Almine ผู้เป็นอมตะ และเป็น "Ascended Master" และ "คู่มือการเลื่อนระดับขึ้น" จากเธอ

วิธีการเลื่อนระดับขึ้น โดยอาศัยสมองซีกซ้าย (The Left Brain Method)

http://www.ascendedmastery.com/Resources/leftbrain.pdf


E). สิ่งที่ต้องรู้ (The Need to Know)


คนเรามักจะไปหลงยึดติดอยู่กับสิ่งที่จะต้องรู้ (the need to know)
เพราะเป็นผลพวงมาจาก “ความกลัวสิ่งที่ไม่รู้” ของพวกเราเอง
ดังนั้น พวกเราจึงพยายามที่จะควบคุมสิ่งแวดล้อม
โดยการชี้บ่งว่าอะไรเป็นอะไรให้หมด เพื่อที่เราจะสามารถแยกแยะได้ว่า
อะไรที่ไม่ได้อยู่ในมุมมองปัจจุบันของเรา

สังคมมักจะกดดันให้เราต้องรู้ว่า ทั่วโลก มีอะไรเกิดขึ้นบ้างในแต่ละวัน
เพราะว่าข้อมูลเหล่านั้น มีพร้อมอยู่แล้ว บนจานดาวเทียมและระบบอินเตอร์เน็ต
แต่ปัญหาก็คือ สื่อสารมวลชนเองนั่นแหละ ที่เอาแต่ป้อนโปรแกรมที่มีข้อจำกัดให้เรา
เพิ่มมากขึ้นๆ

จงจำไว้ว่า ความรู้ทั้งหมด มีอยู่แล้วภายในตัวเรานี้เอง
ดังนั้น จงใช้วิจารณญาณในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารให้ดี (แม้แต่ข้อมูลนี้ก็ด้วย)
เพื่อที่จะได้รู้ว่าข้อมูลไหนน่าจะเป็นข้อเท็จจริง

และถ้าหากว่ามีเพื่อนฝูง หรือนักเรียน หรือลูกค้า มากดดันให้คุณ
ต้องตอบคำถามอะไรบางอย่างหละก็ ให้คุณตอบว่า

“ข้อมูลนั้น ฉันยังไม่รู้ในตอนนี้ แต่ฉันจะขอรับข้อมูลนั้นเร็วๆนี้
และเมื่อฉันมีข้อมูลนั้นแล้ว ฉันจะบอกคุณ”

มันไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ที่จะไม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างในเวลานั้นๆ


เพราะว่าในความเป็นจริงแล้ว เมื่อพวกเรามาถึงขั้นตอนหนึ่ง
ของกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นแล้ว จิตวิญญาณของเรา
จะชำระสะสางความรู้ส่วนใหญ่ และการศึกษาส่วนใหญ่
ที่พวกเราคิดว่าพวกเราเคยมีอยู่ ออกไปจนหมด

และเมื่อเราสามารถกระตุ้นจิตแห่งพระเจ้าได้แล้ว
พวกเราจะเข้าสู่สภาวะของ “การรู้ โดยที่ไม่ต้องคิดเลย”
ดังนั้น เราจึงสามารถที่จะรู้สิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ได้เลย ในขณะนั้นๆ

แต่เมื่อใดที่เราไม่ต้องการรู้ข้อมูลนั้นๆแล้ว
จิตใจของเราก็จะเงียบสงบและใสสะอาด
จนดูราวกับว่าความรู้ทั้งหมดที่เราเคยมีอยู่
มันได้หายสาบสูญไปจนหมดสิ้นแล้วอย่างนั้นแหละ

ซึ่ง ณ.จุดนั้นพวกเราจะไม่มีความกดดันให้ต้องรู้อะไร
หรือให้ต้องไปทำอะไรให้ถูกต้องแต่อย่างใดเลย

…………………….

 

เดี๋ยวตอนต่อไปจะเป็นเรื่อง "กายทั้ง 7" ของเราคับ

..วันนี้พอแค่นี้ก่อนครับ..

..................................................

