เมือ จิตดิ่งลง ควรทําไงต่อไป

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 26 กันยายน 2011.

  1. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    คือสองเดือนก่อน ตอนอยู่เมืองไทย ผมไปวัด แล้วก็จุดธุป อธิฐาน ว่า ขอให้ตัวผม นั่น จิตบริสิทธิแจ่มใส พอ พระท่าน สวดมนตร์ ให้ สวดมนตร์ ตาม ทําท่าดอกบัว และนั่งสมาธิ 15 นาทีกว่า ตัวผม นั้น รู้สึกได้เลยว่า จิตมันสงบ และดิ่งลงไปอ่าครับ พอลืมตาเสร็จ เหมือนเป็นคนใหม่เลย

    คืออยาก ถามว่า เมื่อ รู้สึกว่าจิตมันดิ่ง ลง แล้วควรทําไงต่อไปครับ
     
  2. ขอนไม้แห้ง

    ขอนไม้แห้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    228
    ค่าพลัง:
    +1,618
    สิ่งที่ทำต่อไป คือมีสติ ครับ รักษาจิตให้เป็นกลาง ไม่ต้องเข้าไปแทรกแซง แล้วจิตมันจะทำหน้าที่ของมันเอง
     
  3. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
  4. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    626
    ค่าพลัง:
    +574
    -ความจริงศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาแห่งการขอท่านขอให้ จิตบริสิทธิแจ่มใส คงไม่ใด้หากต้องทำเอง เมื่อ รู้สึกว่าจิตมันดิ่ง ท่านจงมีสติทำความรุ้ว่าจิตกำลังดิ่งลง ตามรู้จนถึงที่สุด สุดท้ายมันก็เป็นแค่อาการหนึ่งของจิต
     
  5. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    ตามคุณ ongsathit1 นั่นแหละครับ...
     
  6. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    เมื่อจิตดิ่งลง คงอยู่ในสภาพเช่นนั้น ให้ได้อยู่ทรงตัวเสียก่อน

    เมื่อได้ดั่งเช่นที่กล่าวมาดีแล้ว จนสามารถทำได้ทุกครั้งที่ปฎิบัติ

    จึงค่อยๆขับเคลื่อนจิต ที่นิ่งสงบ ไม่หวั่นไหว ซึ่งจิตจะทำหน้าที่ของจิตเอง

    เราเป็นเพียงผู้ที่เฝ้าดู ในการขับเคลื่อนของจิต แต่ในช่วงแรกต้องมีการบังคับเล็กน้อย
     
  7. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2011
  8. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    สารพัดนิมิตที่เกิดขึ้น ขอตอบผ่านกระทู้นี้นะครับ

