดค้นขึ้นมาได้ก็จะนำมาประหัตประหารกัน หรือแสวงหาผลประโยชน์ให้กันตนเองหรือพวกพ้อง จนในที่สุดก็จะเกิดความขัดแย้งกันขึ้น และเพราะความเห็นแก่ตัวจึงต่างไม่มีใครยอมใคร จึงต้องต่อสู้ฆ่าฟันกันในที่สุด เช่นนี้ไม่นานถ้ามนุษย์ไม่ฆ่าฟันกันเองตายหมดก่อน ก็คงเป็นธรรมชาติหรือโลกใบนี้ที่จะเสียสมดุลจนแตกดับไปก่อน

    2.เจริญทางวัตถุด้วยทางจิตวิญญาณด้วย แบบนี้จะทำให้โลกนี้มีวิทยาการเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ถ้าเป็นไปได้ก็อาจจะมีเครื่องมือเครื่องใช้ที่สั่งงานได้เพียงแค่ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์เกิดขึ้นมากมาย และเนื่องจากมนุษย์มีจิตใจสูงส่งด้วย สิ่งต่างๆที่ผลิตขึ้นมาได้ก็จะมีแต่สิ่งที่มีประโยชน์ เอาไว้ช่วยเหลือ หรืออำนวยความสะดวกให้แก่มนุษย์ และ สิ่งมีชีวิตต่างๆ มนุษย์จะไม่คิดเบียดเบียนธรรมชาติ แต่จะช่วยรักษาสมดุลของธรรมชาติ อาวุธสงครามหรือเทคโนโลยีที่ไม่มีประโยชน์ที่ใช้ฆ่าฟันกันจะไม่มี สภาพสังคมคงจะเป็นเหมือนกับหนังสือนิยายวิทยาศาสตร์บางเล่ม หรือไม่แน่มนุษย์ก็อาจจะวิวัฒนาการก้าวหน้าไปมากขึ้นจนมีรูปร่าง หัวโตๆ แขนขาลีบ เหมือนกับมนุษย์ต่างดาวก็ได้ เนื่องจากใช้แต่สมองกับความคิด ส่วนร่างกายไม่ค่อยได้ใช้เพราะมีวิยาการก้าวหน้าสะดวกสบายหมด แถมร่างกายอาจจะอ่อนแอไม่ค่อยมีกำลังเพราะไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย แต่สามารถมีอายุยืนยาวได้ในระดับหนึ่งโดยอาศัยเครื่องมือหรือวิทยาการที่ก้าวหน้าคอยช่วยพยุงชีวิตเอาไว้น่ะครับ

    3.เจริญทางด้านจิตวิญญาณส่วนเดียวหรือเป็นส่วนมาก แบบนี้จะเป็นลักษณะว่าโลกนี้จะเต็มไปด้วยธรรมชาติที่งดงาม มีความสมดุล มีพืชพรรณธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ พืชพรรณใหม่ๆก็จะเกิดขึ้นธรรมชาติดีผลิตผลก็ดีและมีคุณภาพตามไปด้วย มนุษย์กับสัตว์อยู่กันอย่างสงบสันติ เนื่องจากมนุษย์มีจิตใจสูงดังนั้นจึงไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพื่อนำมาทานเป็นอาหาร แต่จะทานพวกผักผลไม้หรือพืชพรรณธัญญาหารที่เกิดขึ้นมา

    แม้วัตถุจะไม่เจริญมาก แต่ผู้คนจะมีความสุขและต่างก็ประพฤติปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิแผ่เมตตากัน ลักษณะอย่างนี้เนื่องจากมนุษย์ใช้ชีวิตคล้อยตามธรรมชาติ อีกทั้งจิตใจก็ดีงามทานแต่สิ่งที่มีประโยชน์ อากาศสดชื่นบริสุทธิ์ ได้ออกกำลังเป็นประจำเนื่องจากต้องทำอะไรด้วยร่างกายตนเองอยู่เสมอๆ ดังนั้น อายุขัยจะยืนยาวนานมากขึ้น อีกทั้งรูปร่างก็จะสวยสดงดงามสุขภาพร่างกายแข็งแรง เชื้อโรคอะไรต่างๆก็จะไม่ค่อยมีเพราะพวกมันไม่ต้องวิวัฒนาการหรือกลายพันธุ์เพื่อต่อสู้กับยาหรือผลกระทบจากสภาพธรรมชาติสิ่งแวดล้อมขาดความสมดุลไป บ้านเมืองสังคมในแนวนี้ก็คงจะคล้ายๆกับ ดินแดนสุขาวดี หรือ ดินแดนในเทพนิยาย หรือ สรวงสวรรค์ ฯลฯ เป็นต้น

    ปล.แค่คิดวิเคราะห์อะไรเล่นๆครับ (^_^)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กุมภาพันธ์ 2007
  5. soonyata

    soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    ชอบกระทู้นี้จัง

    จริง ๆ แล้วยังมีพระกรรมฐานอีกเยอะมากที่เวลาละสังขารแล้วร่างกายไม่เน่า เช่น หลวงพ่อคง วัดเขาสมโภชน์ จ.ลพบุรี ผมและเล็บของท่านจะงอกขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่ร่างกายไม่มีชีวิต หัวใจไม่เต้น เลือดไม่หมุนเวียน แล้วอะไรล่ะคือน้ำหล่อเลี้ยงเซลล์เหล่านั้นให้เจริญเติบโตขึ้นมาได้อีก น่าคิด

