ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

*** ระวังตกเป็นทาสผู้อื่น โดยไม่รู้ตัว ****

ร.๕ ทรงเลิกทาส
เราก็ไม่ควร ตกเป็นทาสผู้อื่น ด้วยประการทั้งปวง

- " หรุมาน ผู้นำสาร "

 

-ขออภัย เรื่องการเมือง อย่าเอาเข้ามาเลย ไม่จรรโลงในบอร์ด นี้ผมเข้ามาทุกวันไม่อยากอ่ายเรื่อการเมือง เห็นด้วย บริษัทตัวเองยังเอาไมรอด แต่รู้ทุกเรื่องยกเว้นตัวเอง

 

สวัสดีครับเพื่อนๆและน้องสมาชิกทุกท่าน
ไม่ได้เจอกันนานมากเพราะผมแวะไปพักจิตพักกายในทางธรรมจริงๆแล้วตั้งใจจะไปยาว...แต่ต้องมีเหตุให้กลับมายุ่งกับทางโลกอีก...ก็มีหลายเรื่องที่ได้รับรู้ได้สัมผัสมาจากการที่ไปปฏิบัติทางธรรม...ก็มาเล่าเป็นนิทานให้ฟังเพราะเข้ายุคสมัยใหม่...มนุษย์ไม่ดูแลธรรมชาติ...ธรรมชาติก็เริ่มจะไม่ดูแลมนุษย์...ทำให้เกิดเหตุการหลายอย่างเกิดขึ้นทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลาที่จะเกิดขึ้นแต่กับมาไว...ผู้รู้ท่านบอกว่าไม่ต้องห่วงว่าภัยพิบัติจะมาแบบใหญ่จะมา...ยังไม่มาอีกนานพอสมควร...แต่ที่หน้าห่วงคือภัยพิบัติจากกิเลสมนุษย์คือ...สงครามจะมาก่อนเพื่อให้ท่านๆได้เตรียมตัวก่อนที่ภัยพิบัติทางธรรมชาติตามมา...ถึงเวลาผู้ปฏิบัติธรรมจะรู้ด้วยจิตว่าจะไปอยู่ณ...ที่ใดจะมีคนพาไปขอให้เราตั้งใจทำว่าดีต่อส่วนร่วมและต่อธรรมชาติ...เทวดาและสิ่งศักดิสิทธิ์ท่านเห็นตลอด...ท่านไม่ปล่อยให้คนดีๆที่มีหน้าที่มาทำงานในโลกมนุษย์...ต้องอยู่ต่อและฟื้นฟูนหลายๆอย่างมี...ทั้งสมณะและผู้มีศีลและ...ผู้ที่ไม่มีศีล(แต่มีน้อย)...ถึงเวลาก็จะรู้เพราะถูกเลือกไว้แล้วก่อนที่จะมาเกิดแต่ตัวเราไม่รู้ตัว...เพราะท่านๆได้ทำมาหลายชาติ...เป็นจิตเดิมที่ตั้งใจแนวแน่น...ผมก็ฟังผู้รู้ท่านเล่าเป็นนิทานให้ฟัง...เพื่อนๆและน้องอ่านแล้ว...จะจริงหรึอเท็จก็คิดเป็นนิทานเล่าสูกันฟัง...แต่จุดหนึ่งที่ผมฟังและส่วนใจคือ...การทำความดีเพื่อส่วนร่วมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน...ดังคำกลอนที่ว่า ทำความดีโดยไม่รู้ตัว....ใครไม่เห็นแต่เราเห็น....จงเป็นผู้ปิดทองหลังพระ....สวัสดีครับ

 

สนธิเป็นคนพูดเก่ง แต่ไม่ใช่คนดี อันนี้ประสบการณ์ตัวเอง ยัง
เป็นหนี้ผม2ล้านตอนงานพันธมิตร ขอแค่20%ยังไม่จ่ายให้เลย
โดนกันหลายคน

 

