สึกพระเกษมและคลิป

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย 2499, 5 ตุลาคม 2011.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    ไม่ต้องแก้ไขอะไร เพราะประเด็นที่ พระเกษมกล่าวว่า พระรับเงินรับทอง เป็นประเด็นที่เข้าใจผิด
    ไม่ใช่ปัญหา แต่สำหรับ พระที่ท่านเอาเงินเอาทองไปเสวยสุขส่วนตัว ก็ปล่อยให้ผลกรรมจัดการท่านเอง เพราะพระที่ท่านมีโลภะมาก โลภะก็มีแต่จะกัดกินลุกลามไปมากยิ่งขึ้น หาสุขไม่ได้
    แต่สำหรับพระที่ท่านสละแล้ว แต่อาจจะมีความจำเป็น ท่านก็ยังคงต้องมีบัญชีธนาคาร
    เช่น พระบางรูปท่าน สมัยเป็นฆราวาสมีเงินมาก เวลาท่านไปบวช จะให้ท่านทิ้งเงินหรือ

    การออกกฎเป็นการสร้างความยุ่งยากให้กับพระมากเกินไป ไม่ได้เกิดประโยชน์
    เรื่องของพระวินัย หากใครศรัทธาจะมาบวชในพระศาสนา ท่านก็ต้องเคารพในพระวินัยเป็นปกติ
    ไม่สมควรออกกฎควบคุมพระ

    อีกประเด็นหนึ่งคือ พระมหาเถระจะไปดูอย่างไร ครบทุกวัด จะออกเป็นกฎหรือ ก็ไม่ใช่ที่ เพราะจะเป็นช่องให้เกิดการทำลายกันได้ มากกว่าจะควบคุม

    คราวนี้แหละ จะวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น เพราะจะเป็นช่องให้ มาร ชี้ทำลายพระมากกว่าเดิม
     
  2. cinderella2517

    cinderella2517 Mindset Coach และ นักพยากรณ์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    735
    ค่าพลัง:
    +1,404
    ปล่อยให้ศาลยุติธรรมที่สุดของจักรวาลเป็นผุ้ตัดสินลงโทษดีกว่าค่ะ เราอย่าไปตกนรกด้วยเลย ปล่อยให้ผลกรรมทำหน้าที่ แล้วเราเป็นผู้ดูเฉย ๆ ปลอดภัยกว่า
     
  3. สุวัณโณ

    สุวัณโณ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +8
    ท่านอย่าลืม สติ ในการใช้คําพูดกัน การใช้คําว่า "พระสมัยนี้" ควรต้องระวังคําพูดคํานี้กันหน่อย นั่นน่ะคํารวม ปรามาสรวมไปทั้งหมด หลวงปู่หลวงตา ท่านที่กระดูกเป็นพระธาตุ โยมก็สร้างกุฏิถวายท่านหลังใหญ่ๆกันหลายองค์ รถโยมก็ถวาย หลายองค์ท่านรับปัจจัยมา ท่านก็สร้างโบส ศาลา โรงเรียน สร้างโรงพยาบาล ซื้อรถให้ทางการ ซื้อคอมฯให้หน่วยราชการต่างๆ ด้วยปัจจัย ที่เขาถวายส่วนตัว

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าท่านก็รับ วัดต่างๆสมัยนั้นที่สร้างถวายกัน ราคาก็เป็นหลายสิบโกฏิ พระอานนท์ท่านก็รับผ้าเป็นพันเป็นหมื่นผืน

    เวลาไปถวายสังฆทานกันน่ะ ใส่ซองให้ท่านเอง หรือว่าพระท่านบอกให้ใส่เท่านั้นเท่านี้ การที่พระจับปัจจัย กับ พระจับเงิน มันต่างกันนะอย่ารวม อย่าเอาพื้นฐานตัวเองไปต่อว่าปรามาสพระท่านเลย


     
  4. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +1,073
    ลุงขันธ์ เป็นผู้มีความรู้ทางธรรมท่านหนึ่ง เป็นผู้มีหลักมีเกณฑ์แล้ว

    แทนที่จะไปแนะนำ เด็กใหม่ๆ ในห้องอภิญญา ผู้เป็นนักปฏิบัติ
    เพื่อนๆ หน้าเก่าๆ รอต้อนรับอยู่

