คําเตือน ถ้าคุณจะด่าหรือตําหนิใครเค้าคนนั้นอาจจะเป็นพระโสดาบัน

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 15 ตุลาคม 2011.

  1. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ที่จะเล่านี่ คือ เรื่องจริง มีแน่นอน ผมสัญญาเลย เวปนี้ ผมคิดว่า ต้องมีใครสักคน ที่บรรลุโสดาบัน แต่เป็น คน ไม่ได้ บวช ซึ่งนั้น ก็ดีแล้ว สมัย พุทธกาล ก็มีหลายคน ที่ไม่ได้ออกบวช แต่ ข้อ ก๊อบ อารมณ์ของพระโสดาบันนะครับ
    1. สักกายทิฏฐิ ที่มี ความรู้สึกว่าสภาพร่างกายหรือว่าขันธ์ 5 เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 มีในเรา เฉพาะอย่างยิ่งในด้านสักกายทิฏฐินี้ พระโสดาบันลดลงมาได้เพียงเล็กน้อย ยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเราอยู่ แต่ทว่ามีอารมณ์ไม่ประมาท มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ที่ท่านกล่าวว่าบรรดาพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี เป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิเล็กน้อย คำว่าสมาธิเล็กน้อย คือ อารมณ์สมาธิของท่านผู้เจริญฌานสมาบัติ มีอารมณ์ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ยังไม่ถึงฌาน 4 ก็สามารถจะเป็นพระโสดาบันได้
    สำหรับ ที่ว่ามีปัญญาเล็กน้อย ก็เพราะว่ายังไม่สามารถตัดขันธ์ 5 ได้เด็ดขาดด้วยกำลังของจิต ยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา แต่ทว่าความรู้สึกของท่านมีความดีอยู่หน่อยหนึ่งว่าเราจะต้องตาย ยังไง ๆ ก็ต้องตายแน่ เหมือนกับที่เปสการีมีอารมณ์คิดถึงคำสั่งสอนของสมเด็จพระธรรมสามิสร ที่ทรงตรัสว่า
    ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ท่านทั้งหลายจงอย่ามีความประมาทในการสร้างความดี
    นี่ ความรู้สึกของพระโสดาบันในด้านสักกายทิฏฐิ มีอยู่จุดนี้เข้าใจไว้ด้วย มีคนพูดกันว่าถ้าเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน จะต้องสามารถระงับทุกขเวทนาได้หมด ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ร้อน ไม่หนาว นี่ไม่ใช่ความจริง ร่างกายยังมีความรู้สึก ร่างกายยังมีมีจิตเป็นเครื่องรักษา ร่างกายยังมีวิญญาณรู้การสัมผัส ถึงแม้ว่าพระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดีก็ยังรู้สึก รู้สึกเจ็บ รู้สึกปวดเหมือนกัน
    นี่ว่ากันถึงอารมณ์ของพระ โสดาบัน เมื่อจิตเข้าถึงพระโสดาบันแล้ว มีความไม่ประมาทในชีวิต มีความรู้สึกเสมอว่าเราจะต้องแก่ เราจะต้องตาย แล้วก็ขึ้นชื่อว่าความตายนี้ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย ไม่ใช่ว่าจะไป กำหนดอายุการตายว่าต้องตายเท่านั้นเท่านี้ จะตายตั้งแต่ความเป็นเด็ก หรือ ความเป็นหนุ่มเป็นสาว ความเป็นคนแก่ อาการที่จะตาย อาจจะด้วยโรคภัยไข้เจ็บ อาจจะตายด้วยอุบัติเหตุ หรือตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเที่ยง ตายกลางคืน ตายดึก ตายหัวค่ำก็เอาแน่นอนไม่ได้
    ฉะนั้น พระโสดาบันจึงไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าถ้าเราจะตายก็เชิญ แต่เราจะตายอยู่กับความดี อารมณ์ของพระโสดาบันที่จะคัดค้านคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินศรีนั้นไม่มี คือว่าเป็นคนไม่สงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่เป็นอันดับที่ 2 ที่เรียกว่า วิจิกิจฉา พระโสดาบันตัดสังโยชน์ตัวที่ 2 ได้ คือ ความสงสัย ที่เรียกว่า วิจิกิจฉา ขึ้นชื่อว่าความสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีในพระโสดาบัน เกิดขึ้นด้วยกำลังของปัญญา ที่พิจารณาหาความจริงว่า
    พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข
    และอันดับ 3 สีลัพพตปรามาส พระ โสดาบันย่อมทรงศีลบริสุทธิ์ตามฐานะของตัว คำว่า ฐานะของตัวก็หมายความว่า ถ้าเป็นฆราวาสก็มีศีล 5 เป็นปกติ มีศีล 5 บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา ไม่ มีเจตนาในการทำลายศีล รักษาศีลบริสุทธิ์ ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุให้บุคคลอื่นทำลายศีล แล้วก็ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว เป็นอันว่าพระโสดาบันเป็นผู้มีความทรงอารมณ์อยู่ในศีลเป็นสำคัญ หนักหน่วงในเรื่องของศีล ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด
    ที่ กล่าวมานี้หมายความว่า สังโยชน์ 3 ประการนี่ พระโสดาบันปฏิบัติมีจิตเข้าถึงตามนี้ นี่ก็พูดกันไปว่าก่อนที่จะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันจากโลกียะเป็นโลกุตตระ ตอนนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกว่า โคตรภูญาณ ขณะเมื่ออารมณ์จิตของท่านผู้ปฏิบัติเข้าถึงโคตรภูญาณ
    คำว่าโคตรภูญาณ นี่ก็หมายความว่า จิตของท่านผู้นั้น ยังอยู่ในระหว่างโลกียะกับโลกุตตระ
    แต่ ทว่าอารมณ์ตอนนี้จะไม่ขังอยู่นาน บางท่านจิตจะทรงอยู่เพียงแค่ชั่วโมงหนึ่ง หรือไม่ถึงชั่วโมง และบางท่านก็อยู่ถึงอาทิตย์สองอาทิตย์ถึงเป็นเดือนก็มี สุดแล้วแต่ความเข้มแข็งของจิต ในช่วงที่จิตเข้าถึงโคตรภูญาณ ท่านกล่าวว่า ในขณะนั้นอารมณ์จิตของนักปฏิบัติ จะมีความรักพระนิพพานอย่างยิ่ง คือมีความรู้สึกอยู่เสมอว่ามนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่เป็นแดนแห่งความสุข ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์ มันก็ทุกข์ตลอดเวลา ถ้าเกิดเป็นเทวดาก็พักทุกข์ชั่วคราว หรือ พรหมก็เช่นเดียวกัน ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีแล้วก็จะต้องจากเทวดา จากพรหมมาเกิดเป็นคนบ้าง บางรายก็เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอันว่าเขตทั้ง 3 จุด ไม่มีความหมายสำหรับใจ