    อ่านเรื่องรังสีที่เกิดจากการปฎิบัติกรรมฐานนี้ ทำให้คิดอะไรได้หลายอย่าง เช่นว่า รังสีนี้พระอาจารย์เหล่านั้นท่านไม่เพียงแต่ถ่ายทอดลงไปในวัตถุหรือที่เรียกว่าการปลุกเสกเพียงอย่างเดียว แต่บางครั้งท่านก็ยังได้ถ่ายทอดให้กับคนและสัตว์อีกด้วย แค่เข้าไปให้ท่านเคาะหัวหรือเป่ากระหม่อมให้ทีสองที เราก็รู้สึกโล่งเบาสบาย เคยสังเกตุมั้ยว่าเวลาเรานั่งใกล้ ๆ พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วจะรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ เป็นสุขอย่างประหลาด พระบางองค์อายุมากและก็มีกิจมาก แม้ว่าท่านจะกินและนอนน้อยตามวิถีของพระนักปฏิบัติทั่วไปแต่ท่านกลับหน้าตาสดใสอิ่มเอิบ ผุดผ่องอย่างไม่น่าเชื่อ พระบางองค์ดูหนุ่มกว่าอายุจริงหลายเท่า

    เราเองก็เชื่อว่าพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั้น จิตของท่านนั้นย่อมบริสุทธิ์ จิตที่บริสุทธิ์ย่อมก่อให้เกิดพลังบางอย่าง เราเองก็ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดพระธาตุศรีจอมทองหลายครั้ง หลวงปู่ทองเป็นพระอาจารย์ที่เราเคารพรักที่สุด มีอยู่ครั้งนึงเราเคยถวายผ้าป่ากับท่าน เราก็นั่งอยู่ข้างหน้าท่าน สังเกตุว่าท่านจะชอบนั่งหลับตาแล้วดูไปรอบ ๆ เราก็เห็นแล้วว่าหลวงปู่นั่งหลับตามาทางเรา นั่งไปซักพัก สวดยังไม่ทันเสร็จ เราก็คลื่นไส้อยากอาเจียน พอสวดเสร็จเราก็รีบวิ่งกลับไปห้อง ปรากฎว่าอาเจียนออกมาเป็นมูกเลือดหลายครั้ง นับแต่อาเจียนครั้งนั้นแล้ว ตอนนั่งสมาธิก็ไม่เคยอาเจียนอีก พี่เค้าเลยบอกว่านั่นแหละหลวงปู่ท่านล้างให้ ประสบการณ์อัศจรรย์ของหลวงปู่ทองพวกลูกศิษย์ยังได้เจอกันอีกหลายครั้ง มีอยู่ครั้งนึงตอนลาศีล ท่านนั่งหลับตาทำปากขมุบขมิบ เราเองขนลุกซู่ ทีนี้พอได้มาคุยกับคนอื่น มีพี่อีกสองคนเค้าก็บอกว่าเค้าเองรู้สึกวูบไปแวบนึง ส่วนพี่อีกคนที่กำพระที่หลวงปู่แจกไว้ให้ เค้าบอกว่าตอนหลวงปู่สวด พระในมือที่เค้ากำไว้ก็หมุนใหญ่เลย เราก็เลยถามพี่เค้าว่า หลวงปู่ท่านทำอะไร พี่เค้าบอกว่าหลวงปู่ท่านแผ่เมตตาให้พวกเรา
     
  6. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ถ้าสนใจอ่านเนื้อหาในหนังสือเรื่อ "เต๋าแห่งฟิสิกส์" สามารถเข้าไปอ่านได้ในเวปนี้ครับ
    http://www.rmutphysics.com/CHARUD/scibook/tao of physics/index/index.htm

    ส่วนนี่เป็นบทความอีกบทความหนึ่งที่น่าสนใจ ที่นำข้อมูลมาจาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์นะครับ

    เต๋าแห่งฟิสิกส์

    เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ หากลองสังเกตธรรมชาติที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเป็นคู่เหมือนจงใจ นักปราชญ์ลัทธิเต๋าเองยอมรับการมีอยู่ของคู่แห่งสรรพสิ่ง ที่เรียกว่า หยินและหยาง ราวกับเข้าใจกฎธรรมชาติอย่างถ่องแท้ ขณะที่นักฟิสิกส์เพียรพยายามพิสูจน์ให้เห็นว่า เอกภพมีสมมาตรสัมบูรณ์อยู่จริง

    สมสกุล เผ่าจินดามุข รายงาน

    กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :

    http://www.bangkokbiznews.com/2007/02/01/WW06_WW06_news.php?newsid=2041

    หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ในปลายปีนี้เอง ศูนย์ปฏิบัติการนิวเคลียร์ฟิสิกส์ของสหภาพยุโรป หรือเซิร์น (CERN) ซึ่งตั้งอยู่ชนแดนระหว่างสวิตเซอร์แลนด์กับฝรั่งเศส จะเริ่มเดินเครื่องเร่งอนุภาคเพื่อทดลองให้อนุภาควิ่งมาชนกันด้วยความเร็วสูง และหลังจากเก็บเกี่ยวผลทดลองแล้ว อาจช่วยให้นักวิทยาศาสตร์คลี่ปมความลับสุดยอดที่ซ่อนตัวอยู่ในจักรวาล

    นักอ่านนวนิยายอาจเคยได้ยินชื่อศูนย์ปฏิบัติการเซิร์นจากเรื่อง เทวากับซาตาน ซึ่งประพันธ์โดยแดน บราวน์ ก่อนหน้าจะมีชื่อเสียงทะลุพิภพจากนวนิยายอีกเล่มหนึ่ง รหัสลับดาวินชี เซิร์น ไม่เพียงเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริงเท่านั้น การทดลองเครื่องเร่งอนุภาคเพื่อให้อะตอมชนกันด้วยความเร็วสูงยังเป็นเรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย

    เครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี (Large Hadron Collider) ฝังอยู่ลึกลงไป 100 เมตรใต้ดิน อุโมงค์เร่งอนุภาคจะเชื่อมต่อกันเป็นวงแหวนที่กินระยะทางยาวถึง 27 กิโลเมตร เป็นโครงการทดลองระดับอภิมหาโปรเจคเพื่อค้นหาคำตอบบางอย่างของเอกภพที่ลำพังใช้สูตรคณิตศาสตร์ไม่สามารถยืนยันได้ชัดเจน

    "จุดประสงค์ของการทดลองประการหนึ่ง คือ ทดสอบโมเดลฟิสิกส์ที่มีอยู่แล้วและศึกษาเพื่อทำความเข้าใจและแสวงหาข้อมูลใหม่ เพื่อทำความเข้าใจฟิสิกส์ในระดับพลังงานสูง ส่วนอีกประการหนึ่งคือ การศึกษาลึกเข้าไปถึงโครงสร้างของสสารต่างๆ ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์สามารถรู้ลึกถึงระดับนิวเคลียส และระดับอะตอม แต่เราพยายามเข้าไปให้ลึกที่สุด เพื่อดูว่าที่จริงแล้วสสาร หรือสิ่งที่ประกอบขึ้นมาเป็นเราคืออะไร และอาจมีเค้าลางบ่งบอกได้ว่า เอกภพกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร" ดร.อรรถกฤต ฉัตรภูมิ อาจารย์จากภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว

    สี่ยอดพลังกายสิทธิ์

    เป็นที่ทราบกันดีว่า สสารประกอบด้วยอะตอม มีนิวเคลียสเป็นแกนกลาง วนรอบด้วนอิเล็กตรอน จากการศึกษาที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่แล้วจนถึงยุค 1960 นักวิทยาศาสตร์เริ่มเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานของสสารมากขึ้น

    "สสารทั้งหมดสามารถแบ่งได้เป็นสองพวก พวกแรกเรียกว่า เฟอร์มิออน (Fermion) อีกพวกหนึ่งเรียกว่า โบซอน (Boson) สสารทั้งสองชนิดมีคุณสมบัติที่ต่างกัน โดยคร่าวๆ แล้ว พวกเฟอร์มิออน เป็นพวกที่ประกอบเป็นเนื้อสาร ส่วนพวกโบซอน ส่วนใหญ่เป็นอนุภาคที่เป็นสื่อนำแรง" นักวิชาการจากจุฬาฯ กล่าวให้พื้นฐานความรู้ฟิสิกส์

    นักฟิสิกส์ยังได้ใช้โมเดลที่เรียกว่า สแตนดาร์ด โมเดล ออฟ ฟันดาเมนทอล พาร์ติเคิล หรือ แบบจำลองมาตรฐาน เป็นตัวแบ่งประเภทของสสาร โดยแบบจำลองมาตรฐานดังว่านี้เป็นการกล่าวถึงแรง (force) ในธรรมชาติที่มีอยู่สี่ชนิด ได้แก่ แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์แบบอ่อน และแรงนิวเคลียร์แบบเข้ม

    การศึกษาทางฟิสิกส์อธิบายว่า บรรดาแรงทั้งสี่เหล่านี้ต้องมีอนุภาคที่เป็นสื่อนำแรงที่เรียกว่า โบซอน เช่น แรงแม่เหล็กไฟฟ้ามีแสงหรือ โฟตอน เป็นสื่อนำแรง แรงนิวเคลียร์แบบเข้มจะมีสิ่งที่เรียกว่า กลูออน อนุภาคระดับซับอะตอมิกที่ทำให้ควาร์กมีอันตรกิริยาต่อกันเป็นสื่อ แรงนิวเคลียร์แบบอ่อนมี ดับเบิลยู และ แซต โบซอน เป็นสื่อกลาง และแรงดึงดูดมี แรงดึงดูด เป็นตัวทำให้เกิดการแลกเปลี่ยน

    แรงโน้มถ่วงคือแรงดึงดูดกันระหว่างมวลสองชนิด ขณะที่แรงแม่เหล็กไฟฟ้าคือ อิเล็กตรอนดึงดูดกับโปรตรอนด้วยแรงแม่เหล็กไฟฟ้า โดยประจุที่ตรงกันข้ามกันจะมีแรงดูดกัน แต่ถ้าเป็นประจุเดียวกันจะส่งผลผลักกัน เหมือนกับแม่เหล็กขั้วเหนือดูดกับขั้วใต้

    ส่วนแรงนิวเคลียร์แบบอ่อน เป็นแรงที่เกิดในระดับซับอะตอม เช่นการสลายตัวของธาตุกัมมันตภาพรังสี และปฏิกิริยาบางอย่างในดวงอาทิตย์ และแรงนิวเคลียร์แบบเข้ม เป็นอันตรกิริยา (interaction) ระหว่าง ควาร์กกับกลูออน ดังที่อธิบายด้วยทฤษฎีควอนตัมโครโมไดนามิกส์ หรือ คิวซีดี

    เดิมทีนักวิทยาศาสตร์ทราบว่า นิวเคลียส ซึ่งเป็นแกนกลางของอะตอม ประกอบด้วยโปรตรอนกับนิวตรอน (ยกเว้นไฮโดรเจนซึ่งมีโปรตรอนตัวเดียว) แต่จากการศึกษาต่อมาพบว่า โปรตรอนกับนิวตรอนยังสามารถแบ่งแยกได้เป็นองค์ประกอบที่เรียกว่า ควาร์ก ซึ่งมีอยู่ 6 ตัว