    ดีกว่าที่จะมายกหาง พวกเด็กๆ ให้ได้ใจ แล้วคล้อยไปตามทิฏฐิของโลก แล้วก็หลงไปตามกระแส
    หลักของใจยังไม่มีเลย แล้วจะมาปกป้อง เป็นไปไม่ได้หรอก ก็ปกป้องไปตามอารมณ์และทิฏฐิครรลองโลกนั่นไง

    เหตุการณ์เหล่านี้ย่อมจะมีขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพศใดก็เพศใด นั่นล่ะ
    แทนที่ลุงขันธ์ จะไปแนะนำธรรมะ ให้มีหลักมีเกณฑ์ ในหลักของใจ ในส่วนของการปฏิบัติ

    ดีกว่าที่จะต้องมาปรับทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นเรื่องของโลกที่มันต้องเป็นไป

    ก็ขอฝากไว้
     
  5. สยามสามดี

    สยามสามดี สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2011
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +3
    5555 ข้าพเจ้า ขออนุญาต นะท่านนะ...ท่านตอบมาได้เช่นไร ว่าไม่ควรออกกฏควบคุมพระ..และพระที่ไปบวช ต้องมีบัญชี กรณีเป็นฆราวาสมีเงิน แก้ไขง่ายมาก คือ กรณีบวชไม่นาน คือ 7-15 วัน คือ บวชตามหลักศาสนา (เพราะคนพวกนี้ มีหน้าที่การงานต้องรับผิดชอบ(มีบัญชีได้ เป็นข้อยกเว้น) ส่วน บุคคลที่บวชเอาพรรษาจำพวกนี้ ไม่มีหน้าที่การงานต้องรับผิดชอบ และจำพวกบวชเกิน 1พรรษาขึ้นไป แสดงว่า เป็นจำพวกบวชเอาทางธรรม เพราะฉะนั้นต้องตัดซึ่งทุกอย่างได้ จิงไหมท่าน) กฎ หมายถึง กรณีมีหมู่เหล่าเดียวกัน ต้องเป็นไปตามกฏ แต่กฏ คนเป็นผู้ตั้งขึ้น สามารถ แก้ไขได้ เพื่อให้ หมู่เหล่าเดียวกัน อยู่กันอย่างปฎิสุข.จิงใหมท่าน..ถ้าท่านขันธ์คิดว่า พระมหาเถระผู้มีอำนาจ ดูแลไม่ได้ ก็ไม่ควรที่จะมีพระมหาเถระ จิงหรือ ไม่ เพราะ ตำแหน่งใดๆๆก็ตาม ที่แต่งตั้งขึ้นมา แสดงว่าผู้นั้นเป็นผู้ซึ่งมีคุณสมบัติ ปฎิบัติได้ ...ถ้าท่านตอบเช่นนี้..ข้าพเจ้าถามท่านว่า ถ้าอย่างนั้น พระมหาเถระมีไว้เพื่อสิ่งอันใดหรือ....
     
  6. goldtop

    goldtop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2011
    โพสต์:
    701
    ค่าพลัง:
    +113
    ทำไมเขาจะดูแลไม่ได้ก็เขาสั่งให้สึกอยู่นี่ไง แล้วหนีทำไมเวลาเขาจะมาสึก
     
  7. goldtop

    goldtop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2011
    โพสต์:
    701
    ค่าพลัง:
    +113
    พูดมาได้ยกหาง มันไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่สาวกเกษมสามแยกกำลังยกหางเกษมหรอก ผิดกัน 55555
     
  8. นิรันตรัง

    นิรันตรัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +92

    โรคจิต ประเภทเรียกร้องความสนใจ​



    โรคจิต ประเภทเรียกร้องความสนใจ คือ อาการของคนขาดความอบอุ่น โหยหาอยู่เป็นพักๆ

    เช่น อ้อนพ่อ อ้อนแม่ อ้อนแฟน ถึงแม้ว่าเรื่องบางเรื่อง จะไม่ค่อยน่าให้อ้อนก็ยังจะอุตส่าห์

    คิดออกมาได้

    - เป็นอาการของคนที่ต้องการให้คนอื่นมาสนใจ ให้ความสำคัญ เช่น แค่อยากโชว์ผลงาน

    ชิ้นโบว์แดงให้เป็นที่ประจักษ์ ถึงแม้ว่าคนอื่นเค้าก็ไม่ค่อยอยากจะรับรู้ซักเท่าไหร่