 

ขอบคุณมากครับคุณชยุตรับและเติมเต็มแสงสว่างแล้วครับ ^^ และพวกเค้าก็ลงมาเยือนจากสวรรค์ฮาเลลูย่า อิอิ by Tranformer

 

เป็นเรื่องน่าสนใจ ที่หลายคนก็อยากมีชีวิตอมตะ โดยเฉพาะคนร่ำรวยมีอำนาจวาสนา
มีทรัพย์สมบัติมาก ก็อยากมีชีวิตได้ชมเชยสมบัติเพชรนิลจินดาทองคำล้าค่า
ที่สะสมกันมาตลอดชีวิต ต่อไปอีกหลายร้อยปี มนุษย์ก็คงจะล้นโลก มีแต่เกิดไม่แก่ไม่มีตาย หยุดกฏไตรลักษณ์ ที่พระพุทธเจ้า ท่านทรงกล่างว่า เป็นกฏของโลกที่ไม่มีใครละเมิดได้ สิ่งเหล่านี้ก็น่าศึกษาเรียนรู้ พิจารณาใช้ปัญญาที่มาที่ไป จุดมุ่งหมายผู้พรีเซนท์ตนเองให้รอบคอบ เพราะศัลยกรรมใบหน้าพลาสติก สามารถเปลี่ยนให้ใบหน้าให้อ่อนลงเป็นสิบปี
กำลังบูมมากในเกาหลี-ญี่ปุ่น เปลี่นหน้ายายซิ้ม ให้กลายเป็นอาหมวยพริตตี้น่ารักได้ใน3วัน ในส่วนตัวเชื่อว่า กฏไตรลักษณ์ยังไงก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง มีแต่สังขารเราเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลง... [ame=http://www.youtube.com/watch?v=mJ0vR3WIGFQ&feature=related]South Korean plastic surgery - YouTube[/ame]

 

ผมก็เป็นเพียงนักเรียนอนุบาลคนหนึ่งเหมือนกันกับทุกๆคนนั่นแหละ
ที่ยังต้องเรียนรู้และพัฒนาตัวเองต่อไปอยู่ตลอดเวลา และอีกยาวนาน

ข้อมูลต่างๆที่ผมแปลและเอามาโพสต์ให้อ่านทั้งหลายนี้
ก็เพื่อแบ่งปันให้ท่านได้อ่านและเอาไปศึกษาด้วยเท่านั้น
ไม่มีส่วนใดเลย ที่ผมจะบอกคุณได้ว่ามันจริงหรือไม่

ทุกๆท่าน ใครก็ตาม ที่กำลังอยู่บนเส้นแสวงหาสัจธรรมอยู่
ก็จะต้องใช้วิจารณญาณกันเอาเองครับ

และด้วยความที่มันเป็นข้อมูลที่ผมแปลมา เพราะฉะนั้น
มันจึงไม่ได้เกี่ยวเลยว่า ผมจะทำได้หรือไม่ได้ แต่ประการใดครับ

ดังนั้น เวลาท่านอ่านข้อมูลเหล่านี้ ขอให้ท่านนึกถึงเจ้าของข้อมูลตัวจริงนะครับ
อย่ามานึกถึงผมเลย เพราะผมก็แค่ผู้นำสาส์นมาส่งให้ท่านเท่านั้น


............................................................

 

ขอบคุณพี่ชยุตมากๆเลยครับ สำหรับบทความชุดนี้ มีประโยชน์กับตัวของผมโดยตรง ท่านใดเข้ามาแล้ว ไม่เก้ท แสดงว่า ไม่ใช่ครับ วิถีทางใครก็เดินกันเอาเอง จุดหมายย่อมไม่แตกต่าง แม่นบ่?