ทีสนธิพูดน่ะ..เราเอามาพิจารณาในหลาย ๆ ด้านสิ..อย่างเช่นราคาทองก็ขึ้นอยู่ไม่ใช่เหรอ..อย่าเอาตรงส่วนที่เป็นเรื่องการเมืองมาใส่ใจ..เอาเรื่องเศรษฐกิจของโลกมาพิจารณาสิ...เอาเรื่องที่ว่าอาจจะเกิดสงครามโลกขึ้นได้มาพิจารณา
ถ้าใครรับแนวคิดของสนธิไม่ได้ก็หาข้อมูลตรงกันข้ามกับคุณสนธิมาหักล้างสิ.ไม่ใช่ด่าคนที่นำเอาข้อมูลโพสต์..ถ้าไม่ชอบสนธิก็หาข้อมูลที่ดีกว่ามาบอกสิ..จะได้เป็นประโยชน์กับคนที่เข้ามาอ่าน..
คำทำนายภัยพิบัติอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องที่สนธิพูดบ้างก็ได้ลองพิจารณา..อย่าใช้อคติในการอ่านและการรับรู้ข้อมูลข่าวสารดี ๆ ที่มีรอบด้าน..
ถ้ามองตรงที่เค้าล้มละลายอันนั้นคนละส่วนกัน มีใครบ้างที่ทำุธุรกิจแล้วประสบความสำเร็จทุกคน กว่าจะประสบความสำเร็จกันได้มันต้องผ่านอะไรมาบ้าง..พวกคุณเป็นคนโชคดีขนาดไหนที่ได้รับข้อมูลข่าวสารดี ๆ แล้วหลาย ๆ รูปแบบ ครบทุกรอบด้าน..
จะมีสักกี่คนที่ขยันหาข้อมูลมาป้อนให้พวกคุณอ่านกันสบาย ๆ ทำไม ไม่เปิดใจยอมรับข้อมูลข่าวสารให้ครบทุกด้าน แล้วนำมาพิจารณาวิเคราะห์ตามความสามารถความรู้ของแต่ละบุคคลล่ะครับ..
แทนที่จะขอบคุณเค้า กลับมาด่าและว่าเค้าต่าง ๆ นานา
พวกคุณก็ไม่เคยนำข้อมูลข่าวสารมาใส่เหมือนคุณเกษมเลย..เท่าที่ผมติดตามอ่านตั้งแต่แรก..
เก่งแต่ด่าหรือว่าคนอื่นเค้าเท่านั้น..สติปัญญาขาดหายไปไหนกัน..
ปลงก็ไม่ยอมปลงกันเลย..แล้วอย่างนี้ศีล 5 จะไปเหลืออะไร..
หนทางที่จะต่อสู้กับภัยพิบัติที่กำลังขึ้นมาเรื่อย ๆ (จะรอดไหมล่ะนี่)

 

คุณเกษมมีความคิดเห็นอย่างไรกับ #25673 และ #25674 ครับ
อยากทราบความคิดเห็นของคุณเกษมครับ

 

รวบรวมข้อมูลจากทุกๆ ด้านให้ได้มาอ่านกันครับ...​

คนที่มองเห็นคุณค่าของข้อมูลเหล่านึ้ ย่อมกล่าวชื่นชม อนุโมทนา

คนที่มองไม่เห็นคุณค่าของข้อมูลเหล่านี้ ย่อมกล่าวติเตียน ดูแคลน

ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ความจริงย่อมปรากฏให้เห็นได้เอง

ท่านที่ได้ติดตามอ่านกระทู้นี้มาตั้งแต่หน้าแรกๆ คงจะเห็นสัจจธรรมข้อนี้ได้ดี

คนที่ชอบเขาก็ให้ดอกไม้ คนที่ไม่ชอบเขาก็ให้ก้อนอิฐ

แต่เรื่องเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

คนที่เลือกเอาแต่สิ่งดีๆ ก็จะได้รับแต่สิ่งที่ดีๆ ไปจากกระทู้นี้

คนที่เลือกเอาแต่สิ่งร้ายๆ ก็จะได้รับแต่สิ่งร้ายๆ ไปจากกระทู้นี้

ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือเมื่อตายแล้วต้องไปสู่ทุกข์คติ

ต้องไปทนทุกข์ทรมานอยู่ในนรก เป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน อย่างแสนยาวนาน

กว่าจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็หมดอายุของพระพุทธศาสนาไปแล้ว

คนที่เลือกเอาแต่สิ่งที่ดีๆ ไปจากกระทู้นี้ ก็จะได้แนวทางนำตนเองและครอบครัว

ให้รอดพ้นไปจากอันตรายในทุกๆด้าน เมื่อตายแล้วก็มีโอกาสได้ไปสู่สุขคติ

เมื่อได้มาเกิดใหม่ก็จะได้พบพระพุทธศาสนา ได้ปฏิบัติธรรม มี ทาน ศีล ภาวนา

และสามารถนำตน ให้พ้นไปจากความทุกข์ ในวัฏฏสงสารนี้ได้ในที่สุด....