    -บางคนมีอาการอยากเด่น อยากให้ทุกสายตามาจับจ้อง เช่น อยากให้รู้ว่าตัวเองสำคัญ

    ทุกคนจะต้องชื่นชมในตัวชั้น

    - บางคนชอบแอบซุ่มในมุมมืด และทำให้คนอื่นเดือดร้อน โมโห ฉุนเฉียว ก่นด่า แล้วเค้า

    เกิดความสนุกคึกคะนอง แอบยิ้มอยุ่ในใจว่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนได้โดยไม่มีใครทำอะไร

    ได้ โดยเค้าคิดว่านี่คือความสุข แต่แท้ที่จริงลึกๆ ในใจเค้าแล้ว ไม่ได้มีความสุขอย่างที่เค้า

    คิดเลย แต่เต็มไปด้วยความอิจฉาและร้อนรุ่มในใจตลอดเวลา ถ้าหากเค้าไม่แก้ไข เค้าจะ

    ไม่พบความสุขที่แท้จริง

    - บุคคลประเภทนี้ถ้าไปดูประวัติย้อนหลังของเค้าแล้วจะรู้ว่าชีวิตเค้าน่าสงสาร

    จะเกิดในครอบครัวที่แตกแยก ไม่เป็นที่ต้องการของคนในครอบครัว ไม่จริงใจกับใคร เป็น

    คนขี้อิจฉา มักจะไม่ค่อยมีเพื่อนสนิท

    วิธีพูดคุยกับคนโรคจิตประเภทนี้

    - ถ้าหากเค้าแสดงอาการเรียกร้องความสนใจแบบไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้อง ก่อให้เกิดความ

    เสียหาย หรืออาการที่คนในกลุ่มไม่พึงประสงค์ให้เค้าแสดงออกมา ก็ไม่ควรให้ความสนใจ

    ไม่ตอบโต้ ทำเสมือนว่าไม่พบ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ให้มันผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    เพราะถ้าหากตอบโต้เท่ากับเป็นการส่งเสริมให้เค้ารู้สึกสะใจ สนุกสนานที่มีคนสนใจเค้า ถึง

    แม้จะด่าว่าด้วยถ้อยคำรุนแรง เค้ายิ่งรู้สึกสะใจมากขึ้น

    -ถ้าหากเค้าแสดงออก หรือเรียกร้องในทางที่เหมาะสม ไม่เสียหาย ก็ควรยกย่อง ชมเชย

    เค้าให้ความสำคัญกับเค้า เค้าก็จะค่อยปรับพฤติการณ์เค้าเอง เพราะที่อดีตผ่านมา เค้าขาด

    ความอบอุ่น ขาดคนสนใจ ไม่มีใครสอนเค้ามา เค้าจึงเป็นผู้ป่วยทางอารมณ์ ที่เราควรให้

    เค้าปรับพฤติกรรม

    Re:
     
  9. poramets

    poramets Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +29
    ต่างคนต่างความคิด
    ส่วนตัวข้าพเจ้านั้นเมื่อเห็นพระเกษม แล้วนึกถึงภิกษุทากุอัน
     
  10. แอ๊บแบ้ว

    แอ๊บแบ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,335
    ค่าพลัง:
    +2,544
    [​IMG]
    คติธรรมคำสอนของ- ท่านพระอาจารย์มั่นภูริทัตโต
    คัดลอกจาก: เข็ญใจสู่ธรรม(คัดจากจากหนังสือขันธวิมุติสมังคีธรรม​
    การตำหนิติเตียนผู้อื่นถึงเขาจะผิดจริงก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเองให้ขุ่นมัวไปด้วย
    ความเดือดร้อนวุ่นวายใจที่คิดตำหนิผู้อื่นจนไม่เป็นสุขนั้นนักปราชญ์ถือเป็นความผิดแลบาปกรรมไม่มีดีเลยจะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปราถนามาทรมานอย่างไม่คาดฝัน
    การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรองเป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์จึงควรสังเวชต่อความผิดของตนงดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสียความทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัวแต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ทำไมพอใจสร้างขึ้นเอง
    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk-main-page.htm


    บางคำถาม บางคำตอบ
    พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
     
  11. ธรรมรังสี

    ธรรมรังสี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2011
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +2,218