    ในบรรดาแรงทั้งสี่เหล่านี้ สิ่งที่นักฟิสิกส์ศึกษาและเข้าใจมากที่สุดคือแรงแม่เหล็กไฟฟ้า รองลงมาคือ แรงนิวเคลียร์แบบอ่อน ตามมาด้วยแรงนิวเคลียร์แบบเข้มที่มีทฤษฎีที่เรียกว่า ควอนตัมโครโมไดนามิกส์ (คิวซีดี) เป็นตัวอธิบาย แม้จะรู้และเข้าใจได้ไม่มากนักแต่ก็ยังมีความรู้และเข้าใจมากกว่าแรงโน้มถ่วง

    เป็นเรื่องน่าประหลาดใจว่า ทั้งที่ชีวิตประจำวันของมนุษย์สัมผัสกับแรงโน้มถ่วงอยู่ตลอดเวลา แต่นักวิทยาศาสตร์กลับมีความเข้าใจ หรือทำการทดสอบน้อยกว่าแรงอีกสามชนิด

    "แรงที่เราเข้าใจน้อยที่สุดคือ แรงโน้มถ่วง ทั้งที่เป็นแรงที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัย ไอแซค นิวตัน พบว่าโลกมีแรงดึงดูดหลังจากถูกลูกแอปเปิลหล่นใส่ จนสามารถนำมาใช้คำนวณการยิงจรวดขึ้นสู่อวกาศ การคำนวณสุริยคราส และจันทรคราสได้แม่นยำ แต่จริงๆ แล้ว ทางฟิสิกส์แรงโน้มถ่วงเป็นแรงที่ทดลองได้ยาก และรู้น้อยมาก เราเชื่อว่า มวลสองก้อนดึงดูดกันเพราะมีการแลกเปลี่ยนอนุภาคชนิดหนึ่งที่เรียกว่า กราวิตรอน แต่ยังไม่มีการค้นพบ และยังมีคำถามอยู่ว่า ทฤษฎีที่พูดถึงควอนตัมกราวิตีมีอยู่จริงหรือไม่ แม้กระทั่งในทางทฤษฎีก็ยังมีปัญหา อย่าว่าแต่การทดลองเลย" ดร.อรรถกฤต กล่าว

    วิถีแห่งเต๋า

    หนึ่งในการทดลองที่เซิร์นจ่อคิวเดินเครื่องเร่งอนุภาคคือ การทดลองที่เรียกว่า คอมแพค มิวออน โซลินอย์ หรือย่อว่า ซีเอ็มเอส ซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้ตรวจจับอนุภาค ฮิกส์-โบซอน เมื่ออะตอมสองตัวที่ถูกเร่งความเร็วด้วยเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี

    "เมื่อพูดถึงแรงแม่เหล็กไฟฟ้ากับแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน อนุภาคส่วนใหญ่ถูกค้นพบหมดแล้ว ยังขาดอนุภาคชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ฮิกส์-โบซอน" อนุภาคชนิดนี้มีคุณสมบัติเป็นโบซอน แต่ไม่ได้เป็นสื่อนำ มีหน้าที่ทางเทคนิคคือ เป็นอนุภาคที่คอยให้มวลแก่อนุภาคต่างๆ จากทฤษฎีเชื่อว่า อนุภาคฮิกส์-โบซอนมีอยู่จริง แต่ยังไม่มีใครค้นพบ คาดกันว่า เป็นหนึ่งในการทดลองที่เซิร์นจะสามารถค้นพบอนุภาคนี้ได้" ดร.อรรถกฤต กล่าวอธิบาย

    โดยทฤษฎีแบบจำลองมาตรฐาน ฮิกส์-โบซอน เป็นอนุภาคพื้นฐานที่มีบทบาทสำคัญที่ใช้อธิบายการกำเนิดของอนุภาคอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถใช้อธิบายความแตกต่างระหว่างโฟตอน ซึ่งไม่มีมวล กับดับเบิลยูและแซตโบซอนได้ มวลของอนุภาคพื้นฐาน และความแตกต่างระหว่างแรงแม่เหล็กไฟฟ้า (ซึ่งเกิดจากโฟตอน) และแรงนิวเคลียร์ชนิดอ่อน (ซึ่งเกิดจากดับเบิลยูและแซตโบซอน) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อโครงสร้างของสสารระดับจุลภาคและมหภาค ซึ่งถ้าฮิกส์-โบซอนมีอยู่จริง มันจะเป็นอนุภาคที่สร้างผลกระทบใหญ่หลวงต่อโลกรอบกายเรา

    นอกจากนักฟิสิกส์จะมีปัญหากับการทำความเข้าใจแรงดึงดูดแล้ว ยังมีปัญหาเกี่ยวกับฟิสิกส์อนุภาคที่นักฟิสิกส์ยังไม่เข้าใจดีอีกประการ คือปัญหาของ สสารและปฏิสสาร จากทฤษฎีของพอล ดิเร็ก ใน ค.ศ.1928 หนึ่งในผู้คิดค้นทฤษฎีควอนตัมทำนายว่า มีอนุภาคที่มีหน้าตาเหมือนกันทุกอย่างแต่มีประจุตรงกันข้าม อนุภาคนั้นเรียกว่า ปฏิสสาร เช่น อิเล็กตรอนซึ่งเป็นประจุลบมีปฏิสสารที่เป็นประจุบวกเรียกว่า โพสิตรอน

