สภาวะน้ำท่วม คือ สภาวะธรรม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nontayan, 9 พฤศจิกายน 2010.

  1. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +975
    สภาวะน้ำท่วม คือ สภาวะธรรม

    (k)(k)(k) ขอบคุณสำหรับคนไทยที่ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน สัตว์โลกก็เป็นเช่นนี้แหละ ทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้นมาแล้ว ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป น้ำท่วมก็เช่นกัน เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว ทรงตัวอยู่ขณะหนึ่ง เดี๋ยวมันก็จะลดแห้งไปเอง ถ้าเราเข้าใจสภาวะธรรมเช่นนี้ ก็จะไม่ทุกข์ ปรับตัวอยู่กับมันให้ได้ เพราะเรายังจะต้องเผชิญกับสิ่งไม่คาดคิดอีกมากมาย สิ่งที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็นในภพในชาตินี้ เราก็ควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาทตามคำสอนของพระพุทธองค์ คือ หมั่นสร้างบุญ รักษาศีล ภาวนาและนั่งสมาธิกันทุกๆวัน เราก็จะรอดปลอดภัย แม้จะตายในวันใดๆ เราก็ไปสู่สุขคติภูมิอันเป็นสุขได้

    (k)(k)(k) มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะเล่าให้ทุกท่านฟัง เมื่อผมนั่งมองและใช้หลักวิปัสสนาจากสภาวะน้ำท่วมบ้านของตัวเอง ทำให้เห็นสภาวะธรรมอันหนึ่งเกิดขึ้นก็คือ
    1) กระแสน้ำมีพลังมหาศาลในการทำลายล้าง สามารถเคลื่อนที่แทรกไปตามสถานที่ทุกหนแห่งได้ ไหลจากที่สูงลงที่ต่ำเสมอ
    2) สรรพสิ่งที่ถูกกระแสน้ำท่วมมีสภาวะธรรมแบ่งเป็นสามระดับคือ หนึ่ง สิ่งที่แข็งแรงก็สามารถต้านกระแสน้ำไหลอันเชี่ยวกรากได้ เช่นก้อนหินขนาดใหญ่ ต้นไม้ใหญ่ หรือกำแพงอันแข็งแกร่ง แต่กระนั้น ผิวของวัตถุสิ่งของต่างๆเหล่านั้นก็อาจผุพังหรือสึกกร่อนไปบ้าง สอง สรรพสิ่งที่มีกำลังต้านน้อย ก็จะถูกกระแสน้ำพัดพาบ้างก็ตายไป บ้างแตกสลายจมอยู่ใต้น้ำ สาม สรรพสัตว์บางอย่างสามารถปรับตัวได้ บ้างก็ลอยคอไปตามกระแสน้ำ บ้างก็หาที่เกาะแข็งแรงยึดเหนี่ยวไว้ บ้างก็โบยบินหนีไป บ้างก็ดำผุดดำว่ายเพื่อเอาตัวรอด ซึ่งล้วนตกอยู่ในความทุกข์เวทนาทั้งสิ้น
    3) อย่างไรก็ตาม แม้เราจะมองเห็นความแรงของกระแสน้ำที่สามารถทำลายอะไรก็ได้ ประหนึ่งว่าน้ำนั้นเป็นผู้ทำลายที่ยิ่งใหญ่ มีพลังมหาศาล แต่น้ำมากมายก็ย่อมไหลไปหยุดนิ่งในแอ่งที่ไม่มีทางไป หรือไหลไปสู่ทะเลก็ตาม น้ำเหล่านั้นบางส่วนแทรกซึมไปใต้พื้นดิน บางส่วนก็ย่อมถูกทำลายด้วยแสงแดดและสายลมพัดระเหยไปสู่อากาศ และเมื่อถึงเวลาก็รวมตัวกันเป็นก้อนเมฆแล้วกลั่นเป็นน้ำฝนตกมาสู่ผิวโลกเป็นวัฏจักเช่นนี้เรื่อยไป