 

ข้อความข้างบนนี้ดิฉันกลับมาอ่านทีไรก็รู้สึกสุขใจทุกทีเลยค่ะ
และเชื่อว่า ท่านได้ส่งมาให้กับหลายๆคน หรือ ทุกๆคนด้วย

จึงขอบคุณ คุณchayutt ผู้เปิดกระทู้นำสาร และ ผู้เติมเต็มสาร
แห่งความรักและแสงสว่าง ท่านอื่นๆ(มีหลายๆท่านเลยค่ะ)

เป้าหมายของทุกคนที่รู้ตัวแล้วหรือยังไม่รู้ตัวก็ตาม คือการเติมเต็มทาง
จิตวิญญาณ ให้เข้าถึงความบริบูรณ์ (ก็เพราะเราต่างก็ยังไม่เต็มนั่นแหละค่ะ)
ซึ่งดิฉันก็ยังไม่ทราบโดยแน่ชัดว่าความบริบูรณ์นั้นมันจะประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง
แสงสว่าง ความรัก ความสงบ สันติสุข ความเอื้อเฟื้อ ความปิติอิ่มเอม
ความตระหนักรู้ ความหลุดพ้น หรือการเข้าไปอยู่ในความนิรันดร์-อมตะ
หรือนิพพาน ในที่สุดแห่งธรรม ยังมีเบื้องต้น เบื้องกลาง เบื้องปลาย
ให้เราต้องเรียนรู้ไปจนกว่าจะรู้รอบ หรือรู้จบ รู้วาง

ผู้มาส่งมอบสาร(ที่น่ารัก) ไม่ใช่เป้าหมายที่เราต้องไปโฟกัสในคุณสมบัติของ
ท่านมากไปกว่าที่ เราจะมาเติมเต็มเป้าหมายของตัวเราเอง ด้วยสาร สาระ
ที่พอจะพึงเก็บเกี่ยวไปได้ ในอะไรๆที่ผู้นำสารได้แปลและนำมาส่งมอบให้เรา
เชื่อว่าอาจจะมีคำพูดเล็กๆ ประโยคเล็กๆ ที่เป็น key word ที่จะปลุกใคร
บางคนให้ขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือเติมจิตใจบางส่วนให้แก่บางท่านได้


แสงสว่างเล็กๆ อาจส่องนำทางไปถึงที่สุดแห่งแสง เติมเต็มเอาไว้ทุกๆวันค่ะ

_heart+love_ _heart+love_ _heart+love_

 

ในโลกยุคไซเบอร์ก็งี้แหละครับ ทำได้ทุกอย่าง
รูปลักษณ์ภายนอกมันหลอกกันได้

แต่สิ่งที่หลอกกันไม่ได้ก็คือ "คุณธรรมที่อยู่ภายใน"
และนั่นแหละ คือสิ่งที่ผมกำลังทะยอยนำเสนอให้ท่านได้เก็บเอาไปพิจารณาอยู่

เพราะว่าเท่าที่นำเสนอมานี้ ยังไม่ถึง 10% ของที่เห็นว่าน่าสนใจเลยนะครับ

ผมคิดว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ผู้ทรงศีลทรงธรรมทั้งหลาย
ที่มีอยู่เกลื่อนกลาดไปหมดในเวปแห่งนี้ ท่านน่าจะเห็นด้วยกับคำพูดนี้นะครับ
ที่ว่า "อย่าเพิ่งไปตัดสินจากสิ่งที่เห็นภายนอก"

นั่นก็แปลว่า คุณ Almine คนนี้ เธออาจจะไปศัลยกรรมมา
หรือไปฉีดโบท็อกซ์มา อย่างที่บางคนอยากจะให้เป็นจริงๆก็ได้

หรือว่าเธออาจมีอะไรดี และพิเศษอยู่จริงๆก็ได้..
แล้วทำอย่างไรเราถึงจะรู้ได้หละครับ...

เราจะรู้ได้ด้วยการที่เรามานั่งเถียงกันว่าใครคิดถูก ใครคิดผิด อย่างนั้นหรือเปล่า?
ใครเถียงเก่งกว่า ด่าเก่งกว่า ก็เป็นฝ่ายชนะไป
แล้วความจริงมันก็จะเป็นไปตามข้างที่ชนะนั้นใช่ไหม?

อยากฝากไว้แค่นี้แหละครับ..แต่เชื่อผมเถอะว่า
ไม่ว่าตัวท่านเองจะได้ประโยชน์จากกระทู้ที่ผมโพสต์หรือไม่ก็ตาม
แต่ก็จะยังมีคนที่ได้ประโยชน์จากทุกๆกระทู้ที่ผมโพสต์อยู่อย่างแน่นอน 100% ครับ

..............................................