    ปัญหาคือว่า ตามทฤษฎีแล้วนับตั้งแต่เอกภพกำเนิดขึ้นมา นักฟิสิกส์เชื่อว่า สสารและปฏิสสารเกิดขึ้นมาเท่ากันตั้งแต่วินาทีแรกที่เอกภาพเกิด เนื่องจากประจุไฟฟ้ามีปริมาณที่เรียกว่า อนุรักษ์ประจุ หมายความว่าประจุบวกไม่สามารถเกิดได้เองโดยไม่มีประจุลบ ดังนั้น ทุกอย่างจึงเกิดมาคู่กัน ขณะเดียวกัน หากจะทำลายอิเล็กตรอนซึ่งเป็นประจุลบให้หายไปได้ จำเป็นต้องใช้โพสิตรอนซึ่งเป็นประจุบวกมาชน เมื่อสสารและปฏิสสารมาชนกันจะสลายตัวไปเป็นพลังงาน

    ทว่า ปัจจุบันนักฟิสิกส์พบแต่สสาร ไม่พบปฏิสสาร เช่น อะตอมของไฮโดรเจน เกิดจากอิเล็กตรอนวนรอบโปรตรอน แต่กลับไม่พบสสารที่เกิดจากโพสิตรอนซึ่งเหมือนกับอิเล็กตรอนแต่เป็นประจุบวกโคจรรอบแอนติโปรตรอนซึ่งเป็นประจุลบ นักฟิสิกส์จึงสงสัยว่า ทำไมธรรมชาติเลือกอย่างที่มันเป็น ทำไมไม่เลือกอีกอย่างหนึ่ง

    "ตามหลัก เมื่อเอกภพเกิดขึ้นมาควรมีประจุบวกและประจุลบในจำนวนที่เท่ากัน ในการทดลองหนึ่งที่เซิร์นประสบความสำเร็จในการสร้างแอนติไฮโดรเจนอะตอม โดยนำแอนติโปรตรอนมาไว้ตรงกลางแล้วเอาโพสิตรอนมาวนรอบ แต่สสารที่เกิดขึ้นดำรงอยู่ได้เพียงไม่นานก็สลายตัว ทำไมธรรมชาติถึงเลือกให้อย่างหนึ่งเสถียร และอีกอย่างไม่เสถียร สิ่งนี้เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ทำให้นักฟิสิกส์ต้องค้นหาคำตอบ" ดร.อรรถกฤต นักฟิสิกส์ หนึ่งในผลผลิตของทุน พสวท. กล่าว

    เนรมิตหลุมดำจิ๋ว

    ในการทดลองที่เซิร์น นักฟิสิกส์จะใช้เครื่องเร่งอนุภาคยิงโปรตรอนสองตัวให้ชนกัน จากนั้นจึงใช้เครื่องตรวจจับพลังงานและโมเมนตัม อาทิเช่น ซีเอ็มเอส และเครื่องแอตลาส เป็นตัวเก็บข้อมูล ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นักฟิสิกส์ได้ทำแบบจำลองผลบนคอมพิวเตอร์ไว้ก่อนแล้ว เพื่อดูว่าผลจะออกมาอย่างไร พอเริ่มการทดลองจริง เครื่องตรวจจับจะเก็บผลการทดลองมาประมวลผล เปรียบเทียบ โดยจะมีเหตุการณ์นับล้านเหตุการณ์เกิดขึ้น มีคอมพิวเตอร์ใหญ่โตมหาศาล และการทดลองหลักๆ ของโครงการนี้คือ การทดลองซีเอ็นเอส มีเป้าหมายค้นหาฮิกส์-โบซอน ขณะที่การทดลองแอตลาส มีเป้าหมายเพื่อค้นหาสสารและปฏิสสาร

    ดร.อรรถกฤต กล่าวว่า อนุภาคฮิกส์-โบซอน จะเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายของสแตนดาร์ดโมเดล ยังเชื่อว่าการทดลองที่เซิร์นอาจพบอนุภาคที่ทำนายโดยทฤษฎีซูเปอร์ซิมมิทรี ซึ่งตามทฤษฎี เชื่อว่าอนุภาคนอกจากมีสสารและปฏิสสารแล้ว ยังมีสมมาตรระหว่างเฟอร์มิออนกับโบซอนด้วย ทุกโบซอนมีคู่แฝดที่เป็นเฟอร์มิออน และทุกเฟอร์มิออนมีคู่แฝดที่เป็นโบซอน แต่อนุภาคที่ซูเปอร์ซิมมิทรีทำนายไว้ยังไม่มีใครค้นพบ เช่น อิเล็กตรอนมีคู่อนุภาคที่เป็นโบซอน ที่เรียกว่า ซีเล็กตรอน เป็นต้น

    "ซูเปอร์ซิมมิทรีเป็นแนวคิดหนึ่งที่มุ่งรวมการอธิบายแรงทั้งสามชนิดด้วยทฤษฎีเดียว และถ้าเรานำซูเปอร์ซิมมิทรีไปรวมกับทฤษฎีอื่น เช่น ทฤษฎีสตริง เป็นซูเปอร์สตริงก็อาจจะรวมทั้งหมดนี้ได้"

    ขณะที่กลศาสตร์ควอนตัมเชื่อว่าอนุภาคเป็นจุด แต่ทฤษฎีสตริงเชื่อว่า อนุภาคเป็นเส้นหนึ่งมิติ มีจุดเป็นศูนย์มิติทางคณิตศาสตร์ ในแง่ของทฤษฎีสนามรวม อนุภาคต่างๆ เช่น อิเล็กตรอน และควาร์ก เป็นเพียงโหมดหนึ่งของการสั่น เปรียบได้เหมือนกับตัวโน้ตหนึ่ง เมื่อเล่นตัวโน้ตหนึ่งก็เป็นอิเล็กตรอน ส่วนอีกตัวโน้ตเป็นนิวทริโน

