วุ้นในลูกตาเสื่อม คนใช้คอมพิวเตอร์ต้องอ่าน!!

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย Karnta, 27 กันยายน 2011.

  1. Karnta

    Karnta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,239
    ค่าพลัง:
    +1,098
    ironman
    สมาชิก
    [​IMG]

    ขอบคุณมากๆค่ะ บทความของคุณเป็นประโยชน์อย่างมาก_/l\_
    ตาของคุณironmanหายดีหรือยังค่ะ ขอให้หายเป็นปกติไวๆน๊า
     
  2. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    ขอบคุณครับสำหรับความห่วงใยที่ถามมา ตอนนี้สายตาของผมยังดีอยู่ครับ ยังทรงๆอยู่
    อาจจะเป็นเพราะผมไปหาหมอตาเร็วกว่าคนอื่น (ตรวจพบตอนอายุ 35)

    เพราะผมไปหาหมอตา จากการแพ้โฟมล้างหน้าครับ เลยได้ตรวจตา ตรวจพบเร็ว

    และโรคต้อหิน (หรือ โรคความดันลูกตาสูง) นั้น
    จะตรวจพบได้โดยใช้เครื่องมือ ของจักษุแพทย์เท่านั้น

    เพราะฉนั้นคนทั่วไปจำนวนมาก ที่ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ เดินกันขวักไข่วมีเยอะครับ

    อย่างเช่นคุณ ทูน หิรัญทรัพย์ กว่าจะรู้ตัว กว่าจะไปหาหมอตา
    การมองเห็นข้างนึงก็สูญเสียไปกว่าครึ่งแล้วครับ

    เรื่องอย่างนี้ มันแล้วแต่ดวงเหมือนกันครับ ว่าใครจะเป็น และถ้าเป็นแล้ว จะรู้ตัวหรือไม่

    เพราะฉนั้นอย่าได้นิ่งนอนใจ เพราะโรคต้อหิน ไม่จำเป็นต้องมีการปวดตา เสมอไปครับ
    หรือบางคน ขั้วประสาทตาฝ่อไปเอง โดยที่ความดันลูกตาไม่ได้สูงก็มีครับ

    อย่างคำคนโบราณที่ว่า ตาบอด-ตาใส คงเคยได้ยินกันนะครับ

    ก็คือหมายถึง ดูจากภายนอก คุณจะไม่รู้เลยว่าลูกตาของคนๆนี้มีปัญหา
    ตายังใสแจ๋ว ขอบตาไม่คล้ำ-ไม่แดงช้ำ และไม่มีอาการเจ็บปวดตาใดๆให้เห็น
    แต่ประสาทตาด้านหลังของลูกตา อาจจะตายไปหมดแล้ว (เพราะเลือดไม่ไปเลี้ยง)

    นี่คือความน่ากลัวของโรคต้อหิน และ โรคจอประสาทตาเสื่อม (ส่วนมากเป็นกรรมพันธ์)
    โรคจอประสาทตาเสื่อม จะเรียกว่าเป็นกรรมเก่าติดมา ก็พอได้ครับ

    ส่วนโรคต้อหินนั้น สาเหตุมาจากเรื่องง่ายๆจริงๆครับ
    คือ ในลูกตาคนเรานั้น จะมีท่อที่เอาไว้สำหรับระบายของเหลวภายในลูกตา
    ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ
    ทีนี้ปัญหาก็คือ อยู่ดีๆท่ออันนี้มันเกิดตันหรือตีบลงครับ (ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม)

    มันก็จะระบายของเหลวในลูกตาออกไปไม่ได้ ทำให้ความดันของๆเหลวภายในลูกตาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    ความดันภายในลูกตาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สูงขึ้นจนไปดันผนังจอเรติน่าด้านหลังลูกตา
    ที่มีประสาทตารับรู้แสงอยู่บริเวณนั้น มีผลทำให้เลือดไปเลี้ยงประสาทตาไม่สะดวก
    ทำให้ประสาทตาฝ่อลงๆทีละนิดๆ จากขอบนอกของการมองเห็น จนในที่สุดมืดหมดทั้งจอภาพ

