อาการวาระที่จิตสงบนั้นเป็นอย่างไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย คุรุวาโร, 30 พฤศจิกายน 2011.

  1. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    การสงบนั้นมีอยู่หลายอย่าง อย่างหนึ่งมันสงบพ๊บเข้าไปร่างกายและจิตก็เบาหวิวไม่เห็นนิมิตอะไรคล้ายกับตัวลอยอยู่ในอากาศ แต่ไม่ปรากฏว่าเคลื่อนที่มีแต่ผู้รู้อยู่เฉยๆ นี่แบบหนึ่ง
    แต่ถ้าหมดกำลังก็ถอนออกมา เวลาเข้าพั๊บก็ถอนออกพั๊บเหมือนกัน
    วิธีรวมอีกแบบหนึ่ง เมื่อจิตเข้าไปก็สว่างโร่เหมือนแสงอาทิตย์ก็มี
    แสงพระจันทร์ก็มี แสงดาวก็มี แสงเหมือนตะเกียงเจ้าพายุก็มี
    เหมือนกลางวันก็มี
    บางทีก็เห็นดอกบัวหลวงและกงจักร ตลอดถึงเทวบุตรเทวดาและบุคคลสารพัดจะนับคณานับ
    สิ่งเหล่านี้หากเกิดให้เราเห็นอยู่ซึ่งหน้า(คำว่าหน้า คือเกิดขึ้นหน้าสติหน้าปัญญา) แล้วก็ดับอยู่ที่นั่น ถ้าเราเพ่งต่อที่มันดับอยู่ มันก็เกิดอีกตะพึดแต่ไม่เป็นเรื่องเก่าเป็นเรื่องใหม่ แต่จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องเก่า(คำว่าเก่า คือเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป)
    ถ้าจิตของเราเพลินไปก็ลืมกรรมฐานเดิม คล้ายๆกับโบราณท่านกล่าวว่า
    "หมาตาเหลืองเมื่อเห็นไฟที่ไหนเรืองก็แล่นเข้าไปหา"
    และขอให้เข้าใจว่า นิมิตที่เราตั้งไว้เดิมก็ดี (และให้เข้าใจว่า นิมิตแปลว่า เครื่องหมาย ที่ผูกใจให้ติดอยู่) นิมิตเดิมก็ดี นิมิตใหม่ก็ดี ที่มาเกยพาดก็ดับเป็น
    จะมีกี่ล้านๆ ก็ตามหรือจนนับไม่ไหวก็เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้น
    เราก็ได้ตัวพยานแล้ว เพราะมันเป็นอันเดียวกันกับนิมิตเดิมที่เราจับนิมิตเดิมไว้
    ก็เพื่อจะเป็นตัวประกันให้เป็นพยาน หรือจะเรียกว่า นิมิตเดิมเป็นกระจกเงา
    นิมิตผ่านเป็นนิมิตแขก แต่ก็เกิดดับเป็นเสมอกันนั่นเอง
    ถ้าจะเอาด้านปัญญามาตัดสินก็ตอบตนว่า นิมิตเดิมก็ดี ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มีอภินิหารให้เห็นก็เพียงเกิดดับเท่านั้น เราไม่มีหน้าที่จะถือว่าได้ว่าเสีย ต้องลงเอยแบบนี้ รู้ตามเป็นจริงแบบนี้ จึงเป็นตัวปัญญา มิฉะนั้นแล้วคล้ายๆ กับหยอกเงาตนเอง เมื่อตนเหนื่อยเงาก็เหนื่อย