    จิตใจของท่านที่มีอารมณ์เข้าถึงโคตรภูญาณ ใจมีความต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพานเป็นปกติ
    แต่ทว่าพอจิตพ้นจากโคตรภูญาณไปแล้ว ก้าวเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบันเต็มที่ ที่เรียกว่า โสดาปัตติผล ตอนนี้อารมณ์จิตของท่านละเอียดขึ้นมานิดหนึ่ง นอกจากจะรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วก็มีความรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันเป็นของธรรมดา
    การ นินทาว่าร้ายที่จะปรากฏขึ้นกับบุคคลผู้ใดกล่าวถึงเรา จิตดวงนี้มีความรู้สึกว่า ธรรมดาของคนที่เกิดมาในโลกมันเป็นอย่างนี้ ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้น มีความรู้สึกหนักไปในด้านของธรรมดา แต่ทว่าธรรมดาของพระโสดาบัน ยังอ่อนกว่า ธรรมดาของพระอรหันต์มาก
    ฉะนั้น ท่านที่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน จึงยังมีความรักในระหว่างเพศ ยังมีการแต่งงาน ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ท่านกล่าวไว้แล้วว่า พระโสดาบันมีสมาธิเล็กน้อย และก็มีปัญญาเล็กน้อย หากว่า ท่านทั้งหลายจะถามว่า ถ้าคนยังมีความรักในเพศ ยังมีการแต่งงาน ยังมีการอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลงก็ดูเหมือนว่าพระโสดาบันก็คือ ชาวบ้านธรรมดา
    แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ความรักในระหว่างเพศก็ดี ความอยากรวยก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี ของพระโสดาบันอยู่ในขอบเขตของศีล เรารักในรูปโฉมโนมพรรณ มีการแต่งงานกันได้ระหว่างสามีภรรยาของตนเอง ยอมเคารพในสิทธิซึ่งกันและกัน จะนอกใจสามีและภรรยา ขึ้นชื่อว่า กาเมสุมิจฉาจาร จะไม่มีสำหรับพระโสดาบัน จะทำให้ครอบครัวนั้นมีอารมณ์เป็นสุข
    และประการที่ 2 พระโสดาบันยังมีความโกรธ ท่านโกรธจริง พูดเป็นที่ไม่ถูกใจท่านก็โกรธ ทำให้ไม่เป็นที่ไม่ถูกใจท่านก็โกรธ แต่ทว่าพระโสดาบันมีแต่อารมณ์โกรธ ไม่ประทุษร้ายให้เขามีการบาดเจ็บ และไม่ฆ่าคนหรือสัตว์ที่ทำให้ตนโกรธ ให้ถึงแก่ความตาย เป็นอันว่าความโกรธหรือความพยาบาทของท่าน อยู่ในขอบเขตของศีล จิตโกรธแต่ว่าไม่ทำร้าย คือ แตกต่างกับคนธรรมดาตรงนี้
    สำหรับ ด้านความหลงของพระโสดาบัน ที่ขึ้นชื่อว่าหลง เพราะยังมีความรักในเพศ ยังมีความอยากรวย เมื่อสักครู่นี้ข้ามคำว่าอยากรวยไป การอยากรวยของพระโสดาบัน คือ ต้องการความรวยในด้านสุจริตธรรมเท่านั้น เรียกว่า การทุจริตคิดร้ายคดโกงบุคคลอื่นใด ไม่มีในอารมณ์จิตของพระโสดาบัน ประกอบอาชีพด้วยความสุจริต เพราะอาศัยยังรักในความสวยสดงดงาม คือ รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่าเพศยังมีอยู่ ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง เพราะว่ายังคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ยังมีของสวยของงาม การถือตัวถือตนแบบนี้ จึงเชื่อว่ายังมีความหลง แต่ความหลงของพระโสดาบันนั้น ไม่สามารถจะนำบุคลผู้นั้น ในเวลาแล้วไปสู่อบายได้
    จุดนี้ขอบรรดาท่านทั้งหลายผู้รับฟัง จงจำไว้ว่า ความจริงอารมณ์ของพระโสดาบันนั้น ไม่แตกต่างกับชาวบ้านธรรมดาเท่าไรนัก ชาวบ้านธรรมดา ยังมีความรักในเพศ ยังมีสามี ภรรยา แต่ทว่ายังมีการนอกใจภรรยา สำหรับพระโสดาบันไม่มี ชาวบ้านอยากรวยก็ยังมีการคบคิดกันคดโกง การโกงมีการยื้อแย่งฉกชิงวิ่งราวดูทรัพย์ สำหรับพระโสดาบันนี่ ถ้าต้องการรวยก็รวยด้วยการสุจริต หากินด้วยความชอบธรรม ต่างกันตรงนี้
    พระ โสดาบันยังมีความโกรธ ชาวบ้านโกรธแล้วก็ปรารถนาจะประทุษร้าย ถ้ามีโอกาสก็ประทุษร้ายบุคคลที่เราโกรธ ถ้าสามารถจะฆ่าได้ก็ฆ่า สำหรับพระโสดาบันมีแต่ความโกรธ การประทุษร้ายไม่มี การฆ่าการประหารไม่มี นี่ต่างกันกับชาวบ้าน
    พระโสดาบันยังมีความหลง ตามที่ได้กล่าวมาด้วยอาการที่ผ่านมาแล้ว แต่ทว่าพระโสดาบันก็ไม่ลืมคิดว่า เราจะต้องตาย เมื่อเราตายแล้ว เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ตอนนี้พระโสดาบันไม่เสียใจ ไม่เสียดาย ถือว่าถ้าตายเราจะมีความสุข นี่ขอท่านทั้งหลายจำอาการอารมณ์จิตที่เข้าถึงพระโสดาบันไว้ด้วย
    ตอนนี้จะขอพูดอีกนิดหนึ่งถึงอารมณ์ความจริงของพระโสดาบัน ที่เรียกกันว่า องค์ของพระโสดาบัน
    คำว่า องค์ ก็ได้แก่ อารมณ์จิตที่ทรงไว้อย่างนั้นอย่างแนบแน่นสนิท นั่นก็คือ
    1.พระ โสดาบันมีความเคารพในพระพุทธเจ้าอย่างจริงใจ ไม่คลายในความเคารพในพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะมีเหตุผลใด ๆ เกิดขึ้น ใครจะมาจ้างให้รางวัลมาก ๆ ให้กล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ แม้แต่พูดเล่นพระโสดาบันก็ไม่พูด ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าท่านมีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระอริยสงฆ์อย่างจริงใจ แต่ทว่าระวังให้ดี ถ้าพระสงฆ์เลว พระโสดาบันไม่ใส่ข้าวให้กิน