    สมมติฐานของทฤษฎีดังกล่าวจึงจำเป็นต้องได้รับการพิสูจน์ และทดลอง โดยประการแรกทฤษฎีสตริงจะต้องพิสูจน์ให้ได้คือ ซูเปอร์ซิมมิทรีมีจริงหรือไม่ และนี่คือภารกิจของเครื่องซีเอ็นเอส ถ้าค้นพบว่าซูเปอร์ซิมมิทรีมีจริง เท่ากับว่าทฤษฎีนี้น่าจะมาถูกทางแล้ว แต่ถ้าไม่เจอในการทดลองนี้ยังมีความเป็นไปได้ว่า อาจจะเจอในที่มีพลังงานสูงขึ้น หรืออาจจะไม่มีก็ได้ เท่ากับว่านักวิทยาศาสตร์ต้องเริ่มคิดหาทฤษฎีสนามรวมใหม่

    การทดลองของเซิร์นยังมีความสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การพิสูจน์การมีอยู่ของ "มิติพิเศษ"

    โลกที่เราอยู่เป็นโลกสามมิติที่มองเห็นได้ในมิติกว้าง ยาว และลึก และหลังจากอัลเบิร์ต ไอนสไตน์ เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพ จึงเพิ่มมิติของเวลาไปอีกเป็นสี่มิติ ต่อมานักวิทยาศาสตร์อย่าง ธีโอดอร์ คาลูซา และ ออสการ์ ไคลน์ เสนอว่าน่าจะมีมิติอื่น เช่น มิติที่ 5

    "แน่นอนว่า ในชีวิตประจำวันมนุษย์ไม่สามารถพบมิติที่ 5 แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีมิติดังกล่าวอยู่ โดยทฤษฎีอธิบายว่า เป็นมิติที่ขดอยู่เป็นมิติเล็กๆ เปรียบเสมือนกับกระดาษแผ่นหนึ่ง ซึ่งปกติมีแค่ด้านกว้างกับด้านยาว เมื่อนำมาม้วนให้เป็นแท่งทรงกระบอกให้มีขนาดเล็กมาก หรือมองจากระยะไกลจะเห็นแท่งทรงกระบอกเหมือนกับเส้นด้ายยาว เท่ากับว่า ธรรมชาติอาจมีหลายมิติ แต่ว่ามิติอื่นที่มองไม่เห็นมันขดตัวอยู่ ถ้าจะให้เห็นต้องใช้แว่นขยายส่องดู และในทางฟิสิกส์ แว่นขยายก็คือ พลังงานที่สูงขึ้น เพราะฉะนั้นจึงต้องสร้างเครื่องเร่งอนุภาคเพื่อเร่งพลังงาน" ดร.อรรถกฤต กล่าว

    นักฟิสิกส์ หวังว่าการทดลองที่เซิร์นอาจได้รับสัญญาณบางอย่างที่ช่วยอธิบายมิติพิเศษ ดังเช่นมีผู้เสนอว่า ถ้าเอาอนุภาคสองตัวมาชนกันด้วยความเร็วสูง อาจได้สัญญาณของหลุมดำเล็กๆ เกิดขึ้นเพราะตามทฤษฎี หลุมดำเกิดจากมวลที่มีความหนาแน่นสูงมากถึงจุดหนึ่งจนเล็กกว่าสิ่งที่เรียกว่า ขอบฟ้าเหตุการณ์ แล้วก็อาจเกิดหลุมดำได้ อนุภาคที่พลังงานสูง นอกจากมวลเล็กลงแล้ว ขนาดจะหดสั้นลงเรียกว่า ควอนตัมเรนจ์ และถ้าพลังงานสูงมากโดยไม่มีมิติอื่นอยู่ พลังงานจะสูงมากจนทดลองไม่ได้ เรียกว่า แพลงค์สเกล หรือสเกลที่กลับไปขนาดใกล้กับเอกภพเพิ่งเกิด

    แต่ถ้ามีมิติอื่น จากการคำนวณทางทฤษฎีพบว่า พลังงานไม่จำเป็นต้องสูงมาก และอาจเจอได้ในการทดลองแอลเอชซี ซึ่งถ้าเจอตัวนี้ค่อนข้างจะเป็นการปฏิวัติ และชี้ให้เห็นว่า แนวคิดเกี่ยวกับมิติพิเศษน่าจะมาถูกทาง

    "ปัญหาตอนนี้คือ เราตันในหลายๆ เรื่อง เราศึกษาเกี่ยวกับจักรวาล และเราพบว่า สิ่งที่เรารู้มีอยู่เพียง 5% สิ่งที่เราไม่รู้มีอีกมากมาย เช่น สสารมืด 25% และพลังงานมืด 70% และเราก็ไม่รู้ว่าทุกอย่างเกิดมาอย่างไร เพราะเราไม่สามารถทำให้เอกภพเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วนั่งดูมันได้ เพราะเราอยู่ในเอกภพ"

    ถึงกระนั้น เขายังเชื่อว่า ทุกครั้งที่วิทยาการเกือบจะถึงทางตันแล้ว จะเกิดการปฏิวัติความรู้ขึ้นใหม่ต่อไป "พอวิทยาศาสตร์เกิดการปฏิวัติ เทคโนโลยีก็จะปฏิวัติตาม ตอนนี้เรามาถึงพรมแดนของความรู้ของเราแล้ว ถ้าเรารู้ในสิ่งที่เราไม่รู้อีก 95% ลองนึกดูว่าวิทยาศาสตร์และวิทยาการจะปฏิวัติไปขนาดไหน"

    http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Pid=81952
     
  7. BANK07

    BANK07 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +104
    [​IMG]