    ขอให้เจริญในธรรม
     
  2. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    การที่เราภาวนาลมละเอียดเข้าไป แต่ได้ยินเสียงอยู่ แต่ไม่ได้ทิ้งกรรมฐานเดิม คือลมหายใจเข้าออกก็รู้ชัดพร้อมกันกับเสียงที่มากระทบอันนั้นเป็นอุปจาร สมาธิ เมื่อละเอียดเข้าไป เบาเข้าไป อันนั้นละเอียดกว่าอุปจารสมาธิลงไปอีก จิตในชั้นนี้ก็เป็นสมาธิแล้ว แต่ไม่ให้ทิ้งกรรมฐานเดิม คือลมออกเข้า ละเอียดลงไปขนาดไหนก็ไม่ให้ทิ้ง จนวูบลงหรือวับลงไปไม่ปรากฏลมเสียเลย แล้วก็มีแต่ผู้รู้เบาหวิวอยู่อันนั้นเรียกว่า "ปฐมฌาน" อัปปนาสมาธิก็ว่า
    แต่เมื่อหมดกำลังก็ถอนออกมา เมื่อถอนออกมาก็เห็นลมออกเข้าเบาๆอยู่ ถ้าปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปทางอื่นก็เป็นเรื่องกรรมฐานแตกไป
    แต่ถ้าทวนดูว่า จิตขนาดนี้ก็ยังถอนออกมาอยู่แล้วพิจารณาลงสู่อนิจจังให้เห็นพร้อมกับลมออกเข้าต่อไปก็แปลว่า มีวิปัสสนาควบกับสมถะด้วย
    วิปัสสนาก็คือปัญญานั่นเอง เพราะเห็นอนิจจังควบกับลมหายใจเข้าออก เมื่อเห็นอนิจจังชัดแล้วจะเห็นทุกข์สัมปยุตกันอยู่อย่างละเอียด จะเห็นสิ่งที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขาสัมปยุตกันอยู่อย่างละเอียดอีก คล้ายๆกับเชือก 3 เกลียว ซึ่งกลมกลืนกันอยู่ไม่มีอันใดก่อนอันใดหลัง พร้อมกับลมออกเข้าด้วยอันนี้เรียกว่า
    สติสัมปชัญญะแก่กล้าในไตรลักษณ์ญาณ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กลมกลืนกันอยู่นั่นเอง ก็ต้องพิจารณาอยู่อย่างนั้นติดต่ออยู่เสมอ เมื่อถอนออกมาก็จับเข้าไปในที่นั้นให้จนได้ เพราะรู้รสรู้ชาติมันแล้ว รู้ลูกไม้ของมันอีกด้วย รู้วิธีจะเข้าไปจับมันอีกด้วย

    ลมหายใจเข้าครั้งหนึ่งก็เห็นทั้งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กลมกลืนกันอยู่ด้วย ไม่ใช่อยู่คนละเป้า ไม่ใช่อยู่คนละขณะอีกด้วย เมื่อเห็นชัดอยู่อย่างนั้นแล้วกิเลสทั้งปวงที่เคยยึดมั่นว่า เป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นตัวตนก็สลายไปในตัวอยู่ ณ ที่นั่นเอง ทางนี้เป็นทางพ้นทุกข์ง่ายดีกว่าจะเอานิมิตต่างๆไปอวดกัน

    คำว่า นิมิต ก็แปลว่าเครื่องหมาย หมายในรูปก็เรียกรูปนิมิต หมายไว้ในนามก็เรียกว่า นามนิมิต รูปก็ดี นามก็ดี เป็นเมืองขึ้นของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่ในปัจจุบันนั้นแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่มีท่านผู้ใดจะพ้นความสงสัยของตนไปได้ และก็ไม่มีท่านผู้ใดจะข้ามความหลงของตนไปได้อีก ซ้ำเข้าไปอีกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้นคืออะไร ก็คือโลกทั้งปวง ก็คือสังขารทั้งปวง ก็คือกองทุกข์ทั้งปวงนั่นเอง
    ในขณะเดียวกันนั่นเอง ก็คือผู้รู้ปัจจุบันนั่นเอง เป็นผู้รู้ตามเป็นจริงของปัจจุบันและพยานเอกอยู่ในตัวแล้ว ก็ข้ามพ้นความสงสัยในโลกทั้งปวงไปแล้ว ปัญหาอะไรจะเกิดมาก็ต้องเป็นเมืองขึ้นของไตรลักษณ์ทั้งนั้น

    อนึ่ง ผู้จะมาอวดสวรรค์ นรก หรือวัตถุนิยมอะไรๆ ก็ตามมันเป็นเมืองขึ้นของไตรลักษณ์อยู่แล้ว เพราะเราเห็นเองรู้เอง รู้ชัดในกรรมฐานที่ตั้งไว้ด้วย จึงยืนยันว่า สันทิฏฐิโก เห็นเองได้ไม่ต้องตื่นข่าวเชื่อคนอื่นเพราะได้จิบเกลือ ไม่ต้องสงสัยว่ารสเค็มมันเป็นยังไง จะมีผู้อื่นบอกว่ารสเกลือหวานทั้งหมดโลกเราก็ไม่เชื่ออีกดังนี้

    ขอให้เจริญในธรรม
     
  3. Red people

    Red people เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +153
    ผมอยากปฏิบัติสมาธิให้ได้ คงจะมีสิ่งดี ๆ ให้ศึกษา

    .
     