    ตัวอย่าง ภิกษุโกสัมพี มี ความประพฤติชั่ว ตอนนั้นฆราวาสที่เป็นพระอริยเจ้านับหมื่น ไม่ยอมใส่ข้าวให้กิน เพราะถือว่าเป็นโจรปล้นพระพุทธศาสนา เป็นผู้ทำลายความดี ไม่ใช่ว่าเป็นพระอริยเจ้าแล้วละก็ จะเมตตาไปเสียทุกอย่าง ท่านเมตตาแต่คนดีหรือว่าบุคคลผู้ใดมีความประพฤติชั่วท่าน แนะนำแล้วสามารถจะกลับตัวได้ พระโสดาบันก็เมตตา ถ้าเขาชั่วแนะนำแล้วไม่สามารถจะกลับตัวได้ พระโสดาบันก็ทรงอุเบกขา คือ เฉยไม่สงเคราะห์ โปรดจำอารมณ์ตอนนี้ไว้ให้ดี
    2. ในประการต่อไป พระโสดาบันมีศีลบริสุทธิ์ ขอพูดย่อให้สั้น เพราะองค์ของพระโสดาบันก็คือ
    (1) มีความเคารพในพระพุทธเจ้า
    (2) มีความเคารพในพระธรรม
    (3) มีความเคารพในพระอริยสงฆ์
    นี่จัดเป็นองค์ที่มี 3 ประการ
    (4) และสิ่งที่จะแถมขึ้นมาก็คือรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ทำทุกสิ่งทุกอย่างไม่หวังผลตอบแทน ไม่หวังความดีมีชื่อเสียงในชาติปัจจุบัน มีความรู้สึกต้องการอยู่อย่างเดียวว่าเราทำความดีทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน เท่านั้น อารมณ์จิตตอนนี้ขอบรรดาท่าพุทธบริษัทภิกษุ สามเณรทุกท่านต้องจำไว้ จงอย่าไปคิดว่าพระโสดาบันเลอเลิศไปถึงอารมณ์อรหันต์โดยมากมักจะคิดว่าอารมณ์ ของพระอรหันต์เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน ก็เลยทำกันไม่ถึง นี่เป็นการคิดผิด ความจริงการเป็นพระโสดาบันเป็นง่าย มีอารมณ์ไม่หนักที่หนักจริง ๆ ก็ คือ ศีลอย่างเดียว
    ต่อไปนี้ขอพูดถึงอาการของพระโสดาบันที่จะพึงได้ พระโสดาบันจัดเป็น 3 ขั้น คือ
    1.สัตตักขัตตุง สำหรับ ที่ท่านเป็นพระโสดาบันมีอารมณ์ยังอ่อน จะต้องเกิดและตายในระหว่างเทวดาหรือพรหมกับมนุษย์อีกอย่างละ 7 ชาติ เป็นมนุษย์ชาติที่ 7 และเข้าถึงความเป็นอรหัตผล
    2. ถ้ามีอารมณ์เข้มแข็งปานกลาง ที่เรียกกันว่า โกลังโกละ อย่างนี้จะทรงความเป็นเทวดาหรือมนุษย์อีกอย่างละ 3 ชาติครบเป็นมนุษย์ชาติที่ 3 เป็นพระอรหันต์
    3.สำหรับพระโสดาบันที่มีอารมณ์เข้มแข็งเรียกว่า เอกพิชี นั่นก็จะเกิดเป็นเทวดาอีกครั้งเดียว มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็เป็นพระอรหันต์
    4.ที่ พูดตามนี้ หมายความว่า ท่านผู้นั้นเมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วเกิดใหม่ไม่ได้พบพระพุทธศาสนา จะต้องฝึกฝนตนเองอยู่เสมอทุกชาติ แต่ว่าความเป็นมิจฉาทิฏฐิในชาติต่อ ๆไป จะไม่มีแก่พระโสดาบัน เพราะว่า พระโสดาบันไม่มีสิทธิที่จะไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน จะเกิดได้แค่ช่วงแห่งความเป็นมนุษย์กับเทวดาหรือพรหมสลับกันเท่านั้น
    เป็นอันว่าพระโสดาบันนี่ ถ้าท่านทั้งหลายพิจารณาให้ดีแล้ว ก็มีความรู้สึกว่าเป็นของไม่ยาก
    หากว่าท่านจะถามว่า พระโสดาบันทั้งสัตตักขัตตุง โกลังโกละ และเอกพีชี มีอารมณ์ต่างกันอย่างไร
    ก็จะขอตอบว่า พระโสดาบันขั้นสัตตักขัตตุง มี จริยาคล้ายชาวบ้านธรรมดามาก ยังมีอารมณ์รุนแรงในความรัก ยังมีอารมณ์รุนแรงในความโลภ ในความโกรธ ในความหลง แต่ทว่าเป็นผู้มั่นคงในศีล ไม่ละเมิด
    สำหรับพระโสดาบันขั้นโกลังโกละ ขั้น โกลังโกละนี้มีอารมณ์เยือกเย็นมาก หรือว่ามีความมั่นในคุณพระรัตนตรัย มีศีลมั่นคงมาก ความจริงเรื่องศีลนี่มั่นคงเหมือนกัน แต่ว่าจิตท่านเบาบางในด้านความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความคำนึงถึงอารมณ์อย่างนี้มีอยู่แต่ก็น้อย ถ้ามีคู่ครองเขาจะโทษว่า กามคุณท่านจะลดหย่อนลงไป ความสนใจในเพศ ความสนใจในความโลภ อารมณ์แห่งความโกรธ อารมณ์แห่งความหลงมันเบา กระทบไม่ค่อยจะมีความรู้สึก
    สำหรับพระโสดาบันขั้นเอกพีชี ใน ตอนนี้อารมณ์ของท่านผู้นั้น จะมีอารมณ์ธรรมดาอยู่มาก ขอท่านทั้งหลายโปรดอย่าลืมว่า พระอริยเจ้าจะเป็นฆราวาสก็ดี จะเป็นพระก็ดี จะเป็นเณรก็ดี จะเป็นคนมีจิตละเอียด ไม่ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา และไม่ขัดคำสั่ง ไม่ฝ่าฝืนกฎระเบียบวินัยและกฏหมาย อันนี้เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน ที่ท่านทั้งหลายจะพึงทราบ
    สำ หรับเอกพิชีนี่ ความจริงมีอาการจิตใจใกล้พระสกิทาคามี แต่ทว่าสิ่งที่จะระงับไว้ได้นั้น กดด้วยกำลังของศีล มีความรู้สึกว่าเราจะต้องประคับประคองศีลของเราให้แจ่มใสอยู่เสมอ มองดูความรักในระหว่าเพศ หรือว่าความร่ำรวย หรือว่าความโกรธ หรือหลงในระหว่างเพศ หลงในสภาวะต่าง ๆ เห็นว่าเป็นของไร้สาระ มีอารมณ์เบาในความปรารถนาในสิ่งนั้น ๆ แต่ทว่าก็ยังมีความปรารถนาอยู่
    เอา ละ บรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ วันนี้คงไม่ได้อารมณ์แห่งการปฏิบัติ แต่ทว่าอารมณ์แห่งการปฏิบัติ ในความเป็นพระโสดาบันท่านฟังกันมาแล้วสองคืน ผมเองมีความรู้สึกว่า ท่านทั้งหลายคงจะรู้สึกว่าง่ายสำหรับท่าน แต่ถ้าหากว่าเห็นว่าอารมณ์ของพระโสดาบันยากนี่ ถ้าเป็นพระเป็นเณร ผมไม่ถือว่าเป็นพระเป็นเณร ผมถือว่าเป็นเถน เถนในที่นี้หมายความว่ามี สระเอ นำหน้า มีถอถุง และ นอหนู เขาแปลว่าหัวขโมย คือ ขโมยเอาเพศของพระอริยเจ้ามาหลอกลวงชาวบ้าน ตามปกติพระกับเณรนี่ต้องทรงศีลบริสุทธิ์อยู่แล้ว
    เอาละ พุดไปเวลามันเกินไป 1 นาที ก็ขอพอไว้แต่เพียงนี้ หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจ ต่อแต่นี้ไปขอท่านทั้งหลายตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น จะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม นั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นอนก็ได้ตามอัธยาศัย ทรงกำลังใจควบคุมความเป็นพระโสดาบันของท่านไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควร สวัสดี