    วิชามโนมยิทธิ เป็นการฝึกเกี่ยวกับนิมิตนะครับ นิมิตจริงหรือไม่นั้นต้องทำการพิสูจน์นิมิตนั้นครับ เช่น นิมิตพระพุทธเจ้า ซึ่งนิยมเห็นกันบ่อยสำหรับผู้ฝึกวิชานี้
    ก่อนอื่น ขอตอบตามที่ถูกสอนมาแล้วกันนะครับ ถูกสอนมาว่า"พุทธนิมิต คือกายกรรมที่ไม่ตกอยู่ในขันธ์ห้า ของพระอรหันต์ที่มาสื่อสารกับฝ่ายบัญญัติอย่างคนทั่วไปที่ยังตกอยู่ในขันธ์ห้า ท่านก็เลย ต้องใช้บัญญัติเสมอเราถึงจะสื่อสารกันได้ สรุปฝ่ายโลกุตตระภูมิ ท่านไม่มีตัวตนอย่างเราแล้ว(ดับขันธ์ห้า ดับตัวตนพ้นกิเลสสิ้นเชิง) แต่จะสื่อสารต้องบัญญัติขึ้นมาครับ ฉะนั้นสิ่งที่เห็นนั้นไม่จริงครับ ส่วนใหญ่จะเป็นอุปทานในนิมิตครับ ส่วนนิมิตอื่นๆนั้น เช่น เทวดานั้นตอบได้ครับ ก็เจออีกต้องถามเทวดาท่านว่า ท่านเป็นใครนะครับ เพื่อพิสูจน์นิมิตนั้นจริงหรือไม่ครับ ส่วนแดนนิพพานนั้นคนธรรมดาไปไม่ได้ครับ อย่างมากก็เห็นแค่ทางเข้านะครับ(อันนี้ถามเทวดามาตอบครับ)
    ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมรู้สึกว่ามีคนในโลกทิพย์ผ่านร่างกายของเรา วิชานี้เป็นการเปิดมโนวิญญานด้วยนะครับ เมื่อรู้สึกไม่ดีลองใช้พระคาถาปิดมโนวิญญานดูนะครับ"อุดทัง อัดโธ สะระจิตตัง" เพื่อไม่ให้พวกเขาผ่านใช้ร่างกายวิญญานของเราครับ ส่วนวิชามโนยิทธินั้นผมตอบไม่ได้ครับ เพราะผมถูกฝึกมาแบบสายพระอาจารย์มั่นนะครับ คือการทำสมาธิแบบไม่มีนิมิตครับ สิ่งที่สัมผัสได้จะเป็นจริงเสมอ เพราะนิมิตจะเกิดเมื่อต้องการดูเรื่อง เฉพาะเรื่องนั้นเท่านั้นครับ
    ขอให้ตั้งสติให้ดีครับ ไม่ใช่นั้นจะสับสนกับการฝึกนะครับ
     
  9. oze

    oze Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +94
    ตามความเห็นที่ 2 นั้นและคับ ยินดีด้วย
     
  10. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,145
    ค่าพลัง:
    +1,960
    งั้นก็ต้องเวลาฝึกก็ใ่สพระเครื่องกันไว้สินะครับ:cool:

    งั้นผมผมเพ่งกระจกนึกถึงเทพ+ภาวนาไปด้วย เทพมาปรากฏอยู่ในกระจก แล้วก็ถามท่านจนกว่าจะเป็นตัวจริง(คือไม่นิมิตรอุปทานของตัวเราแล้ว)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2011
  11. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,397
    ค่าพลัง:
    +2,985
    ทรงไปศึกษาสำนักอาฬารดาบส............<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ท่านกาลามะ ! ท่านทำให้แจ้งธรรมนี้ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศได้เพียงเท่าไรหนอ?” <o:p></o:p>
    ครั้นเรากล่าวอย่างนี้ อาฬารผู้กาลามโคตรได้ประกาศให้รู้ถึง อากิญจัญญายตนะ แล้ว.<o:p></o:p>
    ฯลฯ<o:p></o:p>
    ทรงไปศึกษาสำนักอุทกดาบส.........<o:p></o:p>
    ครั้งนั้นเราเข้าไปหาอุทกผู้รามบุตรถึงที่อยู่แล้วกล่าวว่า<o:p></o:p>
    ท่านรามะ ! ท่านทำธรรมนี้ให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วและประกาศได้<o:p></o:p>
    เพียงเท่าไรหนอ?” ครั้นเรากล่าวอย่างนี้ อุทกรามบุตรได้ประกาศให้รู้ถึง<o:p></o:p>
    เนวสัญญานาสัญญายตนะ แล้ว.<o:p></o:p>
    ฯลฯ<o:p></o:p>
    ได้เกิดความรู้สึกนี้ว่า ธรรมนี้ จะได้เป็นไปพร้อมเพื่อเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด<o:p></o:p>
    เพื่อรำงับ เพื่อสงบ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อรู้พร้อม เพื่อนิพพาน ก็หาไม่, แต่เป็นไปพร้อม<o:p></o:p>
    เพียงเพื่อการบังเกิดใน เนวสัญญานาสัญญายตนภพ๑ เท่านั้นเอง”. ราชกุมาร ! ตถาคต<o:p></o:p>
    (เมื่อเห็นโทษในสมาบัติทั้งแปด) จึงไม่พอใจในธรรมนั้น เบื่อหน่าย<o:p></o:p>
    จากธรรมนั้น หลีกไปเสีย”. <o:p></o:p>
    ฯลฯ<o:p></o:p>
    ทรงไปศึกษาด้วยพระองค์เอง หลังจากเลิกทรมานกายแล้ว หันมาเสวย..............<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ราชกุมาร ! ความระลึกอันนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า เออก็เรายังจำได้อยู่<o:p></o:p>
    เมื่องานแรกนาแห่งบิดา เรานั่ง ร่มไว้หว้ามีเงาเย็นสนิท มีใจสงัดแล้ว<o:p></o:p>
    จากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย บรรลุปฐมฌานมีวิตกวิจาร มีปิติและสุข<o:p></o:p>
    อันเกิดแต่วิเวกแล้วแลอยู่ ชะรอยนั่นจักเป็นทางแห่งการตรัสรู้บ้าง ดังนี้.<o:p></o:p>
    ราชกุมาร ! วิญญาณอันแล่นไปตามความระลึก ได้มีแล้วแก่เราว่า นี่แล แน่แล้ว<o:p></o:p>
    หนทางแห่งการตรัสรู้ดังนี้……ฯลฯ<o:p></o:p>