  4. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    สาธุเจ้าค่ะ ขอบพระคุณกับความรู้ที่ลงลึกให้เห็นชัดค่ะ
     
  5. somkun62

    somkun62 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +762
    สาธุครับ ขอเล่านิดหนึ่งครับเมื่อปีที่แล้วคนที่ผมรู้จักท่านเสียชีวิต ผมได้ไปงานศพท่านที่วัดเสร็จแล้วก็กลับมาที่พักทำธุระเสร็จก็ไหว้พระสวดมนต์นั่งกรรมฐานเพื่ออุทิศส่วนบุญกุศลให้แก่ท่าน ตอนนั้นผมทำกรรมฐานแบบเจริญสติทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อม(ปัจจุบันฝึกอีกแบบ) นั่งได้สักเกือบชั่วโมงมีความรู้สึกว่าวูบไป แล้วเห็นมีคนเดินมาหาแล้วนั่งลงข้างๆผมและมองไปที่พระพุทธรูป ขณะนั้นผมก็พยายามมองเขาไล่ตั้งแต่ขาไปจนถึงหน้าก็รู้เลยว่าเป็นท่านที่เราเพิ่งไปงานศพมาตอนเย็น แล้วผมก็ตกใจลืมตาขึ้นมา
    ที่ผมอยากรู้คือว่า เหตุการณ์ที่ผมเจอเป็นนิมิตอันเกิดจากการนั่งสมาธิหรือว่าวิญญาณของท่านนั้นมาหาผมจริงๆครับ
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    เดี๋ยวมาอ่านใหม่นะครับ
     
  7. กายในกาย

    กายในกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +1,265
    อนุโมทนาสาธุครับ เป็นธรรมที่สุขและอิ่มดีครับ ผมอยากเห็นแนวความคิดที่ไม่ได้อ้างอิงจากหนังสือ แต่มาจาก "จิตใจ" อย่างคุณคุรุวาโรครับ
     
  8. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +4,065
    ท่านคุรุวาโร..อนุโมทนาครับ ยินดียิ่งที่ได้อ่านบทความจากสัมมาทิฏฐิ ผู้รู้จริง..สาธุครับ
     
  9. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +1,073

    สาธุๆในธรรมหลวงปู่หล้า เขมปัตโต
     
  10. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +4,065
    อ้าว..ขอบคุณครับพี่หม้อ..เป็นคำเทศน์ของหลวงปู่หล้าหรือครับนี่..!:cool:
     
  11. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +1,073
    อ้าว...อ้าว..ก็อ้าว

    ป๋าจะยึดธรรมะ หรือยึดในตัวบุคคล

    ป๋ากราบพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้า กราบด้วยอนุสสติ
    หรือกราบด้วยว่าถือว่าท่านเป็นศาสดาเอกของโลก
    หรือกราบพระอริยเจ้า ถือว่าท่านเข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้า

    ทั้งสองอย่างนี้ เป็นกุศลด้วยหมด แต่ไม่เท่ากัน

    จึงเป็นปริศนา ?
     
  12. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ยึดตัวเองก่อนได้ไหม พี่หม้อ!
     
  13. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +1,073
    ก็ไม่รู้เหมือนกัน บางคนบอกพึ่งตนเองๆ

    แต่พอเวลาน้ำมา กุเห็นแม่ม..พึ่งขวดปลาสสะติก เอามาเปงชูชีพ

    ไม่รู้มังพึ่งตัวเอง แบบไหน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2011
  14. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    โยนิโสมนสิการ แม่นๆ:cool:
     
  15. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +1,073
    ฉะนั้น มังพึ่งตัวเองไปไม่ได้หรอก หากไม่มีชูชีพ ด้วยไตรสรณคมน์

    งง มั้ย
     
  16. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    อืม...อ่านดูแล้วสำนวนการใช้ภาษาเหมือนของหลวงปู่หล้า เขมปัตโต<!-- google_ad_section_end --> จริงๆ....