 

<TABLE class=tborder id=post cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>ขุนเวช<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_", true); </SCRIPT>
สมาชิก



วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 113
พลังการให้คะแนน: 53

</TD><TD class=alt1 id=td_post_ style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER>ขอข้อมูลจักรยานผลิตไฟฟ้าฮะ

</CENTER>
<HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>สวัสดีครับ
พอดีเห็นข้อมูลเกี่ยวกับจักรยานผลิตไฟฟ้าแล้วเกิดสนใจฮะ จึงอยากถามว่า ถ้าจะขอเข้าไปศึกษาหาข้อมูล จะติดต่อใครได้บ้างฮะ พอดีที่บ้านมีจักรยานเก่าๆ 1 คัน ก็เลยอยากจะนำมาดัดแปลง

แต่จริงๆ อยากเข้าไปขอความรู้เกี่ยวกับเรื่องไฟฟ้าด้วย รบกวนขอเบอร์ติดต่อหรือสถานที่ด้วยจะดีมากฮะ

ขอบคุณฮะ

</TD></TR></TBODY></TABLE>
ปั่น “จักรยาน” คันนี้ ได้ทั้งแรง ได้ทั้งไฟฟ้า



เรื่อง : ต้อยติ่ง

“เราอยากให้การปั่นจักรยานเป็นมากกว่าการออกกำลังกาย” สุพจน์ สิงห์โตศรี (เบอร์โทร 081-8573593) พูดถึงความตั้งใจง่ายๆ ของเขา และความคิดนั้นก็ค่อยๆ เติบโตจนออกมาเป็นต้นแบบ “จักรยานปั่นไฟฟ้า” -- จักรยานคันที่ปั่นแล้วได้ทั้ง “แรง” ได้ทั้ง “ไฟฟ้า”

ก่อนที่จะมาเป็น “จักรยานปั่นไฟฟ้า” คันนี้ แนวคิดข้างต้นเกิดขึ้นราวกลางปี 2553 ด้วยเงินงบประมาณจากรัฐที่ให้กับชุมชนไว้เพื่อใช้ประโยชน์ ชาวบ้านกลุ่มเล็กๆ หมู่ที่ 9 บ้านหนองมะตูม ตำบลดอนแร่ อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี จึงเริ่มต้นจากการร่วมมือกันของทีมงานหลายชีวิต อาศัยทักษะทางช่างเชื่อมเหล็ก ช่างไฟฟ้า และความคิดสร้างสรรค์ของเพื่อนๆ โดยมี ‘สุพจน์ สิงห์โตศรี’ เป็นผู้ดูแล

สุพจน์ เล่าว่า เมื่อมีงบประมาณจากรัฐจำนวน 20,000 บาท เขาและทีมงานพยายามช่วยกันออกแบบจักรยานที่สามารถใช้ประโยชน์ที่มากกว่าการออกกำลังกาย เริ่มจากหาวัสดุเหลือใช้ และของเก่าที่ซ่อมได้ เพื่อให้มีต้นทุนน้อยที่สุด จนได้ออกมาเป็นจักรยานสูบน้ำเพื่อมาใช้ประโยชน์ในหมู่บ้านจำนวน 4 คัน ก่อนจะได้รับการต่อยอดออกมาเป็นต้นแบบ “จักรยานปั่นไฟฟ้า” ในที่สุด
ต้นแบบ “จักรยานปั่นไฟฟ้า” ที่ปัจจุบันมีอยู่ 1 คัน จะมีการใช้งาน 2 แบบ แบ่งออกเป็น

แบบแรก คือ ปั่นจักรยานเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าไปเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ เราสามารถนำอุปกรณ์ไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC) มาต่อตรงกับแบตเตอรี่ได้เลย หรือต่อเข้าอินเวอร์เตอร์ (Inverter) เพื่อแปลงให้เป็นกระแสสลับ (AC) แบบ 220 โวลต์ ซึ่งเป็นระบบที่ประเทศไทยใช้ตามครัวเรือน

แบบที่สอง คือ การปั่นจักรยานเพื่อลดค่าไฟฟ้าในบ้าน โดยปั่นให้กระแสไฟฟ้าส่งกลับไปยังสายส่งในรูปของความดันไฟฟ้า เราสามารถทำให้มิเตอร์หมุนช้าลงได้หรือหมุนถอยหลัง ถ้าสามารถปั่นด้วยความเร็วที่สูสีหรือมากกว่าขนาดของมอเตอร์ ถ้า 1 วัน เราใช้ไฟฟ้า 10 หน่วย เราผลิตได้ 5 หน่วย เราก็ประหยัดไฟฟ้าได้ 5 หน่วย แต่ถ้าเราผลิตไฟฟ้าได้ 11 หน่วย เราก็ไม่เสียค่าไฟฟ้า และยังเผื่อไว้สำหรับพรุ่งนี้ได้อีก 1 หน่วย

“มันเหมือนเรายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” เขาเปรียบเทียบ “หากลงแรงปั่นจักรยานด้วยความเร็วพอประมาณเป็นระยะเวลา 1 ชั่วโมง จะได้ไฟฟ้าครึ่งหน่วย คิดเป็นตัวเงินจะอยู่ราว 2 บาท ครึ่งชั่วโมงเป็น 1 บาท และ 15 นาทีก็จะได้อยู่ที่ 50 สตางค์ แต่มันคุ้มตรงที่ว่าเราได้ออกกำลัง ส่วนเงินที่ไปลดจ่ายเป็นเพียงผลพลอยได้มากกว่า”

แม้ “จักรยานปั่นไฟฟ้า” คันนี้ จะไม่สามารถเป็นตัวแปรของวิถีชีวิตในเมืองได้อย่างเต็มที่นัก ด้วยเหตุที่บ้านแต่ละหลังยังมีเครื่องใช้ไฟฟ้ามากชิ้น และหลายหลังก็ยังมีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟมหาศาลอย่างเครื่องปรับอากาศกัน กระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ไม่กี่หน่วยย่อมไม่เพียงพอต่อความต้องการ แต่ถ้า “จักรยาน” คันนี้ไปตั้งอยู่ในบ้านที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าน้อยชิ้น การปั่นจักรยานเป็นเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง เพื่อแลกกับการใช้สอยตลอดคืนจากโทรทัศน์ พัดลม และหลอดไฟ ย่อมเป็นไปได้อย่างเหลือเฟือ

“ถ้าเราใช้ไฟฟ้าจากไฟ 1 ดวง พัดลมหนึ่งตัว ทีวีหนึ่งเครื่อง ในเวลา 6 โมงเย็น – 4 ทุ่ม ปั่นสักครึ่งชั่วโมงก็พอแล้ว อีกอย่าง ผมมองว่าในอนาคตเราจำเป็นต้องพึ่งตัวเองให้ได้ ถ้าเราจะมีบ้านสักหลัง เราควรที่จะผลิตน้ำ ผลิตไฟฟ้าเองด้วยตัวเองได้ ถ้ามีจักรยานแบบนี้เอาไปใส่ในบ้านพึ่งตัวเอง จะบ้านดิน หรือบ้านอะไรก็ตามที่เราสร้างขึ้นมา เรารู้ว่าถ้าจะใช้ไฟฟ้า เราก็ต้องออกแรงเท่านี้นะ บ้านที่ห่างไกลออกไปก็สามารถอยู่ได้แบบมีไฟฟ้าด้วย”

ที่มา http://www.greenworld.or.th/greenworld/population/1332

 

ตีความตัวอักษร...ใจเป็นธรรม....จากการกระทำ....ที่ได้เห็น.....

 

ขอกราบโมทนาเป็นอย่างสูงครับ พี่เกษม เป็นกำลังใจให้มาตลอดนะครับ คนไหนดี ไม่ดี ผู้มีปัญญาฝึกตัวฝึกตนอยู่เสมอย่อมรู้ ส่วนคนพาลย่อมไม่รู้ว่าใครดี ใครไม่ดี เพราะสามารถมองเห็นคนอื่นได้แค่ความดีที่ตนเองมีเท่านั้น อัตตนาโจตยัตตานัง ครับ

 

เป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ให้ข้อมูลในกระทู้นี้

เป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ให้ข้อมูลในกระทู้นี้ ที่สร้างคุณประโยชน์ไว้ แม้แต่ลูกก็ยังใช้ข้อมูลในนี้ใช้ในการสอบวิชาอ่านทันโลก

 

เลือกแต่ข้อดีของคนมาใช้สิเอาขอเสียของเขามาเถียงกันทำไม งง

 

คุณเกษม เป็นกำลังใจเสมอลุยต่อนะครับ

 

รับฟังข้อมูลให้ครบทุกด้าน แล้วคุณจะมองเห็นทุกอย่างไปตามความเป็นจริง !!!

​

 

ที่คุณเกษม พูดดี แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว...

คนมีกิเลส...ย่อมเอา กิเลสในใจมามอง...มาตัดสิน...

เพราะฉะนั้น โลกนี้ จึงเป็นแบบนี้

นี่แหละ คือ โลก...ตามความเป็นจริง!!!