 

เคยอ่านหนังสือเล่มนึง ที่ชาย(ฝรั่งคนนึง) เข้าไปค้นหาพืชสมุนไพรอินเดียแดง
ที่เสพแล้วเมามีสภาพหลอนเหมือนบรรลุหรือแจ้งสภาวะธรรมบางอย่าง
แต่กลับได้รับคำสอนจากปรัชญาของคนอินเดียแดงในตอนหนึ่ง(จากคำสอนที่
เขาได้บันทึกไว้หลายข้อ) ข้อหนึ่งคือ จงทำลายประวัติตนเอง

เพิ่ง get วันนี้เองค่ะ
rabbit_cryrabbit_cryrabbit_cry

 

ได้เข้ามาอ่านกระทู้นี้ ทำให้ตัวเองรู้สึกมากขึ้นแล้วว่า ทำไม รูปธรรมแห่งแสงสว่างทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทั้งหมด พระโพธิสัตย์ทั้งหลาย พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ถึงได้ เมตตา สงสาร เอ็นดู ปรารถนาช่วยมนุษย์โลกอย่างมากมาย


วันนี้เราจะไม่ทิ้งกัน หากเมื่อเราเดินนำหน้าเขาไป อย่างน้อยมือข้างหนึ่งจะจูงมือเขาไปด้วย

 

เห็นด้วยครับ จริง ๆ แล้วเจ้าสำนักน่ะไม่อะไรมากหรอกครับ แต่ที่มันยุ่งนี่ส่วนมาก ก็เพราะศิษสานุศิษย์ สาวก Cult ต่าง ๆ นี่แหละ
เข้าใจครับว่าคนเราใครก็รักอาจารย์ตัวเอง ชื่นชมชื่นชอบอาจารย์ตนเอง
แล้วก็พาลคิดไปว่าคนอื่นก็ต้องคิดเหมือนตัวเองด้วย มันก่อให้เกิด Drama การโต้แย้ง โต้เถียง กันโดยไม่จำเป็น :'(

"ทำไมไม่เชื่อ ก็ต่างดาวเค้าว่ายังงั้น ต่างมิติเค้าว่าอย่างนี้ อาจารย์ท่านว่าอย่างนั้น ตถาคตว่าอย่างนี้ ฯลฯ"

"ทำไมไม่ทำบุญอยากตกนรกหรือไง ทำไมไม่นั่งสมาธิ ทำไมไม่อยากให้โลกมีสันติภาพเรอะ"



ผมว่าแนวคิดทั้งหลายทั้งแหล่นี้และที่จะทำลายสันติภาพและความสงบสุขอ่ะ :'(

การเชื่อหรือไม่เชื่ออะไรผมว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลนะ เจ้าสำนักต่าง ๆ สารของท่าน ข้อมูลของท่าน นี่ต้องยอมรับว่าดีมากอ่านไปตรงไหนไม่เจอการคุกคามบีบบังคับให้เชื่อเลย มีแต่ทำให้รู้สึกดี (kiss)




"Greetings, dear ones, I am Kryon of magnetic service"

"Greetings Masters ! We greet each of you in this moment with Unconditional Love"

"Greetings Dear Ones, I am Metatron, Lord of Light. I greet you all in Unconditional Love"

" I give these things to you in pure love. There are no conditions here, whether you believe me or not. Whether you believe this is real channelling or not, whether you agree with me or not, I see God in you. And that's good enough for me"

แต่ละคำ แต่ละประโยคของเจ้าสำนักทั้งหลายทั้งแหล่ อ่านแล้วฟังแล้วอบอุ่น รู้สึกดี ถึงบางครั้งผมก็ไม่ได้รับรู้หรือเข้าถึงสิ่งที่เจ้าสำนักทั้งหลายกล่าว แต่ก็บอกตรง ๆ ว่าชอบอ่านชอบฟัง และก็ต้องเคารพตัวเองเรารู้สึกหรือไม่รู้สึกอะไรก็ไม่ต้องโกหกตัวเอง (*)