    ย่อให้สั้นๆ พระโสดาบัน จะยังนึกอยู่ว่า ขันธ์ ห้า มีอยู่ในเรา แต่ พระโสดาบัน จะไม่ปรามาท ชีวิต คิดว่า ความตาย เป็นของเที่ยง แน่น
    และจะเคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครับ และมอง ทุกสิ่งเป็นธรรมดา โดนด่า โดนชม เจ็บ ไม่เจ็บ สุข ทุกข์ เป็นของธรรมดา

    ผมชื่อว่า ในเวปนี้ ในโลกนี้ มีคนมีอารมณ์ แบบนี้เยอะมาก แต่เค้าไม่แน่ใจ ไม่บอก รู้ไว้ในตัว แต่ ต้องมีแน่นอน คนที่ไม่รู้ มีอวิชชา รู้ธรรม แต่ไม่มีธรรม ไป ตําหนิ ไป ด่าเค้า เกิดความเป็นจริง เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าก็บอกไว้แล้ว ว่า เวลา จะ ชม ใคร ตํา หนิใคร ต้อง ดูก่อนว่าจริงไหม แต่ไม่ใช่สักว่า ตําหนิ เหยีดยาม เราเหนือกว่า แบบนี้ไม่ใช่ ถ้าคุณไปด่า ตําหนิ เค้าด้วย เจตนา ว่าจะโชว์ เรามีธรรมเหนือกว่าผู้คน ต้องมาบูชาเรา ต้องนั้น จิต จะอิจฉาริษยา จะ พาซวย ในอนาคต