    กระผมไม่ใช่ผู้รู้นะครับ แต่ขอตอบในฐานะชาวพุทธคนหนึ่ง



    1. พระเกษมอวดอุตริมนุสธรรม เป็นปาราชิกนานแล้ว ขาดจากความเป็นพระนานแล้ว คณะสงฆ์ประกาศตัดขาดนานแล้ว (เพิ่งประกาศซ้ำเมื่อไม่นานมานี้)


    2. พระเกษมทำสังฆเภท (ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก) มานานแล้ว คณะสงฆ์ก็ประกาศลงพรหมทัณฑ์ (คือไม่ให้ความสนใจ) มานานแล้วเช่นกัน กรรมที่พระเกษมทำจัดเป็นอนันตริยกรรม (แต่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเองและแสดงอาการดื้อดึงตลอดเวลาและดื้อรั้นแบบสุดๆ) แม้แต่ผู้ให้การสนับสนุนก็จัดอยู่ในฐานทำอนันตริยกรรมด้วย ซึ่งจัดว่าเป็นกรรมที่หนักมาก ห้ามสวรรค์ห้ามนิพพานเลยทีเดียว หรือใครก็ตามที่โมทนาสาธุการกับการกระทำของพระเกษม ก็ย่อมมีส่วนแห่งอกุศลกรรมนั้นด้วย (เช่นเดียวกับกรณีของพระเทวทัต)


    3. ความเห็นผิดหลงผิดของพระเกษมทำให้เกิดเป็นโลกวัชชะ (โลกติเตียน) อย่างมากมายในสังคมชาวพุทธ และไม่เป็นที่น่าเลื่อมใสของมหาชน ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาของมหาชน



    ความอยู่รอดของพระพุทธศาสนา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ใดผู้หนึ่งแต่ขึ้นอยู่กับความร่วมแรงร่วมใจกันของชาวพุทธ



    ถ้าพระอริยสงฆ์จะให้อุบายธรรมแก่สานุศิษย์นั้น ท่านต้องผ่านการปฏิบัติแบบเข้มงวดมาก่อนและได้รับการยกให้เป็นครูบาอาจารย์ของหมู่คณะ หมู่คณะให้การยอมรับนับถือแล้วเท่านั้น (เช่นในสายขององค์หลวงปู่มั่นฯ) จึงจะมาให้การอบรมสั่งสอนแก่หมู่คณะหรือสานุศิษย์ได้ ไม่ใช่ยกตัวเองอุปโลกน์ตัวเองหรือตั้งตัวเองขึ้นมาเฉยๆ เพื่อมาแสดงภูมิหรืออวดภูมิหรอกครับ พระอริยะแท้ๆ ท่านไม่ทำกัน ต่อให้ยกตำรามาอ้างก็เถอะ สายปฏิบัติจริงๆ ย่อมไม่ลงใจดอก บางองค์ขนาดเป็นมหาเปรียญรอบรู้แตกฉานในพระไตรปิฎกมาก เก่งพระอภิธรรม ท่องจำพระสูตร เคร่งในพระวินัย แต่ก็โดนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ขนาบแล้วขนาบอีก ไม่ใช่ว่าท่านจะไม่ให้ศึกษาพระไตรปิฎกหรอกครับ แต่เพราะการศึกษาพระไตรปิฎกด้วยอัตตานั้น มันผิด คือ พระไตรปิำฎกนั้นถูก แต่ผู้ศึกษาด้วยอัตตานั้นผิด เช่นกรณีของท่านเกษมที่เอาแต่อ้างพระไตรปิฎกเอาแต่เคร่งตามพระไตรปิฎก แต่ไม่รู้จักแยกแยะสมมติกับวิมุติ ไม่รู้จักแยกแยะศรัทธากับปัญญา คิดว่าผู้อื่นคนอื่นเขาไม่รู้เหมือนตน ตนเองเก่งกว่าดีกว่า ไม่รู้จักอริยประเพณีที่แท้จริงที่ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่รู้ว่าในพระพุทธศาสนานั้น นอกจากพระไตรปิฎก (พุทธศาสน์) แล้ว ยังมีทั้งพุทธศาสตร์และพุทธศิลป์ที่ผสมกลมกลืนระหว่างขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีศิลปวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่นในแต่ละยุคสมัยด้วย