    กำลังจะถาม จขกท. ว่าศึกษามาจากหลวงปู่หล้า หรือเปล่า....
     
  17. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ตอบปัญหาธรรมและการปฏิบัติธรรม

    [​IMG]

    ตอบปัญหาธรรมและการปฏิบัติธรรม (เรื่องที่ ๔)

    คำถาม :

    การปฎิบัติธรรมแบบฝึกหัดเริ่มต้น หากเรานั่งกำหนดจิตอยู่ที่ ?พุทโธ? และลมหายใจเข้าออกแล้ว แต่หูก็ยังได้ยินสิ่งที่มากระทบจากภายนอกอยู่บ้าง อันนี้ถือว่าจิตลงถึงความสงบเป็นสมาธิหรือยังครับ และตอนช่วงระยะที่นั่งฝึกไปนั้นลมหายใจที่เรากำหนดอยู่ได้เริ่มเบาไปทุกทีๆ กระทั่งแทบจะไม่มี นั้นถึงจุดนี้ถือว่าจิตสงบเป็นสมาธิหรือยังครับ และหากถึงตรงจุดนี้เราควรทำอย่างไรต่อไปครับ

    หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ตอบ :

    การที่เราภาวนาลมละเอียดเข้าไป แต่ได้ยินเสียงอยู่ แต่ไม่ได้ทิ้งกรรมฐานเดิม คือลมหายใจเข้าออกก็รู้ชัด พร้อมกันกับเสียงที่มากระทบอันนั้นเป็นอุปจารสมาธิ เมื่อละเอียดเข้าไปเบาเข้าไป อันนั้นละเอียดกว่าอุปจารสมาธิอีก จิตในชั้นนี้ก็เป็นสมาธิแล้ว แต่ไม่ให้ทิ้งกรรมฐานเดิมคือลมออก-เข้า ละเอียดลงไปขนาดไหนก็ไม่ทิ้ง จนวูบลงหรือวับลงไปไม่ปรากฏลมเสียเลย แล้วก็มีแต่ผู้รู้เบาหวิวอยู่อันนั้นเรียกว่า ?ปฐมฌาน? (อัปนาสมาธิ)

    แต่เมื่อหมดกำลังก็ถอนออกมา เมื่อถอนออกมาก็เห็นลมออก-เข้า เบาๆ อยู่ ถ้าปล่อยจิตฟุ้งซ่านไปทางอื่นก็เป็นเรื่องกรรมฐานแตกไป แต่ถ้าทวนดูว่า เอ๊ะ..... จิตขนาดนี้ก็ยังถอนออกมาอยู่แล้ว พิจารณาลงสู่อนิจจังให้เห็นพร้อมกับลมออก-เข้าต่อไป ก็แปลว่ามีวิปัสสนาควบกับสมถะด้วย วิปัสสนาก็คือปัญญานั่นเองเพราะเห็นอนิจจังควบกับลมหายใจเข้าออก เมื่อเห็นอนิจจังชัดแล้วจะเห็นทุกข์สัมปยุตกันอยู่อย่างละเอียด จะเห็นสิ่งที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขาสัมปยุตกันอยู่อย่างละเอียดอีกคล้ายๆ กับเชือกสามเกลียว ซึ่งกลมกลืนกันอยู่ไม่มีอันใดก่อนอันใดหลังพร้อมกับลมออก-เข้าด้วย อันนี้เรียกว่าสติสัมปชัญญะแก่กล้าในไตรลักษณญาณคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กลมกลืนกันอยู่นั่นเอง ก็ต้องพิจารณาอยู่อย่างนั้นติดต่อกันอยู่เสมอ เมื่อถอนออกมาก็จับเข้าไปในที่นั้นให้จนได้เพราะรู้รสชาติมันแล้ว รู้ลูกไม้ของมันอีกด้วย รู้วิธีจะเข้าไปจับมันอีกด้วย

    ยกอุทาหรณ์เช่น ลมหายใจเข้าครั้งหนึ่ง ก็เห็นทั้งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กลมกลืนกันอยู่ด้วย ไม่ใช่อยู่คนละเป้า ไม่ใช่อยู่คนละขณะอีกด้วย เมื่อเห็นชัดอยู่อย่างนั้นแล้วกิเลสทั้งปวงที่เคยยึดมั่นว่า เป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นตัวตนก็สลายไปในตัวอยู่ ณ ที่นั้นเอง ทางนี้เป็นทางพ้นทุกข์ง่ายดีกว่าจะเอานิมิตต่างๆ ไปอวดกัน