    (k)(k)(k) สภาวะธรรมเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อนที่จะมีพระพุทธเจ้า ตั้งแต่มีโลกเกิดขึ้นมาแล้ว เพียงแต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ เห็นถึงเหตุของการเกิดเป็นปัญญามาบอกกล่าวถึง การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ผมเองเมื่อปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ด้วยการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน อย่างน้อยก็เห็นสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นต่อหน้าตามสติปัญญาที่มีอยู่ อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวเราที่มนุษย์ก็มีส่วนทำให้เกิดภัยธรรมชาตินั้นเช่นกัน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ภัยพิบัติก็เป็นส่วนหนึ่งของผลกรรมที่มนุษย์เป็นผู้สร้างไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ อะไรหละที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์หรือการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อเราเป็นชาวพุทธเราก็ควรนำเอาหลักวิปัสสนากรรมฐานมาพิจารณาภายในตัวตนของเรานั้นแหละคือ ตัวความทุกข์ที่แท้จริง หาใช่ผู้อื่น หรือสิ่งอื่นใดไม่ เราควรแก้และละวางกิเลส เพื่อทำตัวตนของเราให้ว่างเปล่าดูสักตั้ง แล้วสิ่งต่างๆจะค่อยๆปรากฏให้เราเห็นขึ้นมาภายในจิตของเราว่าเป็นเช่นไร ให้รู้ให้เห็นด้วยตัวเองเป็นปัจจัตตัง

    (k)(k)(k) อันนี้ ผมพูดถึงประโยชน์ของการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ที่ทำให้ผมมองเห็นสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น ที่จริงผมเห็นสภาวะธรรมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตามสติปัญญาที่มีอยู่ในแต่ละวันได้ แม้แต่การเปิดซองมาม่าต้มกิน(เพราะน้ำท่วม) ก็สามารถเห็นความทุกข์ เห็นไปถึงตั้งแต่ความทุกข์ของคนปลูกข้าวสาลี กระบวนการผลิตจนมาเป็นซองมาม่า ความทุกข์ขณะเปิดซองมันเปิดยาก ความทุกข์ขณะกดน้ำร้อนลวกมือ ความทุกข์ความสุขในขณะกิน(อร่อยไม่อร่อย) ความทุกข์ที่ต้องล้างถ้วยชาม และยิ่งเมื่อพิจารณาให้ละเอียดลงไปอีกก็จะเห็นถึงระบบการย่อยอาหารในกระเพาะ เห็นกระบวนการลำเลียงอาหารไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เห็นการขับถ่าย และอื่นๆตามมาอีกมากมาย จากหลักวิปัสสนาดังกล่าวทำให้ผมไม่มีความทุกข์ในสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าผม นี่คือประโยชน์ของหลักวิปัสสนาแม้จะเป็นเพียงแค่เบื้องต้นพื้นๆ แต่มันก็ทำให้ผมเข้าใจสภาวะธรรมในแต่ละเหตุการณ์ได้ ลองนำไปใช้กับเหตุการณ์ประจำวันอื่นๆได้นะครับ

    (k)(k)(k) ขอความกรุณาสมาชิกชาวเว็บพลังจิตทุกท่านช่วยกันแผ่กุศลให้กับผู้ประสบอุทกภัยทั่วโลก และเพื่อปรับพลังบวกให้กับโลกและจักรวาลให้มีความสมดุลมากยิ่งขึ้นครับ
    ขอความสุขและสันติจงเกิดแก่ชาวโลกทุกคนครับ
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    อนุโมทนาสาธุ ขอบคุณค่ะ เป็นแง่คิดที่ดีมากค่ะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป:cool:





    catt9
     
  3. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    626
    ค่าพลัง:
    +574
    ใช่เลยครับ หาก น้ำท่วม เทียบได้ กับ กิเลสตัณหา ของคน น้ำท่วมไหลแรง น้ำก้อไหล ไปในทิศ ที่ ต่ำกว่า หาก เป็น กิเลสตัณหา ของคน ไหลไปได้ ในทิศ ทั้ง 4
     