    พุทธศาสตร์ เช่น การประยุกต์เอาการรดน้ำมนต์ที่ปรากฎในพระไตรปิฎกในส่วนของรตนสูตรที่ท่านพระอานนท์รับพระุพุทธบัญชาจากพระพุทธองค์ให้เจริญซึ่งพระรตนปริตรแล้วประพรมน้ำพระพุทธมนต์ไปรอบกรุงเวสาลีเพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านเมือง หรือในบทพาหุงฯ ที่พระพุทธองค์ทรงใช้ฤทธิ์เพื่อสั่งสอนยักษ์หรือเทพพรหมที่เป็นมิจฉาทิฏฐิให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ฯลฯ ซึ่งพระสงฆ์ในปัจจุบันก็ได้ใช้พระสูตรเหล่านี้มาเป็นบทสวดมนต์เพื่อเป็นการเสริมกำลังใจแก่พุทธศาสนิกชน จนกลายมาเป็นพิธีกรรมต่างๆ รวมไปถึงการอธิษฐานจิตในวัตถุมงคลด้วย ก็ย่อมใช้บทสวดมนต์ซึ่งเป็นพระสูตรในพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น

    แม้พระไตรปิฎกจะมีอยู่ 3 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ พระวินัย พระสูตร และ พระอภิธรรม แต่ก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจกำลังสติกำลังปัญญาของผู้ที่นับถือนั่นเอง ซึ่งพระพุทธองค์ก็ไม่ได้ทรงบังคับว่าต้องทำตามทั้งหมด แต่ก็ทรงชี้แจงแสดงเหตุและผลเอาไว้แล้วอย่างครบถ้วนนั่นเอง


    พุทธศิลป์ เช่น การสร้างวัดสร้างโบสถ์สร้างวิหารสร้างพระเจดีย์แบบไทยๆ ในแต่ละภูมิภาค การเขียนภาพพุทธประวัติที่ผนังโบสถ์ การสร้างพระพุทธรูป-พระเครื่อง ฯลฯ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นพุทธศิลป์อันทรงคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมทั้งสิ้น แม้จะมีการนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดศีลธรรมอันใด เพราะเป็นเรื่องของความเชื่อความศรัทธาของแต่ละคน (เป็นเรื่องส่วนบุคคล) ซึ่งสิ่งเหล่านี้จัดว่าเป็นเปลือกของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่แก่น แต่เป็นธรรมดาที่ต้นไม้ใหญ่ย่อมมีเปลือกหนา คือยิ่งใหญ่ยิ่งหนา แต่แก่นก็ยังคงเป็นแก่นอยู่นั่นเอง



    และการรักษาศีลเอง นอกจากจะต้องรักษาตามฐานะและเพศภาวะ เช่น ศีล 5 ศีล 8 (สำหรับคฤหัสถ์) และ ศีล 227 (สำหรับพระภิกษุ) แล้ว สำหรับผู้ครองสมณเพศนั้น ยังมีพระวินัยบัญญัติอีกมากมายที่แบ่งเป็นจุลศีล มัชฌิมศีล และมหาศีลอยู่ด้วย นอกจากนั้นยังต้องมีปาริสุทธิศีลอีก 4 ประการ ได้แก่ ปาฏิโมกขสังวรศีล อินทรียสังวรศีล อาชีวปาริสุทธิศีล และ ปัจจยสันนิสิตศีล



    การกระทำของคุณเกษมนั้น ผิดทั้งปาราชิกผิดทั้งอนันตริยกรรมผิดทั้งโลกวัชชะ ขาดทั้งปาฏิิโมกขสังวรศีลขาดทั้งอินทรียสังวรศีล ไม่สมกับเป็นสมณเพศ การจะอ้างธรรมะพระไตรปิฎกเพื่อจะเอามาข่มผู้อื่นนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เพราะความผิดของพระสงฆ์นั้นย่อมมีหนักมีเบาตามอาบัติตามพระวินัย คณะสงฆ์ทั้งหลายย่อมดำเนินการจัดการกันเองได้ มิใช่จะจ้องจับผิดโจทย์ความผิดกันโดยไม่รู้จักอาบัติหนักอาบัติเบาหาได้ไม่