 

อีกไม่นานความรักจะอยู่เหนือทุกสิ่ง
โอ๋เชื่ออย่างนั้น
และก็ยังยืนยัน ว่ามีแต่ความรักมอบให้กับทุกทุกคน
ปรารถนาอย่างที่สุดที่จะให้ทุุกทุกคนได้พบสิ่งที่ดีดีในชีวิตด้วยกันนะคะ

 

ตอนแรกว่าจะโพสต์เรื่องกายทั้ง 7 ต่อ
แต่พอดีว่าไปเจอข้อมูลส่วนหลังๆของข้อมูลชุดนี้มา
เห็นว่าน่าสนใจดี เลยว่าจะเอามาโพสต์แทรกก่อนหนะนะครับ

มันเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับหลุมพรางของการเลื่อนระดับขึ้น
ซึ่งอันที่จริงแล้ว มันก็น่าที่จะไปอยู่ในส่วนท้ายๆอย่างนั้นแหละถูกแล้ว
แต่พอดีผมเห็นว่า

"มันพอจะมีข้อมูลบางส่วน ที่พอจะสะท้อนให้เห็นถึงระดับจิต
ของคุณ Almine ผู้เป็นเจ้าของข้อมูลชุดนี้ได้อยู่บ้าง"

ก็เลยอยากเอามาแชร์แทรกไว้ก่อนข้อมูลอื่นๆหนะครับ
แต่ก็ไม่ใช่ว่าอยากจะให้ท่านคล้อยตามเพียงอย่างเดียวหรอกนะครับ
เพราะว่าตัวผมเอง ก็อยากจะรู้ด้วยเช่นกันครับ..ว่าเธอน่าจะถึงไหนแล้ว

.............................................................

 

หลุมพรางทั้ง 4 ของการเลื่อนระดับขึ้น (The Four Ascension Pitfalls)

Ascended Masters: Ascension Manual


1). ความกลัว (Fear)


เมื่อเราสามารถสลัดทิ้งความมีอัตตาตัวตน (ego identification) ได้แล้ว
และสามารถกระตุ้น “จิตใจแห่งพระเจ้า” (God mind) ได้แล้ว
เราจะประจักษ์ว่า ” เราคือทุกสิ่งทุกอย่าง”

แต่ก่อนที่เราจะเข้าใจมันได้อย่างเต็มที่นั้น พวกเราจะรู้สึกถึงความ “ไม่มีอะไรเลย”
เราจะพบว่าตัวเราเองกำลังยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
และมันอาจจะทำให้เรารู้สึกกระอักกระอ่วนใจได้ ในช่วงแรกๆที่เราประจักษ์ว่า

“ฉันคือความไม่มีอะไรเลย, ฉันไม่รู้อะไรเลย
และฉันก็กำลังอาศัยอยู่ในสิ่งที่ฉันไม่อาจเข้าใจได้เลย”

ซึ่งความรู้สึกแบบนี้อาจจะผลักดันให้เรา “รู้สึกกลัว” ขึ้นมาได้ เพราะว่าเราอาจจะรู้สึกว่า
เราขยายออกไปกว้างใหญ่จนเกินไป หรือรู้สึกว่าหดตัวเล็กจนเกินไป

ความกลัวนี้ อาจจะรู้สึกคล้ายๆกับว่ากำลังอยู่ในก้นมหาสมุทรอันมืดมิดอย่างนั้นแหละ
ซึ่ง Light worker หลายๆคน ก็จะมาปิดฉากลงที่จุดนี้แหละ

ความกลัวที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปอีกอย่างหนึ่งก็คือ “กลัวสิ่งที่ไม่รู้” ผู้คนส่วนใหญ่
จะกลัวการเปลี่ยนแปลง และถ้าพวกเขาถูกผลักดันให้ไปเร็วจนเกินไป
พวกเขาก็จะหันกลับมาต่อต้านผู้ที่พวกเขาเห็นว่า
คือผู้ที่นำการเปลี่ยนแปลงนั้นมาสู่พวกเขา