  4. toyhonda

    toyhonda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    545
    ค่าพลัง:
    +1,782
    อนุโมทนาค่ะ ให้แง่คิดและเปรียบเทียบได้ดีทีเดียวค่ะเข้าหลัก เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ชัดเจนทีเดียว
     
  5. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ผมว่าจขกทเข้าใจผิดอย่างแรงเลยครับกับการที่มองดู
    น้ำท่วมครั้งนี้เป็นสภาวะธรรม
    เหมือนกับจะให้เรามองดูมันเหมือนกับไตรลักษณ์
    ตามคำพูดของคุณที่บอกว่า มันเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปเอง
    มันใช้ไม่ได้ครับ ...น้ำท่วมครั้งนี้มันรุนแรงมาก มันไม่ได้เป็น
    ไปตามธรรมชาติ แต่มันเกิดจากมนุษย์ไปทำร้ายทำลายธรรมชาติ
    ดังนั้นเราจะมานั่งปลงว่า เป็นอนิจจังไม่ได้ เราต้องลงมือแก้ไขครับ

    น้ำท่วมครั้งนี้ ไม่ใช่สภาวะธรรม
    เพราะไม่ได้เกิดจากการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ
    แต่เกิดจากการทำลายธรรมชาติของมนุษย์
     
  6. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เมื่อ มองข้างนอกแล้ว คราวนี้ ลองมองมาที่ข้างในดู

    ว่า สิ่งที่เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันอยู่ที่ไหน

    ย้อนเข้ามารู้ที่ข้างใน

    ใช้ความคิด ตึกตรองภายนอก ว่าสิ่งที่เห็นด้วยตานั้น มันเป็น ไตรลักษณ์จริงหรือเปล่า

    เมื่อหาก ว่า ใช้ความคิด ตรึก ตรอง จนมีความสงบ ลอง ย้อนมาดูภายใน
    คือในจิต
    ว่า
    มันเป็นเช่นดั่งภายนอกที่มองออกไปหรือไม่

    เมื่อหากมองมาที่ภายในแล้ว แล้ว สังเกตุดูว่า

    สิ่งที่มองมาภายในนั้น มันเริ่ม มองมาเองหรือไม่
    เราตั้งใจมอง มันจึงมอง
    เราไม่ตั้งใจมองมันก็มอง
    มีจุดนี้เพิ่มมาไหม
     
  7. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    เจ้าของกระทู้บอกว่า สภาวะน้ำท่วม ครับ
    ถ้าดูใจเราเองไม่เรียกสภาวะน้ำท่วม เขาเรียกสภาวะที่เป็นทุกข์

    การจะดูสภาวะในลักษณะนี้ เราต้องรู้ในเรื่องอวิชชา8
    ในข้อ การไม่รู้อดีตและอนาคต เพื่อไม่ให้เกิดความประมาท
     
  8. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +975
    ข้อความเดิมของ nontayan

    (k)(k)(k) สภาวะธรรมเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อนที่จะมีพระพุทธเจ้า ตั้งแต่มีโลกเกิดขึ้นมาแล้ว เพียงแต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ เห็นถึงเหตุของการเกิดเป็นปัญญามาบอกกล่าวถึง การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)

    (k)(k)(k) ผมขอยืนยันว่า สภาวะน้ำท่วม คือ สภาวะธรรม ที่มีและเกิดขึ้นมาก่อนมีพระพุทธเจ้า เพราะพระอรหันต์คือ หลวงพ่อพุธ แห่งวัดป่าสาลวัน ท่านได้เทศน์สอนไว้ สภาวะธรรมคือ สภาวะของธรรมชาติ ทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เกิดขึ้นมาแล้ว ตั้งอยู่ และก็ดับไป เป็นของธรรมดา เพียงแต่วัตถุสิ่งของที่มิใช่มนุษย์และสัตว์ไม่มีจิตที่จะรับความรู้สึกทุกข์เวทนาได้ แต่ในฐานะที่ผมเป็นมนุษย์จึงสามารถรับรู้ถึงความทุกข์เวทนาตามกฎไตรลักษณ์นั้นได้ครับ