    ถ้าเป็นพระสงฆ์ที่ทำผิดพระวินัยร้ายแรง หรือเป็นผู้ว่ายากสอนยาก หรือทำผิดประเภทโลกวัชชะบ่อยๆ ฆราวาสก็มีสิทธิ์ที่จะคว่ำบาตร คือ ไม่ให้ความอุปถัมภ์ใดๆ หรือ ทำการติเตียนได้โดยไม่บาป (สมัยก่อนมีถึงขั้นรุมประชาทัณฑ์ เช่น พระเสพยาบ้า-ขายยาบ้า พระเมาเหล้า ฯลฯ แม้จะไม่ผิดถึงขั้นปาราชิก แต่ประชาชนรับไม่ได้ เนื่องจากเป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา ถ้าไม่แก้ไขปรับปรุงตัวและทำผิดเป็นอาจิณก็สามารถจับสึกได้) ในส่วนของคณะสงฆ์ก็ได้แก่การลงพรหมทัณฑ์ คือไม่ให้ความสนใจไม่ทำการยุ่งเกี่ยวด้วยเลย หรือถ้าสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายมากนัก ก็สามารถดำเนินการขั้นเด็ดขาดได้ตามมติของคณะสงฆ์นั่นเอง
     
  12. สายชน

    สายชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    251
    ค่าพลัง:
    +1,232
    พระอรหันต์ตั้งแต่สมัยพุทธกาลมายังไม่มีองค์ใหนทำแบบนี้เลยทำลายพระพุทธรูปได้ต่อไปก็คงเป็นเจดีย์อื่นๆๆอีกเยอะการที่เราสร้างพระเนี่ยก็บ่งบอกถึงความเจริญในพระพุทธศาสนาให้บรรพชนรุ่นหลังได้ศึกษาประวัติศาสตร์แม้ว่าจิตไม่ผ่องใสไม่เลื่อมใสก็สร้างพระไม่ได้ติดพระดีกว่าติดเหล้าติดยาผมเองเวลามีพระห้อยคอก็จะระลึกเสมอว่าจะไม่ทำชั่วมันก็เป็นกุศลโลบายของบรรพบุรุษเราที่สอนลูกหลาน
     
  13. ธรรมรังสี

    ธรรมรังสี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2011
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +2,218



    สาธุครับ เคารพและเข้าใจในคำสอนขององค์หลวงปู่มั่นฯ ครับ



    แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่เรื่องเฉพาะตัวบุคคลครับ เป็นเรื่องความมั่นคงของพระพุทธศาสนาครับ และทุกท่านที่ออกมาปกป้องพระพุทธศาสนานั้น ย่อมมีวิจารณญาณเองครับ




    และขอฝากพุทธภาษิตอีกบทนึงด้วยนะครับ



    "นิคคัณเห นิคคะหาระหัง ปัคคัณเห ปัคคะหาระหัง" แปลว่า


    พึงชมผู้ที่ควรชม พึงข่มผู้ที่ควรข่ม




    ยกตัวอย่างในกรณีของพระเทวทัต พระพุทธองค์ย่อมไม่ทรงสรรเสริญเลย และทรงตรัสตำหนิว่า เป็นโมฆบุรุษ (คนว่างเปล่า ไร้สาระ ไร้แก่นสาร ไร้คุณธรรม) หรือ ทุมมังกุ (คนเก้อยาก คนหน้าด้านไม่รู้จักอาย ชอบแก้ตัวแต่ไม่ยอมแก้ไข) และ เป็นผู้มีความปรารถนาลามก (มีความเห็นผิด มีความเห็นคลาดเคลื่อนจากพระธรรม เป็นผู้มักมาก ปรารถนาชื่อเสียงด้วยวิธีการผิดๆ)




    พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 764


    ความปรารถนาลามก เป็นไฉน ?



    คนบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ย่อมปรารถนาว่า ขอชนจงรู้เราว่า เป็นผู้มีศรัทธา เป็นผู้ทุศีล ย่อมปรารถนาว่า ขอชนจงรู้เราว่าเป็นผู้มีศีล เป็นผู้มีการศึกษาน้อย ย่อมปรารถนาว่า ขอชนจงรู้เราว่า เป็นผู้มีการศึกษามาก เป็นผู้ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ย่อมปรารถนาว่า ขอชนจงรู้เราว่า เป็นผู้ชอบสงัด เป็นผู้เกียจคร้าน ย่อมปรารถนาว่า ขอชนจงรู้เราว่า เป็นผู้ปรารภความเพียร เป็นผู้มีสติหลงลืม ย่อมปรารถนาว่า ขอชนจงรู้เราว่า เป็นผู้มีสติตั้งมั่น เป็นผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น ย่อมปรารถนาว่า ขอชนจงรู้เราว่า เป็นผู้มีจิตตั้งมั่น เป็นผู้มีปัญญาทราม ย่อมปรารถนาว่า ขอชนจงรู้เราว่า เป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้ยังไม่สิ้นอาสวะ ย่อมปรารถนาว่า ขอชนจงรู้เราว่า เป็นผู้สิ้นอาสวะ