    สาเหตุที่การมองเห็นมืดลงแคบลงจากด้านรอบนอกเข้ามาด้านนั้นนั้น
    เข้าใจว่า ตรงขั้วประสาทตาที่มีเส้นเลือดขนาดใหญ่ เมื่อแพร่กระจายในลูกตาแล้ว
    ก็จะเป็นเส้นเลือดฝอยเล็กๆ เลี้ยงประสาทตาไว้จากกลางแพร่ออกไปรอบนอก
    เมื่อมีความดันภายในลูกตาเกิดขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่ความดันจะมีผลกับเส้นเลือดที่เป็นส่วนปลายทาง หรือแคบที่สุดเล็กที่สุดก่อน
    ส่วนตรงขั้วประสาทตาที่มีการส่งเลือดที่ใหญ่ ขั้วประสาทตาจึงชุ่มเลือดกว่าส่วนอื่น จึงมืดดับทีหลังสุดครับ
    (ประเด็นนี้ผมเข้าใจของผมเองนะครับ แต่คิดว่าคงตรงกับความเป็นจริง)

    ตอนนี้ผมกำลังจะหาซื้อ ipad มาเล่นแทนคอมบ้านหรือโน๊ตบุ๊ค แล้วครับ
    เพราะ ipad เราสามารถจะใช้แขนยกมันขึ้นมา เพื่อปรับโฟกัสกับลูกตาเราได้
    ทำให้เราอ่านตัวหนังสือบนจอได้ง่าย สะดวก ปลอดภัยกว่า ลูกตาทำงานน้อยกว่า

    ระยะห่าง เข้าๆออกๆ ระหว่างจอคอม กับลูกตาเราสำคัญมากครับ
    ถ้าเราเล่นคอมบ้าน จอมันตั้งอยู่กับที่ แต่เรานั่งห่างออกมา
    ยิ่งถ้าจอคอมกว้างมากเท่าไร เรายิ่งต้องถอยออกมาห่าง (เพื่อมองภาพรวมทั้งหมดได้)

    ระยะวางแขน และ ระยะความลึกของแป้นพิมพ์ มีส่วนสำคัญมาก
    ยิ่งทำให้จอคอม กับลูกตาเราห่างกันมาก ห่างมากกว่าการอ่านจากหนังสือกระดาษ
    ยิ่งมีเก้าอี้โซฟา เอนหลังได้สบาย ผลุดลุกผลุดนั่ง ซูมเข้า-ซูมออก เพื่อดูจอคอม

    แถมยังต้องก้มๆเงยๆ ระหว่างแป้นพิมพ์กับจอคอม

    และยังต้องใช้ลูกตากวาดมองจอคอมไปทั่วทุกจด
    (ประเด็นนี้สำคัญมาก ทำให้ตาเสื่อมเร็วมาก)

    เพราะคนเล่นคอม หรือเล่นเนตนั้น มักจะติดนิสัย "ใช้ลูกตากวาดมองจอคอม แทนการเดินเท้า" ครับ

    ขนาดแค่ข้อมือของเรา ที่กุมโยกเม้าส์ ให้เลื่อนไปเลื่อนมา เรายังรู้สึกเมื่อยข้อมือเลยครับ
    นับประสาอะไรกับ ลูกตา เล็กๆที่มีกล้ามเนื้อซูมเข้า-ซูมออก เพื่อกวาดสายตาไปบนจอคอม แทนการเดินช็อปปิ้ง

    เก้าอี้เล่นคอม และจอภาพคอมพิวเตอร์ จึงเป็นเครื่องทรมานลูกตาโดยแท้
    จึงควรจะเล่นมันให้น้อยที่สุด เท่าที่จำเป็น และหันมาอ่านหนังสือกระดาษ
    หรืออ่านข้อมูลบน ipad แทน จะดีกว่าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2011
  3. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    อีกประเด็นนึงที่สำคัญมากๆ ก็คือ....

