ถ้าสามีหมดรักเราแล้วเรายังยื้อเค้าไว้เราจะบาปมากมั๊ยคะ

ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ (rose)

เห็นใจคุณมาก คิดว่าเหตุการณ์ทำนองนี้ถือเป็นความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตอีกเรื่องหนึ่งสำหรับลูกผู้หญิงเลยทีเดียว

ความเห็นส่วนตัว ถ้าเขาหมดใจจริงๆ รั้งเขาไว้ก็เปล่าประโยชน์ค่ะ มีแต่จะสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจกันไปไม่จบสิ้น และคนที่เจ็บปวดที่สุดคือคนที่ยังมีใจอยู่ซึ่งก็คือตัวคุณเอง

หนทางที่ดีที่สุดในกรณีที่ยังตัดใจยังไม่ไ้ด้ ก็คงต้องขอเวลาทำใจและเตรียมทางให้อนาคตของตัวเองก่อน อย่างที่คุณ gaiou419 กล่าวมาก็เข้าท่า ประมาณว่า ตกลงกันรักษาสถานภาพตามกฏหมายสัก 1 ปี เพื่อให้คุณได้วีซ่าก่อน ระหว่างนั้นอาจแยกกันอยู่ก็ได้

เวลา 1 ปีนั้นคงเป็นประโยชน์ให้คุณได้ทำใจและคิดวางแผนอนาคตให้ตนเอง จะอยู่ต่อที่นั่นตามลำพังหรือจะกลับบ้าน / ส่วนเขา ก็เป็นเวลาที่เขาจะได้ไปพิสูจน์ว่ารักหรือหลงกับหญิงคนใหม่ (แต่ถึงอย่างไร ก็อย่าไปคาดหวังให้มากว่าเขาจะกลับมา)

ส่วนประเด็นสำคัญของเรื่องที่คุณถาม "เขาหมดรักยื้อเขาไว้จะบาปหรือไม่?"
ตอบตามความเห็นส่วนตัวว่า ไม่บาป ดิฉันเห็นเป็นเรื่องสามัญที่คนเป็นภรรยาจะเลือกทำ

คุณเป็นภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา อยู่กินกันอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ถ้าคุณยื้อเขาไว้เพราะความรัก ต้องการปรับความเข้าใจกันและรักษาสถานภาพครอบครัวเอาไว้ มันเป็นสิ่งสามัญที่จะเลือกยื้อไว้ก่อน แต่หากปรับจูนอะไรกันไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ก็คงต้องปล่อยเขาไป

มันจะกลายเป็นบาปก็ต่อเมื่อ ความรักเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้นชิงชัง
จูนกันไม่ได้แต่ดันทุรังยื้อเอาไว้ จนนำไปสู่ความรุนแรงที่กระทำต่อกันทั้งทางกาย วาจา และใจ

 

ลืมบอก ดิฉันแต่งงานกับสามีมา 10 ปี ชีวิตคู่ของดิฉันก็มีเรื่องในทำนองนี้เข้ามาเหมือนกัน ประเภทกิ๊กกันในที่ทำงาน กิ๊กกันในเน็ต แต่ยังไม่มีอะไรเกินเลยล้ำเส้น แค่จีบๆ หยอกๆ กัน

ปัญหาของคู่ดิฉัน เรายังเคลียร์กันได้อยู่
ที่ผ่านมาดิฉันเองก็มีข้อที่ต้องปรับปรุง แต่เพราะเรายังรักกันอยู่ ยังเห็นคุณค่าของวันเวลาที่ผ่านมาร่วมกัน ก็เลยผ่านพ้นมันไปได้

จากการพูดคุยกัน ประเภทที่กิ๊กกันในเน็ตมันเป็นเหมือนความกระชุ่มกระชวย เป็นสีสันในโลกส่วนตัวของเขาที่ในชีวิตจริงหาไม่ได้แล้วอ่ะค่ะ เพราะตอนเป็นแฟนกับตอนเป็นสามี-ภรรยา มันคนละแบบกัน