    ความปรารถนา การปรารถนา ความปรารถนาลามก ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ ความกำหนัดนักแห่งจิต อันใด


    มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า ความปรารถนาลามก.




    เจริญธรรม
     
  14. Leeporter

    Leeporter สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +9
    พระพุทธรูปเป็นเพียงอิฐปููน ใครๆ ก็รู้ว่าเวลาเรากราบพระพุทธรูปเราไม่ได้กราบพระพุทธเจ้าโดยตรง

    แต่การบอกให้หยุดกราบไหว้พระพุทธรูป และไปเหยียบย่ำพระพุทธรูปแทนนั้น
    มันเหมือนการเลิกยึดติดอันหนี่ง แล้วไปยึดติดอีกอันหนึ่ง

    การกราบไหว้พระพุทธรูปก็เหมือนเกาะฟางอยู่เส้นหนึ่งลอยคออยู่กลางมหาสมุทร แน่นอนว่ายากที่จะไปถึงฝั่งได้

    แต่การยกเลิกการกราบไหว้พระพุทธรูปแล้ว หันมาเหยียบย่ำพระพุทธรูปแทน มันก็เหมือนกับอยู่ดีๆ ก็กระโดดไปเกาะก้อนขี้หมาที่ลอยมา แทนการเกาะฟางอยู่ที่เดิม

    เพราะนึกว่าก้อนขี้หมาดีกว่าฟาง!
     
  15. GUYTHUM

    GUYTHUM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,358
    ค่าพลัง:
    +1,088
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=BG9QnuBdotU"]กลับคำเสีย - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=qoUVYx1MXFo"]??????1 - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=N4BHB4MFjyE"]??????4 - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=C7NcX3D9Jwk"]??????? - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2011
  16. Leeporter

    Leeporter สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +9
    ท่านแน่ใจหรือว่าสิ่งที่ท่านพูดข้างบน หรือสิ่งที่ท่านสอนลูกศิษย์ที่วัดนั้น ท่านไม่ได้ไปหยิบยืมมาจากที่ใด?

    สำหรับผู้ที่อ่านตำรามาเยอะ ฟังท่านครั้งแรกก็รู้ได้ทันทีว่าท่านอ่านและท่องจำมาจากท่านพุทธทาส

    แต่ท่านนำเอาสิ่งที่ท่านพุทธทาสกล่าวไว้เกี่ยวกับพระพุทธรูปมาตีความเอาตามตัวอักษรเท่านั้น หาได้เข้าถึงสิ่งที่ท่านพุทธทาสกล่าวไว้แต่อย่างใด

    สิ่งที่ท่านแสดงออกมาจึงผิดเพี้ยน เหมือนกับการผละจากเส้นฟางกลางมหาสมุทร ไปเกาะก้อนขี้หมาที่ลอยน้ำมา

    ซ้ำร้าย ท่านยังตะโกนบอกคนอื่นให้มาเกาะก้อนขี้หมาไปกับท่านอีก

    อยากจะบอกว่าให้ท่านสึกออกมา แล้วลึมสิ่งที่ท่านอ่านมาทั้งหมด แล้วเริ่มนับหนึ่งใหม่ ปฏิบัติธรรมอย่างปุถุชนอย่างสมาชิกหลายคนในที่นี้ดีกว่า
     
  17. คนเดินเดี่ยว

    คนเดินเดี่ยว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +44
    สุดท้ายเราจะเป็นอย่างไร?