    ลองอ่านและพิจารณา อาจได้พบทางที่อยากจะไป..............
     
  12. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    ดูไปนี่ท่านน่าจะออกนอกประเด็นกระทู้นี้นะครับ....

    เรื่องทิพย์จักษุญาน ที่เขาฝึกได้กันนี้เป็นเรื่องที่พูดได้ยากนะครับ...ท่านมีสอนไว้อยู่ ขนาดหลวงพ่อพุธ ธานิโย ท่านก็ยอมรับว่ามี แม้ มโนมยิทธิก็ตาม...

    พูดเรื่องปริยัตินี่ไม่อยากจะพูดเพราะคนพูดที่นี่มีมากแล้ว...มากจนอาจล้นก็ว่าได้....

    นี่ขนาดภูมิปฏิบัติท่านยังไม่มี ท่านพูดได้ขนาดนี้เลยนะครับ....ผมว่าท่านควรไปทำให้ได้ก่อน แล้วค่อยพูดดีกว่า ท่านไม่พูดก็ไม่มีใครเขาจะว่าท่านไม่รู้หลอกนะ.......

    เพราะถ้าท่านพูดว่าไม่มี เป็นอุปทาน แสดงว่าที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนกันมาผิดหมด....คนที่เขาฝึกได้กันมา..เป็นของปลอมหมด...งั้นหลักสูตรเตวิชโช หลักสูตรฉฬภิญโญ ของพระพุทธเจ้าเป็นหมั๋นเลย ท่านสอนไว้ไม่มีความหมาย อย่างนั้นไมครับ หลวงปู่ชอบ เห็นภพภูมิต่างๆ หลวงปู่ตื้อระลึกชาติได้ หลวงปู่ฝั้น อภิญญา หลวงปู่มั่นเห็นพระพุทธเจ้า หลวงพ่อเปลี่ยนแสดงธรรมโปรดพญานาค ปลอมหมด เป็นนิมิต ดีไมครับ ครูบาอาจารย์ที่สอนศิษย์กันมาผิดหมด ท่านหลอกศิษย์เอา อย่างนี้ไม...ท่านพูดโดยที่ท่านไม่รู้จริง โทษปรามาสท่านมีนะ ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพานนะครับ คุ้มหรือไม่ที่ท่านจะแลกมัน...

