พี่ฤทธิ ของพระพุทธเจ้าที่ สอนคนแปปเดียวบรรลุอรหันตร์ ฝึกไงครับ

ตัวผม อยากได้ฤทธิของพระพุทธเจ้า ที่ ฝึกคนให้ได้เป็นบรรลุอรหันต์ ไม่ถึง 7 วัน เทศส์ สองครั้ง ก็ได้เป็น ฟังธรรมแปปเดียวก็ได้เป็น

ฤทธิแบบนั้นหาจากไหน ฝึกไงพระพุทธเจ้าท่านบอกเปล่าครับว่า ทําไงหรือต้องเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น

 

บอกไว้สิครับ....คุณเข้าไปดูวิธีการสร้างบารมีของพระองค์ในแต่ละชาติที่ผ่านมา เรื่องของชาดกต่างๆ นับเอนกอนันตชาติ นั่นหละครับคือวิธีที่จะฝึกให้ได้อย่างพระองค์....

 

องค์ไหนครับ องค์ปัจจุบันหรือเปล่า

 

บารมี 10

-ทานบารมี
-ศีลบารมี
-เนกขัมบารมี
-ปัญญาบารมี
-วิริยะบารมี
-ขันติบารมี
-สัจจะบารมี
-อฐิษฐานบารมี
-เมตตาบารมี
-อุเบกขาบารมี

 

ท่านก็บำเพ็ญบารมีแบบโพธิสัตว์ สิครับ

 

เริ่มต้นจาก "เป็นลูกกตัญญู"

ไม่ได้เริ่มจาก อย่างอื่น

 

<IFRAME style="Z-INDEX: 100000; BORDER-BOTTOM: 0px; POSITION: absolute; BORDER-LEFT: 0px; WIDTH: 1px; HEIGHT: 1px; BORDER-TOP: 0px; TOP: 0px; BORDER-RIGHT: 0px; LEFT: 0px" id=_atssh681 title="AddThis utility frame" height=1 src="//s7.addthis.com/static/r07/sh69.html#iit=1322187401156&cb=0&ab=-&dh=palungjit.org&dr=&du=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff4%2F%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%9D%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A-315581.html%23post5378172&dt=&md=2&inst=1&jsl=0&lng=th&ogt=&pc=men&pub=xa-4c9961242266a7cc&ssl=0&sid=4ecefa8954132ccf&srd=1&srf=0.02&srp=0.2&srl=0&srx=0.5&ver=250&xck=0&og=%5Bobject%20Object%5D&rev=106780&ct=1&xld=1&xd=1" width=1 name=_atssh681 frameborder="0"></IFRAME>
<IFRAME style="Z-INDEX: 100000; BORDER-BOTTOM: 0px; POSITION: absolute; BORDER-LEFT: 0px; WIDTH: 1px; HEIGHT: 1px; BORDER-TOP: 0px; TOP: 0px; BORDER-RIGHT: 0px; LEFT: 0px" id=_atssh938 title="AddThis utility frame" height=1 src="//s7.addthis.com/static/r07/sh69.html#iit=1322186813125&cb=0&ab=-&dh=palungjit.org&dr=&du=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff4%2F%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%9D%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A-315581.html%23post5378172&dt=&md=2&inst=1&jsl=0&lng=th&ogt=&pc=men&pub=xa-4c9961242266a7cc&ssl=0&sid=4ecef83d53dd6579&srd=1&srf=0.02&srp=0.2&srl=0&srx=0.5&ver=250&xck=0&og=%5Bobject%20Object%5D&rev=106780&ct=1&xld=1&xd=1" frameBorder=0 width=1 name=_atssh938></IFRAME>

ขออนุญาติมาร่วมสนทนาด้วย
ก่อนอื่นที่พระพุทธองค์จะแสดงธรรมโปรดกับผู้ใดนั้น ท่านจะต้องตรวจดูด้วยทิพพจักขุญาณที่ผู้ใดที่สะสมบารมีพร้อมจะบรรลุธรรมได้
ประกอบกับพระพุทธองค์ทรงรู้อัธยาศัยของผู้ฟังว่าต้องแสดงธรรมอย่างไร ผู้นั้นจึงจะบรรลุธรรมได้ จึงดูเหมือนเป็นการบรรลุธรรมกันง่ายๆ