ขอเอาใจช่วย ขันติเยอะ น๊าๆๆๆ...

.............

 

สาธุ...

สาธุ...

สาธุ...

พี่เกษม...กล่าวถูกต้องแล้ว

เป็นกำลังใจให้เสมอ...ครับ



.

 

เอาข้อมูลมาจากกระทู้ข้างล่างนี้....ครับ

 

อีกข้อความ....ที่มีความหมายสอดคล้องกัน...ครับ

ซึ่ง....หลวงปู่สรวง....ท่านได้เตือนเรื่อง....น้ำ...ไว้ก่อนแล้ว

 

ขอใช้พื้นที่...นี้...แนะนำคลิปดีๆ เพื่อให้เราๆ ท่านๆ ได้รู้จักความดี ความชั่ว....ผ่านทางคุณริว....ครับ


<object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/7u8nwQBya9A?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/7u8nwQBya9A?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></object>

<object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/d0QqG1mIvNY?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/d0QqG1mIvNY?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></object>

<object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/mGoaSwBlTSY?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/mGoaSwBlTSY?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></object>

 

รู้จัก ... ริว จิตสัมผัส


ริว จิตสัมผัส พาบุกกองปราบท้าผีใน วู้ดดี้เกิดมาคุย

​

​

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก [ame="http://www.youtube.com/watch?v=jbJJsZZUdR4&feature=related"]Youtube.com โดย MeejungLove[/ame] ,รายการตีสิบ , รายการวู้ดดี้เกิดมาคุย

คน ที่ชอบติดตามข่าวสารคงเคยได้ยินกิตติศัพท์ความเฮี้ยนของ "ผีกองปราบ" กันมาบ้างไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะข่าวที่ว่า มีนักโทษผูกคอตายคนแล้วคนเล่า รวมทั้งนักโทษหลายคนที่ถูกผีหลอกอยู่บ่อยครั้ง สร้างความสยองไปทั่วกองปราบ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องนิมนต์พระมาสวด ประพรมน้ำมนต์ เพื่อขับไล่วิญญาณ

และเรื่องราวลึกลับจับต้องไม่ได้เช่นนี้ ก็ได้กลายเป็นภารกิจของรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ที่เชิญตัว "ริว จิตสัมผัส" ผู้ซึ่งได้ชื่อว่า สามารถติดต่อกับผีและวิญญาณได้ มาร่วมค้นหาความจริง ว่า "ผีกองปราบ" มีจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม โปรดใช้วิจารณญานในการชมเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นความเชื่อส่วนบุคคล

ทั้งนี้ ก่อนที่ ริว จิตสัมผัส และ วู้ดดี้ จะได้เข้าไปในห้องขังของกองปราบนั้น ริว จิตสัมผัส ได้ทำพิธีเปิดตา เพื่อบอกกล่าววิญญาณว่า ขอให้ได้พบกัน ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้พาทั้งคู่เข้าไปยังห้องขัง ซึ่ง ริว จิตสัมผัส ได้เลือกเข้าไปในห้องที่อยู่ตรงทาง 3 แพร่ง ก่อนจะเริ่มอธิบายว่า ในห้องนี้มีคนฆ่าตัวตาย และยังเห็นวิญญาณอื่น ๆ เดินไปเดินมาในพร้อม ๆ กับที่พวกเขากำลังเดินเข้ามา

​

จากนั้น ริว จิตสัมผัส ได้พา วู้ดดี้ เดินเข้าไปยังห้องขังแต่ละห้อง พร้อมกับอธิบายว่า เขาเห็นวิญญาณในห้อง ก่อนจะเริ่มเล่าว่า วิญญาณที่อยู่ในแต่ละห้องขังได้ทำความผิดในข้อหาเกี่ยวข้องกับอะไร และมีบาปกรรมอะไรอยู่จึงทำให้วิญญาณยังวนเวียนอยู่ในห้องขังไม่ยอมไปผุดไป เกิด ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยืนยันว่า ข้อมูลที่ ริว จิตสัมผัส พูดมาเป็นเรื่องจริง ทำเอา วู้ดดี้ ถึงกับขนลุก

ความน่ากลัวชวนขนลุกยังไม่หมด เมื่อ ริว จิตสัมผัส พูดขึ้นมาว่า ในห้องที่พวกเขากำลังยืนอยู่นี้ ยังมีวิญญาณอยู่ข้าง ๆ และบอกให้พวกเขา "ออกไป" สอดรับกับด้านนอกที่มีเสียงหมาหอนดังขึ้นมา ทำให้ ริว จิตสัมผัส ต้องบอกให้ทุกคนรีบออกมาจากห้อง และขอเข้าไปสำรวจอีกห้องที่เคยถูกใช้เป็นห้องทำงาน แต่ปัจจุบันกลายเป็นห้องร้าง เนื่องจาก ริว จิตสัมผัส บอกว่า เขาเห็นอะไรบางอย่างอยู่ในห้องนั้นด้วย

