เหตุแห่งการเกิดเป็นมนุษย์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Wisdom, 16 มีนาคม 2007.

  1. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณะโคดม

    เหตุแห่งการเกิดเป็นมนุษย์

    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
    "เพราะมีกรรมเป็นไร่นา จึงมีวิญญาณเป็นเหมือนพืชตั้งอยู่ได้"

    -----------------------------------------------------------------

    ในบทนี้เราจะมองตามจริงว่า…
    เพราะมีกรรมดีเก่ารองรับ วิญญาณมนุษย์เราจึงปรากฏมีอยู่ได้

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-comhttp://www.palungjit.org/board/ /><O:p></O:p><font color=" /><O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black>และเพราะต้องมีวิญญาณมนุษย์ปรากฏอยู่ ร่างมนุษย์จึงต้องเกิดมีเป็นที่อาศัย<O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>และเพราะต้องมีร่างมนุษย์ โลกมนุษย์จึงต้องปรากฏอยู่เป็นภาชนะรองรับ<O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>และเพราะต้องมีโลกมนุษย์ มหาจักรวาลทั้งหมดจึงปรากฏออกมาจากความว่าง!
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black></O:p><FONT face=Tahoma><FONT face=Tahoma><O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT color=black><O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black><O:p>[B][U]<FONT color=black>ความเป็นมนุษย์[/U][/B]</O:p></O:p>
    <O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black><O:p></O:p></O:p>
    <O:p><O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black>บางคนนั่งชมทะเลอย่างเหม่อลอยก็เป็นสุขแล้ว </O:p></O:p>
    <O:p><O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black>ไม่ต้องการคิดอะไรเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์อีก</O:p></O:p>
    <O:p><FONT color=black><O:p><FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT color=black>หลายคนได้เสพกามไปวันๆก็หนำใจพอ <FONT color=black>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ศักยภาพมนุษย์อย่างอื่นมีอย่างไรบ้างไม่สน
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>หลายคนได้รับผิดชอบตนเองและครอบครัวให้อยู่รอดก็เหนื่อยแล้ว
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>อย่าเข็นให้คิดใช้ความเป็นมนุษย์ในทางอื่นใดเพิ่มเติมเสียให้ยาก
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>หลายคนตั้งเป้าหมายและมุ่งมั่นบากบั่นไปจนถึงปลายทางสักครั้งเดียว
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ก็เต็มอิ่มกับความเป็นมนุษย์แล้ว
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>หลายคนรักการใฝ่ฝันหลากหลาย และเต็มใจบินไปคว้าดาว
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>จากหลายขอบฟ้า เพื่อรู้จักความเป็นมนุษย์อย่างพิสดารสูงสุด
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>แต่มีคนน้อยเท่าน้อย ที่ตั้งคำถามกับตนเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

    <FONT face=Tahoma>[B]ว่าอะไรคือประโยชน์สูงสุดที่สมควรได้จากความเป็นมนุษย์[/B]

    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ใครจะเห็นความเป็นมนุษย์อย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจอใครมาบ้าง
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ประสบพบพานอะไรมาบ้าง และใช้ชีวิตอย่างไรมาบ้าง

    <FONT face=Tahoma><O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black>แค่เพียงถือกำเนิดขึ้นในโลกนี้เป็นวันแรก ก็เหมือนพวกเรา</O:p>
    <FONT face=Tahoma><O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black>เกิดความไม่ค่อยชอบใจกันแล้ว </O:p>
    <FONT face=Tahoma><O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black>โดยประกาศผ่านการร้องไห้จ้าทันทีที่ออกจากท้องแม่ </O:p>
    <O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black>ถ้าไม่ร้องก็จะโดนตีให้ร้องเป็นการบริหารปอดกัน </O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black>นอกจากนั้นยังมีใครบางคนต้องรับภาระแจ้งการเกิดของเราให้เป็นที่รับรู้ </O:p>
    <O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black>อยู่ๆจะยอมให้มาปรากฏตัวบนโลกเฉยๆไม่ได้ สำหรับในไทย</O:p>
    <O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black>กำหนดว่าอย่างช้า ๑๕ วันนับแต่ถือกำเนิด </O:p>
    <O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black>เกินกว่านี้ต้องมีใครสักคนโดนปรับเป็นพัน</O:p>
    <O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>และนับจากนาทีที่ถูกแจ้งเกิด เราจะมีเอกลักษณ์ประจำตัวให้สำคัญว่าเป็น
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ตนคือชื่อพร้อมนามสกุล เราจะไม่รู้ตัวเลยว่าชื่อไปซ้ำกับใครเข้าบ้าง
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>รวมทั้งไม่รู้เลยว่าร่วมใช้นามสกุลกับญาติกี่คน รู้อย่างเดียว
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>หลายคนไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเพียงร่วมนามสกุลกับใครบางคน
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ก็อาจมีหน้ามีตาไปทั้งชีวิต หรืออาจต้องอยู่แบบหลบๆซ่อนๆ
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ไม่อาจเป็นปกติสุขในสังคมได้อย่างคนอื่น
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>แต่แม้ขั้นตอนอันผิวเผินของการเกิดจะยุ่งยากเช่นนี้
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>จำนวนมนุษย์ที่มากมายน่าลายตามีส่วนทำให้เราไม่เลื่อมใสว่าการเกิด
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>เป็นมนุษย์นั้นยากสักเท่าไหร่ เหมือนใครๆก็มีชีวิตมนุษย์กันได้
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>แถมการเปลี่ยนแปลงของประชากรโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆดุจการโถมเข้ามาของคลื่นยักษ์
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>เป็นการยืนยันเสียด้วย เมื่อสี่ร้อยปีก่อนจำนวนพลโลกเพิ่งมีแค่ ๔๐๐ ล้าน แต่ในปี ๒๕๐๔
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>พุ่งพรวดขึ้นเป็น ๓,๐๐๐ ล้าน และในเดือนกรกฎาคมปี ๒๕๔๖
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>โลกมีประชากรทั้งสิ้นประมาณ ๖,๓๐๐ ล้านคน เกือบ ๑๖ เท่าของเมื่อสี่ร้อยปีก่อน!
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>มากพอที่เรามองไปตามแหล่งชุมชนด้วยตาเปล่าแล้วรู้สึกเหมือนตัวเอง
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ร่วมเป็นหนึ่งในขบวนมดปลวกบน
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>เส้นทางอันไร้ความหมาย

    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>[IMG]http://www.furious.com/Perfect/graphics/rapmetal.jpg
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=black>และแม้เรายอมเชื่อว่าโลกนี้มีมนุษย์กว่าหกพันล้าน ก็ไม่ได้แปลว่าเราเข้าใจถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ความจริงคือทุกวินาทีมีการเกิดตายถ่ายเทอยู่ตลอดเวลา พูดง่ายๆคือสมมุติว่า
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>เราสามารถเป็นดวงตาสวรรค์ รู้ครอบโลกในคราวเดียว
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>เราจะเห็นวิญญาณจำนวนหนึ่งมาสู่โลกและได้ร่างมนุษย์แหกปากร้องอุแว้วินาทีละ ๔ คน
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>และเห็นมนุษย์จำนวนหนึ่งเดินทางลาโลกวินาทีละ ๒ คน ดุจฝนที่ตกลงมาจากเวิ้งฟ้าแห่งความว่างเปล่า
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>และเป็นกระแสธารไหลบ่าออกไปสู่มหาสมุทรแห่งความไร้แก่นสาร
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ปริมาณมนุษย์ไม่เคยคงที่มีสมาชิกเก่าอยู่พร้อมหน้าเลยแม้แต่วินาทีเดียว!
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>มนุษย์เกือบทุกคนต้องการเป็นที่จดจำ แต่มีไม่ถึงหนึ่งในล้านที่
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ อาจยาวนานหลายสิบปี หลายร้อยปี หรือหลายพันปี
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>แล้วในที่สุดก็จะต้องถูกลืมเลือนไปจนได้ แม้แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นหนึ่งในศาสดา
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ของศาสนาใหญ่ก็ทรงเคยตรัสพยากรณ์ถึงยุคของสงฆ์รุ่นสุดท้ายที่เรียก ‘โคตรภูสงฆ์’
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ซึ่งพ้นยุคนั้นไปแล้วจะไม่มีใครท่องจำธรรมบทได้อีก และนั่นหมายความว่าจะไม่มีใครรู้เลย
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ว่าครั้งหนึ่งโลกนี้เคยเป็นที่อุบัติของมหาบุรุษผู้ทรงความสำคัญยิ่งยวดต่อมนุษย์
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>และเทวดาอินทร์พรหมยมยักษ์นับจำนวนไม่ถ้วน
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>จะพูดว่าพวกเราเกิดมาเพื่อรู้แล้วลืมก็ได้<O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>จะพูดว่าพวกเราเกิดมาเพื่อถูกลืมก็ได้
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>แก่นสารและคุณค่าของความเป็นมนุษย์อยู่ที่ไหน?

    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>นี่คือสิ่งที่ถูกถามถึงมาตลอด แต่ละคนก็ให้ความหมาย
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ให้คุณค่ากันไปตามมุมมองของตน แท้จริงเราอาจได้คำตอบอันถูกต้อง
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>หากตั้งคำถามเสียใหม่ให้ตรงประเด็นกว่าเดิม

    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>นั่นคือ

    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT color=red>เราเกิดมาเป็นมนุษย์ได้ด้วยเหตุอันใดกัน?
    <FONT face=Tahoma color=#ff0000><FONT color=black>

    <FONT face=Tahoma><FONT color=red>[​IMG]

    <FONT face=Tahoma><FONT color=red><O:p><FONT color=black>องค์ประกอบของการเกิดเป็นมนุษย์</O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=red><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black>การเกิด’ ของมนุษย์นั้น เรานับกันตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงคลอดออกมา</O:p>
    <FONT face=Tahoma><O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black>สอดคล้องกันทั้งทางแพทย์และทางศาสนา </O:p>
    <FONT face=Tahoma><O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black>ฉะนั้นมาดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรในขณะแห่งปฏิสนธิ</O:p>
    <FONT face=Tahoma><O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black>ท่านตรัสว่าเมื่อมีองค์ประกอบ ๓ ประการมาประชุมพร้อมกัน</O:p>
    <FONT face=Tahoma><O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black>ย่อมมีการหยั่งลงในครรภ์ องค์ประกอบทั้ง ๓ นั้นได้แก่</O:p>
    <FONT face=Tahoma><O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black></O:p>
    <FONT face=Tahoma><O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black></O:p>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>๑) มารดาและบิดาร่วมกัน
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>๒) ขณะนั้นมารดาอยู่ในช่วงเวลาไข่สุก
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>๓) มีวิญญาณเกิดขึ้นเพื่อสืบกรรมจากภพอื่น
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>โดยได้ที่ตั้งอยู่ในครรภ์มารดา

    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><O:p></O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black>เพื่อเข้าใจเกี่ยวกับความจริงตามพุทธพจน์ข้างต้น
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=black>อย่างลึกซึ้ง ควรพิจารณาจาก
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=black>‘ภาวะการมีบุตรยาก’ ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=black>กล่าวคือบางคู่สุขภาพแข็งแรงทั้งสองฝ่าย
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=black>ต่างไม่ได้เป็นหมัน และมีสัมพันธ์กันแทบทุกคืน
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=black>ลูกก็ยังไม่เห็นมาสักทีทั้งที่อยู่กินกันเป็นสิบปีแล้ว
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=black>หากอาศัยความเชื่อเพียงว่าถ้าร่วมเพศในช่วงมารดา
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=black>มีไข่สุกแล้วจะต้องตั้งครรภ์
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=black>ก็จะผิดจากความเป็นจริงที่ปรากฏ
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=black>ดังนั้นต้องมีองค์ประกอบมากกว่า
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=black>การร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกอย่างแน่นอน
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>

    [​IMG]

    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ทางการแพทย์พยายามอธิบายด้วยเหตุผลอันเป็นรูปธรรม
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ยกตัวอย่างเช่นดื่มเหล้าสูบบุหรี่เก่ง
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>มีความเครียด หรือเป็นไข้หวัดธรรมดาๆก็อาจทำให้ระบบฮอร์โมนเพศผิดปกติได้
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>พูดง่ายๆฝ่ายชายน้ำยาไม่พอ
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>นอกจากนี้อาจมีกรณีทางสรีระอื่นๆของฝ่ายหญิง เช่นท่อนำไข่ตัน
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>มีพังผืดอยู่ในอุ้งเชิงกรานหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ก็ขัดขวางการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิได้
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>จะเห็นว่าถ้าตั้งคำถามกันอย่างจำเพาะเจาะจงเป็นรายๆไป
    <FONT color=black>ด้วยวิธีอธิบายแบบแพทย์เราอาจได้คำตอบของภาวะ ‘มีบุตรยาก’ ไปต่างๆนานา
    <FONT color=black>แต่ถ้าเอาคำตอบจากนักเก็บสถิติ คำตอบจะน่าประหลาดใจเป็นล้นพ้น
    <FONT color=black>กล่าวคือแม้คู่สมรสบางรายเต็มไปด้วยปัจจัยลบ
    <FONT color=black>เช่นเครียดเก่ง กินเหล้าสูบบุหรี่ถี่บ่อย เขาก็มีลูกกันได้ แถมมีได้เร็วเสียด้วย
    <FONT color=black>โดยเฉพาะตอนกำลังกลุ้มๆเรื่องเงินเรื่องทองอยู่นั่นเอง
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>หากพิจารณาว่าธรรมชาติของการ ‘หยั่งลงในครรภ์’
    <FONT color=black>เป็นจริงดังเช่นที่พระพุทธองค์ตรัส
    <FONT color=black>เราก็ตอบได้ง่ายๆไม่ต้องด้นเดาสันนิษฐานหรือหาเหตุผล
    <FONT color=black>ทางสรีระมาสนับสนุนอีกต่อไ<FONT color=black>ป