    ถ้าท่านเป็นศิษย์สายพระป่า ท่านน่าจะมีมารยาทของศิษย์สายพระป่าหน่อยนะ....จริยวัตรของครูบาอาจารย์ท่านไม่ฟันธง หรือ ตีสำนักอื่น หรือผู้ปฏิบัติด้วยกันหลอกนะครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2011
  13. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    สิ่งที่เขาถามครับ

    ตอนนี้อาจารย์เขาไม่ได้บวชแล้วนะครับ คือดูแลคน สอนคนฝึก มโนยิทธิ พอผม ไปหาเขา อาจารย์ชื่อว่า ธวัชชัย เค้าคุยเพราะ มาก ตอนแรก เค้าให้จุดธุป ถวายของ แด่พระแม่ธรณี ก่อนอ่าครับ แล้วก็ไปห้องพระ แล้วจุดธุป พูดทีเค้าบอก ผมก็จําไม่ได้นะครับพูดไร พอตอนนั้น อาจารย์ก็ให้พูดตาม แล้วหลับตา บอกว่า เห็น ใครไหม

    ผมบอกว่า เห็นพระ หลายคน มาก เค้าบอกว่า นั้นคือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาช่วย อาจารย์บอกว่า ตัวผม มีคนมาอยู่ร่าง ผมเยอะมาก เพราะผมไปบอก ว่าสงสาร เค้าเลยตามมา ทั้งป่าช้า เลยนะครับ อาจารย์ก็เอามือ ตบผมเบาๆ ผมรู้สึกได้เลย ว่า ตัวผมมีไรออก เห็นหญิง ผี ยักษ์ คนแก่ หญิงนี้เยอะมาก แม่มด (เพราะอยู่เดนมาร์ค ไปที่หนึ่งที่เกี่ยวกับพวกแม่มด รร พาไปคิดว่ามันตามมานะครับ) พวกวิญญาณเหล่านั้น ไปนิพพาน เลยนะครับ คือ ผมเห็นเป็นลางๆบรรไดสีทอง แล้วก็พวกเค้าก็ขึ้นไป ตอนแรกคิด
    มาอยู่ร่าง ฟรีๆ แล้ว ได้ ไปนิพพาน ไม่เคยมีไรให้เลย มันแปลกๆ อยู่นะ อิอิ แต่ตอนนี้ ก็
    คิดดว่า ตอนคนเหล่านั้นมาอยู่ ผมก็ไม่ได้ฝันไรแปลก อาจารย์บอกผมว่า ผีเหล่านั้น มาอยุ๋ในตัวเพราะว่า ถ้ามาอยู่ในร่างผม ขึ้นสวรรค์แน่นอน อาจารย์ ก็สอนมโนยิทธิ

    พาผมไปแดนพระนิพพาน ตอนแรก ตั้งจิตไปแดนพระนิพพาน วิมารของผมเอง แต่ ผมดันไป วิมารของ พระพิณคเนศ เห็นไปรูปช้างนะครับ อาจารย์บอกว่า ผิดแล้ว ไปวิมารตัวเอง

    ตอนไปก็เห็น แต่เป็นลาง เห็นมีสัตว์เยอะมาก ในวิมารผม แล้วก็อาจารย์ให้พูดตามบอกว่า

    ตัวผม จะ มาคุยทีหลัง แล้วก็ให้ผมกิน ผลไม้ที่วิมารของผม คือ ขอกินอะครับ แล้วก็อาจารย์บอกว่า ให้ ส่งจิต ไป ขอบสระแดนพระนิพพาน ที่ผมเห็นคือ เป็นขอบสระ ใหญ่มาก
    แล้วก็ ตอนนั้น จิตผม กระโดดลงไป กายในอะครับ ตอนแรกผมไม่รู้อาจารย์มาบอกว่า ผมกระโดดลงไป ผมก็เห็นพญานาค คิ้วสีทอง ตัวสี เขียว ทอง ปน บ้าง อาจารย์บอกว่า ชาติก่อน ผมช่วยคนเหล่านั้น เค้าเลย มาดูแลวิมารให้ แล้วก็ผมก็ ไปที่ลึก ที่สุดของ น้ำพระนิพพาน อ่าครับ อาจารย์บอกว่า ผมเห็นไรไหม ผมบอกว่า เห็นฤษี อาจารย์บอกว่า ให้กล่าวขอบคุณเค้าก็ดูแลให้ และดูแลลูกแก้ว ให้ผม ลูกแก้วที่ว่า คือลูกแก้วแห่งดวงปัญญา แต่สีที่ผมเห็นมี สีเขียว สีส้ม สีชมพู แล้วอีกสามสี ผมจําไม่ได้ แต่ ตรงกลางเป็นออกสีส้มผสมชมพูแบบนี้อ่าครับ ตอนแรกผมก็นึกว่าเป็น ลูกแก้วสารพัดนึก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกไร แล้ว อาจารย์บอกว่า ขอบคุณ ฤษี ที่ดูแล และ ก็ผมเห็นฤษี หลายคน แล้วผมก็เหมือนแยกร่างกราบขอบพระคุณทั้งหมด แล้วก็ขอลูกแก้วแห่งดวงปัญญา อ่าครับ