ทันที ที่ไปถึงห้องดังกล่าว ริว จิตสัมผัส แสดงความแปลกใจอย่างมากที่ตำแหน่งของห้องนั้นตรงกับตำแหน่งที่มีผู้ต้องขัง ผูกคอตาย และเมื่อได้เดินดูห้องต่าง ๆ ในอาคารหลังนั้น กลับพบว่า ตำแหน่งห้องส่วนใหญ่กลับอยู่ตรงทางสามแพร่งเกือบทั้งหมด และมีช่องประตูทางเดินยาวซึ่งคนเชื่อกันว่า ลักษณะทางเดินเช่นนี้เรียกว่าทางผีผ่าน นั่นหมายความว่า ต้องมีใครเคยเห็นวิญญาณในบริเวณดังกล่าวบ้างแน่นอน

​

ความน่ากลัวยังเกิดขึ้นต่อไป เมื่อทุกคนได้ยินเสียง "อื้อ" ดังขึ้นมาเบา ๆ จากห้องนั้น ริว จิตสัมผัส จึงพาทุกคนออกไปจากบริเวณนั้นทันที แต่แล้วทีมงานวู้ดดี้เกิดมาคุย กลับถ่ายติดภาพดวงไฟดวงใหญ่อยู่นอกหน้าต่างบริเวณห้องใต้บันได ก่อนที่ดวงไฟนั้นจะแยกออกเป็นสองดวง และมีดวงหนึ่งวนไปวนมาอย่างเป็นอิสระ ทั้งที่บริเวณนั้นไม่มีคนอยู่เลยแม้เพียงคนเดียว สร้างความสยองให้กับทีมงานเป็นอย่างมาก

และ หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจนี้ ก็ทำเอา "ริว จิตสัมผัส" ถึงกับเอ่ยปากว่า จะไม่มาเยี่ยมโรงพักอีกแล้ว เพราะรู้สึกกลัวจริง ๆ อย่างไรก็ตาม ทางรายการวู้ดดี้ได้ย้ำว่า การนำเสนอครั้งนี้ไม่ได้ต้องการให้ใครเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น แต่อยากให้คนตระหนักถึง "ผลแห่งกรรม" และเข้าใจคำว่า "กรรมตามทัน" เพราะใครก็ตามที่ทำอะไรไม่ดีไว้ "กรรม" ก็สามารถตามทันในชาตินี้ โดยไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า

คลิป ริว จิตสัมผัส พาบุกกองปราบสัมผัสวิญญาณ ตอนที่ 1



คลิป ริว จิตสัมผัส พาบุกกองปราบสัมผัสวิญญาณ ตอนที่ 2



คลิป ริว จิตสัมผัส พาบุกกองปราบสัมผัสวิญญาณ ตอนที่ 3


​

รู้จัก ริว จิตสัมผัส หมอดูจิตสัมผัส ประจำคนอวดผี

ริว จิตสัมผัส

​

ริว จิตสัมผัส

​

ริว จิตสัมผัส​

หลังจากรายการตีสิบได้หยิบเอาเรื่องราวของ "ริว-ปาณรวัฐ ลิ่มรัตนอาภรณ์" หรือ ริว จิตสัมผัส ชาย หนุ่มนักพยากรณ์ชีวิต ที่สามารถหยั่งรู้ดวงชะตาของผู้อื่นเพียงแค่ดูลายมือ ที่เขียนชื่อ-สกุล ตัวเลข วัน เดือน ปีเกิดตามนักษัตร และบ้านเลขที่ โดยไม่ต้องเห็นหน้า หรือไม่ต้องพูดคุย งานนี้เลยทำให้ใครหลาย ๆ คนอัศจรรย์ใจ พร้อม ๆ กับอยากรู้จักเรื่องราวของหนุ่มคนนี้ วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปค้นหาคำตอบกันค่ะ ...อะ ๆ เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการพิจารณาด้วยนะคะ