ฤทธิ์ที่เกิดพร้อมด้วยการบรรลุนั้น โดยอาศัยการที่เคยได้ฝึกไว้ในชาติเป็นอดีตในชาติที่ใกล้ๆมาแล้วนั่นเอง เช่น พระจูฬปันถก เป็นต้น
ทำไมต้องเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น ? ตามธรรมดาพระพุทธองค์ทรงล่วงรู้อัธยาสัยของสัตว์โลกได้ทั้งหมดโดยไม่มีเหลือ
แม้แต่สาวกที่เป็นพระอรหันต์ก็ยังล่วงรู้ไม่หมด
หรือ เช่นบุตรนายช่างทองที่เคยเป็นนายช่างทองมาแล้วในอดีต ๕๐๐ ชาติ บุตรนายช่างทองผู้นี้เป็นพุทธวิสัยคือมีความศรัทธาแต่พระพุทธองค์เท่านั้น พระอาจารย์ผู้ให้กรรมฐานถึง ๕ ครั้งปฏิบัติอย่างใดก็ไม่บรรลุธรรมจึงต้องพาเข้าเฝ้าพระผู้มีพระเจ้า พระพุทธองค์จึงรู้ทันที่ว่าอดีตชาติเกิดเป็นช่างทองมาแล้ว ๕๐๐ ชาติ เพราะการเป็นช่างทองนั้นด้วยพิจารณาทองมามาก จึงเนรมิตดอกบัวสีแดงให้ใกล้เคียงกับทองคำ บริกรรมว่า โลหิตํกสิณํ ๆๆๆ จนสำเร็จเป็นพระอรหันตผล

พระอาจารย์ผู้ให้พระกรรมฐานจะต้องเป็นพระอรหันต์จึงจะให้พระกรรมฐานอย่างถูกต้องได้ หรืออย่างน้อยที่สุดผู้ที่จะให้กรรมฐานแก่ผู้ใดจะต้องได้ฌานเบื้องสูงจึงจะให้ได้ สำหรับผู้ที่เรียนรู้พระกรรมฐานแต่ยังไม่ได้ฌานต้องควรให้กรรมฐานทั้ง ๔๐ นั้นเลย ไม่ควรเจาะจงกรรมฐานใดกรรมฐานหนึ่งจะทำให้ผู้รับกรรมฐานไปปฏิบัติเนิ่นนานเสียเวลาเปล่า เพราะอาจจะไม่ตรงจริตของผู้รับกรรมฐานนั้นไป และเมื่อผู้สอนและผู้แนะนำก็ยังไม่ควรชักนำว่าใช้กรรมฐานกรรมฐานนี้ เพราะท่านเองเหล่านั้นยังไม่อยู่ในฐานะที่จะให้พระกรรมฐานแก่ผู้ใดได้ หรือหวังเพียงเพื่อ ลาภ สักการะ สรรเสริญ
<TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD height="100%" vAlign=top width="85%">


</TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2></TD></TR><TR><TD id=modified_4748 class=smalltext vAlign=bottom><SCRIPT type=text/javascript src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js#username=xa-4c9961242266a7cc"></SCRIPT></TD><TD class=smalltext vAlign=bottom align=right></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

แหม คุณ คนที่เค้าเข้าใกล้พระพุทธ เจ้าพระพุทธ
แปลว่า บารมีเค้าล้นปรี่๊แล้ว ถึงเข้าใกล้พระพุทธได้
พร้อมจะบรรลุแล้ว ก็เลยบรรลุง่าย

 

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)


ทศพลญาณ (บาลีเรียก ตถาคตพลญาณ 10 คือ พระญาณอันเป็นกำลังของพระตถาคต 10 ประการ
ที่ทำให้พระองค์สามารถบันลือสีหนาท ประกาศพระศาสนาได้มั่นคง)

1. ฐานาฐานญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ฐานะและอฐานะ คือ รู้กฏธรรมชาติเกี่ยวกับขอบเขตและขีดขั้นของสิ่งทั้งหลายว่า อะไรเป็นไปได้ อะไรเป็นไปไม่ได้ และแค่ไหนเพียงไร โดยเฉพาะในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล และกฎเกณฑ์ทางจริยธรรมเกี่ยวกับสมรรถวิสัยของบุคคล ซึ่งจะได้รับผลกรรมที่ดีและชั่วต่างๆ กัน)

2. กรรมวิปากญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ผลของกรรม คือ สามารถกำหนดแยกการให้ผลอย่างสลับซับซ้อน ระหว่างกรรมดีกับกรรมชั่ว ที่สัมพันธ์กับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ มองเห็นรายละเอียดและความสัมพันธ์ภายในกระบวนการก่อผลของกรรมอย่างชัดเจน)

3. สัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ข้อปฏิบัติที่จะนำไปสู่คติทั้งปวง คือ สุคติ ทุคติ หรือพ้นจากคติ หรือปรีชาหยั่งรู้ข้อปฏิบัติที่จะนำไปสู่อรรถประโยชน์ทั้งปวง กล่าวคือ ทิฏฐธัมมิกัตถะ สัมปรายิกัตถะ หรือ ปรมัตถะ คือรู้ว่าเมื่อปรารถนาจะเข้าถึงคติหรือประโยชน์ใด จะต้องทำอะไรบ้าง มีรายละเอียดวิธีปฏิบัติอย่างไร)

4. นานาธาตุญาณ (ปรีชาหยั่งรู้สภาวะของโลกอันประกอบด้วยธาตุต่างๆ เป็นเอนก คือ รู้สภาวะของธรรมชาติ ทั้งฝ่ายอุปาทินนกสังขารและฝ่ายอนุปาทินนกสังขาร เช่น รู้จักส่วนประกอบต่างๆ ของชีวิต สภาวะของส่วนประกอบเหล่านั้น พร้อมทั้งลักษณะและหน้าที่ของมันแต่ละอย่าง อาทิการปฏิบัติหน้าที่ของขันธ์ อายตนะ และธาตุต่างๆ ในกระบวนการรับรู้ เป็นต้น และรู้เหตุแห่งความแตกต่างกันของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น)

5. นานาธิมุตติกญาณ (ปรีชาหยั่งรู้อธิมุติ คือ รู้อัธยาศัย ความโน้มเอียง ความเชื่อถือ แนวความสนใจ เป็นต้น ของสัตว์ทั้งหลายที่เป็นไปต่างๆ กัน)

6. อินทริยปโรปริยัตตญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย คือ รู้ว่าสัตว์นั้นๆ มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา แค่ไหน เพียงใด มีกิเลสมาก กิเลสน้อย มีอินทรีย์อ่อน หรือแก่กล้า สอนง่ายหรือสอนยาก มีความพร้อมที่จะตรัสรู้หรือไม่)

7. ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ความเศร้าหมอง ความผ่องแผ่ว การออกแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิและสมาบัติทั้งหลาย)

8. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ปรีชาหยั่งรู้อันทำให้ระลึกภพที่เคยอยู่ในหนหลังได้)

9. จุตูปปาตญาณ (ปรีชาหยั่งรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายอันเป็นไปตามกรรม)

10. อาสวักขยญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย)

 

คงต้องสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเท่านั้นล่ะครับ เพราะพระพุทธเจ้านั้น
เป็นผู้ฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ไม่มีใครจะยิ่งกว่า ท่านรู้อุบายที่จะสอนด้วยส่วนหนึ่ง
อีกส่วนคือผู้ที่จะสอนนั้นบารมีเต็มแล้วจี้ตรงจุด สะกิดหน่อยเดียวก็บรรลุธรรมเลย
ไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกหรอกครับ พระพุทธองค์เป็นแต่เพียงผู้บอก ผู้ชี้ทางเท่านั้น
ถ้าคนที่บารมียังไม่เต็มก็ต้องทำต่อไป

 

ต้องพร้อมทั้งผู้ให้และผู้รับ

 

โอ้วที่อ่านมา ต้องเป็นพระพุทธเจ้าเลย โอย ยากมาก แต่ ก็คุ้มค่า

 

แนะนำให้น้อง ไปอ่านพระไตรปิฎกให้จบ แล้วจะเข้าใจอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ถามครับ พออ่านจบก็มาคุยกันจะเข้าใจยิ่งกว่าตอนนี้ครับ