    อ่อ มีอีกเรื่อง คนที่ฝึกมโนยิทธิ แล้วเค้าไปนิพพาน ได้ เค้าเห็นมีวิมารของตน คนเหล่านั้น คือ สามารถจะเป็นพระอรหันต์ก็ได้ แต่ผมไม่แน่ใจจะเป็นได้ชาตินี้ หรือชาติหน้า แต่ เห็นได้นี่แน่นอน ชาตินี้ต้องได้บรรลุโสดาบัน แน่นอน

    อ่อตอนเด็ก เด็กมาก 5-6-7 ขวบ มั้ง ฝันเห็น ปราสาททอง คือทอง ทั้งหลัง แล้วผมก็ ฝังเทป จากพระอาจารย์เค้าบอกว่า พอจิตบริสิทธ์ เหมือนจิต จะ ไปหา ประสาททองไรสักอย่าง คือ ประสาททองนั้น มีจริงแน่นอน ผมไม่แน่ใจว่า ปราสาททองนั้น อยู่บนแดนพระนิพพาน หรือสวรรค์ หรือพรหม โลกชั้นใดชั้นหนึ่งรึเปล่า ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ก็ชั่งมัน แล้วก็ฝึกมโนยิทธิ ไปขอบสระ แดนพระนิพพาน ไปวิมาร ของตัวผม ทุกคนมี วิมารบนแดนพระนิพพานแน่อน ท่าทําความดี ผมเชื่อว่า ทุกคน ตัวผม ชาติก่อน ก็ต้องทําความดี ทําความชั่วบ้าง แต่ทําความชั่ว เพราะ มีอวิชชา ห่อหุ้มเป็นเหตุนั้นเอง พระธรรม คือรู้ความเป็นจริง ทําให้อวิชชา หายไป ลดลงมาล

    อ่อ มีคนฝึกมโนยิทธิเยอะมาก แล้วเค้าก็เห็นวิมารของตน แล้วคนนั้นก่อนเค้าจะตาย จิต เค้า นึกถึกพระนิพพาน แล้วเค้าตายเค้าไปพระนิพพาน ทันที คือเป็นพระอรหันต์ ทันที เลย (ถ้าท่านเคยด่าคน ที่มีวิมารแล้ว ก็ไปแดนพระนิพพานได้ นี่ ถือว่า ท่าน ด่า พระสงฆ์ พระสาวกของพระพุทธเจ้าเลยก็ว่าได้ บาปแค่ไหน หละ ลองคิดดู)

    อ่อ ตอนที่เห็นนั้น จิต มันเห็น แต่ไม่ชัด เพราะผม ไม่เคยเข้าวัดบ่อย เข้าไป ก็ทําบุญนั่งสมาธิในวัด เท่าที่จําได้ไม่ถึง 5 ครั้งในชีวิตเลยก็ว่าได้เป็นที่น่าเสียใจ ของผมมาก คนไหนบ้านอยู่ติดวัด วัด เงียบ สงัด เหมาะกับการ นั่งสมาธินี่ ถือว่า ดีมาก เลยนะครับ

    อ่อ ก่อน ผมขอเตือน ทั้งทันหลายเลยนะครับ ว่า อย่าปรามาทกับชีวิต จงมีสติ
    ตลอดเวลา รู้ว่า ตอนนี้ กิเลศ โทสะ ตัณหา ต่างๆ มันจะครอบงําจิต
    จริงๆ จิตนั้น มัน สว่างไสว แต่ ไปเจอ อวิชชา กิเลศ ตัณหาต่างๆ จิตเลย หมอง หมน เราจะขัดเกรา จิตใจได้ ด้วยการ ศึกษาพระธรรม รู้ตามความเป็นจริง คือทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว คิดดีได้ดี คิดชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว

    ปล.ตั้งแต่ ประโยค จะสุดท้าย เป็นคํากล่าวของพระพุทธเจ้า นะครับ ผมก็แค่ คนที่ อยากจะเผยแผ่คําสั่งสอน ของพระพุทธเจ้า
    ผมนับถือศรัทธา ขนาดพระอรหันต์ เหล่าพรหม เทวดา ท้าวมหาพรหม ยัง ศรัทธาเลย แล้วพระพุทธเจ้า นี่ จะขนาดไหน ผมศรัทธาเลื่อมใส มาก อ่อ ผมไม่ใช่คนที่ ใครๆบอกไรแล้วเชื่อง่าย ตอนแรกไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เหมือนกัน แต่ดูรายการคนอวดผี ช่วงริวจิตสัมผัส แล้วคิดตาม ความเป็นจริง อืมมันก็ถูกต้อง ตอนนั้น เลยเป็นเหตุ ที่สนใจเรื่องพวกนี้ แต่ที่แปลกคือ จะเรียกว่าบังเอิญก็ได้ หรือจะเรียกว่า
    ชาติก่อน ผมอาจจะนับถือ ก็ได้เลยรู้มา

    สุดท้ายนี่ ขอให้ท่าน มีความสุข เจริญในธรรม นะครับ
     
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    อนุโมทนา กับ จขกท ที่เป็นเยาวชนที่ศึกษาพระศาสนา ขอ ให้ค่อยค่อยศึกษาไปนะครับ มี อีก เยอะในพระสูตร พระพุทธวจนะ ทำความเข้าใจไปเรื่อยเรื่อยครับ เหมือนผม และ สมาชิกคนอื่นอื่น:cool:
     
  3. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    ผมก็รู้สึกอย่างนั้นเป็น ช่วงๆ ครับ.. แต่ก็คิดว่าตนเองยังไม่ถึงขั้นนั้น ..