ริว จิตสัมผัส หรือ ปาณรวัฐ ลิ่มรัตนอาภรณ์ หนุ่มวัย 31 ปี เกิด ที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ในครอบครัวคนจีนธรรมดา ๆ ครอบครัวหนึ่ง เติบโตมาแบบเด็กหนุ่มทั่วไป ๆ คือเรียนหนังสือและจบมาทำงาน ซึ่งมองดูเผิน ๆ เขาก็เป็นเหมือนชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง แต่ในอีกด้านหนึ่งของเขากลับมีเรื่องราวเหลือเชื่อ เดินควบคู่กันไปกับวิถีชีวิตปกติสุขของเขา

โดย ริว จิตสัมผัส เปิดใจว่า ริวเกิดที่สุไหงโก-ลก ในครอบครัวคนจีนครับ มีอากงเป็นคนเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก ๆ ซึ่งอากงมักบอกเสมอว่า ตอนเด็ก ๆ ริวชอบมีอาการแปลก ๆ ทุกครั้งเวลาไปงานศาลเจ้า คือทุกครั้งที่ริวได้ยินเสียงตีกลอง ริวจะตัวสั่น แต่พอออกจากงานก็หาย เป็นแบบนี้อยู่เสมอ ๆ และพออายุประมาณ 10 ขวบ ริวก็กินเนื้อสัตว์ไม่ได้เลย 3 วัน เพราะริวเห็นทุกอย่างเป็นเลือดหมดเลย ต้องกินผลไม้กับข้าวอยู่ 1 เดือน ทำให้ริวหันมากินมังสวิรัติ กินมาตลอดจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็กินมา 21 ปีแล้ว ส่วนเรื่องลางสังหรณ์ คือริวรับรู้เรื่องแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว และวันที่รู้มากจริง ๆ 19 มีนาคม แต่ริวจำปี พ.ศ.ไม่ได้ ซึ่งเป็นวันที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุต้องเข้าโรงพยาบาล เพราะมีรถตัดหน้ารถคุณพ่อ พี่น้องทุกคนจะเอาเรื่องรถคันดังกล่าว แต่พอริวมองหน้าเขาก็เห็นว่าบนใบหน้ามีอักษรคำว่า "ตาย" เป็นภาษาจีนติดอยู่ ริวเลยบอกพี่ ๆ ว่าอย่าไปเอาเรื่องเขาเลย เดี๋ยวเขาก็ตายแล้ว

"ทุกคนได้ยินริวพูดอย่างนั้นก็หาว่าริวบ้า ริวเลยหันไปถามเขาว่าเป็นโรคอะไรหรือเปล่า ซึ่งเขาก็บอกว่าเขาตัวเป็นโรคเอดส์ พี่ ๆ ก็ไม่เชื่อ เขาเลยหยิบบัตรประจำตัวที่บอกว่าเป็นโรคนี้ขึ้นมาให้ดู ริวเลยให้เขาไปบวชให้คุณพ่อ 3 เดือน ตอนอยู่ในงานศพคุณพ่อ ริวก็เอาลายเซ็นของคุณพ่อมาดู ก็เห็นเลยว่าคุณพ่อถึงวันที่เขาสิ้นอายุขัยแล้ว ตั้งแต่นั้นมาริวก็จะมีสัมผัสอะไรแบบนี้ตลอดมา ซึ่งช่วงแรก ๆ ริวพยายามหลีกเลี่ยง จะไปขอตามวัด ตามศาลเจ้าให้เอาของพวกนี้ออกไป จากนั้นก็ใช้ชีวิตเหมือนเด็กวัยรุ่นธรรมดาทั่ว ๆ ไป คือเรียน ทำงาน แต่พอดีท่านกวนอู ซึ่งริวบอกว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็น แต่รับรู้ได้จากเสียงและความรู้สึก ท่านมาบอกริวว่าไม่ได้แล้วนะ เราต้องช่วยคน ให้ใช้ความสามารถนี้ทำประโยชน์แก่คนรอบข้าง ริวจึงเริ่มออกมาช่วยเหลือคนอื่น ๆ ท่านบอกให้ริวช่วยเหลือผู้อื่นที่เดือดร้อน เป็นทุกข์ โดยไม่รับค่าจ้างหรือทรัพย์สินเงินทองใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้ามีคนจะบริจาคก็แล้วแต่กำลังศรัทธา ซึ่งริวก็จะนำไปทำบุญทำทานต่อไป" ริว กล่าว