    ผมว่าจะไม่ยุ่งด้วยแล้วนาแต่อดไม่ได้ตบะผมมันแตกซะแล้ว ด้วยความเคารพทุกท่านทั้งที่แสดงความเห็นและไม่แสดงความเห็น ประเด็นที่ผมนำเสนออาจจะเบี่ยงไปหน่อยแต่มีความสำคัญ การโพสนี้จะไม่มีการโพสดต้ตอบกับบุคคลไดๆทั้งสิ้นคือจะโพสครั้งเดียวและถ้าจะกล่าวติเตียนผมเชิญได้ฝ่ายเดียวเต็มกำลังใจท่านเลย ห้องนี้เป้นห้องศาสนาห้องหนึ่งที่มีกำลังดึงดูดเหล่าสาวกและพุทธภูมิทั้งหลาย การกล่าววาจาเรียกขาน พระภิกษุสงฆ์ ว่าไอ้หรือมันนั้นผมเห้นว่าไม่สมควรเพราะท่านยังไม่ได้ ลาสิกขา เลย ถึงท่านๆจะไม่ได้นับถือภิกษุรูปนั้นไม่พอใจภิกษุรูปนั้นเราก็ไม่สมควรใช้คำเหล่านั่น กะผู้ห่มผ้า ผ้ากาสาวพัสตร์ เพราะจะเป็นตัวอย่างไห้กะท่านๆที่มีบารมีน้อยๆเอาไปปฏิบัติตามเวลาเจอกับสิ่งที่ไม่ถูกใจของเขาเหล่านั้นก็จะเกิดกราล่วงเกิน 1/3 พระรัตนตรัยไป อันเป้นเหตุบันทอนความดีของท่านๆเหล่านั้นโดยใช่เหตุ ขอผู้เจริญ ทั้งหลาย งดการใช้คำเหล่านั้นด้วยครับ อีกอย่างเป็นข้อคิดนะครับ
    จิตเราที่ส่ายออกนอกไป (ตอนนี้ผมก็เป็น555)มันดีแล้วเรอ ถูกผิดตอนนี้มี
    คนที่เขารอ สะสาง อยู่แล้ว อย่าจับผิดคอยติเตียนผู้อื่นอยู่เลย กรรมกำลังทำหน้าที่ของมันอยู่แล้วครับ มาเจริญในธรรมกันต่อเถอะครับ
     
  18. dakdee7777

    dakdee7777 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +3
    ธรรมะ เมื่อบุคคลใดศึกษาจนรู้และเห็นจริงตามที่พระพุทธทรงตร้สสอนแล้ว
    บุคคลนั้นจึงทำการสั่งสอนบุคคลอื่นต่อๆไปตามความสามารถของตน นี้ชื่อว่าเป็นการช่วยแบ่งเบาพุทธภาระในส่วนหนึ่ง ส่วนผู้ที่ยังไม่เข้าใจธรรมและยังไม่เห็นจริงพึงทำการตามศึกษาธรรมของท่านผู้รู้ธรรม
     
  19. camrymax

    camrymax นายองครักษ์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    469
    ค่าพลัง:
    +1,257
    เห็นด้วยกับความคิดเห้น ของคุณ นะครับ
     
  20. ชัยปภัทร์

    ชัยปภัทร์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2011
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +3
    ผู้ที่ทำหน้าที่เผยแพร่ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็คือพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ในเมืองไทยเราก็มีอยู่หลายๆองค์ พระอนาคามีก็มีอยู่หลายๆองค์ พระสกิทาคามีก็มีอยู่หลายๆองค์ พระโสดาบันก็มีอยู่หลายๆองค์ พวกท่านทั้งหลายเหล่านี้หรือ พระอรหันต์ทั้งหลายที่เคยมีมา ตั้งแต่สมัยพุทธกาลก็ดี มาจนถึงพระอรหันต์สมัยนี้ก็ดี พวกท่านทั้งหลายเหล่านี้ ไม่เคยแม้แต่คิดที่จะทำลายพระพุทธองค์เลย มีแต่สร้างและก็สร้าง จะเป็น พระพุทธรูปก็ดี วัดก็ดี หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา พวกท่านที่เจริญแล้วทั้งหลายเหล่านั้นมีแต่สร้างกับสร้าง กระผมขอถามหน่อยครับ มีวัดที่ไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นพระประมุขพระบรมศาสดาแล้ว จะให้กระผมเข้าวัดไปไหว้ ไปกราบใครหล่ะ ครับ ขอท่านทั้งหลาย ช่วยอธิบายและชี้แจงให้ความกระจ่างกับกระผมด้วยครับ สาธุ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...