    รูปท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้งมหาเถระ ขณะนั่งสมาธิดับขันธุ์
    อดีตเจ้าคณะใหญ่จีนนิกายแห่งประเทศไทย รูปที่ 6
    อดีตสังฆราชประมุขเจ้านิกายวินัย แห่งประเทศจีน
    อดีตสังฆราชประมุขนิกายมนตรายาน แห่งทิเบต

    [​IMG]

    สรีระร่างจริงท่านในปัจจุบัน ณ วิหารบูรพาจารย์ วัดโพธิ์แมนคุณาราม


    นอกจากนี้ยังมีพระอริยเจ้าที่ดับขันธ์ขณะนั่งสมาธิ และร่างไม่เน่าไม่เปื่อย ของฝ่ายมหายานอีกหลาย ๆ องค์ เช่น พระอริยะเจ้า ตั๊กฮี้ วัดเทพพุทธาราม และที่วัดจีนประชาสโมสรอีก 2 ท่าน เป็นต้น

    ศูนย์กลางข้อมูลพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่
    www.mahayana.in.th
    www.buddhayan.com
    www.mahaparamita.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. punmore

    punmore เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +903
    วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ เนื่องจากวิทยาศาสตร์เป็น Sub Set ของ พุทธศาสตร์ เพราะฉนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม่ วิทยาศาสตร์ถึงไม่สามารถพิสูจน์สิ่งต่างๆ ที่ พุทธศาสนาพูดถึงได้ เช่น การระลึกชาติ (ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ) การแสดงอิทธิฤทธิ์ สามารถเหาะได้ สามารถทำของแข่งให้เป็นของเหลวได้ ฯลฯ วิทยาศาสตร์ไม่มีคำอธิบายนะครับ เพราะว่าหากจะทำได้ต้องปฎิบัติแบบ วิธีที่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า สอนมาเท่านั้นครับ หากเป็นแบบนี้ฝรั่งอาจจะไม่ยอมรับก็ได้ทั้งทีมีฝรั่งหลายคนทำได้ เช่น เดวิท คอปเปอร์ฟิว์ หรือ เดวิท เบน สามารถแสดงกลที่เหนือมนุษย์ธรรมดาได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเหนือธรรมชาติไปได้ เพระหากใครก็ตาม สามารถฝึกฝนในด้านฉฬภิโญแล้ว ก็สามารถทำได้ครับ

    ผมเคยอ่านในหนังสือของหลวงพ่อฯ หลวงพ่อฯ ได้เมตตาบอกไว้ว่า หนึ่งในคุณสมบัติของ พระอรหันต์แบบปฏิสัมภิทาญาณ คือ สามารถอธิษฐานให้ร่างกายไม่เน่าเปื่อยได้ ส่วนคุณสมบัติอย่างอื่นก็มี เช่น

    ๑. มีความสามารถทรงความรู้พร้อม ไม่บกพร่องในหัวข้อธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ได้โดยครบถ้วน แม้ท่านจะย่างเข้ามาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาเพียงวันเดียว ทั้งๆ ที่ไม่เคยศึกษาคำสอนมาก่อนเลย ตามนัยที่ปรากฏในพระสูตรต่างๆ ที่มาในพระไตรปิฎกว่า มีมากท่านที่มีความเลื่อมใสในสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วพอฟังเทศน์จบ ท่านก็ได้บรรลุอรหันต์ชั้นปฏิสัมภิทาญาณ ท่านทรงพระไตรปิฏก คือเข้าใจในข้อวัตรปฏิบัติครบถ้วนทุกประการได้ทันท่วงที
    ๒. มีความฉลาดในการขยายความในธรรมภาษิต ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยย่อให้พิสดาร ได้อย่างถูกต้อง
    ๓. ย่อความในคำสอนที่พิสดารให้สั้นเข้า โดยไม่เสียใจความ
    ๔. สามารถเข้าใจ และพูดภาษาต่างๆ ได้ทุกภาษา ไม่ว่าภาษามนุษย์หรือภาษาสัตว์

    (คัดลอกมาจาก อัชฌาสัยปฏิสัมภิทัปปัตโต ในพระอรหันต์ 4 แบบ)
     
  9. wudiman

    wudiman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,333
    ดีจังที่ได้อ่าน

    อนุโมทนากับกระทู้นี้ด้วยนะครับ ที่ได้ให้ความรู้อันเป็นประโยชน์กับข้าพเจ้า สาธุ
     
  10. cheterk

    cheterk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    512
    ค่าพลัง:
    +1,568
    เหนือความรู้ที่จะทราบได้ทางวิทยาศาสาตร์
     
  11. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    เรื่องอะจินไตยมันเป็นก็เป็นอย่างนั้นแต่ด้วยความเป็นมนุษย์ก็พยายามที่จะอธิบายกันอาจจะเป็นเพียงสมมติฐานที่ยังไมได้มีการพิสูจน์ หรือการทดลองที่พิสูจน์แล้ว บางอย่างก็พิศูจน์ไม่ได้ เช่น เรื่องการหายตัวจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งไปได้ทั้งกายทิพย์ และกายเนื้อ ไม่มีวิทยาศาสตร์อธิบายสภาวะนี้ได้ แต่ผู้ทำได้จะรู้เอง

    ในทางวิทยาศาสตร์ก็ภาพยนต์ฝรั่ง มีการทดลองเพื่อที่จะเคลื่อนย้ายมวลสาร เช่น สิ่งของหรือตัวคนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยก่อนการเคลื่อนย้ายก็ต้องทำให้วัตถุนั้นแตกตัวย่อยลงระดับอะตอมก่อนในตู้หรือเครื่องและให้ไปตามสายไปเข้าอีกตู้หนึ่งแล้วให้อะตอมนั้นกลับไปรวมตัวกันใหม่ให้เหมือนวัตถุเดิม บังเอิญนักวิทยาศาสตร์ใช้ตัวเองทดลองแต่ตอนเข้าตู้ดันมีแมลงวันเข้าไปหนึ่งตัว พอแยกอะตอมเสร็จแล้วไปรวมกันใหม่ในอีกตู้หนึ่งกลายเป็นมนุษย์ปนแมลงวันไป