ริว จิตสัมผัส กล่าวอีกว่า ที่สำคัญสาเหตุหลัก ๆ ของการออกมาดูและการมาช่วยคนในครั้งนี้ เพราะท่านกวนอูได้บอกว่า เธอรู้ไหมว่าเมืองไทยของเธอมีพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ มีจิตเมตตาเป็นโพธิสัตว์ เพราะฉะนั้นอย่าให้ท่านต้องโดดเดี่ยว อยากให้เราทุกคนรักในหลวงมาก ๆ สร้างคุณงามความดี ซึ่งทุก ๆ ครั้งที่ริวดูดวงหรือทำนายอะไรให้ใคร ริวมักจะบอกจะขอร้องให้เขาทำสิ่งนี้ตอบแทนเสมอ นั่นก็คือการกินเจทุกวันพระให้ในหลวง 1 วัน และทุกคืนหลังจากกินเจด้วยจิตอันบริสุทธิ์แล้ว อยากให้สวดมนต์อุทิศนี้กุศลถวายแด่พระองค์ท่าน เพื่อให้พระองค์ท่านมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน และปกครองดูแลเราให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข

"การดูของริวคือริวไม่ทำนายอนาคต ไม่พูดถึงอดีต แต่จะชี้ให้เห็นถึงปัจจุบันว่าติดอะไร หรือต้องแก้อย่างไร และการดูดวงของริวจะเน้นเรื่องสุขภาพและครอบครัวเป็นหลัก ทั้งนี้ ตั้งแต่ได้ตรวจดูดวงชะตาผู้คน สิ่งหนึ่งที่ได้ตรวจดูและพบมากที่สุดคือเรื่องของการทำแท้ง ซึ่งการทำแท้งเป็นวิบากกรรมที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ เป็นสิ่งที่แย่ที่สุดในชีวิต โทษของการทำแท้งน่ากลัวมาก ๆ คือชีวิตในครอบครัวจะไม่มีความสุข จะไม่มีลูกอีกเลย หรือถึงมีลูกได้แต่ลูกจะดื้อมาก ๆ และไม่มีการแก้กรรมอะไรทดแทนได้ เพราะกรรมก็คือกรรม นี่คือสิ่งที่ริวอยากเตือนทุก ๆ คน เพราะเมื่อชีวิตหนึ่งเกิดขึ้นมา ก็ต้องเลี้ยงดูเขา อย่าไปทำร้ายหรือทำลายเขา นี่คือสิ่งที่ริวอยากฝากกับทุก ๆ คนไว้" ริว จิตสัมผัส กล่าว

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากเวลาการทำงานที่เป็นทั้งวีเจ, พิธีกร, ดีเจ, วิทยากรบรรยายรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด และอาสาสมัครในหลายโครงการที่เกี่ยวกับเยาวชนแล้ว ริวก็ใช้ชีวิตปกติทั่วไปคือ ไปเที่ยว ดูหนัง ฟังเพลง แต่มักจะทำควบคู่ไปกับแนวทางที่ท่านกวนอูวางไว้ คือ รู้จักหน้าที่ ถึงเวลากินก็กิน เวลานอนก็นอน ไหว้พระสวดมนต์ ทำกิจวัตร แผ่เมตตาอุทิศบุญกุศลให้คนที่ดูดวงให้ในแต่ละวัน

นอกจากนี้ ริว จิตสัมผัส ก็ยังใช้ความสามารถพิเศษของตัวเอง ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณในรายการคนอวดผี ทางช่อง 7 ในช่วง "ศูนย์บรรเทาทุกข์ผี" ซึ่งเป็นช่วงที่จะเชิญผู้ชมรายการ หรือใครก็ตามที่เป็นทุกข์ หรือสงสัยว่า จะมีสิ่งเร้นลับบางอย่างอยู่ภายในบ้าน หรือรถ จนทำให้เกิดความกลัว ไม่สบายใจ หรือเกิดอาการแปลก ๆ กับคนในครอบครัว มาบอกเล่าพูดคุย โดย ริว จิตสัมผัส ก็จะเป็นผู้ให้คำแนะนำ วิธีแก้ไข พร้อมบอกสาเหตุและผลกรรมที่ทำให้คน ๆ นั้นต้องมาเจอกับสิ่งเร้นลับ หรืออาการเจ็บไข้ได้ป่วยที่เกิดขึ้นอย่างแม่นยำ ทำเอาผู้เล่าเรื่อง พิธีกร และผู้ชมทางบ้านถึงกับอึ้ง ทึ่ง ในความแม่นยำของ ริว จิตสัมผัส เลยทีเดียว

และนี่คือวิถีชีวิตของ ริว จิตสัมผัส หรือ "ริว-ปาณรวัฐ ลิ่มรัตนอาภรณ์" ชายหนุ่มผู้ที่ทำนายชะตาชีวิตผู้คนด้วยการดูลายมือเขียน