กิ๊กกันในเน็ต ไอ้ที่คลิ๊กกันจริงๆมันมีน้อย ส่วนใหญ่คลิ๊กเพราะต่างแสดงสิ่งดีๆให้กันและกันเห็นมากกว่า ตรงใจกันไปซะหมด ไอ้ส่วนที่ไม่ดี ไม่ถูกใจของกันและกันมันยังไม่ปรากฏ จะออกลายเต็มๆ ก็ตอนใช้ชีวิตคู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันไปได้สักระยะหนึ่งแล้วนั่นแหละ เรื่องแบบนี้มันมีให้เห็นอยู่เกลื่อนสังคมเลย มันเป็นเรื่องผัวเมียละเหี่ยใจจริงๆ

ขอให้คุณผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้ด้วยดีนะคะ

 

ขอเอาใจช่วยครับ เราเป็นคนไกลบ้านเหมือนกันครับ

 

หากยิ้อไว้ด้วยทางสว่าง ด้วยรักแท้แห่งความกรุณาและความดูแล ก็ไม่อาจจะเรียกว่าเป็นเส้นทางสายบาปได้ครับ ขอให้คุณมีกำลังใจต่อไปครับ ต้องเข้มแข็งเพื่อตนเอง เพื่อคนที่เรารัก เพื่อคนที่รักเรา ขอให้อดทนต่อสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้น ปรับเปลี่ยนตัวเอง ออกกำลังกาย ฝึกเรียนทักษะอื่นๆเพิ่มเติม พัฒนาบุคลิกภาพ ทำงานให้หนักขึ้น เข้าสังคมใหม่ๆ เพื่อให้เรารู้ว่าเรายังมีคนที่พร้อมจะเป็นแรงกายแรงใจเรามากมายครับ

อย่าปล่อยให้ตัวเองเศร้า เพราะความเศร้าไม่เคยช่วยอะไรชีวิตคนได้ คนที่จะช่วยได้คือตัวของเราเอง เราเกิดมาหนึ่งชาติก็ต้องตาย ไม่มีใครหนีพ้น วันนี้อายุยังไม่เยอะ อาจจะทำให้ดูเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราอาจจะผ่านไปได้ยาก และดูเหมือนเราไม่มีทางเลือก แต่ความจริงเรามีทางเลือกมากมาย อย่าเสียดายเวลาที่ผ่านมา เพราะถ้าวันไหนเรารู้ว่าวันสุดท้ายของเรากำลังจะมา เราอาจจะเสียใจกับวันเวลาที่เราปล่อยผ่านมาก็ได้ครับ

เชื่อผมครับ It Will Part เดี๋ยวมันก็ผ่านไป

 

ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้นะคะ เดินหน้ายิ้มสู้ปัญหา ความทุกข์ เสียใจ ความผิดหวังเป็นเพียงสถานะการณ์ชั่วคราวเท่านั้นค่ะ แล้วทุกอย่างก้จะผ่านพ้นไปค่ะ ฟ้าหลังพายุฝนพ้นผ่าน สวยงามเสมอ ตัดสินใจ อย่างมีสตินะคะ ทาน ศิล สมาธิ จะทำให้เกิดปัญญา ปัญญาจะช่วยให้การตัดสินใจ ละเอียด รอบคอบ และถูกต้องมากขึ้นค่ะ สู้ๆๆนะคะ

 

ขอเป็นกำลังใจให้น่ะค่ะ สู้ๆค่ะ

 

"ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์"
ขอเอาใจช่วยนะ
บางเหตุการณ์อาจทำให้เธอหันหน้าเข้าหาธรรมก็ได้ ถ้ามองโลกในแง่บวก
แต่ผมขอสอบถามเรื่องกรรมก่อนหน้านี้สักหน่อย (แต่ไม่ต้องตอบผม เพียงตอบในใจ)เพราะกรรมที่ว่านี้มักจะทำผิดศีลข้อ3 กันเยอะ ผลก็คือจะทำให้ผิดหวังโดยเฉพาะในเรื่องความรักและหน้าที่การงาน จะไม่มีความสุขเลย ควรแก้ไขให้เร็วที่สุด อย่าทิ้งไว้นานเดี๋ยวจะเป็นทุกข์มากกว่านี้
ไม่มีใครอยากทำผิดหรอก ถ้าทำผิดก็ต้องสำนึกผิด กรรมแก้ไม่ได้ แต่ทำให้เบาบางลงได้โดยการขออโหสิกรรมให้ถูกต้อง
แต่ถ้าไม่ใช่ก็เป็นเรื่องของเจ้ากรรมนายเวรชาติภพอื่นแล้ว
1.ทำผิดเกี่ยวกับเรื่องทำแท้ง เช่นเคยทำแท้งเอง หรือแนะนำคนไปทำแท้ง หรือช่วยเหลือคนทำแท้ง(เช่นให้ยืมเงินไปทำแท้ง)
2.ทำผิดกับคุณพ่อคุณแม่ เช่นมาอยู่กินกันตามสามีภรรยา คุณพ่อคุณแม่ยินยอมด้วยรึป่าว? (แต่ถ้าผิดให้นำดอกมะลิไปขอขมาท่านเสียและให้ท่านกล่าววาจาว่า ต่อไปนี้ได้ให้อภัยกับลูกแล้ว)
ปล.สำหรับเรื่องทำแท้งกรรมนั้นหนักมากจริงๆเพราะวิญญาณเด็กจะยังวนเวียนติดตามไปตลอด ส่วนจะแรงก็มากน้อย ก็ขึ้นอยู่ที่จิตเด็ก ถ้าเป็นเด็กมีบุญมาเกิดนั้นจะแรงมากครับ
ทางแก้ไขทุกนี้ดีที่สุด เจ้าตัวต้องกระทำเองคือทำบุญใหญ่(บุญภายใน) หมายถึง เจริญกรรมฐานและส่งบุญให้
(ควรใช้วิจารณญาณ หรือสติปัญญาในการรับข่าว)

 

ข้อมูลดีมากๆเลยครับ.....

 

ขอเป็นกำลังใจนะคะ สู้ สู้ มีธรรมะครองใจ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้นะ

 

เมื่อเรายื้อจนสุดสายป่านแล้วก็ปล่อยมันไป อย่าคิดมากนะคะ รักตัวเองให้มากถามตัวเองว่า เศร้าได้แต่อย่าลืมดูแลตัวเอง ช่วงนี้พยายามทำใจให้สงบ ถ้าเขาเบื่อเราเพราะเขาคิดว่าคนใหม่ดีกว่า ก้ไม่ต้องน้อยใจคิดเสียว่าเขาได้เสียคนดี ๆ อย่างเราไป อดทนไว้ค่ะ บางทีสถานการณ์อาจดีขึ้น ถ้าคุณยังรักเขาก็ต้องอดทนให้มาก สำหรับเรื่องกฎหมาย วีซ่าให้ปรึกษาผู้รู้นะคะ ตอนนี้ทำใจให้สงบ หาทางให้กับชีวิตตัวเอง ตอบโจทย์ตัวเองให้ได้ว่าเราจะทำอย่างไรต่อไปค่ะ ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้าตราบที่เรายังมีลมหายใจ ความทุกข์ ความสุข มีมาหาเราเสมอไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน วันนี้ร้องไห้ พรุ่งนี้เราต้องมีรอยยิ้มแน่นอนค่ะ

 

ถ้าหมดรักกันแล้วยื้อกันไว้ก็จะมีแต่เป็นทุกข์ ไม่มีความสุขในชีวิต

รายได้เสริม รายได้เพิ่ม | หางานทำที่บ้าน หางานคีย์ข้อมูล

 

ไม่มีไรแนะนำ...เป็นกำลังใจให้ครับ..

 

รู้ไหม ว่านิสัย อะไรที่เเย่ที่สุด ของ มนุษ



การ หลอก ใจตน ไงล่ะจ๊ะ

บางคน ยอมเจ็บ ยอมทน ยอมทรมาน ทั้งๆที่รู้ว่ามัน ทรมาน เเล้วก็ใช้ใจตนนั้นเเหล่ะปรุงเอาเองว่ามันสุข เสียจริง นะกิ่งทอง
จะมารู้ตัวอีกที มันก็ ตายไปเเล้ว ดับไปเเล้ว

ถนอมใจตัว ให้เหมือน กับ ความรุ้สึกของใครบางคน ดูเเลใจตัวให้เหมือน ดูเเละ ใครบางคน ดูเเลความรู้สึกตัวเองบ้าง
นั่ง สมาธิ ร้อยชาติ เเต่ไม่เคยรู้จัก ใจตัวเองเลยซักเวลา เเล้วจะไปนั่งมันทําไม จริงไม๊จ๊ะ

ดูเเลความรู้สึกตัวเองบ้าง ปล่อย มานานเกินไปเเล้วน่ะ เรา นะ
เดี๋ยว วันนึง มัน ล้ม มันดับ จนมืดหาทางไปไม่เจอ เเล้วจะมาร้อง ว่า คุณพระไม่ช้วยอะไร ไม่ได้ เน้ออออออออออออ

 

คุณพระช่วยได้แต่มีขีดจำกัด

"ปล่อยวาง" แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง

ช่างมึง...ช่างมัน...ช่างมึง...ช่างมัน...