    การซื้อยามาหยอดตาเอง อันตรายมากครับ

    เพราะยาหยอดตาบางตัว มันเป็นตัวการในการทำให้เกิดโรคต้อหิน ซะเองครับ

    ยาหยอดตา จึงควรจะให้อยู่ในการควบคุมดูแลของจักษุแพทย์เท่านั้นครับ

    ถ้าคุณเคืองตา แล้วไปซื้อยามาหยอดตาเอง คนขายยา เค้าไม่รู้ครับว่าคุณจะหยอดตาบ่อยแค่ไหน
    หยอดนานแค่ไหน หรือ หยอดติดต่อกันกี่เดือน หมดไปกี่หลอดแล้ว?

    บางทีความเจ็บเคืองตาที่คุณรู้สึก อาจจะมีปัจจัยอื่นทำให้มันเป็น แต่คุณคิดว่ามันเกิดจากสาเหตุอื่น
    เป็นการเข้าใจผิดมาตั้งแต่ต้น แล้วไปซื้อยาประเภทอื่นมาหยอดตาแทน

    อย่างเช่น อยู่ดีๆ รู้สึกเคืองตา เพิ่งอาบน้ำมา นึกว่าตัวเองแพ้แชมพู แพ้โฟมล้างหน้า
    ไปหาร้านขายยาใกล้บ้าน ซื้อยาหยอดตามาหยอด คนขายยาบางคน ก็ไม่ใช่เภสัชกร
    หรือแม้จะเป็นเภสัชกรตัวจริงก็ตาม แต่เค้าอาจจะอยากขายของ จึงขายยาหยอดตาให้คุณไป
    และไม่คิดว่า คุณจะเอามาหยอดตา ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน จนเลยจุดความปลอดภัย

    เพราะยาหยอดตา บางตัวมีสเตียรอยด์ หยอดติดต่อกันนานๆไม่ได้
    จากเดิมแค่แพ้แชมพู เลยทำให้แสบตา ดันไปซื้อยาหยอดตาที่มีสเตียรอยด์ มาหยอดตา

    และบางทีหยอดไปแล้ว ยังไม่หายเคืองตา ยังหายไม่ทันใจ หยอดซ้ำเข้าไปอีก จนเกินขนาด
    พอนอนหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกวันนึง ยังปวดตายังเคืองตาอยู่ หยอดซ้ำมันเข้าไปอีก
    โดยไม่รู้ว่า ยาที่ตัวเองหยอดไปจนเกินขนาดนั้น กำลังทำให้ตัวเองเป็นโรคทางตา ที่ร้ายแรงกว่าการแพ้แชมพูมากนัก

    เพราะฉนั้นเรื่องเกี่ยวกับตา ที่เป็นอวัยวะอ่อนไหวบอบบาง เราควรจะไปหาหมอตาดีกว่าครับ
     
  4. Karnta

    Karnta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,239
    ค่าพลัง:
    +1,098
    ขอบคุณคุณ ironman อีกครั้งค่ะ ^^
     
  5. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,286
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    สวัสดีครับคุณ ironman ขอบคุณที่เเนะนํานะครับ เเล้วตกลง ปัญหาที่ผมเป็นอยู่ ที่ผมจะเห็นเป็นสีทองจุดๆเป็นประกายเเบบที่ผมเขียนไปในหน้าที่ 1 อัันนั้นเป็นปัญหาจากดวงตาไหมครับ ? รบกวนช่วยเเนะันําด้วยครับ ขอบคุณมากครับ
     
  6. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    ผมไม่ใช่จักษุแพทย์นะครับ ตอบแทนหมอไม่ได้ครับ
    แต่จากอาการที่คุณเล่ามา ผมคิดว่าคุณต้องรีบไปให้หมอตาให้เร็วที่สุดครับ