    เห็นไหมวิทยาศาสตร์ก็ทำได้เท่านี้จนทุกวันนี้ก็ยังเคลื่อนย้ายมวลสาร (หายตัวจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง) ก็ยังทำไม่ได้ทั้ง ๆ ที่อภิญญาการหายตัวทำได้หลายพันปีแล้ว เพราะเมื่อไหร่มีการทำสมาธิ ย่อมมีการได้ฌาน เมื่อได้ฌานก็ได้ฤทธิ์

    ว่าไปแล้วก็เรื่องอยากรู้ รู้แล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าหลงทางก็จะเสียเวลา ธรรมะสัจธรรมอะไรก็ไม่คืบหน้า....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2007
  12. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    เรื่องตายแล้วไม่เน่าผมได้เคยพยามอธิบายไว้ในโพส แต่อธิบายเชิงชีวเคมี ซึ่งอาจจะทำให้ผู้อ่านได้ความคิดในอีกมุมมองหนึ่ง

    สามาธิ-ฌาน รักษาโรค ตายก็ไม่เน่า

    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->สมาธิฌานรักษาโรค (บางโรคได้จริง) ลดหรือเกือบหยุดกิจกรรมของเซลล์ด้วยฌาน (เพราะอัตราการหายใจต่ำมากกกกกกกก) ตายก็ไม่เน่า

    ไม่ต้องถึงได้อภิญญา แค่สมาธิในระดับฌานก็รักษาความป่วยไข้ได้ รักษาโรคบางโรคได้เป็นปลิดทิ้งเพียงแค่เวลาไม่กี่ลมหายใจ เมื่อจิตสงบนิ่งดิ่งลงในฌาน สภาวะของสรีระร่างกายลงไปถึงระดับเซลล์และโมเลกุลจะเสมือนถูก reset ให้เข้าสู่สภาวะปกติ กลไกทางชีวะเคมีทั้งหลายที่ผิดปกติทั้งด้านปริมาณและคุณภาพก็จะกลับสู่สภาวะปกตินั้นคือทำไมเมื่อทำสมาธิจนจิตดิ่งแล้วถอนออกมาจากสมาธิอาการไข้จึงหายอย่างอัศจรรย์ ยิ่งถ้าเข้าไปฌาณสูง ๆ เช่น 5 ถึง 8 ซึ่งเป็นฌานที่พระอริยะเจ้าใช้อยู่เป้นปกติ สรีรร่างกายเข้าสู่สภาวะปกติ ปริมาณสารชีวโมเลกุล เอนไซม์ ต่าง ๆ หยุดสังเคราะห์เกือบสมบูณ์ เพราะท่านแทบไม่หายใจ (อัตราการหายใจตำสุดแต่ยังมีลมหายใจอยู่) ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายและเซลล์น้อยหรือแทบไม่มีเลย ดังนั้นจึงไม่มีพลังงาน (หรือมีแต่ต่ำมาก) สำหรับกิจกรรมใด ๆ ของเซลล์ ยีนเกือบทุกยีนปิดเกือบทั้งหมด (ส่วนน้อยที่เปิดเพียงเพื่อดำรงใก้ธาตุขันธ์อยู่ได้) คราวนี้กิจกรรมของเซลล์ที่เป็นคุณสมบัติของสิ่งมีชีวิตหยุดเกือบหมด เสมือนหนึ่งการสต๊าฟร่างกายพอตายจึงไม่เน่า เห็นไหมนักปฏิบัติทั้งหลาย พระอริยเจ้าท่านมีคุณธรรมสูง รวมทั้งฆารวาสที่ท่านอยู่ปกติด้วยฌาน ท่านตายก็ไม่เน่า แต่เป็นคนธรรมดานะต้องหยุดกิจกรรมของเซลล์และองค์ประกอบของเซลล์ เช่น เอนไซม์ต่าง ๆ ด้วยการเอาศพไปแช่แย็นมันจึงจะไม่เน่า อย่างไรก็ตามไม่ใช่ท่านทั้งหลายรวมทั้งพระอรหันต์ด้วยจะเป็นอมตนะ ในที่สุดแล้วธาตุขันธ์ก็ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยและแตกดับตายไปเป็นธรรมดา
    <!-- / message --><!-- edit note -->

    ปล. การเน่าสลายมีสองสาเหตุคื่อ
    1. Autolysis เอนไซม์ในเซลล์ย่อยสลายองค์ประกอบของเซลล์เอง
    2. จุลินทรีย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบคทีเรียเป็นผู้ย่อยสลาย
     
  13. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    ผมไปเอาที่คุณ <๙ ตาล ๙>โพสไว้หน้าห้องพลังจิตมาให้เพื่อสนับสนุนเรื่องสมาธิรักษาโรคได้
    http://www.palungjit.org/board//showthread.php?t=73125

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2007
  14. nuutuk

    nuutuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +284
    เหมือนอย่างที่ป้าอิ๊ด (ทมยันตี) กล่าวไว้ในหนังสือเลยว่า วิทยาศาตร์ยังตามหลังพุทธศาสตร์อีกเยอะ
     
  15. naf06

    naf06 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    577
    ค่าพลัง:
    +2,227
    [​IMG]
     
  16. เจสุน ลาโม

    เจสุน ลาโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2006
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +218
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...