คาถาดี ท่องไว้ให้ขึ้นใจ แล้วจะรู้ว่าได้ผลอย่างไร !

 

ในโลกนี้มีผู้ชายคนเดียวเท่านั้นท่ีรักเราอย่างบริสุทธิ์ รักเรา ....อยากให้เราพ้นทุกข์สิ้นเชิง
ท่านผู้นั้คือคือองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ให้คุณยึดพระพุทธจวน ตนแลเป็นท่ีพึ่งแห่งตน ค่ะคุณแสนไกล มีสติ ใช้ปัญญา คุณต้องพูดดี ทำดี คิดดีกับแฟน ปรึกษากับเขาถ้าต้องแยกเขาช่วยเราได้แค่ไหน ทุกอย่างมีทางแก้หากเราไม่ขาดสติ ขอให้คุณหาทางออกโดยเร็ว เอาใจช่วย

 

กลับเมืองไทย นะคับ พ่อแม่พี่น้องเรายังอยู่ คุณจะพบรักที่ไม่เคยพบมาก่อน

 

ขอเอาใจช่วยนะครับขอให้อุปสรรคนี้ผ่านพ้นไปด้วยดีครับตราบใดที่เรายังมีกำลังใจ

 

ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต
ดูเขา ดูเรา เราดีพอหรือยัง เขามีค่าพอหรือยัง ทิฐิ ต่อ ทิฐิ ไม่มีวันจบสิ้น
การให้อภัยด้วยเมตตา ทุกอย่างจะเย็นตา

 

ผมเป็นคนนึงที่ต้องถูกแฟนบอกเลิก โดยมารู้ที่หลังว่าเขามีผัวอยู่แล้ว เสียใจ แต่จะให้ทำไง
ก็เลยเอาเพลงนี้มาฝาก เพลง ก้อนหินก้อนนั้น ขอเป็นกำลังใจครับ ตัวผมเองก็กำลังแย่อยู่ตอนนี้ แงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
[ame=http://www.youtube.com/watch?v=LLVHON2R344]ก้อนหินก้อนนั้น-โรส - YouTube[/ame]
เนื้อเพลง ก้อนหินก้อนนั้น
เคยมีใครสักคนได้บอกฉันมา
ว่าเวลาใครมาทำกับเราให้เจ็บช้ำใจ
ลองไปเก็บก้อนหินขึ้นมาสักอัน
ถือมันอยู่อย่างนั้นและบีบมันไว้

บีบให้แรงจนสุดแรง ให้มือทั้งมือมันเริ่มสั่น
ใครคนนั้นยิ้มให้ฉัน ถามว่าเจ็บมือใช่ไหม

ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง
ให้เธอคิดเอาเอง ว่าชีวิตของเธอเป็นของใคร
ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ถ้าเธอไม่รับมันมาใส่ใจ
ถูกเขาทำร้าย เพราะใจเธอแบกรับมันเอง

ใครมาทำกับเธอให้เจ็บหัวใจ
ก็แค่ให้ก้อนหินก้อนนั้นให้เธอรับมา
เพียงเธอจับมันโยนให้ไกลสายตา
หรือเธอปรารถนาจะเก็บมันไว้

หากยิ่งยอมยิ่งแบกไป หัวใจของเธอก็ต้องสั่น
หากยังทำตัวแบบนั้น ถามว่าปวดใจใช่ไหม

ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง
ให้เธอคิดเอาเอง ว่าชีวิตของเธอเป็นของใคร
ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ถ้าเธอไม่รับมันมาใส่ใจ
ถูกเขาทำร้าย เพราะใจเธอแบกรับมันเอง

ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง
ให้เธอคิดเอาเอง ว่าชีวิตของเธอเป็นของใคร
ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ถ้าเธอไม่รับมันมาใส่ใจ
ถูกเขาทำร้าย เพราะใจเธอแบกรับมันเอง

ถูกเขาทำร้าย เพราะใจเธอรับไว้เอง

 

คู่รักต่างวัย"เดมี่-แอชตัน"ประกาศ"เตียงหัก" หลังครองคู่มานาน 6 ปี

วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 10:51:41 น.