    เพราะหมอตา มีเครื่องมือในการตรวจหาความผิดปกติครับ

    คนที่สายตาปกติทั่วไป เค้าไม่น่าจะเห็นแบบคุณนะครับ
    แต่ในเมื่อคุณเห็นแบบนั้น คุณก็ควรจะไปหาหมอตาให้เร็วที่สุดครับ

    ขอให้คุณโชคดีครับ
     
  7. chang938

    chang938 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    469
    ค่าพลัง:
    +451
    ขอบคุณครับ ที่นำบทความดีๆมาให้อ่าน
     
  8. Guest Ô_Ô

    Guest Ô_Ô สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +16
    ขอบคุณมาก ๆ มีสาระและมีประโยชน์ดีมาก ค่ะ
     
  9. phaniiz12

    phaniiz12 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +8
  10. charoenthai

    charoenthai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +13
  11. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    จักษุแพทย์ ชี้ แท็บเล็ต มือถือทำเด็กไทยเสี่ยงป่วย โรค “คอมพิวเตอร์ วิชัน ซินโดรม”
    http://palungjit.org/threads/war-room-อาสาสมัครเตรียมการ-เฝ้าระวัง-ประสานงานเตรียมพร้อม-เพื่อรองรับสถานการณ์ปี-2012-a.288866/page-1113

    <TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>
    จักษุแพทย์ ชี้ เด็กไทยเสี่ยงเป็นโรค “คอมพิวเตอร์ วิชัน ซินโดรม” มากขึ้น เหตุใช้เพ่งจอคอมพิวเตอร์ มือถือ แท็บเล็ต บ่อย ส่งผลเด็กวัย 10-15 ปี มีปัญหาสายตาสั้นมากสุด แนะปรับความสว่างให้พอดี ไม่ใช้สีพื้นหน้าจอเข้มตัวหนังสือสีขาว และจอควรอยู่ห่างสายตา 1-2 ฟุต ส่วนเด็กที่มีปัญหาสายตา ไม่ควรเล่นเกินวันละ 1 ชั่วโมง

    นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ประจำโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี ให้สัมภาษณ์ว่า มีความเป็นห่วงสุขภาพเด็กไทยในโลกยุคดิจิตอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ใช้สื่ออินเทอร์เน็ต เพราะสามารถเข้าถึงและรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้จากทุกมุมโลก และมีพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์ มือถือ หรือ แท็บเล็ต เป็นเวลานาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อร่างกาย คือ กล้ามเนื้อหลัง ไหล่ คอตึง ทำให้มีอาการปวดหลัง ปวดคอ และปวดศีรษะ นอกจากนี้ ยังส่งปัญหาด้านสังคม คือ พฤติกรรมของเด็กที่จะไม่มีใครสบตากับใคร เพราะต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัว จะหยิบโทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ตขึ้นมานั่งเล่นโดยไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว ขาดการสื่อสารกับคนในครอบครัวและคนรอบข้าง รวมถึงความก้าวร้าว หุนหันพลันแล่น รุนแรงที่อาจเกิดขึ้นตามมาจากการเล่นเกมเพราะต้องการเอาชนะให้ได้