    (k)(k)(k) ส่วนความละเอียดของภูมิธรรมในการรู้แจ้งเห็นจริงในกฎไตรลักษณ์ของแต่ละบุคคลนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติในปัจจุบันและบุญบารมีเก่าด้วย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต สอนไว้ว่า คนกินข้าวสำรับเดียวกันก็ยังอิ่มไม่พร้อมกัน ฉะนั้น การปฏิบัติธรรมเพื่อให้หลุดพ้นก็ย่อมเป็นเช่นนั้น ตัวผมเองเป็นผู้ปฏิบัติใหม่ความละเอียดของภูมิธรรมย่อมน้อยกว่าผู้ที่ปฏิบัติมาก่อนเป็นธรรมดา เมื่อตัวผมเองประสบกับสภาวะของภัยธรรมชาติ ผมก็พยายามน้อมนำเอาคำสอนของพระพุทธองค์มาเป็นที่ภาวนาเพื่อให้คลายความทุกข์จากเหตุการณ์นั้น ตามสติปัญญาที่ผมมีอยู่ ซึ่งมันก็ช่วยผมได้มากครับ

    ข้อความเดิมของ nontayan
    "ภัยพิบัติก็เป็นส่วนหนึ่งของผลกรรมที่มนุษย์เป็นผู้สร้างไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ อะไรหละที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์หรือการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อเราเป็นชาวพุทธเราก็ควรนำเอาหลักวิปัสสนากรรมฐานมาพิจารณาภายในตัวตนของเรานั้นแหละคือ ตัวความทุกข์ที่แท้จริง หาใช่ผู้อื่น หรือสิ่งอื่นใดไม่ เราควรแก้และละวางกิเลส เพื่อทำตัวตนของเราให้ว่างเปล่าดูสักตั้ง แล้วสิ่งต่างๆจะค่อยๆปรากฏให้เราเห็นขึ้นมาภายในจิตของเราว่าเป็นเช่นไร ให้รู้ให้เห็นด้วยตัวเองเป็นปัจจัตตัง"

    ผมยกข้อความเดิมมาเพื่อขยายความต่อว่า พระพุทธเจ้าให้พิจารณาความทุกข์ทั้งมวลที่ตัวเรา อย่าไปค้นหาที่อื่นเลย ซึ่งผมก็น้อมนำเอามาปฏิบัติคือ หลักวิปัสสนากรรมฐาน (ภายในร่างกาย) ซึ่งต้องทำควบคู่กันไปกับอริยสัจจ์ และพรหมวิหาร ซึ่งความก้าวหน้าในฌานสมาธิของตัวเองย่อมรู้เฉพาะตัวเองและผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่า ฌานสมาบัติแต่ละขั้น ย่อมส่งผลต่อการรู้แจ้งในธรรมหรือภูมิธรรม จึงเป็นสิ่งที่ผมต้องค้นหาตามจริตและวิถีทางที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ไว้แล้ว ความไม่ประมาทคือ หัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา หากจะเกิดภัยพิบัติขึ้นมาอีกสักกี่ครั้ง ผมก็จะไม่เป็นทุกข์ เพราะผมได้พิจารณาถึงหลักความตายทุกลมหายใจเข้าออกครับ
     
  9. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    พอดีเพิ่งเห็นครับ... อ่านข้อความเจ้าของกระทู้แล้ว
    ผมเข้าใจว่า
    ยังมองอยู่ข้างนอกอยู่ เลยชวนมามอง ข้างใน
     
  10. maythanu

    maythanu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +2,069
    ขออนุโมทนาด้วยนะครับบ
     

แชร์หน้านี้

Loading...