    คำว่า นิมิตก็แปลว่า ?เครื่องหมาย? หมายในรูปก็เรียกรูปนิมิต หมายในนามก็เรียกว่านามนิมิต รูปก็ดี นามก็ดีเป็นเมืองขึ้นของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่ในปัจจุบันนั้นแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่มีท่านผู้ใดจะพ้นความสงสัยของตนไปได้ และก็ไม่มีท่านผู้ใดจะข้ามความหลงของตนไปได้อีก ซ้ำเข้าไปอีกว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้นคืออะไร ก็คือโลกทั้งปวง ก็คือสังขารทั้งปวง ก็คือกองทุกข์ทั้งปวงนั่นเอง

    เมื่อเวลาเห็นอยู่อย่างนั้นก็คือไตรสิกขานั่นเอง ก็คือศีล สมาธิ ปัญญากลมกลืนกันในขณะเดียวนั่นเอง (คือขณะที่เราปฏิบัติธรรมภาวนาอยู่นั้น เราอยู่ในศีลด้วยอาการสงบอยู่ในสมาธิ และ เกิดปัญญาขึ้นเมื่อเราพิจารณาเห็นอนิจจังควบกับลมหายใจเข้าออก เช่นเมื่อมีลมหายใจเข้าแล้ว ก็ต้องมีลมหายใจออก จะมีแต่ลมเข้าแล้วไม่มีลมออกเป็นไปไม่ได้ หรือจะมีแต่ลมออกแล้วไม่มีลมเข้าก็เป็นไปไม่ได้ นั่นก็หมายถึงคนตายแล้ว) ก็คือผู้รู้ปัจจุบันนั่นเอง เป็นผู้รู้ตามเป็นจริงของปัจจุบัน และตามเป็นจริงของอดีต ของอนาคตด้วย เพราะเอาปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมอยู่ในตัวแล้ว ก็ข้ามพ้นความสงสัยในโลกทั้งปวงไปแล้ว ปัญหาอะไรจะเกิดมาก็เป็นเมืองขึ้นของไตรลักษณ์ทั้งนั้น รู้ชัดในกรรมฐานที่ตั้งไว้ สันทิฏฐิโกเห็นเองได้ เหมือนได้ชิมเกลือเองรู้ว่าเค็มไม่ต้องสงสัยว่ารสเค็มเป็นอย่างไร จะมีผู้อื่นมาบอกว่ารสเกลือหวานทั้งหมดโลก เราก็ไม่เชื่อดังนี้<!-- google_ad_section_end --> ...

    http://palungjit.org/threads/หลวงปู่หล้า-เขมปัตโต-ตอบปัญหาธรรมและการปฏิบัติธรรม.250934/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2011
  18. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    วรรคนี้ เป็นความเห็นของท่าน คุรุวาโร เอง....

    อย่างไร โมทนานะครับที่ยกธรรมของหลวงปู่นำมาให้กันศึกษา ถ้าเป็นไปได้อย่างไรนั้น เพื่อการแสดงความเคารพต่อครูบาอาจารย์ และ เพื่อประกาศเกียรติคุณของท่าน น่าจะบอกว่ายกมาจากท่านหน่อยนะครับ...และ เป็นไปได้อย่างยิ่ง ไม่ควรไปดัดแปลงคำพูดของท่านเพื่อให้เข้ากับความเห็นของตน แล้วยกว่าเป็นของตน.....ประโยชน์น้อย...และ ถือเป็นการไม่ให้เกียรติท่านอย่างมาก....คณะศิษย์ท่านก็มีมากอยู่นะครับ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2011
  19. กายในกาย

    กายในกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +1,265
    อนุโมทนาสาธุธรรม หลวงปู่หล้า ครับ
     
  20. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +4,065
    จิตตนนท์โว้ยยย..น้ำท่วมร้านกาแฟมึงหมดรึยัง..อย่ามัวพาไอ้ห้อย ไอ้โหน..ไปเที่ยวเร่รำไทย..ขายไข่เค็มอยู่ตามงานหนังตลุงนะโว๊ย..ให้มันพักบ้างสงสารมัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...