    นพ.ฐาปนวงศ์ กล่าวอีกว่า การใช้โลกส่วนตัวอยู่บนหน้าจอต่างๆ จะทำให้มีผลกระทบต่อสายตาโดยตรง เรียกว่า โรคคอมพิวเตอร์ วิชัน ซินโดรม (Computer Vision Syndrome) และมีผลต่อทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในวัยเด็กจะมีปัญหาสายตาสั้นเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากใช้ไม่ถูกวิธี เด็กมักจะก้มดูหน้าจอใกล้มากระยะห่างประมาณครึ่งฟุต โดยเฉพาะหากเป็นโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากจอมีขนาดเล็กมาก จึงต้องมองในระยะใกล้ๆ เพื่อให้เห็นตัวหนังสือหรือภาพชัดเจนขึ้น ต้องใช้กล้ามเนื้อรอบดวงตาและประสาทตาในลักษณะเพ่งจอตลอดเวลา ทำให้เกิดอาการดวงตาตึงเครียด ตาล้า ตาช้ำ ตาแดง แสบตา มองภาพได้ไม่ชัดเจน และมักจะเกิดอาการปวดศีรษะตามมา ซึ่งเป็นปัญหาที่ได้รับการปรึกษาจากผู้ปกครองอยู่บ่อยๆ ข้อมูลล่าสุดนี้พบว่าเด็กอายุ 10-15 ปี เป็นกลุ่มที่มีปัญหาสายตาสั้นมากที่สุด
    </TD></TR><TR><TD>
    <TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 300px" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=300>[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>
    นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>“ในประเทศที่มีการใช้คอมพิวเตอร์มากๆ เด็กจะมีสายตาสั้นในอัตราที่เพิ่มขึ้น จากการใช้แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์มาก การปรับระดับ ระยะห่างของจอภาพไม่เหมาะสมกับสายตา หรือวางเมาส์ไม่ได้ระดับกับแขน ความสว่างของแสงไฟ การนั่งเล่นเป็นระยะเวลานาน และมีโอกาสสายตาสั้นเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 30 เกิดปัญหาในการเรียน มองไม่เห็นกระดานเรียนหน้าชั้นตามมา ส่งผลต่อการทำงานบางอาชีพที่ต้องใช้สายตาในอนาคต เช่นนักบิน ตำรวจ ทหาร” นพ.ฐานปนวงศ์ กล่าว

    นพ.ฐาปนวงศ์ กล่าวต่อไปว่า การใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ตอย่างถูกวิธี มีข้อแนะนำ ดังนี้ กรณีที่เป็นผู้ที่มีปัญหาทางด้านสายตา หรือมีสายตาผิดปกติอยู่แล้ว ควรเล่นไม่เกินวันละ 1 ชั่วโมง ไม่ควรเล่นในห้องมืดๆ ควรปรับความสว่างให้มีความพอดีเท่ากับความสว่างของห้อง แสงไฟไม่ควรส่องจากด้านหลังเข้าหาจอ ปรับความคมชัดของจอคอมพิวเตอร์อยู่ในระดับ 70-80 เฮิรตซ์ หรือสูงสุดเท่าที่ยังรู้สึกว่าสบายตา การเลือกตัวหนังสือควรใช้ตัวหนังสือสีดำบนพื้นสีขาวเพื่อให้เห็นชัดเจน ไม่แนะนำให้ใช้พื้นสีเข้ม ตัวหนังสือสีขาว หรือสีอ่อน เพราะจะทำให้ต้องใช้สายตาเพ่งตัวหนังสือมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว บางคนต้องหรี่ตา เพื่อลดแสงเข้าตา หากเป็นจอคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ควรใช้แผ่นกรองแสงและดูแลทำความสะอาดหน้าจอไม่ให้มีฝุ่นเกาะติด เพื่อให้มองเห็นชัดเจน และควรนั่งเล่นในท่าที่ถูกต้อง คือ เหมือนนั่งอ่านหนังสือ ให้ระยะห่างของสายตากับแท็บเล็ตหรือโทรศัพท์มือถือควรอยู่ห่างกันประมาณ 1-2 ฟุต

    ทั้งนี้ ผลการสำรวจการใช้โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ในครัวเรือน ของสำนักงานสถิติ แห่งชาติล่าสุดใน พ.ศ.2554 ในกลุ่ม ประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไป ที่มีจำนวน 62.4 ล้านคน โดยมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั้งหมด 41.1 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 66.4 ของประชากร รองลงมาคือใช้คอมพิวเตอร์ 19.9 ล้านคน และใช้อินเตอร์เน็ต 14.8 ล้านคน เฉพาะกลุ่มวัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 15-24 ปีมีสัดส่วนการใช้อินเทอร์เน็ตสูงกว่ากลุ่มอื่นร้อยละ 51.9 รองลงมา คือ อายุ 6-14 ปี ใช้ร้อยละ 38.3 กลุ่มอายุ 25-34 ปี ใช้ร้อยละ 26.6 กลุ่มอายุ 35-49 ปี ใช้ร้อยละ 14.3 และกลุ่มอายุ 50 ปีใช้น้อยสุดร้อยละ 5.5
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ
     