    <FONT color=black>คำตอบสุดท้ายคือถ้าไม่มีสัตว์ในภูมิอื่นใดทั้งที่สูงกว่าและต่ำกว่าภูมิมนุษย์
    <FONT color=black>เหมาะจะมาเกิดในท้องของหญิงคนหนึ่งๆได้ ต่อให้มารดาและบิดาพยายาม
    <FONT color=black>จนตายก็ไม่มีทางประสพความสำเร็จเลย

    <FONT color=black><O:p>[​IMG]</O:p>

    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก
    <FONT color=black>อย่างเช่นการทำเด็กหลอดแก้ว หลักการคือเขาจะใช้ยาฮอร์โมน
    <FONT color=black>กระตุ้นให้มีการตกไข่จำนวนมากๆ
    <FONT color=black>แล้วนำมาผสมกับอสุจิในหลอดแก้ว
    <FONT color=black>แทนที่จะเกิดขึ้นในครรภ์มารดาตามธรรมชาติ
    <FONT color=black>แล้วจึงค่อยมีการนำตัวอ่อนในหลอดแก้วใส่กลับคืน
    <FONT color=black>เข้าสู่ร่างกายมารดาในภายหลัง

    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>ตรงนี้ทำให้หลายคนมองว่ากำเนิดมนุษย์น่าจะเริ่มต้นขึ้น
    <FONT color=black>จากสิ่งที่เป็นรูปธรรมอันเห็นง่าย
    <FONT color=black>ด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง ขอแค่มีไข่หลายใบมาผสม
    <FONT color=black>กันกับน้ำเชื้อในหลอดแก้ว
    <FONT color=black>เก็บในตู้อบซึ่งมีการควบคุมปัจจัยต่างๆให้ใกล้
    <FONT color=black>เคียงกับสภาพในมดลูกตามธรรมชาติ
    <FONT color=black>รอเวลาครึ่งวันให้ไข่กับอสุจิรวมตัวเป็นเซลล์เดียวกัน
    <FONT color=black>ก็เป็นอันเรียบร้อย

    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>ยิ่งถ้าวันหนึ่ง จับพลัดจับผลูนาโนเทคโนโลยีพาพวกเราไปไกลขนาดทำอะไรได้แผลงๆ
    <FONT color=black>เช่นสร้างอสุจิกับไข่สุกเทียมขึ้นมาสำเร็จ แถมสร้างตู้อบ
    <FONT color=black>ที่เลียนแบบครรภ์มารดาได้ครบถ้วนทุกประการ
    <FONT color=black>ต่อไปโลกจะไม่รู้จักแต่มนุษย์หลอดแก้ว แต่ยังมีมนุษย์ตู้อบขึ้นมาอีก
    <FONT color=black>หลายคนคงฟันธงทันทีว่ากำเนิดมนุษย์นั้น
    <FONT color=black>‘เป็นวิทยาศาสตร์’ คือไม่ต้องเชื่อกันอีกแล้วเรื่องวิญญงวิญญาณ
    <FONT color=black>เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กรรมวิบาก โยนทิ้งน้ำให้หมด
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>อันที่จริงเรามองให้เป็นสุดโต่งความเชื่ออีกด้านหนึ่งก็ได้
    <FONT color=black>คือวิญญาณมีส่วนสำคัญสูงสุดเหนือรูปธรรม
    <FONT color=black>ธรรมชาติฝ่ายรูปนั้นสร้างขึ้นมาได้ ควบคุมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ได้
    <FONT color=black>
    <FONT color=black>
    <FONT color=black>แต่เราไม่มีทางผลิตจิตวิญญาณขึ้นมาด้วยวิธีการอันเป็นรูปธรรมใดๆเลย

    <FONT color=black><O:p>[​IMG]</O:p>
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>ถ้าไม่สมัครใจเชื่อว่าวิญญาณเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิสนธิ
    <FONT color=black>เราจะต้องตอบคำถามน่าสงสัยหลายต่อหลายเรื่องด้วยคำว่า ‘บังเอิญ’
    <FONT color=black>เช่นทำไมแพทย์พยายามใส่เหตุปัจจัยช่วยปฏิสนธิดิบดีแล้วก็ไม่เห็นท้องอยู่ดี
    <FONT color=black>ทำไมเด็กบางคนคล้ายพ่อ บางคนคล้ายแม่
    <FONT color=black>บางคนผ่าเหล่าผ่ากอไม่คล้ายทั้งพ่อและแม่
    <FONT color=black>คำตอบและการอธิบายฝ่ายรูปอย่างเดียวจะทำ
    <FONT color=black>ให้เรารู้สึกเหมือนขาดองค์ประกอบสำคัญไปเสมอ
    <FONT color=black>ทำนองเดียวกับพูดว่ามีคอมพิวเตอร์พร้อมแล้ว มีไฟฟ้าพร้อมแล้ว

    <FONT color=black>แต่ทำไมไม่เห็นไฟฟ้าไหลเข้าเครื่องสักที ทำไมเครื่องไม่เปิดสักที
    <FONT color=black>ทำไมโปรแกรมในเครื่องเป็นร้อยเป็นพันไม่ทำงานสักที
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>กรณีคอมพิวเตอร์ไม่ทำงานเอง เราก็อธิบายได้ง่ายๆว่าเพราะไม่มีคนไปกดปุ่มเปิดมันน่ะซี
    <FONT color=black>อันนี้เป็นเรื่องที่เห็นๆ ซึ่งก็ทำนองเดียวกับการตั้งครรภ์ ถ้าบอกว่านอกจากไข่กับอสุจิแล้วยัง
    <FONT color=black>ต้องอาศัยวิญญาณมาเป็นองค์ประกอบร่วมสุดท้าย
    <FONT color=black>ก็ดูเหมือนข้อกังขานานัปการจะถูกไขได้หมดจด
    <FONT color=black>แค่พูดคำเดียว คือถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิด
    <FONT color=black>องค์ประกอบฝ่ายรูปเป็นแค่ฐานที่ตั้งหรือภาชนะรองรับ
    <FONT color=black>แพทย์ทำได้แค่เพิ่มทางลงให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้า ‘ไม่มีใคร’
    <FONT color=black>เหมาะจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยความคู่ควรกับครรภ์มารดาหนึ่งๆ
    <FONT color=black>อย่างไรเรื่องก็ต้องเงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี

    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>การสรุปว่าถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิดนั้น ทำให้หลายคนสบายใจ
    <FONT color=black>ครางออกมาได้ว่า อ้อ!
    <FONT color=black>มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ก็อาจจุดชนวนให้คนอีกค่อนโลกไม่จุใจ
    <FONT color=black>เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก
    <FONT color=black>ว่า ‘บุญพอ’ นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร
    <FONT color=black>เหมือนน้ำที่เต็มแก้วพอจะกินอิ่มมีกำลังวังชาไหม?
    <FONT color=black>อะไรบ้างที่ถือเป็นบุญ? บุญแบบไหนเป็นตัวกำหนดให้เกิดมายากดีมีจน?
    <FONT color=black>อันนี้ขอให้พิจารณาพุทธพจน์ในข้อต่อไป

    <FONT color=black>[​IMG]

    <FONT color=black><O:p></O:p><FONT color=black>กรรมที่ทำให้เกิดศักยภาพของการตั้งอยู่ในครรภ์มนุษย์

    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ในกลุ่มมนุษย์ด้วยกัน ปริมาณคนยากจน ปริมาณคนผิวพรรณทราม
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>และปริมาณคนโชคร้ายนั้น ล้นหลามเสียจนทำให้เรารู้สึกว่าพูดรวมๆแล้ว
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>เป็นมนุษย์ไม่ใช่ว่าต้องมีจิตวิญญาณที่สูงส่งหรือทรงบุญญาธิการเท่าไหร่นัก
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>แต่ความจริงก็คือก่อนหน้าจะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีการก่อกรรมอันเป็นไปในทางดีไว้มากพอดูทีเดียว
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>การพูดแค่ ‘ต้องมีบุญพอจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้’ นั้นไม่ทำให้เข้าใจกระจ่าง
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจจริงๆว่าบุญมาจากอะไร บาปเกิดมาแต่ไหน
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ตรงนี้พระพุทธองค์ตรัสเป็นใจความว่า
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>เหตุเพื่อเกิดอกุศลกรรม ๓ ประการเป็นไฉน?
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>คือ โลภะหนึ่ง โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>พูดง่ายๆว่าหากทำกรรมในขณะกำลังโลภ กำลังโกรธ
    <FONT color=black>หรือกำลังหลง กรรมนั้นก็ต้องเป็นดำท่าเดียว
    <FONT color=black>ส่วนจะดำสนิทหรือดำจางๆก็ขึ้นอยู่กับระดับความแรงของกิเลสอีกที

    <FONT color=black>ในทางตรงข้ามหากทำกรรมขณะกำลังมีน้ำจิตคิดให้ทาน กำลังมีน้ำจิตคิดเมตตา
    <FONT color=black>หรือกำลังมีปัญญาเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามจริง กรรมนั้นก็ต้องเป็นขาวแน่นอน
    <FONT color=black>ส่วนจะขาวสว่างหรือขาวขุ่นๆก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจในขณะนั้น
    <FONT color=black>
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>การก่อกรรมในแต่ละชาติจะไปรวบยอดตัดสินทีเดียวขณะถึงอายุขัย
    <FONT color=black>เพื่อเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ
    <FONT color=black>ก่อกรรมหนักมาทางบุญจิตก็สว่างไสว
    <FONT color=black>ก่อกรรมหนักมาทางบาปจิตก็มืดมน
    <FONT color=black>และเป็นไปในภพภูมิอันสว่างไสวหรือมืดมนสอดคล้องกับสภาพวิญญาณนั้นๆ
    <FONT color=black>สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นใจความว่า
    <FONT color=black>
    <FONT color=black> ความเป็นเทวดาก็ดี ความเป็นมนุษย์ก็ดี
    <FONT color=black>หรือแม้สุคติภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง
    <FONT color=black>ย่อมไม่ปรากฏเพราะกรรมที่เกิดแต่โลภะ โทสะ โมหะเลย
    <FONT color=black>

    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>สรุปคือถ้าถามว่าใครส่งวิญญาณมาเข้าท้องมนุษย์
    <FONT color=black>มีตุลาการผู้ถืออภิสิทธิ์สามารถพิพากษา
    <FONT color=black>เปิดประตูสวรรค์นรกคัดสัตว์ได้ตามอำเภอใจหรืออย่างไร
    <FONT color=black>ก็ต้องตอบว่าไม่มีตัวตนผู้ใดทำหน้าที่ตัดสินทั้งสิ้น
    <FONT color=black>มีแต่กรรมดีของตนนั่นแหละส่งมา
    <FONT color=black>หากเคยทำกรรมอันประกอบด้วยความไม่โลภ ไม่โกรธ
    <FONT color=black>ไม่หลงไว้ได้น้ำหนักพอเพียงแล้ว
    <FONT color=black>เมื่อจิตดับจากภพเก่า (เรียกว่าจุติจิต)
    <FONT color=black>ย่อมเกิดจิตดวงใหม่ขึ้นสืบกรรม (เรียกว่าปฏิสนธิจิต)
    <FONT color=black>ซึ่งก็ได้ภาชนะรองรับจิตวิญญาณเป็นครรภ์มนุษย์นั่นเอง

    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>ดังนั้นจะยากดีมีจนเพียงใด ต่ำต้อยเหมือนไม่มีบารมีคุ้มกะลาหัวขนาดไหน
    <FONT color=black>อย่างน้อยเกิดเป็นมนุษย์ได้ก็ต้อง ‘มีดี’ เหนือสัตว์เดรัจฉานในโลกหลายขุม
    <FONT color=black>เพราะสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายปรากฏขึ้นก็ด้วยเพราะกรรมที่ทำขณะมีโลภะ โทสะ โมหะทั้งสิ้น