<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="650"><tbody><tr><td align="left" valign="top" width="90">


</td> <td align="left" valign="top" width="560">
สำนักข่าวเอพีรายงานวานนี้ (17 พ.ย.)ว่า เดมี มัวร์ ประกาศยุติความสัมพันธ์กับแอชตัน คุชเชอร์ แฟนหนุ่มวัยคราวลูกแล้ว หลังจากที่แต่งงานกันมานานกว่า 6 ปี หลังจากชีวิตรักของทั้งคู่เริ่มระหองระแหงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และตกเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์แทบลอยด์อยู่บ่อยครั้ง ท่ามกลางข่าวลือที่ว่าแอชตันอาจนอกใจมัวร์

มัวร์ วัย 49 ปีเปิดเผยว่า เธอรู้สึกเสียใจและหนักใจอย่างมากต่อการตัดสินใจยุติชีวิตสมรสกว่า 6 ปีกับคุชเชอร์ ในฐานะผู้หญิง แม่ และภรรยา เธอยังคงยึดถือค่านิยมและความเชื่อบางอย่างไว้อยู่เสมอ และด้วยสิ่งนี้นี่เองที่ทำให้เธอเลือกที่จะเดินหน้าต่อไป แม้ว่ามันอาจจะเป็นช่วงที่เธอต้องใช้ความพยายามในการประคับประคองชีวิตมากขึ้นก็ตาม และร้องขอความเป็นส่วนตัวเพื่อให้ตนสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาเช่นนี้ไปได้

ทั้งสองถือเป็นคนดังที่มักใช้เว็บไซต์สังคมออนไลน์เพื่อติดต่อสื่อสารกับ แฟนๆมากที่สุดคนหนึ่ง โดยคุชเชอร์มีผู้ติดตามเขาผ่านบัญชีทวิตเตอร์กว่า 8 ล้านคน และเฟซบุ๊กกว่า 10 ล้านคน ขณะที่มัวร์มีผู้ติดตามทางทวิตเตอร์มากกว่า 4 ล้านคน

ทั้งนี้นักแสดงหนุ่มวัย 33 ปี กล่าวในทวิตเตอร์วานนี้ว่า เขาจะขอจดจำช่วงเวลาดีๆที่เขามีระหว่างที่ใช้ชีวิตร่วมกับมัวร์ ชีวิตสมรสเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในโลกและโชคไม่ดีที่บางครั้งมันก็ล้มเหลว

เดมี มัวร์ กล่าวในปี 2007 ว่าความสัมพันธ์ของเธอและแอชตัน คุชเชอร์ ซึ่งอายุน้อยกว่าเธอถึง 15 ปี เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ จากนั้น คุชเชอร์ต้องทำหน้าที่เป็นพ่อเลี้ยงของลูกสาวของเดมี มัวร์ ถึงสามคน ได้แก่ รูเมอร์, สเกาต์ และทาลลูลาห์ เบลล์ ที่เกิดจากสามีคนก่อนของเธอ คือบรู๊ซ วิลลิส ซึ่งครองคู๋กันมานานกว่า 13 ปี มัวร์ และวิลลิส หย่าขาดกันเมื่อปี 2000 แต่ยังคงเป็นเพื่อที่ดีต่อกัน ขณะที่มักปรกฏภาพของทั้งสามออกงานสังคมด้วยกันบ่อยครั้ง นอกจากนั้นทั้งคู่ยังไปร่วมงานสมรสของวิลลิสกับเอ็มมา เฮมมิ่ง ภรรยานางแบบคนใหม่เมื่อปี 2009 อีกด้วย

ทั้งมัวร์และคุชเชอร์ยังร่วมก่อตั้งมูลนิธิที่ใช้ชื้อว่า ดีเอ็นเอ ฟาวน์เดชัน หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ เดมีแอนด์แอชตัน ฟาวน์เดชัน เมื่อปี 2010 เพื่อรณรงค์ต่อต้านการค้าประเวณีเด็กหญิงทั่วโลก ต่อมาจึงได้รับการแต่งตั้งจากองค์การสหประชาชาติให้เป็นตัวแทนเพื่อต่อสู้ กับการค้ามนุษย์

</td></tr></tbody></table>

เครดิต : มติชนออนไลน์