  13. tips2513

    tips2513 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +185
    ขอบคุณมากค่ะ สำหรับข้อมูลที่มีประโยน์มากมาย
    เข้ามาอ่าน เพราะคนใหล้ตัว(คุณสามี)กำลังมีปัญหาเรื่องการรักษาตาและยังมีปัญหาอยู่ค่ะ
     
  14. kikinlala

    kikinlala เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    4,939
    ค่าพลัง:
    +8,842
    ใช้คอมพ์ให้น้อยที่สุดดีกว่า..
     
  15. เมธาวี1

    เมธาวี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    692
    ค่าพลัง:
    +1,051
    ผมเป็นแล้ว:':)'(
     
  16. khunfongbeer

    khunfongbeer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +668
    ขอบคุณค่ะ นั่งหน้าคอมบ่อยมากเลยค่ะ น่ากลัวจริงๆ
     
  17. MonkeyAstro

    MonkeyAstro เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +202
    ผมต้องเป็นแน่ๆเลยครับ ฮือ ๆๆ
     
  18. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    ไม่ช้าเกินไป ชายตาบอดตั้งแต่เกิด ตาสว่างตอนอายุ68
    ข่าว » ข่าวต่างประเทศ, ข่าวเด่นประจำวัน » ไม่ช้าเกินไป ชายตาบอดตั้งแต่เกิด ตาสว่างตอนอายุ68

    เขียนโดย Pipat โพสต์เมื่อ วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม 2556 เนื้อหานี้อยู่ในหมวด ข่าวต่างประเทศ, ข่าวเด่นประจำวัน
    7

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มีเรื่องราวสุดเหลือเชื่อเมื่อ นายปิแอร์ พอล โธมัส ชายชราอายุ 68 ปี ซึ่งตาบอดมองไม่เห็นตั้งแต่กำเนิด สามารถมองเห็นเป็นครั้งแรกหลังจากเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน
    [​IMG]

    ชายตาบอดตั้งแต่เกิด มองเห็นตอนอายุ68

    โดยเรื่องราวสุดมหัศจรรย์นี้เกิดขึ้น เมื่อจู่ๆ นายปิแอร์ตกบันไดและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยแพทย์ได้วินิจฉัยว่าผลจากการกระทบกระเทือนทำให้กระดูกเบ้าตาร้าว แพทย์จึงได้ทำการศัลยกรรมบริเวณที่ร้าวทำให้เขาสามารถมองเห็นได้ในวัย 68 ปี ซึ่งไม่ถือว่าช้าเกินไป ทางMthaiNewsขอแสดงความยินดีกับคุณปิแอร์ด้วยที่ได้มองเห็นโลกใบนี้อย่างเต็มสองตา
    [​IMG]

    ชายตาบอดตั้งแต่เกิด มองเห็นตอนอายุ68

    MthaiNews
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ยินดีด้วยกับคุณลุงฝรั่งท่านนี้ ชีวิตคนนี้มันช่างเหมือนกับนิยาย ที่มีใครแต่งไว้จริงๆ เรื่องประหลาดไม่คากฝันเกิดขึ้นได้เสมอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2013
  20. ศีเลนะ

    ศีเลนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +101
    สนับสนุนข้อมูลนี้เป็นประโยชน์....แก่ผู้รักถนอมดวงตาทุกคน

    ผมเชื่อว่าอนาคตจะมีคนวุ้นตาเสื่อมไม่ต่ำกว่า30ล้านคน
     

แชร์หน้านี้

Loading...