    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>ณ ตรงนี้เราพูดกันกว้างๆก่อน อย่าเพิ่งสงสัยเล็งแลเข้าไปในรายละเอียด
    <FONT color=black>
    <FONT color=black>
    <FONT color=black>ขอให้เข้าใจว่าถ้าโดยมากเคยมีนิสัยทางการ คิด พูด ทำ
    <FONT color=black>หนักไปในแบบตามใจกิเลส
    <FONT color=black>เอาความโลภ ความโกรธ ความหลงผิดเป็นใหญ่
    <FONT color=black>ปล่อยให้อารมณ์ด้านมืดครอบงำ
    <FONT color=black>การประพฤติปฏิบัติให้เป็นไปในทางเบียดเบียน
    <FONT color=black>เช่นนี้ก็ขาดแนวโน้มที่จะมาถือกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>ในทางตรงข้าม ถ้าโดยมากเคยมีนิสัยทางการ คิด พูด ทำ
    <FONT color=black>หนักไปในแบบหักห้ามกิเลส
    <FONT color=black>เอาการเสียสละ ความมีเมตตา
    <FONT color=black>และความมีสติปัญญาพิจารณาตามจริงเป็นใหญ่
    <FONT color=black>ประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้ปราศจากความเบียดเบียน
    <FONT color=black>เช่นนี้ก็มีแนวโน้มที่
    <FONT color=black>จะมาถือกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์สูงมาก

    <FONT color=black>[​IMG]

    <FONT color=black><FONT size=4><FONT color=black>เหตุใดจึงเป็นหญิงเป็นชาย?<FONT face=BrowalliaUPC><O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black>ความต่างระหว่างชายกับหญิง</O:p>
    <FONT color=black><FONT size=4><FONT color=black><FONT face=BrowalliaUPC><O:p><FONT face=Tahoma><FONT color=black></O:p>
    <FONT size=4><FONT face=BrowalliaUPC><O:p></O:p>
    <FONT size=4><FONT face=BrowalliaUPC><O:p></O:p><FONT size=6><FONT face=BrowalliaUPC><O:p><FONT face=Tahoma><FONT size=3><FONT color=black>ทุกคนทราบดีว่าหญิงชายต่างกัน แต่ถ้าถามว่าต่างกันอย่างไรล่ะ? </O:p>
    <FONT size=6><FONT face=BrowalliaUPC><O:p><FONT face=Tahoma><FONT size=3><FONT color=black></O:p>
    <FONT size=6><FONT face=BrowalliaUPC><O:p><FONT face=Tahoma><FONT size=3><FONT color=black>คำตอบแรกที่คนส่วนใหญ่จะนึกออกคือหญิงมีอวัยวะเพศอย่างหนึ่ง </O:p>
    <FONT size=6><FONT face=BrowalliaUPC><O:p><FONT face=Tahoma><FONT size=3><FONT color=black>ชายมีอวัยวะเพศอีกอย่างหนึ่ง และที่คนส่วนใหญ่ขึ้นใจกันอย่างนี้ </O:p>
    <FONT size=6><FONT face=BrowalliaUPC><O:p><FONT face=Tahoma><FONT size=3><FONT color=black>เหตุผลก็ตรงตัว คือเพราะอวัยวะเพศถูกใช้เป็นเครื่องตัดสินว่าต้อง</O:p>
    <FONT size=6><FONT face=BrowalliaUPC><O:p><FONT face=Tahoma><FONT size=3><FONT color=black>เรียกหญิงหรือชายนับแต่ออกจากท้องแม่</O:p>
    <FONT size=6><FONT face=BrowalliaUPC><O:p><FONT face=Tahoma><FONT size=3><FONT color=black></O:p>
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma size=3><O:p></O:p>
    <FONT size=6><FONT face=BrowalliaUPC><O:p></O:p><FONT size=6><FONT face=BrowalliaUPC><O:p></O:p>
    <FONT size=6><FONT face=BrowalliaUPC><O:p><FONT size=3><FONT color=black><FONT face=Tahoma>ชาวโลกต่างให้ความสำคัญกับอวัยวะเพศ เอาอวัยวะเพศมาเป็นเกณฑ์แบ่งว่านั่นชายนี่หญิง </O:p>
    <FONT size=6><FONT face=BrowalliaUPC><O:p><FONT size=3><FONT color=black><FONT face=Tahoma>แต่น้อยคนจะทราบว่า ทารกในครรภ์มารดาเมื่อยังเป็นตัวอ่อนอยู่นั้น จะเริ่มต้นด้วยการมีอวัยวะ</O:p>
    <FONT size=6><FONT face=BrowalliaUPC><O:p><FONT size=3><FONT color=black><FONT face=Tahoma>เพศหญิงก่อนแต่ถ้าเซลล์ของตัวอ่อนมีโครโมโซมเพศเป็นชาย อวัยวะเพศแบบชายจึงปรากฏยื่นออกมาภายหลัง</O:p>
    <FONT size=6><FONT face=BrowalliaUPC><O:p><FONT size=3><FONT color=black><FONT face=Tahoma>ส่วนถ้าเซลล์ของตัวอ่อนมีโครโมโซมเพศเป็นหญิง อวัยวะเพศจะฝ่อตัวหายไปก่อนคลอด </O:p>
    <FONT size=6><FONT face=BrowalliaUPC><O:p><FONT size=3><FONT color=black><FONT face=Tahoma></O:p>
    <FONT size=6><FONT face=BrowalliaUPC><O:p><FONT size=3><FONT color=black><FONT face=Tahoma></O:p>
    <FONT size=6><FONT face=BrowalliaUPC><O:p><FONT face=Tahoma size=3>
    <FONT size=6><FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT size=3>พูดให้ง่ายที่สุดคือ เมื่อกำเนิดเกิดกายนั้น ทุกคนเป็นหญิงเหมือนกันหมด!
    <FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT size=3>และถ้าถามนักวิทยาศาสตร์ว่าเหตุใดอวัยวะเพศแบบชายจึงยื่นออกมา ก็จะได้คำตอบ
    <FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT size=3>ที่ชัดถ้อยชัดคำว่าเด็ก ‘บังเอิญ’ ได้รับโครโมโซม Y จากพ่อไปประกบคู่กับโครโมโซม X ของแม่
    <FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT size=3>นี่คือคำตอบสุดท้ายจากวิทยาศาสตร์ และหมายความว่าถ้าไว้ใจวิทยาศาสตร์ ณ วันนี้
    <FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT size=3>เราจำเป็นต้องสรุปว่าจุดเริ่มต้นอันเป็นที่สุดของสภาวะหญิงชายคือความบังเอิญ!
    <FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT size=3><O:p></O:p>
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT size=3>ความต่างกันระหว่างร่างกายของชายกับหญิงนั้น ใช่ว่าจะมีแต่จุดเด่นที่อวัยวะเพศส่วนเดียว
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT size=3>แม้แต่ส่วนที่ทุกคนมองไม่เห็นอย่างเช่นสมองก็มีความต่าง! เรื่องความต่างระหว่างสมองของสองเพศ
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT size=3>นี้อยู่ในความสนใจของนักวิทยาศาสตร์มาหลายร้อยปีแล้ว กับทั้งยังคงต้องศึกษากันต่อไปเป็นร้อยๆปี
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT size=3>เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่ามีรายละเอียดใดบ้างที่บ่งชี้ว่านั่นคือสมองชาย นี่คือสมองหญิง
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT size=3>ทั้งในแง่ของขนาดคุณภาพ และวิธีการทำงาน มีการแยกแยะเปรียบเทียบเป็นส่วนๆอย่างละเอียดเลยทีเดียว
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT size=3><O:p></O:p>
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT size=3>ที่นักวิทยาศาสตร์สนใจความต่างระหว่างสมองหญิงกับชายก็เพราะเชื่อว่าถ้าเรารู้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT size=3>ก็จะสามารถควบคุมจุดด้อยและจุดเด่นระหว่างเพศได้ นี่เป็นความเห็นของคนกลุ่มหนึ่งที่โน้มเอียง
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT color=black><FONT size=3>จะเชื่อว่าทุกความต่างกำเนิดขึ้นจากสมองก้อนเดียว
    <FONT face=Tahoma size=6>

    <FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT size=3>[​IMG]<FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma size=6>
    <FONT size=6><FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=darkorange><FONT size=3>หากเอาตามมุมมองของชาวพุทธ
    <FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=darkorange><FONT size=3>จะเห็นพระพุทธเจ้าตรัสไว้แบบรวบรัดเบ็ดเสร็จแล้ว
    <FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=darkorange><FONT size=3>นั่นคือ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ร่างกายเป็นเพียงปลายทาง
    <FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=darkorange><FONT size=3>ต้นทางอยู่ที่จิตซึ่งคิดก่อกรรม
    <FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=darkorange><FONT size=3>แม้ต่อไปวิทยาการจะบอกได้ว่ามันสมองของแต่ละเพศ
    <FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=darkorange><FONT size=3>ผิดแผกแตกต่างกันเพียงใดบ้าง
    <FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=darkorange><FONT size=3>นั่นก็เป็นการเห็นผลของกรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น!
    <FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=darkorange><FONT size=3>
    <FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=darkorange><FONT size=3>
    <FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=darkorange><FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=darkorange><FONT color=black><FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>มาว่ากันตามประสบการณ์ที่พบเจอง่ายๆแบบชาวบ้าน
    <FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=darkorange><FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=darkorange><FONT color=black><FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>ขอให้ลองดูตัวอย่างเฉพาะบางข้อสังเกตทางรูปธรรมอันเป็นที่ยอมรับทั่วไป เช่น
    <FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=darkorange><FONT size=6><FONT color=black><FONT face=Tahoma><FONT color=darkorange><FONT color=black><FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>
    <FONT face=Tahoma size=6>
    <FONT size=6><O:p></O:p>
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>๑) ร่างกายหญิงอ้อนแอ้นอรชรเหมือนหยดน้ำ ร่างกายชายแข็งแรงหนักแน่นเหมือนต้นไม้

    <FONT size=6><O:p></O:p>
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>๒) โดยธรรมชาติ หญิงจะลำบากในการเข้าห้องน้ำทุกวัน อย่างน้อยก็มากกว่าเพศชาย
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>ที่ยืนปล่อยปัสสาวะตรงมุมปลอดตรงไหนก็ได้ ขอให้นึกถึงรถติดบนทางด่วน
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>เราอาจเห็นชายใจไม่ต้องกล้ามากนักยืนเบียดกับปูนกั้นทาง ในขณะที่เราไม่รู้ความลับว่ามีหญิงจำนวนมากเพียงใด
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>ยอมเบาะเปียกแต่ไม่ยอมเอาหน้าไปขายกลางถนน พูดง่ายๆชายทำไม่น่าแปลกและไม่มีใครใส่ใจสน
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>แต่หญิงทำอาจถูกมองด้วยยิ้มเย้ยว่าหน้าด้านผิดปกติและเอาไปบอกต่อกันอีกนานทีเดียว
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>
    <FONT size=6><O:p></O:p>
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>๓) โดยธรรมชาติ หญิงจะมีเรื่องชวนหงุดหงิดและน่าเบื่อหน่ายทุกเดือน มีเลือดไหล
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>มีกลิ่นเหม็น มีความชื้นแฉะควรแก่การรำคาญเป็นยิ่งนัก ในขณะที่ฝ่ายชายแห้งสบายไปตลอดชีวิต
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>
    <FONT size=6><O:p></O:p>
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>๔) โดยธรรมชาติ หญิงที่ปรารถนาจะเป็นหญิงสมบูรณ์แบบเหมือนถูกกำหนดมาให้เจ็บตัวสาหัส
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>ทั้งภาระหนักขณะอุ้มท้องเป็นเวลายืดเยื้อยาวนานถึง ๙ เดือน และทั้งความเจ็บปวดสุดขีดขณะคลอดบุตร
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>ในขณะที่ฝ่ายชายเหมือนไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากสนุกสนานขณะทำหน้าที่พ่อพันธุ์
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3><O:p></O:p>
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>เพียงข้อสังเกตข้างต้นก็คงทำให้ทุกคนยอมรับโดยดุษณีว่า หญิงเสียเปรียบชายในแง่ธรรมชาติ
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>ทางกายอย่างแน่นอน และถ้าเราทราบว่าร่างกายมนุษย์ทั้งหลายคือวิบาก
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>ที่เคยทำกรรมบางอย่างเป็นประจำในอดีตชาติ
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>ก็ต้องสรุปว่ากรรมเก่าของหญิงนั้น ส่งผลให้เกิดภาวะไม่น่าพึงใจเท่าใดนัก
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>อย่างน้อยที่สุดก็ไม่น่าพึงใจเมื่อเทียบกับความเป็นชาย
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3><O:p></O:p>
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>ผู้หญิงแม้สวยและทรงเสน่ห์ดึงดูดใจขนาดไหน หากถามเอาความรู้สึกจากใจแล้ว
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>ส่วนใหญ่ก็พูดตรงกันเป็นเสียงเดียวว่าอยากเกิดเป็นผู้ชาย หรือแม้พวกที่เรียกร้องสิทธิสตรีนั้น
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>ให้เอาหัวใจมาพูดแล้วอยากเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็ตอบอีกว่าอยากเป็นผู้ชาย
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>พวกเธออาจได้สิทธิสตรีตามที่เรียกร้อง แต่จะไม่มีทางขจัดปมด้อยเกี่ยวกับความเสียเปรียบทางสรีระไปได้เลย
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>เว้นแต่จะมีใจผิดเพศ อยากผ่าตัดแปลงเพศให้รู้แล้วรู้รอด
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>สิ่งที่ไม่น่าพึงใจย่อมเป็นวิบากของกรรมที่กระเดียดไปเข้าฝ่ายอกุศล
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>ดังนั้นจึงควรสำรวจตามจริงที่เห็นด้วยตาเปล่าโดยทั่วไป ว่าถ้าเอาเกณฑ์กิเลสคือโลภ โกรธ หลงมาเป็นตัวตั้งแล้ว
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>เหล่าสตรีน่าจะมีความโน้มเอียงในการแสดงกิเลสแตกต่างจากชายอย่างไร