    เพราะผมก็ได้ฟังธรรมกับ หลวงปู่ทวี พระอุปัฏฐาก หลวงปู่แหวน ผมก็จำขึ้นใจเลยครับ

    ตั้งแต่ตอนนั้น เพราะผมขอให้ท่านเทศน์เรื่อง การปฏิบัติตนให้บรรลุพระโสดาบัน

    ซึ่ง พอผมฟังจบ มันก็รู้สึกปีติยินดีบอกไม่ถูก แล้วก็ทำตามนั้นมาเรื่อยๆ แต่ก็ยังรู้สึกว่า

    ตนเองยังมี รัก โลภ โกรธ หลง อยู่เหมือนเดิม.. แต่ว่ารู้ทันความรู้สึกได้เร็วขึ้น

    ท่านสอนว่า - พระโสดาบัน จะเชื่อกรรม ไม่สนใจฤกษยาม,ดวง. ทำดีเวลาไหนก็ได้

    ไม่สงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ..จริงทุกประการ.. ศีลบริสุทธิ์ ตาย ก็ไม่ยอมให้

    ศีลขาด ไม่ยึดมั่นถือมั่น ตัวเขาตัวเรา คือเข้าใจ รูป นาม ไม่ไปยึดติด เพราะตายไปแล้ว

    ถ้าจิตยึดเกาะอะไร สุข ทุกข์ ก็เป็นตัวพาให้เวียนว่ายตายเกิดตามภพภูมินั้น

    ตั้งแต่ฟังธรรมมา แม้แต่มด ขึ้นแก้วน้ำ,ยุง ผมก็พยายามไม่ฆ่าเลยครับ หนู วิ่งหลังบ้าน

    ผมก็จะไล่หรือป้องกัน คือรู้สึกกลัวบาป เพราะเชื่อว่า บาป - บุญ มีจริง

    สุดท้าย ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะบรรลุพระโสดาบันได้หรือไม่เมื่อไร แต่ผมจะพยายามปฏิบัติ

    ไปเรื่อยๆ เพราะผมตั้งปณิฐาน ไว้แล้วว่า ช่วงอายุกลางคน ประมาณ 50 ผมจะไปบวช

    และมุ่งสู่พระนิพพานให้ได้ อย่างน้อยต้องบรรลุพระโสดาบัน... ตอนนี้เวลาเห็นผู้หญิง

    สวยๆ ก็ยังมองยังหลง, อาหารอร่อยก็ยังติด, มีเหตุไม่ชอบใจ ก็โกรธ แต่จะรู้ทันเวลามันมา

    เราจะเห็นเป็นความร้อน ปะทุในจิตเรา ก็เข้าใจแล้วไม่ไปทำอะไรต่อ นิ่งๆสงบมันก็หายไป

    ก็ฝึกอย่างนี้ คือเห็น กิเลส เช่น โลภ,โกรธ,หลง เกิดขึ้นที่จิต ก็ฝึกให้เห็นแต่อย่าหลง

    ไปทำกรรมทาง กาย วาจา ใจ ตามกิเลส... ก็ยังมีความรู้สึกอยู่มาก
     
  4. ออมศีล

    ออมศีล สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +2
    ถ้าบรรลุโสดาบันแล้ว เพราะยังมีอารมณ์ต่างๆอยู่ แล้วถ้าเผลอไปตามกิเลส ทำผิดศีล 5 แล้วมารู้สึกตัวว่าทำผิดทีหลัง แล้วแก้ตัวใหม่
    เหมือนกับว่าสอบตก แล้วไปสอบซ่อมใหม่ให้ผ่านได้หรือเปล่า หรือว่าจะต้องได้รับผลกรรมก่อนแล้วถึงจะบรรลุใหม่ได้
    อันนี้ถามเผื่อไว้ก่อน
     
  5. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    พระโสดาบันท่านละสีลัพพรตปรามาสได้แล้วนี่คะ ด้วยความเข้าใจส่วนตัว เราคิดว่าท่านไม่น่าจะทำผิดศีลอีกนะคะ ยังไงรอผู้รู้มาตอบอีกทีค่ะ สาธุ กับทุกท่านด้วยค่ะ
     
  6. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ถ้าบรรลุ โสดาบัน ก็ เหมือนมีดวงตาเห็นธรรม แล้ว แต่ก็ยังหลงอยู่
    แต่ก็ คิดว่า ยังไงตัวเราก็ตาย แล้วก็นับถือคําสั่งสอน ของพระพุทธ พระ ธรรม พระ สงฆ์

    แล้วก็ เค้าก็จะรักษาศีล 5 เค้าไม่เบียดเบียนผู้อื่น ต่อให้รวยแค่ไหน แต่งานที่ทําก็คืองานสุจริต ไม่ใช่ ขายยาบ้าไรพวกนี้ อ่าครับ คนที่เป็นโสดาบัน ถ้าได้เจอพระ อรหันต์ หรือไม่ก็พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าได้ฟังธรรม จะได้เป็นพระอรหันต์ อย่างรวดเร็วเลย (แต่ขึ้นอยู่กับปัญญาของคนนั้น ด้วยนะครับ)
     