ตัวอย่างเช่น ครูคนหนึ่งอาจจะประมาททำลงไปแบบนี้ก็ได้ ก็คือ ถ้าเขาป้อนข้อมูลขั้นสูงเกินไป
เกินกว่าที่นักเรียนพร้อมจะรับได้หละก็ นักเรียนคนนั้น ก็อาจจะหันกลับมาต่อต้านครูผู้นั้นก็ได้
แทนที่จะยอมเชื่อฟังครูสอน และจนทำให้นักเรียนคนนั้นไม่อยากที่จะก้าวไปสู่ขั้นต่อไป

แต่ปัญหาแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ด้วย ถ้านักเรียนคนนั้น
ยังไม่ได้สลัดทิ้งความมีอัตตาตัวตนของตัวเองออกไป
และถ้าครูผู้นั้นกระตุ้นเขาจนใกล้จะถึงจุดแล้ว แต่เขาทำไม่สำเร็จ

เพราะว่าถ้านักเรียนคนนั้น ยังยึดติดกับความทะนงตนอยู่
ego ของเขาก็อาจจะได้รับบาดเจ็บ เพราะฉะนั้น แทนที่จะพยายามใหม่อีกครั้ง
เขาอาจจะเกินให้ร้ายครูผู้นั้นก็ได้

มันจะต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก ที่จะโอบกอดสิ่งที่เรายังไม่รู้ของตัวเราเอง


2). การยึดติดกับความท้าทาย (Addiction to Challenge)


เมื่อเราเริ่มที่จะมองเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของสิ่งที่ปรากฎออกมาให้เห็นได้แล้ว
เราก็จะรู้ว่าเรามีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายในแล้ว แต่เราต้องเจอปัญหาและอุปสรรคในชีวิตซะก่อน
เพราะว่าปัญหาและอุปสรรคเหล่านี้ จะเปลี่ยนความตระหนักรู้ของเรา
และความตระหนักรู้ก็จะนำมาซึ่งของขวัญแห่งพลังอำนาจ

ดังนั้น เราจึงอาจจะพบว่า ตัวเราเองเฝ้าค้นหาแต่พวกมัน ด้วยทัศนคติที่ว่า
“เข้ามาเลยๆ” ซึ่งนี่คือการเสพติดกับความท้าทายแล้วหละ

แต่หลังจากที่เราปลดปล่อยการเสพติดนั้นไปแล้ว และรับมือเฉพาะกับความท้าทาย
ที่เป็นไปเพื่อพัฒนาการขั้นต่อไปของเราเองอย่างแท้จริงแล้วหละก็
เราก็จะได้ความสงบเงียบภายใน และความมั่นใจในตัวเองเพิ่มขึ้นมาอีก

เราจะไม่จำเป็นต้องไปพิสูจน์ตัวเราเองให้ใครเห็น
หรือแม้แต่ให้ตัวเราเองเห็นอีกต่อไปแล้ว


3). ฤทธิ์ หรือ พลังอำนาจ (Power)


ความท้าทายของการมีฤทธิ์ หรือ พลังอำนาจนั้น ก็คือ เราจะมาถึงจุดที่เป็นทางเลือกสูงสุด
ที่เรียกว่า “เส้นทางแห่งการผจญภัยขั้นสูง” (road of high adventure)
มันคือสภาวะที่เราสามารถแสดงปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่ออกมาได้

พวกเราจะมีความสามารถในการทำสิ่งที่น่าประทับใจหลายอย่างเพื่ออวดคนอื่นๆได้
เช่น ทำให้ของเล่นเด็กลอยขึ้นมาได้ หรือเนรมิตลูกบอลแห่งแสงสว่างหลายๆลูกขึ้นมา
แล้วทำให้ลอยไปรอบๆห้องได้ เป็นต้น