    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>๑) เกี่ยวกับความโลภ ชายหญิงอาจโลภอยากรวยมากพอกัน แต่ฝ่ายหญิงจะคิดเล็กคิดน้อยมากกว่า
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>ขณะที่ชายจะมองเป้าใหญ่ไปเลย ดังที่เคยมีคนกล่าวติดตลกไว้ว่าผู้ชายพร้อมที่จะจ่ายสองเท่า
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>เพื่อสิ่งที่เขาต้องการเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่ผู้หญิงเต็มใจจ่ายสำหรับสิ่งที่กำลังลดราคาครึ่งหนึ่ง
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>แม้ว่าเธอไม่ได้ต้องการมัน
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>๒) เกี่ยวกับความโกรธ ชายหญิงอาจโกรธแรงขั้นลืมตัวลงมือฆ่าแกงได้เหมือนกัน
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>แต่ฝ่ายหญิงจะมีปมด้อยอยากเอาชนะมากกว่า คือคิดรักษาหน้า รักษาทิฐิไว้ด้วยอาการผูกใจเจ็บแรง
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>ดังที่คู่ชีวิตส่วนใหญ่คงเคยผ่านประสบการณ์ทำนองเดียวกันมา คือในทุกการโต้เถียง
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>ผู้หญิงเป็นฝ่ายพูดคำสุดท้ายเสมอ หากฝ่ายชายหาญจะพูดต่อจากนั้น นั่นหมายถึงการตั้งต้นโต้เถียงกันใหม่
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>แต่ถ้าเป็นเรื่องงอนง้อขอคืนดี จะเป็นฝ่ายสนองรับ ไม่อยากเป็นฝ่ายเข้าหาเพื่อขอญาติดีก่อน
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>๓) เกี่ยวกับความหลงสำคัญผิด ฝ่ายหญิงจะยอมรับความจริงยากกว่าชาย
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>เช่นว่าสังขารต้องโรยราเป็นธรรมดา ธรรมชาติประจำเพศของฝ่ายหญิง
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>จะทำให้สำคัญว่าตนต้องสวย ตนต้องผมดำ ตนต้องเต่งตึงอยู่เสมอ
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>ส่วนฝ่ายชายนั้นแม้กังวลเกี่ยวกับเรื่องหัวล้านบ้างก็ไม่ถึงขนาดกลัดกลุ้ม
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่ค่อยยอมเสียเงินแพงเกินเหตุเพื่อแลกกับการเอาผมดกดำคืนมา
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>ในขณะที่ฝ่ายหญิงอาจยอมขายสมบัติทิ้งได้เพียงเพื่อแลกกับบางชิ้นส่วนที่เหี่ยวเฉาลงแล้ว
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3><O:p></O:p>
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนมีกิเลสทำนองนี้เหมือนกันหมด
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>แต่พูดคลุมๆไปโดยรวมถึงธรรมชาตินิสัยที่ฝังลึกอยู่ข้างใน
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>สรุปได้ว่าในแง่โลภะ โทสะ โมหะนั้น วิสัยหญิงจะคิดมากหยุมหยิม
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>ไม่อยากริเริ่มทำเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี รวมทั้งมีโอกาสเห็นผิดเป็นชอบด้วยอารมณ์ได้มากกว่าชาย
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>มนุษย์เราจะเริ่มรู้ชัดถึงความต่างระหว่างชายกับหญิงต่อเมื่อแต่งงานอยู่กินกันฉันผัวเมีย
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=3>ช่องว่างระหว่างเพศจะปรากฏขึ้นตั้งแต่ในมุ้งเลยทีเดียว

    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><O:p></O:p>[​IMG]
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT size=6><FONT face=Tahoma><FONT size=4>กรรมที่ทำหน้าที่กำหนดเพศ<O:p></O:p>

    <FONT face=Tahoma>ถ้าทุกคนยอมรับว่าวิสัยพื้นฐานของหญิงและชายเป็นดังที่กล่าวมาในหัวข้อก่อนจริง
    <FONT face=Tahoma>สิ่งที่น่าสนใจคือถ้าหญิงไม่ปรับปรุงพื้นฐานดังกล่าวให้ดีขึ้น ก็มีแนวโน้มว่าคงจะต้องเป็นหญิงต่อไป
    <FONT face=Tahoma> ส่วนชายถ้าประพฤติตนย่อหย่อนลงจากวิสัยเดิม ก็มีแนวโน้มจะต้องเป็นหญิงเช่นกัน
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>พระพุทธองค์ตรัสว่าเราจะไม่เกิดเป็นมนุษย์ด้วยกรรมที่เกิดจากโลภะ โทสะ โมหะเลย
    <FONT face=Tahoma>พูดง่ายๆว่าต้องอาศัยกำลังบุญเป็นตัวนำมาสู่ภูมิมนุษย์ การทำบุญแต่ละครั้งนั้นคิดง่ายๆ
    <FONT face=Tahoma>ก็คือการพยายามสลัดโลภะ โทสะ โมหะทิ้งจากใจนั่นเอง
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>แต่การทำบุญก็อาศัยกำลังใจแตกต่างกัน หากใครมีประสบการณ์ทำบุญตามงานสาธารณะบ่อยๆ
    <FONT face=Tahoma>จะพบความหลากหลายของผู้คนที่มาทำบุญ เหมือนแต่ละคนมีแนวทางเฉพาะตัว
    <FONT face=Tahoma>ซึ่งถ้าถามว่าขณะให้ทานจะมีลักษณะใดในคนเราที่ผิดแผกกันอย่างเห็นได้ชัด
    <FONT face=Tahoma>ส่วนใหญ่คงตอบว่ากิริยาท่าที ความมีหน้าใหญ่ให้มาก ความมีหน้าเล็กให้น้อยทำทั้งยิ้มแย้ม
    <FONT face=Tahoma> ทำทั้งบูดบึ้ง มีความอ่อนน้อม มีความกระด้าง ออกอาการก้มหน้ากระมิดกระเมี้ยน
    <FONT face=Tahoma>ออกอาการอกผายไหล่ผึ่งอาจหาญ ทำอย่างเชื่องช้าซังกะตาย ทำอย่างรีบเร่งกระตือรือร้น ฯลฯ
    <FONT face=Tahoma>เหล่านี้คือกิริยาที่ทุกคนคุ้นตา และถ้าจะเดาหลายคนก็คงเดาว่าสิ่งที่เห็นด้วยตาเปล่าเหล่านี้เอง
    <FONT face=Tahoma>จะจำแนกผลบุญออกเป็นต่างๆ
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>ความจริงอาการทางกายไม่ค่อยมีความหมายสักเท่าใดเลย ‘อาการทางใจ’ และ ‘วิธีคิด’
    <FONT face=Tahoma>ต่างหากที่มีความหมาย และมีอิทธิพลกำหนดผลกรรมใหญ่กว่าอาการทางกายมากมายนัก จำแนกได้ต่างๆดังนี้
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>๑) อาการทางใจ ที่เป็นฝักฝ่ายของชายจะหนักแน่น ศรัทธาแน่วแน่ในบุญที่ตัดสินใจทำแล้ว
    <FONT face=Tahoma>ไม่หวั่นไหวโลเลกลับไปกลับมา ที่เป็นฝักฝ่ายของหญิงจะมัวมนขาดสมาธิ
    <FONT face=Tahoma>มีศรัทธาที่คลอนแคลนในบุญที่ตัดสินใจทำแล้ว อาจกลับกลอกโลเล เดี๋ยวอยากทำ
    <FONT face=Tahoma>เดี๋ยวไม่อยากทำ เดี๋ยวจะอยากให้มาก เดี๋ยวอยากให้น้อย เป็นต้น
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>๒) วิธีคิด ที่เป็นฝักฝ่ายของชายจะคิดริเริ่มทำบุญด้วยตนเองไม่รอให้คนอื่นชักชวนก่อน
    <FONT face=Tahoma>กับทั้งไม่คิดเล็กคิดน้อยหยุมหยิม ที่เป็นฝักฝ่ายของหญิงจะต้องรอเป็นฝ่ายถูกชักชวนจึงค่อยตามไปทำ
    <FONT face=Tahoma> กับทั้งคิดเล็กคิดน้อยได้สารพัดเรื่อง<O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>ร่างปัจจุบันจะเป็นชายหรือเป็นหญิงไม่สำคัญ ทุกคนมีสิทธิ์เกิดอาการทางใจและวิธีคิด
    <FONT face=Tahoma>ที่สอดคล้องหรือขัดแย้งกับเพศตนเสมอ ผลรวมจะเป็นกำลังบุญระดับหนึ่งที่ทำให้ ‘รู้สึก’
    <FONT face=Tahoma>สัมผัสได้ ขอให้ลองสังเกตดูตามจริงเถอะว่าคนที่มีอาการทางใจและวิธีคิดทำบุญอย่างชายเป็นประจำนั้น
    <FONT face=Tahoma>จะทำให้เรารู้สึกได้ถึงความเข้มแข็งในภายในเยี่ยงบุรุษเพศ ส่วนคนที่มีอาการทางใจ
    <FONT face=Tahoma>และวิธีคิดทำบุญอย่างหญิงเป็นประจำนั้นเป็นตรงข้าม จะทำให้เรารู้สึกได้ถึงความปวกเปียกในภายในเยี่ยงสตรีเพศไป
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>คราวนี้มาถึงประเด็นสำคัญ วิธีคิดทำบุญเป็นอย่างไร วิธีคิดเรื่องทั่วไปก็มีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นนั้น
    <FONT face=Tahoma>กล่าวคือถ้าใจคอหนักแน่นในการบุญ ก็จะมีใจคอหนักแน่น มีเหตุมีผล ไม่หวั่นไหวโอนเอนกลับไปกลับมาง่ายๆ
    <FONT face=Tahoma>จิตวิญญาณจะค่อยๆสั่งสมธาตุของความเป็นชายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหญิงจะเป็นตรงกันข้าม
    <FONT face=Tahoma>ฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า กำลังของบุญที่หนักแน่นแบบชาย จะมีวิบากให้ได้ครองรูปชาย กำลังบุญที่ปวกเปียกแบบหญิง
    <FONT face=Tahoma>จะมีวิบากให้ได้ครองรูปหญิง
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>อย่างไรก็ตาม การชั่งน้ำหนักกรรมเพื่อเลือกเพศเป็นเรื่องซับซ้อน
    <FONT face=Tahoma> ไม่ได้มีการทำทานเพียงแง่เดียวที่ตัดสินได้ เรายังต้องเอาความประพฤติอันเกี่ยวเนื่องกับกามารมณ์มาเป็นเกณฑ์ชี้ชะตาด้วย
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>ตามหลักธรรมชาตินั้น รูปหญิงกับรูปชายเมื่อเข้าใกล้กันจะมีพลังดึงดูดเข้าหากัน
    <FONT face=Tahoma>ทั้งนี้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยกรรมสัมพันธ์เก่าแก่แต่ชาติปางก่อนมาช่วย
    <FONT face=Tahoma>ขอเพียงมีรูปชายกับรูปหญิงก็มีทวารให้สามารถนำมาประกบประกอบกามกิจกันในทางใดทางหนึ่งได้หมด
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>การมีเพศสัมพันธ์เป็นของน่าบาดใจ รู้ด้วยสัญชาตญาณโดยไม่ต้องให้ใครบอก
    <FONT face=Tahoma>เพราะเป็นวิถีทางแห่งการครอบครอง หรือถึงยอดแห่งรสสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์
    <FONT face=Tahoma>โดยธรรมชาติจะมีใครเพียงคนหนึ่งคนเดียวที่มีสิทธิ์ได้เสพรสดังกล่าว
    <FONT face=Tahoma>และใครคนนั้นก็เป็นผู้ที่ตกลงเป็นคู่ครองกัน
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>เงื่อนไขง่ายๆเช่นนี้คือจุดเริ่มต้นของเกม ธรรมชาติอนุญาตให้มีกิจกรรมบาดใจกับ
    <FONT face=Tahoma>คู่ครองที่ตกลงกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ หากเกินกว่านั้นจะเกิดภาวะ ‘ไม่ปกติ’ ขึ้นมาทันที
    <FONT face=Tahoma>สัญญาณเตือนแรกคือความรู้สึกผิดรุนแรง สัญญาณเตือนที่สองเมื่อฝืนทำไประยะหนึ่ง
    <FONT face=Tahoma>ไม่เลิกได้แก่ความรู้สึกมืดมนและการมองโลกในแง่ร้าย สัญญาณเตือนที่สามเมื่อยังขืน
    <FONT face=Tahoma>ทำอยู่อีกได้แก่ความรู้สึกชาด้านและเหลือสำนึกผิดชอบชั่วดีน้อยลงทุกที ตรงนั้นอันตรายยิ่งแล้ว
    <FONT face=Tahoma>เพราะเมื่อทำบาปโดยปราศจากความละอาย ก็ย่อมก่อบาปได้ทุกชนิดโดยไม่รู้สึกว่าเป็นบาป
    <FONT face=Tahoma>เงาดำของกรรมจะห่อหุ้มจิตวิญญาณหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้แม้ด้วยตาเปล่า
    <FONT face=Tahoma>คือสีหน้าผู้ชุ่มด้วยบาปจะคล้ำหมองหาสง่าราศีไม่ได้เลย
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>นั่นเป็นเรื่องของคนที่แพ้เกมกาม หลุดร่วงจากความเป็นมนุษย์ไปแล้วเกินครึ่งตัว
    <FONT face=Tahoma>สำหรับวิญญาณที่มีศักยภาพพอจะเป็นมนุษย์ได้นั้น ต้องมีความละอายต่อบาป
    <FONT face=Tahoma>ไม่ละเมิดกฎธรรมชาติ ไม่ก่อกิจกรรมบาดใจกับผู้อื่นที่มิใช่คู่ครอง แม้ว่าจะรู้สึกถึง
    <FONT face=Tahoma>แรงดึงดูดระหว่างรูปชายกับรูปหญิงเหมือนๆกับคนอื่น ก็สามารถยับยั้งชั่งใจได้
    <FONT face=Tahoma>ฝืนข่มใจได้ และเลือกตัดสินใจที่จะไม่เอาบาปมาใส่ตัวได้
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>แม้เมื่อเลือกที่จะไม่ก่อกรรมทางกาเมแล้ว เรื่องก็ยังไม่ถึงที่สุด เพราะ ‘อาการทางใจ’
    <FONT face=Tahoma>กับ ‘วิธีคิด’ ในการรักษาศีลข้อนี้จะเป็นตัวตัดสินว่าเมื่อเกิดเป็นมนุษย์สมควรจะได้
    <FONT face=Tahoma>เป็นชายหรือเป็นหญิง จำแนกได้ดังนี้
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>๑) อาการทางใจ ที่เป็นฝักฝ่ายของชายจะมีความมั่นคงเด็ดเดี่ยว
    <FONT face=Tahoma>ต่อให้อยากจนมันจุกอกแทบตายอย่างไรก็ไม่เอาแน่ๆ
    <FONT face=Tahoma>ส่วนที่เป็นฝักฝ่ายของหญิงจะปล่อยใจให้เกิดความวาบหวาม
    <FONT face=Tahoma>มีความโอนอ่อนไปหากามารมณ์นอกขอบเขตได้เรื่อยๆ
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>๒) วิธีคิด ที่เป็นฝักฝ่ายของชายจะไม่มีความคิดแส่ส่าย ไม่ตรึกนึกด้วยความอยากลองของแปลกใหม่
    <FONT face=Tahoma>ไม่พยายามพาตัวเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม ส่วนที่เป็นฝักฝ่ายของหญิงจะมีความคิดแส่สาย
    <FONT face=Tahoma>อยากลองของแปลกใหม่ คิดชั่งใจกับสถานการณ์ล่อแหลมอยู่เรื่อยๆ<O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>ขอย้ำว่าอาการทางใจและวิธีคิดข้างต้นนี้ ยังไม่เกินเลยออกมาเป็นการกระทำทางกาย
    <FONT face=Tahoma>เพราะถ้าเกินเลยออกมาเป็นการกระทำทางกาย โดยเฉพาะพวกที่ปล่อยตัวปล่อยใจบ่อยๆจนขาดความละอาย
    <FONT face=Tahoma>จะไม่มีสิทธิ์แม้มาถือกำเนิดเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ

    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>[​IMG]
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><FONT face=Tahoma><FONT face=Tahoma>แถมเกี่ยวกับเรื่องวิธีคิดนิดหนึ่ง คือผู้หญิงบางคนอยู่กินกับชายดีๆแล้วคิดอยาก
    <FONT face=Tahoma><FONT face=Tahoma><FONT face=Tahoma>ติดตามสามีของตนไปทุกภพทุกชาติ อันนี้ก็มีสิทธิ์ทำให้เกิดเป็นหญิงไปเรื่อยๆได้เหมือนกัน
    <FONT face=Tahoma><FONT face=Tahoma><FONT face=Tahoma> เพราะความชอบใจและแรงอธิษฐานอันมีพลังหนุนจากความซื่อสัตย์ในสามีคนเดียวนั้น
    <FONT face=Tahoma><FONT face=Tahoma><FONT face=Tahoma>ย่อมส่งผลหนักแน่นตามปรารถนา หญิงที่รักษาศีลข้อกาเมฯได้บริสุทธิ์ พิสูจน์ตัวโดยการ
    <FONT face=Tahoma><FONT face=Tahoma><FONT face=Tahoma>ไม่ประพฤติผิดแม้มีสถานการณ์ยั่วยุปานใด ย่อมเป็นผู้ไม่มีเวรภัยในเรื่องทางเพศ
    <FONT face=Tahoma><FONT face=Tahoma><FONT face=Tahoma>ไม่เป็นผู้สับสนในการเลือกคู่ และจะเป็นอิสตรีที่มีเกียรติ คนเห็นแล้วคร้ามเกรง ไม่คิดดูถูก
    <FONT face=Tahoma><FONT face=Tahoma><FONT face=Tahoma>ไม่เห็นเป็นผู้น่ารังแกได้ตามใจชอบ

    <FONT face=Tahoma>จากกรณีสมัครใจเป็นหญิงนี้คงพอทำให้เห็นว่าจริงๆแล้วเป็นหญิงหรือเป็นชาย
    <FONT face=Tahoma>ใช่ว่าหมายถึงผิดหรือถูก เหนือกว่าหรือด้อยกว่าเสมอไป ภพหรือสภาวะนั้นเริ่มจากความคิด
    <FONT face=Tahoma>ใครติดอยู่กับภาวะแบบไหนก็โน้มเอียงที่จะไหลเข้าไปรวมกับภาวะแบบนั้นไปเรื่อยๆ
    <FONT face=Tahoma>โดยมีทานและศีลเป็นเครื่องแบ่งชั้นวรรณะว่าใครจะได้สุขสมตามปรารถนามากกว่ากัน
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT size=4>ผลของความด่างพร้อยและขาดทะลุของศีลข้อกาเมฯ<O:p></O:p>

    <FONT face=Tahoma>กาเมสุมิจฉาจาร หรือการประพฤติผิดในกามนั้น ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสจะ
    <FONT face=Tahoma>มุ่งเอาการมีเพศสัมพันธ์กับหญิงที่มารดาบิดารักษาหญิงที่พี่ชายพี่สาวรักษาหญิง
    <FONT face=Tahoma>ที่ญาติรักษาหญิงที่ยังมีสามีหญิงที่ถูกซื้อตัวไว้ และหญิงที่ถูกจองตัวไว้แล้วด้วย
    <FONT face=Tahoma>เคริ่องหมั้นหมายเช่นแก้วแหวนหรือแม้ด้วยพวงมาลัยตามประเพณีท้องถิ่น
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>มักมีข้อสงสัยเกิดขึ้นเสมอว่าอย่างไรเรียกว่าศีลด่างพร้อย อย่างไรเรียกว่าศีลขาดทะลุ
    <FONT face=Tahoma>ถ้าเจ้าของเขาไม่รู้จะมีค่าเท่ากับไม่ได้ทำไหม? เผลอทำแบบตกกระไดพลอยโจนโดย
    <FONT face=Tahoma>ไม่เจตนาไว้แต่แรกถือว่าใช่ไหม? แค่ทำอะไรภายนอกเข้าข่ายไหม? ดูหนังโป๊เป็นบาปไหม? ฯลฯ
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>ขอให้ใช้เกณฑ์คือความละอายต่อบาปเป็นเครื่องชี้ อวัยวะที่เกี่ยวข้องทางเพศนั้น
    <FONT face=Tahoma>ความจริงเริ่มนับเอาตั้งแต่เนื้อหนังทีเดียว พูดง่ายๆว่าทุกตารางนิ้วมีผล หญิงชายไม่
    <FONT face=Tahoma>ควรถูกเนื้อต้องตัวกันโดยธรรมชาติ เว้นแต่จะเป็นเจ้าของกันและกัน หรือผู้เป็นเจ้าของยินยอมโดยดี

    <FONT face=Tahoma>ลองสังเกตสิ่งที่เรารู้อยู่แก่ใจ ว่าทุกสัมผัสนั้นล้วนต้องห้ามไปหมด หากแตะต้องบุคคลมี
    <FONT face=Tahoma>เจ้าของด้วยความกำหนัด ไม่ว่าจะอย่างไรก็เรียกว่าประพฤติผิดในกามทั้งสิ้น
    <FONT face=Tahoma>ส่วนจะเข้าขั้นด่างพร้อยหรือขาดทะลุก็ขึ้นอยู่กับระดับความต้องห้ามของอวัยวะนั้นๆ
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>ขอแสดงเกณฑ์คร่าวๆไว้เป็นประมาณ
    <FONT face=Tahoma>วัดเอาจากการใช้กำลังใจของคนทั่วไปในการทำผิดทางกามดังนี้

    <FONT face=Tahoma>๑) หอมแก้ม ใจเขายินดีทางเพศ ใจเราไม่ยินดีทางเพศ นับว่าด่างพร้อยราวๆ 10%
    <FONT face=Tahoma>(คือรู้อยู่แก่ใจว่าเขาหอมด้วยความพิศวาสก็ยอมด้วยเงื่อนไขบางอย่าง ทั้งที่ใจจริงไม่ได้อยากเอออวย)
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>๒) หอมแก้ม ใจเขายินดีทางเพศ ใจเรายินดีทางเพศ นับว่าด่างพร้อยราวๆ 20%
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>๓) จูบปาก ใจเขายินดีทางเพศ ใจเราไม่ยินดีทางเพศ นับว่าด่างพร้อยราวๆ 50%
    <FONT face=Tahoma>(บางท้องถิ่นจูบปากกันแผ่วๆเพื่อกระชับสัมพันธ์ ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่ยินดีทางเพศเลยจะไม่นับเข้าข่ายเลยเช่นกัน)
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>๔) จูบปาก ใจเขายินดีทางเพศ ใจเรายินดีทางเพศ ถือว่าหวิดๆจะขาดทะลุมาได้ 80%
    <FONT face=Tahoma>(มีฝรั่งเคยเปรียบเทียบไว้ว่าจูบปากคือการเคาะประตูบนเพื่อถามว่าประตูล่างพร้อมหรือยัง)
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>๕) เปลือยกายกอดจูบลูบไล้ตลอดจนหลั่งภายนอก ใจจะยินดีหรือไม่ยินดีหรือไม่ยินดีทางเพศ
    <FONT face=Tahoma>ก็ฉิวเฉียดขาดทะลุมาได้เกิน 90% (บางคนรู้สึกว่าถ้าเพียงทำโอษฐกามยังไม่ผิดเต็มประตู
    <FONT face=Tahoma>เพราะไม่ใช่เครื่องเพศทั้งสองฝ่าย ความรู้สึกจึงยังไม่เต็มร้อย ซึ่งก็ใช่ตามธรรมชาติ
    <FONT face=Tahoma>แต่พิจารณาด้วยว่าถ้าพระให้หญิงอื่นทำ ตามวินัยสงฆ์จะต้องถูกสึกสถานเดียว
    <FONT face=Tahoma>ซึ่งก็แปลว่าโทษพอๆกับร่วมเพศแล้วเต็มที่)
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>๖) อวัยวะเพศเข้าถึงกัน ใจจะยินดีหรือไม่ยินดีทางเพศ ก็จัดว่าศีลข้อกาเมฯขาดทะลุแล้ว 100%
    <FONT face=Tahoma>(เว้นแต่จะเป็นการข่มขืนโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และฝ่ายถูกข่มขืนไม่มีความยินดีอยู่เลยตลอดการร่วม)
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>พระพุทธเจ้ามักตรัสถึงผลของการประพฤติผิดในกาม (คือนับตั้งแต่ข้อแรกเป็นต้นมา)
    <FONT face=Tahoma>ว่าจะทำให้เป็นผู้ประสบภัยเวร ซึ่งแน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับแง่มุมของศีลข้อหนึ่งๆ เช่นตรัสว่า
    <FONT face=Tahoma>บุคคลผู้ประพฤติผิดในกาม ย่อมประสบภัยเวรในชาตินี้บ้าง ในชาติหน้าบ้าง ย่อมโทมนัสบ้าง
    <FONT face=Tahoma>ภัยเวรในที่นี้ย่อมเกี่ยวกับเรื่องทางเพศนั่นเอง ความอยู่ไม่สุข ความวิปริตผิดเพศทั้งหลาย
    <FONT face=Tahoma>โดยมากมักไหลมาจากเหตุคือทำกรรมว่าด้วยการประพฤติผิดในกามนี่แหละ แต่โทษานุโทษจะหนักเบา
    <FONT face=Tahoma>จะถูกร้อยรัดแน่นหนาแกะไม่ออกเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับระดับของการขาดความยับยั้งชั่งใจ
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>ขอให้ดูตามจริง ผู้ลักลอบคบชู้มักมีอาการหมกมุ่นครุ่นคิด อัดอั้นตันใจ ไม่อิ่มไม่พอ
    <FONT face=Tahoma>อยากเลิกก็อยากเลิก อยากเสพต่อก็อยากเสพต่อ สองจิตสองใจแล้วๆเล่าๆอยู่อย่างนั้น
    <FONT face=Tahoma>นี่เรียกว่าเสวยทุกข์ มีความโทมนัส เป็นวิบากในชาติปัจจุบันเห็นทันตา