    แต่ ผมก็ยังไม่ค่อยแน่ใจว่า ที่ผมเห็นนั้น คือแดนพระนิพพาน หรือเปล่าหรือเป็นสวรรค์ หรือพรหมโลก ชั้นใดชั้นหนึ่ง แต่ก็ไม่สนอะไร .......................

    ผมตอบไม่ได้ เพราะผมเชื่อไปคนละทาง คุณภานุเดชก็แก้ปัญหาให้เขาด้วยแล้วกันครับ แต่ถ้าจะให้ผมแก้ ผมก็ยืนยันว่า"เขากำลังตกในภาวะภวังค์ครับ"
    ต้องปลุกให้เขาตื่นเท่านั้นถึงจะแก้ได้ครับ

    หาคำแนะนำมาให้เขาด้วยนะครับ ว่าแก้อย่างไรนะครับ
     
  14. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    คำถามของ จขกท. ไม่มีอะไรมากเลยนะครับ....ก็ตอบไปแล้วในเนื้อความ นอกนั้นที่พูดเป็นของเกินจากที่เขาถามมาหมดหละครับ...

    จำเป็นอันใดอีกที่จะพูดในสิ่งที่เขาไม่ได้ถาม...
     
  15. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ตอบปัญหาธรรม

    ขยายให้ คุณ คุรุวาโร

    มโนมยิทธิมีจริงครับ ในพระไตรปิฏกมีระบุไว้ชัดเจน

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 กันยายน 2011
  16. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    ขอขอบคุณอาจารย์ซัวเจ๋งครับ สำหรับคำตอบนะครับ อาจจะไม่ถูกใจใครหลายๆคน หรือถูกใจใครหลายๆคนก็ไม่รู้ได้ครับ
     
  17. maxgatod

    maxgatod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +228
    <TABLE style="BORDER-BOTTOM: rgb(204,204,204) 1px dotted" border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD style="FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(51,51,51); FONT-SIZE: 10pt" class=line_yb height=25>ฌาณ ตามพระไตรปิฎก

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellPadding=10 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(51,51,51); FONT-SIZE: 10pt" align=middle><TABLE border=0 cellPadding=5><TBODY><TR><TD style="FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(51,51,51); FONT-SIZE: 10pt"></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellPadding=5 width=770><TBODY><TR><TD style="FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(51,51,51); FONT-SIZE: 10pt" vAlign=top>ปฐมฌาน

    เรานั้นแล สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลธรรม ได้บรรลุปฐมฌาน มีวิตก
    มีวิจาร มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่วิเวกอยู่.

    ทุติยฌาน

    เราได้บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก
    ไม่มีวิจาร เพราะวิตก วิจาร สงบไป มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่สมาธิอยู่.

    ตติยฌาน
    เรามีอุเบกขาอยู่ มีสติ มีสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป
    ได้บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มีสุขอยู่ ดังนี้ อยู่.

    จตุตถฌาน
    เราได้บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัส โทมนัส
    ก่อนๆ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่.