แต่ถ้าเราเอาแต่เสพติดในพลังอำนาจนั้น โดยการแสดงอภินิหาริย์ครั้งใหญ่ๆ
ให้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆแล้วหละก็ เราก็จะติดอยู่ตรงนั้นแหละ
ซึ่งพวกพ่อมดหมอผีจำนวนมากมาย ก็พากันไปจบลงที่ตรงนั้นแหละ
เพราะว่ามันเป็นจุดที่ทำให้เกิดการลุ่มหลงมัวเมาได้ง่าย

แต่อีกทางเลือกหนึ่งก็คือ การอ่อนน้อมถ่อมตนจนมากพอ ที่จะทำให้ตัวเอง
กลับมาเป็นนักเรียนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทางเลือกนี้จะทำให้เกิดการเจริญเติบโตต่อไปได้

นักเรียนจะต้องการไปต่อเรื่อยๆ เพราะว่าเขาจะรู้ว่าการมีฤทธิ์หรือพลังอำนาจนั้น
ไม่ใช่จุดมุ่งหมายของเขา เพราะว่ามันเป็นแค่เครื่องมืออำนวยความสะดวก
เพื่อช่วยให้ก้าวไปสู่ขั้นต่อไปได้เท่านั้นเอง

สำหรับนักเรียนคนใดที่มีปัญญากระจ่างแจ้งแล้ว พวกเขาก็จะไม่ขาดอะไรเลย
สำหรับการเป็นอิสระขั้นสูงสุดจากขอบเขตแห่งความตาย

ฤทธิ์ และพลังอำนาจ ขึ้นชื่อว่าเป็นหลุมพรางหลุมใหญ่ที่สุดในจักรวาล
ถ้าใครได้ฤทธิ์มาแล้ว แต่ไม่มีความเคารพในตัวเอง โอกาสที่จะถูกล่อใจ
ให้ใช้ฤทธิ์ไปในทางที่ผิดก็มีอยู่สูงมาก

พวกเราไม่สามารถที่จะใช้ฤทธิ์หรือพลังอำนาจ เพื่อสร้างประโยชน์สุขส่วนตัว
ให้กับตัวเราเองแต่เพียงอย่างเดียวได้ มันจะต้องถูกใช้ไปเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม
ของมวลหมู่มนุษยชาติเท่านั้น

จงจำไว้ว่าจักรวาลจะไม่มอบความรับผิดชอบต่อพลังอำนาจอันไร้ขีดจำกัดนี้
ให้แก่ผู้ที่ไม่สามารถที่จะควบคุมตัวเองได้อย่างเด็ดขาด

บทเรียนที่อยู่เบื้องหลังบททดสอบเกี่ยวกับฤทธิ์และพลังอำนาจนี้
ก็คือเราจะไม่ใช้ฤทธิ์หรือพลังอำนาจของเรา จนกว่าจะได้รับคำสั่ง
จากภายในของเราซะก่อน ซึ่งเป็นคำสั่งที่เกิดขึ้นในขณะที่จิตนิ่งสงบดีแล้ว

และการใช้ฤทธิ์หรือพลังอำนาจดังกล่าวนี้ ก็จะต้องเป็นไปโดยไม่มีความอยากใดๆ
มาเจือปนทั้งสิ้น เพราะว่าถ้าเราไม่มีความอยากในผลของมันแล้ว
เราก็จะไม่ถูกล่อลวงใจให้ใช้ฤทธิ์/พลังอำนาจไปในทางที่ผิด


4). การพักผ่อนในวัยชรา (Relaxing into Old Age)


วัยชรา สามารถเกิดขึ้นในปีไหนก็ได้ มันคือจุดที่เรายอมรับในพลังอำนาจของเราแล้ว
และเราสามารถพักได้แล้ว และเราก็รู้สึกว่าเราได้มาถึงแล้ว

มีปราชญ์หลายคนที่สามารถสลัดทิ้งความมีอัตตาตัวตน (ego) ได้จนหมดสิ้นแล้ว
และได้ไปจากจุดแห่งความว่างเปล่าไปสู่จุดแห่งความเต็มเปี่ยมได้แล้ว
แต่ยอมจำนนต่อความบรมสุขจากภายใน