    <FONT face=Tahoma>[​IMG]
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>ส่วนการประสบเวรภัยนั้น วันหนึ่งอาจเผลอลักลอบมีชู้ในจังหวะที่เจ้าของเขากลับมา
    <FONT face=Tahoma>แบบที่เรียกว่าจับได้คาหนังคาเขา ซึ่งเจ้าของก็จะบันดาลโทสะ ก่อให้เกิดการทำร้ายหรือ
    <FONT face=Tahoma>การเข่นฆ่ากันดังที่เห็นข่าวเป็นประจำ พวกลักลอบเป็นชู้กันประจำมักไม่ค่อยรอด
    <FONT face=Tahoma>ทั้งที่นึกว่าหลบๆซ่อนๆกันรอบคอบเพียงใด ข่าวสารอาจเดินทางไกลในชั่วพริบตาได้
    <FONT face=Tahoma>นี่เป็นวิบากในปัจจุบันเช่นกัน
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>และเรื่องของหญิงชายนั้น แม้อยู่กินกันอย่างถูกต้องตามประเพณีก็ยังมีปากเสียงกันได้เรื่อยๆ
    <FONT face=Tahoma>ตามธรรมชาติของช่องว่างระหว่างเพศ แต่นี่ลักลอบได้เสียกันอย่างผิดๆ แน่นอนเมื่อโมโหโกรธามี
    <FONT face=Tahoma>ปากเสียงขึ้นมาย่อมทำให้เกลียดชัง คิดจองเวรกันได้หนักกว่าปกติ เพราะพื้นฐานจะมองกันและกัน
    <FONT face=Tahoma>ในทางต่ำ จึงขาดความเคารพ ขาดความรู้สึกอยากให้เกียรติกันอยู่แล้ว
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>การคบชู้กันอาจก่อให้เกิดสายใยผูกพัน เพราะร่วมทำผิดมาด้วยกัน พอเจอกันในชาติใหม่
    <FONT face=Tahoma>ถ้าหากเป็นมนุษย์ก็มักมีความกระสันใคร่อยากในทันทีที่เห็นกัน แต่มักมีอาการขนลุกระคนอยู่ด้วย
    <FONT face=Tahoma> เพราะบาปเก่ามาเตือนว่าสัมพันธ์ระหว่างกันมีความดึงดูดเข้าหาเรื่องสกปรก อีกอย่างหนึ่งเวลา
    <FONT face=Tahoma>ที่เจอกันมักอยู่ในจังหวะเวลาผิดๆ หรือมีเหตุการณ์ไม่ดีเป็นลางร้าย เมื่อทนความกำหนัดไม่ไหวแล้วสมสู่กัน
    <FONT face=Tahoma> ก็จะมีเหตุให้ต้องทะเลาะเบาะแว้ง มีเหตุให้เกลียดชังกันอย่างรุนแรง หรือกระทั่งอยากฆ่าแกงกันด้วยความทนไม่ได้
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>ตัวอย่างของการเคยร่วมผิดประเวณีกันมา ที่ชัดหน่อยได้แก่ฝ่ายชายกลายเป็นหญิง
    <FONT face=Tahoma>มาเจอคู่บาปเก่าที่ก็ยังคงเป็นหญิงอยู่ พบกันแล้วมีแรงดึงดูดให้พิศวาสกัน เกิดความใคร่อยากทันที
    <FONT face=Tahoma>กลายเป็นพวกหญิงรักหญิงชนิดจริงจัง รู้ทั้งรู้ว่าฝืนธรรมชาติ อยู่กันไปอยู่กันมาในที่สุดแรงกรรมเก่า
    <FONT face=Tahoma>ย่อมผลักฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้คิดตีจากไปมีใหม่ และเมื่อนั้นเรื่องน่าเศร้าย่อมเกิดขึ้นได้ทุกรูปแบบ<O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>ความละอายต่อบาปมีมากน้อยเพียงใด ยังเป็นตัวกำหนดชี้ระดับความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นอีกด้วย
    <FONT face=Tahoma>ประเด็นนี้เริ่มต้นจากกฎทางใจของมนุษย์ที่ว่าถ้าทำบาปก็สมควรจะเกิดความละอาย
    <FONT face=Tahoma>เพราะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีความละอายต่อบาปเป็นพื้นฐาน

    <FONT face=Tahoma>ฉะนั้นนักเลงผู้หญิงที่ลักกินขโมยกินของคนอื่นโดยปราศจากความละอาย ก็สมควร
    <FONT face=Tahoma>ได้รับผลสะท้อนของความไม่ละอายเลยเป็นความน่าอับอายถึงขีดสุด นั่นคือชาติ
    <FONT face=Tahoma>ต่อไปหากได้รูปกายเป็นชายก็จะมีใจเป็นกะเทยตั้งแต่จำความได้ ไม่ใช่มาชอบใจเ
    <FONT face=Tahoma>ป็นกะเทยด้วยกรรมใหม่เช่นแกล้งทำกระตุ้งกระติ้งจนติด
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>สำหรับพวกเจ้าชู้ยักษ์ลักลอบร่วมประเวณีไม่เลือกลูกเขาเมียใคร แต่ยังเกิดความ
    <FONT face=Tahoma>รู้สึกผิดชอบชั่วดี หรือกล้าทำกล้ารับอยู่บ้าง ไม่ใช่แค่เอาสนุกชั่วแล่น
    <FONT face=Tahoma>พวกนี้มักเกิดใหม่มีใจเป็นชายแต่กายเป็นหญิง ขอให้สังเกตว่าผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่ออก
    <FONT face=Tahoma>แนวทอมบอยจะชอบหว่านเสน่ห์เล่นไปทั่ว นี่ก็เป็นนิสัยเก่าที่เคยเจ้าชู้มามากนั่นเอง
    <FONT face=Tahoma>แต่ชาติที่รับผลกรรมนั้นมักเป็นอยู่ด้วยความไม่พอใจในเพศตน
    <FONT face=Tahoma>และรู้สึกว่าตนถูกเอาเปรียบทางเพศอย่างน่าโมโหเสมอ

    <FONT face=Tahoma>[​IMG]
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>ส่วนที่มักเป็นประเด็นถามไถ่กันเสมอๆในหมู่ชาวพุทธที่เริ่มถือศีล ๕
    <FONT face=Tahoma>คือดูรูปโป๊หรือหนังโป๊ผิดศีลหรือไม่? อันนี้ถ้าจับหลักได้ว่ากาเมสุมิจฉาจาร
    <FONT face=Tahoma>นับเอาการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้มีเจ้าของเป็นสำคัญ ก็ต้องมองตาม
    <FONT face=Tahoma>จริงว่าการเสพแค่ทางตานั้นไม่ผิด เพราะยังไม่ได้สมสู่ในหญิงผู้มีเจ้าของรักษา
    <FONT face=Tahoma>แต่ความหมกมุ่นในกามจนเกินเหตุย่อมทำให้สภาพวิญญาณเหมือนจมอยู่ในบ่อน้ำกามชุ่มโชก
    <FONT face=Tahoma>และความหมกมุ่นในรูปสตรีจะทำให้จิตเคลื่อนไปอยู่ในภพของสตรีได้ เนื่องจากการมีราคะจัดเป็นตัวบั่นทอนกำลังกุศล
    <FONT face=Tahoma>ทำให้จิตวิญญาณปวกเปียก อีกอย่างสื่อลามกในปัจจุบันก็มีหลายประเภทหลายระดับความรุนแรง
    <FONT face=Tahoma>ดังที่เป็นข่าวน่ากลัดกลุ้มของผู้ปกครองเวลานี้คือมีเกมยั่วยุขนาดปลุกปั่นให้เด็กกลายเป็นอาชญากรทางเพศ
    <FONT face=Tahoma>มีเกมวางแผนข่มขืนผู้หญิง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ตอนเสพเข้าไปอาจจะยังไม่เข้าข่ายผิดศีล แต่ได้กระตุ้นให้เกิดแนวโน้ม
    <FONT face=Tahoma>ที่จะก่อการร้ายยิ่งกว่าผิดศีลธรรมดาเป็นไหนๆในอนาคต
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>ทั้งหมดที่กล่าวมานี้อาจจำไว้ง่ายๆเพียงว่าเมื่อประพฤติผิดทางเพศ
    <FONT face=Tahoma>ย่อมมีแรงเหวี่ยงกลับมาเป็นเรื่องราวผิดๆทางเพศ และจะออกไปในทางภัยเวรรูปแบบต่างๆ
    <FONT face=Tahoma>เป็นสาเหตุหนึ่งของการเป็น ‘คู่เวร’ ที่แรกพบสบตาแล้วหวือหวาอยากกระทำการอันเป็นไปในทางด่วนได้
    <FONT face=Tahoma>แล้วประสบอันตรายจากการอยู่ร่วมกันในภายหลัง หรืออย่างเบาที่สุดก็คือทำให้ตกที่นั่งเสียเปรียบทางเพศ
    <FONT face=Tahoma>ซึ่งก็คือการได้รูปหญิงอันง่ายต่อการถูกรังแกนั่นเอง

    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>[​IMG]
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>บทสำรวจตนเอง<O:p></O:p>

    <FONT face=Tahoma>เรามาสู่ความเป็นหญิงเป็นชายด้วยอาการทางใจและวิธีคิดในทางบุญ ชายเคยแข็งแรงกว่า
    <FONT face=Tahoma>จึงมีวิบากคือได้มาครองอัตภาพที่สบายกว่า ส่วนหญิงเคยอ่อนแอกว่า
    <FONT face=Tahoma>จึงมีวิบากคือได้มาครองอัตภาพที่ลำบากกว่า แต่อาการทางใจและวิธีคิดในชาติปัจจุบัน
    <FONT face=Tahoma>ก็จะเป็นตัวกำหนดเช่นกันว่าคราวหน้าจะได้ครองอัตภาพแบบไหน เพราะฉะนั้นจึงควรเร่ง
    <FONT face=Tahoma>สำรวจตนเองเสียแต่วันนี้เพื่อให้อนาคตเป็นไปตามปรารถนา
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>๑) ในการทำทาน ตั้งแต่ให้อาหารสัตว์ ให้เงินคนยาก ตลอดไปจนกระทั่งถวายสังฆทาน
    <FONT face=Tahoma>โดยมากเราเป็นฝ่ายริเริ่มคิดทำเองหรือต้องรอให้คนอื่นชักชวน?
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>๒) ขณะทำทาน เรามีความลังเลสองจิตสองใจหรือไม่
    <FONT face=Tahoma>เช่นอยากให้มากแต่เกิดเสียดายของ หรือนึกกำหนดวัน
    <FONT face=Tahoma>เมื่อนั้นเมื่อนี้แล้วขี้เกียจขึ้นมาเฉยๆ เป็นโรคเลื่อนไปเรื่อย?
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>๓) ในการรักษาศีลข้อกาเมฯ เรามีปกติเป็นผู้คิดว่าจะหยุดอยู่กับคู่ครองคนเดียว
    <FONT face=Tahoma>หรือใจยังมีแส่ส่ายไปหาคนอื่นเรื่อยๆ และถ้าหากยังไม่มีคู่ครอง
    <FONT face=Tahoma>เราคิดเอาลูกเขาหรือผัวเมียใครมาทำเรื่องน่าอดสูบ้างหรือเปล่า?
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>๔) ขณะเกิดสถานการณ์ล่อแหลมและเป็นไปได้ที่จะละเมิดศีลข้อกาเมฯ
    <FONT face=Tahoma>เราปฏิเสธทันที หรือมีการชั่งใจจะเอาดีหรือไม่เอาดี?<O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>ในชีวิตมนุษย์หนึ่งๆ ทุกคนต้องเผชิญกับสถานการณ์พิสูจน์ใจเสมอว่าอยู่
    <FONT face=Tahoma>ในศีลในธรรมแค่ไหน ความมั่นคงแน่วแน่ในศีลเป็นของดี ไม่ว่าจะปรารถนาเป็นหญิงหรือเป็นชาย
    <FONT face=Tahoma>เมื่อสำรวจตนเองแล้วยอมรับตามจริงได้ว่ากรรมของเราในชาติปัจจุบันกระเดียดไปทางหญิง
    <FONT face=Tahoma>ก็อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจว่าโทษสูงสุดคือต้องไปเป็นหญิง เพราะความอ่อนแอในศีลธรรมพาเรา
    <FONT face=Tahoma>ไปสู่อบายภูมิก่อนหน้านำมาเป็นมนุษย์ผู้หญิงได้เสมอ<O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>ขอให้สังเกตว่าเมื่อทำทานรักษาศีลแบบชายไประยะหนึ่ง ใจคอจะหนักแน่นและคิดใน
    <FONT face=Tahoma>วิสัยชายมากขึ้นเรื่อยๆโดยไม่มีผลข้างเคียงเป็นการเบี่ยงเบนทางเพศ นี่เป็นสิ่งที่เราจะรู้สึกด้วยตนเอง
    <FONT face=Tahoma>และแม้กายเป็นหญิงก็จะได้รับความยำเกรงเสมอชายผู้น่าเกรงใจคนหนึ่ง
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT size=4>สรุป<O:p></O:p>