    บุพเพนิวาสานุสสติญาณ
    เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควร
    แก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ เรานั้น
    ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง
    สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง
    ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัลป์
    เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้นเราได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตร
    อย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียง
    เท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพโน้นนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น
    มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนด
    อายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพโน้นนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็น
    อันมาก พร้อมทั้งอุเทส พร้อมทั้งอาการ ด้วยประการฉะนี้ พราหมณ์ วิชชาที่หนึ่งนี่แล เรา
    ได้บรรลุแล้วในปฐมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืด
    เรากำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียร
    เผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ฉะนั้น ความชำแรกออกครั้งที่หนึ่งของเรานี้แล ได้เป็นเหมือนการ
    ทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ฉะนั้น.

    จุตูปปาตญาณ
    เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควร
    แก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อญาณเครื่องรู้จุติและอุปบัติ
    ของสัตว์ทั้งหลาย เรานั้นย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี
    มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์
    ผู้เข้าถึงตามกรรมว่า หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
    ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่
    เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก หรือว่าหมู่สัตว์ผู้เกิด
    เป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็น
    สัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่แตก
    กายตายไป เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เราย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต
    มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อม
    รู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมด้วยประการดังนี้ พราหมณ์ วิชชาที่สองนี้แล เราได้บรรลุแล้ว
    ในมัชฌิมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว
    แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไป
    แล้วอยู่ฉะนั้น ความชำแรกออกครั้งที่สองของเรานี้แล ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะ
    ฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น.

    อาสวักขยญาณ
    เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควร
    แก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ เรานั้นได้รู้ชัด
    ตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความ
    ดับทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า เหล่านี้
    อาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดอาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความดับอาสวะ ได้รู้
    ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ เมื่อเรานั้นรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตได้
    หลุดพ้นแล้วแม้จากกามาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากภวาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากอวิชชาสวะ
    เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ได้มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ได้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่า ชาติสิ้นแล้ว
    พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี พราหมณ์
    วิชชาที่สามนี้แล เราได้บรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิด
    แก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท
    มีความเพียรเผากิเลสส่งจิตไปแล้วอยู่ ฉะนั้น ความชำแรกออกครั้งที่สามของเรานี้แล ได้เป็น
    เหมือนการทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น.

    ที่มา
    พระวินัยปิฎก
    เล่ม ๑
    มหาวิภังค์ ปฐมภาค
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น.
    เวรัญชกัณฑ์
    เรื่องเวรัญชพราหมณ์
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ......... ในเมือ รู้ว่า มี ปิติ สุข และ อุเบกขา อันสงัดจาก อกุศล เป็นอย่างไร เรา ก็ รู้ ว่าการที่จิต ไม่ตั้งมั่นเพราะ นิวรณ์5 หรืออกุศล ทั้งหลายที่ทำให้ จิตไม่ตั้งมั่นนั้นเป็นอย่างไรเช่นกัน......จะเห็น สภาวะทั้งสองอย่างเปรียบเทียบกัน.............
     
  19. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    ตกลงเขาไม่ตอบคุณ นั้นผมขอแนะนำคุณไปฝึกกสิณน้ำนะครับ เพราะการฝึกกสิณนั้นอาศัยนิมิตเป็นเครื่องหมาย คุณทำนิมิตเป็น ทำให้เป็นปฏิภาคนิมิตให้ได้ครับ ที่เลือกกสิณน้ำ เพราะจะได้แก้อาการภาวะ"ภวังค์" ของคุณด้วยนะครับ ส่วนพวกกสิณไฟ แสงสว่าง นั้นไม่ขอแนะนำครับ เดี๋ยวจะเกิดปัญหาตามมาอีกเพียบครับ เพราะคนสอนบอกแต่ข้อดีแต่ไม่บอกข้อควรระวังนะครับ

    มีปัญหาถามได้ครับ ยินดีหาคำตอบให้ครับ
    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...