  7. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    พระโสดาบัน จะไม่ผิดศีล แม้จะมีคนบังคับให้ผิดศีลก็ยอมตายดีกว่า เพราะเชื่อในผลของกรรม เพราะรู้ว่า บุญ บาป มีจริง ถ้าทำบาป ผิดศีล มีสิทธิลง อบายภูมิ แต่พระโสดาบัน จะไม่ลงอบายภูมิอีกแล้ว....... เพราะฉะนั้น ศีลจึงคุมใจอยู่ตลอดเวลา........ แต่ยังมี ความ หลงอยู่ มีกิเลสเกิดขึ้นในใจได้ แต่รู้ทัน แต่พระอรหันต์นั้น ไม่มีความโลภ โกรธ หลง เลยหมดสิ้น.. ทุกสิ่งทุกอย่างสักแต่ว่าเป็นสิ่งกระทบ สุข ทุกข์ ก็ไม่ยึด
     
  8. suriyanvajra

    suriyanvajra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +67
    ก่อนอื่นขอขมาทุกท่านไว้ก่อนเลยที่ออกมาตอบกระทู้นี้เพราะตนเองยังไม่มีศักยภาพพอที่จะตอบเรื่องลำดับขั้นการบรรลุธรรมของพระอริยะ แต่ขอยกบทสวดมนต์รัตนสูตรมาให้ทุกท่านพิจารณาตามสมควรค่ะ (ลอกมาจากของท่าน Utropia light)

    ------------------------------------------------------------------
    สะหาวัสสะ ทัสสะนะสัมปะทายะ ตะยัสสุ ธัมมา ชะหิตา ภะวันติ,
    สักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉิตัญจะ สีลัพพะตัง วาปิ ยะทัตถิ กิญจิ
    สังโยชน์ ๓ ประการ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส
    ซึ่งเป็นกิเลสเครื่องผูกสัตว์ไว้ในภพ อันพระโสดาบันละได้แล้ว
    เพราะความถึงพร้อมแห่งญาณทัสนะ

    จะตูหะปาเยหิ จะ วิปปะมุตโต
    อนึ่ง พระโสดาบันเป็นผู้พ้นได้แล้ว จากอบายภูมิทั้ง ๔

    ฉะ จาภิฐานานิ อะภัพโพ กาตุง
    ทั้งไม่อาจที่จะทำอภิฐาน คือ ฐานะอันหนัก ๖ ประการ (คือ อนันตริยกรรม ๕ และการเข้ารีต)

    อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
    แม้ข้อนี้ ก็เป็นรัตนคุณอันสูงส่งในพระสงฆ์

    เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ
    ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด

    กิญจาปิ โส กัมมัง กะโรติ ปาปะกัง กาเยนะ วาจายุทะ เจตะสา วา
    พระโสดาบันนั้น ยังทำความผิดเล็กน้อยทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ อยู่บ้างก็จริง

    อะภัพโพ โส ตัสสะ ปะฏิจฉะทายะ
    แต่เมื่อทำแล้ว ท่านเปิดเผย ไม่ปกปิดความผิดนั้นไว้

    อะภัพพะตา ทิฏฐะปะทัสสะ วุตตา
    ความที่บุคคลเข้าถึงกระแสพระนิพพานแล้วเป็นผู้ไม่ปกปิดความผิดไว้นี้ อันเราตถาคตกล่าวแล้ว

    อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
    แม้ข้อนี้ ก็เป็นรัตนคุณอันสูงส่งในพระสงฆ์

    เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ
    ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด
    -------------------------------------------------------------------

    จากบทสวดมนต์บอกว่า "พระโสดาบันนั้น ยังทำความผิดเล็กน้อยทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ อยู่บ้างก็จริง แต่เมื่อทำแล้ว ท่านเปิดเผย ไม่ปกปิดความผิดนั้นไว้" ...ส่วนความผิดที่ว่าจะเป็นความผิดชนิดใดนั้น ผู้น้อยคิดว่าท่านที่เป็นโสดาบันเท่านั้นจึงจะทราบและจะทำการสารภาพเปิดเผยความผิดนั้นเองเพราะเป็นหนึ่งในคุณสมบัติของท่านค่ะ
     
  9. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    กระจ่างเลยค่ะ ขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ สาธุ
     
  10. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    พระรัตนตรัยสำคัญมากครับ

    ทวยเทพและหมู่มนุษย์ย่อมถึงรัตนะ คือพระสัมพุทธเจ้าผู้เป็นมงคลในโลก เป็นผู้
    ประเสริฐซึ่งทรงทำลายกองทุกข์จนหมดเชื้อได้ เพราะรัตนะคือพระสัทธรรม อัน
    เป็นมงคลในโลก สามารถที่จะป้องกันสรรพภัยได้ เพราะรัตนะคือพระสงฆ์ ผู้เป็น
    มงคลในโลก สามารถที่จะปลดเปลื้อง สรรพโรคได้ ใดใดที่เป็นสรณะอันประเสริฐ
    คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า คุณพระสังฆเจ้า อันอุดมนั้น ด้วยความเคารพ
    ครั้นนอบน้อมแล้ว ขอกระทำพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงมาเป็นสรณะที่พึ่ง
    ของข้าพเจ้า
     
  11. นาคะวงศ์

    นาคะวงศ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +166
    แล้วถ้าใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ที่มีความเจริญทางด้านวัตถุเทคโนโลยี อย่างเช่น กรุงเทพ มีสิทธิ์บรรลุธรรมขั้นสูง มีโสดาบัน เป็นต้น ได้ไหมคับ สงสัยอ่ะ+ เพราะส่วนมากผู้ปรากฏแก่มหาชนตามสื่อ ว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิชอบ มีพระสงฆ์ เป็นต้น จะดำรงชีพในชนบท ซะเป็นส่วนใหญ่ แล้วคนอยู่กรุงเทพพอมีสิทธิ์เป็นพระโสดาบันได่ไหมครับ
     