    <FONT face=Tahoma>พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม บทนี้คงเห็นได้ชัดขึ้น
    <FONT face=Tahoma>เพราะแม้แต่เพศก็ถูกกำหนดโดยกรรมของแต่ละคน สภาพความเป็นชายและความเป็นหญิงจัดเป็น ‘
    <FONT face=Tahoma>วิบาก’ ไม่มีการเลือกโดยบังเอิญเหมือนอย่างที่นักวิทยาศาสตร์บอก
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>จิตวิญญาณไม่มีเพศ คือทางนามธรรมไม่มีใครเป็นชาย ไม่มีใครเป็นหญิง มีแต่กรรมทางการคิด
    <FONT face=Tahoma>การพูด การทำของแต่ละคนที่ ‘สมชาย’ หรือ ‘สมหญิง’ ถ้าน้ำหนักกรรมโดยรวมมีความสมชาย
    <FONT face=Tahoma>ก็ทำให้เกิดรูปชาย ถ้าน้ำหนักกรรมโดยรวมไม่พอก็ได้รูปหญิง
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>เมื่อเราเข้าใจว่าวิธีทำทานและรักษาศีลของแต่ละคนเป็นตัวกำหนดเพศในภพต่อไป
    <FONT face=Tahoma>ก็จะเห็นตามจริงว่าชายไม่จำเป็นต้องเป็นชายเสมอไป หญิงไม่ต้องเป็นหญิงเสมอไป
    <FONT face=Tahoma>ชาตินี้ปฏิบัติตนโดยความเป็นอย่างไร ก็เตรียมภาวะแห่งเพศในชาติใหม่โดยความเป็นอย่างนั้น
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma>ศีลตีกรอบจำกัดเราแค่ให้ประพฤติดีทางกายและวาจา แต่เมื่อสมัครใจยินยอมอยู่ในกรอบ
    <FONT face=Tahoma>ของกายวาจานานเข้า ในที่สุดก็กลายเป็นใจจริงได้ คือแม้ความคิดชั่วร้ายทางเพศเกิดขึ้น
    <FONT face=Tahoma>ก็อ่อนกำลังลงเรื่อยๆเนื่องจากถูกขนาบ ถูกบีบให้ฝ่อตัวลงจนกระทั่งไม่ผุดเป็นความคิดออกมาเลย
    <FONT face=Tahoma>ฉะนั้นการกำหนดใจแน่วแน่ว่าจะถือศีล งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจารอย่างเด็ดขาด
    <FONT face=Tahoma>จะรักษาเราไว้บนเส้นทางปลอดภัยทางเพศ ไม่ว่าจะมีเหตุให้ต้องเป็นหญิงหรือเป็นชายก็ตาม
    </O:p><!-- / message --><!-- sig -->

    <FONT color=black><FONT color=black>เกณฑ์วัดน้ำหนักโลภะ โทสะ โมหะ

    <FONT color=black><FONT face=Tahoma>ธรรมชาติมีเครื่องชั่งน้ำหนักของเขาอยู่ ว่าโลภะ โทสะ โมหะประมาณนี้ถือว่าเกินพิกัด
    <FONT color=black><FONT face=Tahoma> พื้นโลกมนุษย์แบกไว้ไม่ไหว ต้องทะลุตกลงไปหมกไหม้ในนรก
    <FONT color=black><FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>เหตุการณ์หนึ่งๆจะเป็นตัวชี้ชัด ว่าโลภะ โทสะ โมหะเกินขีดจำกัด
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>เกินเส้นแบ่งต้องห้ามไปแล้วหรือยัง เส้นแบ่งต้องห้ามนี้เรียกว่า ‘ศีล’
    <FONT color=black><FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ศีลคือกรอบ คือเกณฑ์ คือแนวทางประพฤติปฏิบัติทางกายและทางวาจา
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ยังไม่รวมว่าใจจะคิดอย่างไร อยากสักแค่ไหน ขอแค่ว่าเก็บอาการให้อยู่
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ไม่ละเมิดไปจากกรอบอันควร ก็ถือว่ายังพอใช้ได้
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>คนไทยรู้จักคำว่า ‘ศีล’ ดี แต่น้อยคนจะจดจำขึ้นใจว่ามีอะไรบ้าง และยิ่งน้อยเท่าน้อย
    <FONT color=black>ที่จะนำมาเป็นกรอบการประพฤติปฏิบัติตนจริงๆ หากผู้ใดอยู่ในกรอบของศีลดีแล้ว
    <FONT color=black>ก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้มีโลภะ โทสะ โมหะน้อย คู่ควรแก่การเกิดใหม่ในสุคติภูมิ
    <FONT color=black>ทั้งโลกสวรรค์และโลกมนุษย์อย่างใดอย่างหนึ่ง
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>ที่ตรงนี้จะแสดงศีล ๕ โดยความเป็นเครื่องชั่งน้ำหนักโลภะ โทสะ โมหะ
    <FONT color=black>
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>๑) การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต – หากกระทำเพราะโลภอยากกินเนื้อ หรือโกรธแค้นเกินระงับ
    <FONT color=black>หรือหลงเชื่อลัทธิผิดๆเช่นบูชายัญแพะเพื่อปลดปล่อยวิญญาณพวกมันไปสู่สุคติภูมิ
    <FONT color=black>อย่างนี้มีหนึ่งแต้มใหญ่สำหรับการไปสู่ทุคติภูมิ
    <FONT color=black>
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>๒) การลักขโมย – หากกระทำเพราะโลภอยากเอามาเป็นของตน
    <FONT color=black>หรือทำลายของเขาเพื่อแก้แค้น หรือหลงสำคัญผิดเช่นลักของคนรวยที่ไม่เดือดร้อนจะไม่บาป
    <FONT color=black>อย่างนี้มีหนึ่งแต้มใหญ่สำหรับการไปสู่ทุคติภูมิ
    <FONT color=black>
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>๓) การผิดลูกเขาเมียใคร – หากกระทำเพราะโลภอยากเสพกามจนหน้ามืด
    <FONT color=black>หรือล่วงละเมิดทางเพศเพื่อให้เกิดความเจ็บใจ หรือหลงเชื่อแนวคิดวิปริตเช่นนำสาวพรหมจรรย์มาข่มขืน
    <FONT color=black>จะทำให้เทพพอใจ อย่างนี้มีหนึ่งแต้มใหญ่สำหรับการไปสู่ทุคติภูมิ
    <FONT color=black>
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>๔) การโป้ปดมดเท็จ – หากกระทำเพราะโลภอยากได้หน้า หรือปั้นน้ำเป็นตัวด้วย
    <FONT color=black>ความอาฆาตอยากให้ศัตรูประสบความหายนะ หรือหลงเห็นไปว่าการโกหกพกลมหลอกลวงใครๆ
    <FONT color=black>ได้เป็นการแสดงความฉลาดเฉลียวเหนือผู้อื่น อย่างนี้มีหนึ่งแต้มใหญ่สำหรับการไปสู่ทุคติภูมิ
    <FONT color=black>
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>๕) การร่ำสุรายาเมา – หากกระทำเพราะโลภในรสบาดลิ้นชวนเคลิ้ม หรืออยากประชด
    <FONT color=black>ชีวิตให้สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่ลงไป หรือหลงมองตามเพื่อนว่าการร่ำสุรายาเมาเป็นของโก้เก๋
    <FONT color=black>อย่างนี้มีหนึ่งแต้มใหญ่สำหรับการไปสู่ทุคติภูมิ
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>การตกอยู่ในสภาพเมาบาปแบบไม่ลืมหูลืมตานั้น ก็อาจวัดจากแต้มที่สะสมไว้
    <FONT color=black>บางคนได้แค่ ๑ แต้มยังพอทำเนา บางคนซัดเข้าไป ๓ แต้มก็เริ่มหนักหน่วงเต็มที
    <FONT color=black>แต่บางคนอุตส่าห์เหมารวบครบทั้ง ๕ แต้ม อย่างนั้นน้ำหนักเกินพิกัดแน่นอน
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>สำหรับพวกสั่งสมแต้มไว้น้อยๆก็ใช่จะรอดจากโทษภัย แม้บุญด้านอื่นจะช่วยประคับประคอง
    <FONT color=black>ให้พอมายืนบนพื้นโลกมนุษย์ไหว ก็จะต้องประสบกับผัสสะอันไม่น่าอภิรมย์อยู่ดี

    <FONT color=black>[​IMG]
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสจำแนกวิบากของการละเมิดศีล ๕ ไว้พอเป็นแนว
    <FONT color=black>โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องการพูดจานั้น ขยายเพิ่มจากการโป้ปดมดเท็จออกไปเป็นวจีทุจริต ๔ ประการ ดังนี้
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>๑) ปาณาติบาต (การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต) เมื่อเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
    <FONT color=black>ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งปาณาติบาตอย่างเบาที่สุด
    <FONT color=black>ย่อมยังความเป็นผู้มีอายุน้อยให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์
    <FONT color=black>
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>๒) อทินนาทาน (การลักขโมย) เมื่อเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก
    <FONT color=black>ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งอทินนาทานอย่างเบาที่สุด
    <FONT color=black>ย่อมยังความพินาศแห่งสมบัติให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์
    <FONT color=black>
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>๓) กาเมสุมิจฉาจาร (การประพฤติผิดในกาม) เมื่อเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
    <FONT color=black>ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งกาเมสุมิจฉาจารอย่างเบาที่สุด
    <FONT color=black>ย่อมยังศัตรูและเวรให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์
    <FONT color=black>
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>๔) วจีทุจริต<O:p></O:p>
    <FONT color=black>๔.๑) มุสาวาท (การโป้ปดมดเท็จ) เมื่อเสพแล้ว เจริญแล้ว
    <FONT color=black>กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน
    <FONT color=black>ในเปรตวิสัย วิบากแห่งมุสาวาทอย่างเบาที่สุดย่อมยังการกล่าวตู่ด้วยคำไม่เป็นจริงให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์
    <FONT color=black>๔.๒) ปิสุณาวาจา (การพูดส่อเสียด) เมื่อเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
    <FONT color=black>ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย
    <FONT color=black>วิบากแห่งปิสุณาวาจาอย่างเบาที่สุดย่อมยังการแตกจากมิตรให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์<O:p></O:p>
    <FONT color=black>๔.๓) ผรุสวาจา (การพูดจาหยาบคาย) เมื่อเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
    <FONT color=black> ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งผรุสวาจา
    <FONT color=black>อย่างเบาที่สุดย่อมยังเสียงที่ไม่น่าพอใจให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์<O:p></O:p>
    <FONT color=black>๔.๔) สัมผัปปลาปะ (การพูดเพ้อเจ้อ) เมื่อเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
    <FONT color=black>ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งสัมผัปปลาปะอย่างเบาที่สุด
    <FONT color=black>ย่อมยังคำไม่ควรเชื่อถือให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์
    <FONT color=black>
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>๕) การดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย เมื่อเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
    <FONT color=black>ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งการดื่มสุราและเมรัยอย่างเบาที่สุด
    <FONT color=black>ย่อมยังความเป็นบ้าให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>ขอให้สังเกตด้วยว่าถ้าใครประพฤติตนละเมิดกรอบเกณฑ์ธรรมชาติของศีลดังกล่าว
    <FONT color=black>ทั้ง ๕ ประการนี้มากๆ ไม่จำเป็นต้องไปเกิดใหม่ ก็มีผลให้เห็นตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น
    <FONT color=black>‘โทษสถานเบาที่ได้รับเมื่อเป็นมนุษย์’ กันแล้ว ตัวอย่างเช่นคนพูดเพ้อเจ้อบ่อยๆจนติดเป็นนิสัย
    <FONT color=black>อยู่เงียบแล้วทนไม่ได้ต้องหยิบเรื่องไร้สาระมาจ้อ
    <FONT color=black>หรือคนอื่นเขาจะพูดกันเป็นงานเป็นการก็ก่อกวนชักใบให้เรือเสีย คนพวกนี้จะมีท่าทีที่คนรุ่นใหม่เรียกกันว่า
    <FONT color=black>‘ต๊อง’ ให้เห็นโดยไม่จำเป็นต้องพูดสักคำ
    <FONT color=black>
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>เพียงตัวอย่างเดียวที่เห็นได้ชัดนี้ เป็นหลักฐานแสดงว่าคำพูดนั้นปรุงแต่งคลื่นจิตใ
    <FONT color=black>ห้เพี้ยนผิดบิดเบี้ยวจนคนอื่นสามารถสัมผัสได้ ถ้าไม่พยายามปรับปรุงนิสัย
    <FONT color=black>ยังติดพล่ามเพ้อพูดมากไปจนตาย ก็จะเป็นพลังกรรมปรุงแต่งให้เป็นคนพูดจา
    <FONT color=black>ไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย แม้พูดความจริง พยายามให้เป็นงานเป็นการ ก็จะขาดน้ำหนัก
    <FONT color=black>ชนิดที่คนอื่นฟังแล้วอยากเอาหูทวนลมมากกว่าเงี่ยหูเอาใจจดจ่อ
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>ในเมื่อความจริงตามธรรมชาติของกรรมวิบากเป็นเช่นนี้ หลายคนก็อาจนึกว่าโลกมนุษย์มีไว้แกล้งกัน
    <FONT color=black>หรือบีบคั้นกันให้ไหลลงต่ำ เพราะเกิดมาทุกคนต้องเจอเรื่องยั่วยุให้ละเมิดศีล ๕ แน่ๆ เช่นอยู่ของเราดีๆ
    <FONT color=black>ก็มียุงมากัดให้อยากตบ ทำมาหากินสุจริตนานไปก็เห็นช่องทางใช้หน้าที่ฉ้อฉล ไม่แสวงหาก็มีเพศตรงข้ามมาใกล้ชิดให้อยากสัมผัส
    <FONT color=black>เหตุการณ์โดยทั่วไปก็เหมือนน่าพูดบิดเบือนมากกว่าพูดจริง และถ้าอยากเข้าสังคมหลายๆกลุ่มก็ต้องมีเหล้ายาเป็นตัวกระชับมิตร
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>เพราะโลกนี้มีแรงดึงดูดยวนยั่วให้กระโจนลงที่ต่ำ เราถึงเห็นใบหน้าระทมทุกข์มากกว่าใบหน้าระรื่นสุข
    <FONT color=black>คนจนมากกว่าคนรวย คนผิวพรรณหยาบมากกว่าคนผิวพรรณดี คนขี้โรคมากกว่าคนแข็งแรง
    <FONT color=black>ความต่างระหว่างชั้นวรรณะเกิดขึ้นก็เพราะชาติที่แล้วๆมาผู้คนเจอสภาพแวดล้อมฉุดให้ตกต่ำทำนองเดียวกันนี้แหละ
    <FONT color=black>ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัจจุบัน เมื่อเราเข้ามาอยู่ในสนามสอบอีก จะผ่านด่านไปได้หรือไม่ ทุกอย่างตั้งต้นที่การศึกษา
    <FONT color=black>การตระหนัก การตัดสินใจเลือก และการเพียรเอาจริง
    <FONT color=black>
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>ถ้าแค่ตั้งใจเด็ดขาดว่าจะอยู่ในกรอบของศีลทั้ง ๕ ข้อ หรือพูดง่ายกว่านั้นคือ
    <FONT color=black>ถ้ามีใจละอายต่อบาป สะดุ้งกลัวต่อบาป ก็เป็นอันประกันว่าจะก่อกรรมอันเป็นฝักฝ่ายให้
    <FONT color=black>ได้เกิดเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน
    <FONT color=black>
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>ใจที่ละอายต่อบาป สำนึกผิดเป็น และไม่เห็นการทำผิดซ้ำซากเป็นเรื่องเล่นๆนั้น
    <FONT color=black>เป็นภาพรวมรวบยอดของจิตวิญญาณที่พร้อมจะถูกจุดแสงให้สว่างไสวคงทน
    <FONT color=black>เพราะคนที่มีใจจริงละอายต่อบาปเท่านั้น จะประพฤติตนอยู่ในกรอบศีล ๕ ได้ยาวนาน
    <FONT color=black>ต่างจากคนที่มีจิตสำนึกน้อย แม้ใครกระตุ้นให้ถือศีล อย่างมากก็ทำตัวดีได้สองสามวันก็ตบะแตก
    <FONT color=black>ต้องกลับมาละเมิดศีลอีก เพราะเคยชินจนอดรนทนไม่ได้ อึดอัดกัดฟันเป็นคนดีได้เดี๋ยวเดียวเท่านั้น
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>วิธีที่จะสร้างสำนึก ทำตนให้เป็นคนละอายบาปได้จริงๆ ก็ต้องสั่งสมบุญให้มากเข้าไว้
    <FONT color=black>คือต้องทำตัวเป็นฝ่ายรุกด้วย ไม่ใช่ฝ่ายรับ ฝ่ายต้านทานประการเดียว บุญที่สั่งสมมากๆ
    <FONT color=black>จะเป็นตัวตั้งใหม่ให้สังเกตเห็นความต่างระหว่างขาวกับดำ สว่างกับมืด และดีกับเลว
    <FONT color=black>จนเห็นโทษภัย เห็นความไม่น่ารักของอกุศลจิตในตน<O:p></O:p>
    <FONT color=black>สำหรับวิธีการสั่งสมบุญอย่างถูกต้องจะแสดงไว้ในตติยบรรพ

    <FONT color=black><FONT size=4><FONT color=#0000ff><FONT color=black>บทสำรวจตนเอง<FONT color=#0000ff>

    <FONT size=4><FONT face=Tahoma><FONT size=3><FONT color=black>เรามาสู่ความเป็นมนุษย์ก็ด้วยคุณธรรมคือความละอายต่อบาป ถ้าไม่ละอายต่อบาปด้วยใจจริง
    <FONT size=4><FONT face=Tahoma><FONT size=3><FONT color=black> ชีวิตก่อนของเราไม่มีทางรักษาศีลข้อใดข้อหนึ่งด้วยใจเช่นกัน ดังนั้นจึงสมควรที่เราจะสำรวจตรวจสอบ
    <FONT size=4><FONT face=Tahoma><FONT size=3><FONT color=black>ว่ายังมีพื้นฐานความเป็นมนุษย์อยู่มากน้อยเพียงใด กับดักและเล่ห์กลกิเลสในโลกชักนำให้ศีลของเรา
    <FONT size=4><FONT face=Tahoma><FONT size=3><FONT color=black>เสื่อมลงหรือว่าเจริญขึ้น ที่ท้ายบทนี้เป็นโอกาสเหมาะสำหรับการแจกแจงจาระไนตนเองเป็นข้อๆ
    <FONT size=4><FONT face=Tahoma><FONT size=3><FONT color=black>
    <FONT size=4><FONT face=Tahoma><FONT size=3><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>๑) ในช่วงต้นชีวิตเรามีความละอายที่จะฆ่าสัตว์ หรือเบียดเบียนชีวิตสัตว์
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>หรือกระทั่งทรมานสัตว์บ้างหรือไม่? แล้วในขณะนี้เรายังมีความเป็นปกติเช่นนั้นอยู่หรือเปล่า?
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>๒) ในช่วงต้นชีวิตเรามีความละอายที่จะลักทรัพย์ หรือยักยอกทรัพย์
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>หรือกระทั่งแสวงประโยชน์เล็กๆน้อยๆโดยมิชอบหรือไม่? แล้วในขณะนี้เรายังมีความเป็นปกติเช่นนั้นอยู่หรือเปล่า?
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>๓) ในช่วงต้นชีวิตเรามีความละอายที่จะลอบเป็นชู้ หรือลอบได้เสียกับลูกเขา หรือกระทั่งจ้องเล็ง
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>จะผิดประเวณีบ้างหรือไม่? แล้วในขณะนี้เรายังมีความเป็นปกติเช่นนั้นอยู่หรือเปล่า?
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>๔) ในช่วงต้นชีวิตเรามีความละอายที่จะพูดปดทั้งรู้ หรือพูดให้ใครหลงเชื่อผิดๆ
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>หรือกระทั่งแกล้งทำให้คนอื่นเข้าใจผิดบ้างหรือไม่? แล้วในขณะนี้เรายังมีความเป็นปกติเช่นนั้นอยู่หรือเปล่า?
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>๕) ในช่วงต้นชีวิตเรามีความละอายที่จะกินเหล้าเมายา หรือเข้าหาสิ่งเสพย์ติด
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>หรือกระทั่งลองลิ้มเล็กๆน้อยๆบ้างหรือไม่? แล้วในขณะนี้เรายังมีความเป็นปกติเช่นนั้นอยู่หรือเปล่า?
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>เมื่อถามตัวเองว่าขณะนี้เล่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ยังละอายในการกระทำเช่นนั้นอยู่หรือเปล่า?
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>จะมีขณะหนึ่งที่เกิดสัมผัสถึงความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้นมา คือเข้าถึงพื้นฐานเมื่อครั้งรู้ผิดรู้ชอบ
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black> เพราะอย่างไรความเป็นมนุษย์ก็มีศักยภาพในการแยกแยะว่าอะไรบาป อะไรบุญ อะไรมืด อะไรสว่าง
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>หากได้คำตอบว่าส่วนใหญ่เราไม่เคยละอาย แต่บัดนี้ละอายแล้ว ปิดกั้นทางมาของความ
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ชั่วทั้งปวงแล้ว ก็เป็นเรื่องน่ายินดี เพราะนั่นหมายความว่าเรามีความเจริญขึ้น
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>มีความเป็นไปได้ว่าตายแล้วจะไปเกิดในสุคติน่าชื่นใจ
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT color=black>หากได้คำตอบว่าส่วนใหญ่เราเคยละอาย แต่บัดนี้ไม่ละอายแล้ว เปิดทางมาของ
    <FONT color=black>ความชั่วทั้งปวงอย่างกว้างขวางแล้ว ก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะนั่นหมายความว่าเรามีความเสื่อมลง
    <FONT color=black>มีความเป็นไปได้ว่าตายแล้วจะไปเกิดในทุคติน่ากลุ้มใจ
    <FONT color=black>
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>หากได้คำตอบว่าส่วนใหญ่เราเคยเป็นแบบหนึ่ง แล้วบัดนี้ก็ยังคงเป็นแบบนั้น
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ก็เป็นเรื่องน่าใส่ใจพิจารณา ว่าความเป็นเช่นนั้นดีพอหรือยัง เนื่องจากผู้รับผลดี
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ผู้เป็นทายาทแห่งผลจากการกระทำทั้งปวง มิใช่ใครอื่นใดเลยนอกจากตัวเราเองเท่านั้น
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>
    <FONT face=Tahoma>
    <FONT color=black>[​IMG]
    <FONT color=black>
    <FONT color=black><O:p></O:p>
    <FONT color=black>สรุป

    <FONT color=black>พระพุทธเจ้าแสดงไว้พร้อมสรรพว่าเหตุใดเราจึงได้ความเป็นมนุษย์มา
    <FONT color=black>หากขาดความใส่ใจ หรือหากไม่พิจารณาอย่างแยบยลเข้ามาสำรวจในตนเอง
    <FONT color=black> ก็นับเป็นเรื่องน่าเสียดาย คล้ายคนกำลังหลงป่า มีโอกาสพบแผนที่ชี้ทั้งทาง
    <FONT color=black>ไปสู่เขตอันอุดมด้วยผลหมากรากไม้ และกระทั่งชี้ทางออกอย่างเด็ดขาดจากป่าทึบ
    <FONT color=black>แต่กลับไม่รับรู้ หรือรู้แต่ไม่สนใจ หรือสนใจแต่ไม่ขวนขวาย ก็ยังต้องกลายเป็นคนหลงป่าน่าวังเวงอยู่อย่างนั้น
    <FONT face=Tahoma><O:p></O:p>
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>แม้ความเป็นมนุษย์ก็ยังคงอยู่ในสภาพผู้หลงป่า ไม่ทราบว่าลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นตนอยู่กลางไพรได้อย่างไร
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ไม่ทราบว่าจะออกจากป่าได้อย่างไร แต่ความเป็นมนุษย์นั้นสุดประเสริฐกว่าสัตว์อื่นก็ตรง
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ที่เพียรพยายามดั้นด้นค้นทางออกจากป่าได้ หรืออย่างน้อยที่สุดเดินทาง
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>ไปยังเขตที่อุดมสมบูรณ์กว่าที่กำลังอาศัยอยู่ได้
    <FONT face=Tahoma><FONT color=black>นี่แหละคุณค่าของการเกิดเป็นมนุษย์ มิใช่เรื่องน่าดูดายแต่อย่างใดเลย

    <FONT face=Tahoma><FONT color=blue><O:p>[​IMG] ...ที่มา</O:p></O:p>
    </O:p></O:p></O:p>
    </O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 มีนาคม 2007
  2. K.Sancha

    K.Sancha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +238
    คนสมัยนี้เกิดเป็นมนุษย์ก็ดีอยู่แล้ว ชอบทำตัวเป็นสัตว์เดรัจฉาน เฮ้อ
     
  3. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,174
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,647
    เพิ่งซื้อหนังสือเล่มนี้มาเมื่อวานก่อนเอง แห่ะ ๆ
    ยังวางอยู่เลย..
    ว่าแล้ว อ่านดีกว่า
     
  4. ณ ปลาย

    ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +638
    ไม่เห็นด้วยกับบทความจ๊ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...