  12. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    ใครก็มีสิทธิ์เป็นได้ทั้งนั้นแหละครับ แม้อยู่ต่างประเทศ ไม่ได้มีพระพุทธ
    ศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ แต่เมื่อถึงวาระแล้วกลับเข้าถึงพระรัตนตรัย
    ได้ก่อนก็มีครับ
     
  13. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ผมคิดว่า คนต่างชาติ ที่เป็นคนคริสต์ แต่โดยกําเนิด เค้าไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า มีจริงสักนิดเลยนะครับ คือผมมีเพื่อนอายุเท่ากับ 14 เค้าเป็นคนคริสต์ เค้าไม่เชื่ออ ไม่นับถือพระเจ้า ไรสักนิด แต่ เค้าก็ทําบาปบ้างนะ เท่าที่ผมรู้จักเค้าก็อย่างมากนะครับ สุบบุหรี่ กับดื่มเบียร์ (ต่างประเทศดื่มกัน เพราะสนุกสนาน เป็นงานเลี้ยง) ส่วนศีล ข้อหนึ่งข้อสอง ข้อสามนี่ ผมเห็นเค้าไม่ทํา เลยนะ แต่ก็ยังดีที่รักษาศีลได้ บ้าง บางคนมีศาสนาพุทธได้พบได้เจอ แต่ไม่ฟังไม่เชื่อไม่เห็น ทําผิดศีล :p ศีลใหญ่ๆ เลยก็ว่าได้ บางคนบวช เป็นภิกษุ แต่ก็ยังสุบบุหรี่ (ซึ่งแปลกมากสําหรับผม) ดื่มเหล้า ทุศีล คนเหล่านั้นย่อมไปอบาย ตามที่พระพุทธเจ้าบอกไว้

    อ่อผมขอเตือนท่านทั้งหลาย ท่าท่าน อยากไปนิพพาน คือสุข ที่สุดแล้วไม่มีอะไรเหนือกว่านี้แล้ว พระพุทธเจ้ายังบอกเลย ว่าสุขที่สุดแล้ว อย่างแรกคือ ต้องคิดว่าตัวเองยังไงก็ตาม สิ่งทุกอย่าง ที่มีรูป เป็นธรรมดา วันใดวันหนึ่งมันก็ต้องดับ แล้วก็เคารพ คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธเจ้านี่ก่อนที่จะมาเป็นเกิดมาหลายชาติ ตกนรก เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นคนจน พอเกิดมาเป็นคนรวชเป็นบุตรของราชา เค้าก็ไม่อยากเป็นราชา เพราะเป็นบาป แบบพระเตมีย์ใบ้ ต้องทนทําตัวเป็นคนพิกาล ซึ่งผมคิดว่าไม่มีใครทนได้ ขนาดนี้หรอก
    พระพุทธองค์ก็ทนทุกข์ เพื่อ จะทําลาย กิเลศตัณหา อันเป็นสิ่งที่ยึดติดทําให้ตัวเรา ไม่ไปนิพพานสักเสียที พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์นั้น ความเมตตาอยากช่วย หาอะไรเปรียบมิได้เลย คนไหนที่มีศาสนาพุทธได้อ่านพระธรรมได้เคารพรักษาศีล ผู้นั้น เป็นเหมือนเทวดา ในร่างของมนุษย์เลยก็ว่าได้ ดีไม่ดี ประเสริฐกว่าเทวดาบางองค์เสียอีก (เทวดาบางตน ทําบาปไว้เยอะมาก แต่เป็นได้เพราะทําความดีเลย ผู้คลุมนรกเค้าเลยให้ไปเเสวยสุขก่อน) มนุษย์นั้นยังดีอย่าง ถึงมีอายุไม่ มาก แต่ ถ้าทําความดีบ่อยๆ บางคน ออกบวช เพื่อหาทางพ้นทุกข์ เพื่อศึกษาพระธรรม ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ (อย่างมากนะครับ) อย่างต่ำก็ พระโสดาบัน พระอนาคามี พระอนุคามี (ถ้าพิมพ์ผิดขอโทษทีครับ)

    ขอให้ท่าน อย่าไม่ปรามาท คือ มีสติ ตลอดๆ ภาวนา ให้บรรลุนิพพาน หรือไม่ก็ขอให้ตัวท่าน ได้เจอ พระอรหันต์ ที่สามารถ ให้ท่านบรรลุ หรือตัดสังโยชน์ ได้ หรือไม่ก็ ถ้าท่านอยากเจอพระศรีอริยเมตไตรย ก็ขอให้ท่านรักษาศีล ภาวนา ท่านก็จะได้เจอ (ขึ้นอยู่กับกําลังใจของท่านด้วยนะครับ) ตัวผมก็ภาวนา ไปยุคพระศรีอริยเมตไตรยเหมือนกัน พยายามจะรักษาศีล5 จะพยายาม ประกอบ ด้วย พูด ดี ทําดี คิดดี บุคลใดที่พูดีทําดีคิดดี บุคลนั้น เมื่อ ตายไปย่อมไปเกิด เป็น เทวดา พรหม หรือถ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ย่อม ลงมาเกิด เป็นคนหน้าตาดี พูดไพเราะรวย (ซึ่ง ไม่คิดอิจฉาโกรธไม่ขัดเขือน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2011
  14. Sathuja

    Sathuja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +218
    ผมก็เห็นด้วยนะครับ ถ้าเป็นโสดาบันจริงๆ ก็คืออริยบุคคล

    คำว่าอริยะก็แปลว่าไม่เสื่อม มีแต่จะดีขึ้นๆ ๆ ไปเรื่อยๆ
     
  15. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,276
    ค่าพลัง:
    +82,733
    ภูมิพระโสดาบันไม่มีเสื่อมค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...