พวกเขาปล่อยให้ตัวเองนั่งอยู่ข้างๆสถานการณ์ที่น่ากลัวโดยไม่รู้สึกหวั่นไหวแต่อย่างใดเลย
พวกเขาชอบอยู่ลำพังคนเดียว เพราะว่าในความสันโดษนั้น พวกเขาไม่จำเป็นต้อง
หวนกลับมาใส่ใจกับความเป็นไปแบบโลกๆอีกแล้ว ในสภาวะนั้น ความรู้ที่ว่า

“ทุกสิ่งทุกอย่างมันกำลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมันดีอยู่แล้ว”

อาจจะมีมากจนเกินไปก็ได้ ตัวอย่างเช่น พวกเขาจะไม่สนใจว่า
พวกเขาจะอยู่หรือจะตาย, จะหลับหรือจะตื่น, จะกินหรือไม่กิน เป็นต้น

ความบรมสุขล่อใจให้พวกเขาอยากอยู่แต่ในสภาวะแห่งการติดสุขอันนั้น
และไม่อยากยุ่งเรื่องของมนุษย์อีกต่อไปแล้ว

แต่ปัญหาก็คือพลังอำนาจที่พวกเราได้รับมานั้น จะสูญเสียคุณค่าไปโดยเปล่าประโยชน์
ด้วยน้ำมือของเรา ไร้ค่าดั่งเม็ดทราย แล้วเราก็จะสูญเสียมันไป

อีกทั้ง มันจะไม่มีแรงกระตุ้นสำหรับการเจริญเติบโตต่อไป
ดังนั้น แทนที่เราจะเอาแต่จมปลักอยู่แต่กับความพึงพอใจอันนั้น
ถ้าเราหมุนตัวกลับ 180 องศา แล้วพุ่งตัวกลับลงไปสู่การมีประสบการณ์แบบมนุษย์อีกครั้งหนึ่งหละก็
เราก็จะสามารถลื่นไถลผ่านความตายไปได้

ซึ่ง ณ.จุดนั้น พลังชีวิตอันใหม่ ก็จะหลั่งไหลเข้ามาหาเรา
และทำให้วัฏจักรแห่งการแก่ของเรา เดินย้อนกลับ
แล้วเราก็จะเป็นอิสระจากขอบเขตแห่งความตาย (mortal boundary)

…………………………………..

 

โอ้โห...เรื่องหลุมพรางทั้ง 4 นี่ โดนสุดๆค่ะ 5555+
โซ่นั่งหัวเราะกับตัวเองอยู่เนี่ยะ...catt11

 

ฮัดเช่ย .......

บางคนเชื่อเลย โดยไม่สงสัย ก็มี
บางคนสงสัย ก่อนเชื่อ ก็มี
บางคนสงสัย แล้วไม่เชื่อ ก็มี


ขยะ ไร้ประโยชน์ สำหรับคนที่มองไม่เห็นคุณค่า แต่เป็นเงินเป็นทองของหลายๆคน

ทอง มีค่ากับหลายคน เอาไปแขวนคอกิ้งก่า มันว่าหนักหัวเปล่าๆ



ท่าน จขกท อย่าไปหวันไหวอะไรเลย กับคนที่สงสัย (รวมผมด้วย)

เพราะคนที่สงสัย คือคนที่ ตั้งใจ คิดตาม ให้ความสำคัญ ใช้ปัญญาด้วยกับสิ่ง ที่ท่านแปลมา ใช่สักแต่ว่า อ่านผ่านๆ เอาสนุกๆ


หากข้อมูลที่ท่าน แปลมา มันเกิดประโยชน์จริง มันจะพิสูจน์ตัวของมันเองได้ ในวันหนึ่ง

 

ตรงใจผมใช่เลย นี่เลยที่อยากพูดมานาน

 

ผมว่าถ้าใครเข้ามา อ่านแล้ว รู้สึกแบบไหน? อย่างไร? ท่านคงตอบตัวเองได้ดีกว่าใคร? ว่าทำไมน้า? เราจึงไม่เชื่อ ทำไมน้า? เราจึงเชื่อ ทุกอย่าง..ข้างในจะเป็นคำตอบครับ.

ถ้าทุกคนเชื่อเหมือนกัน โลกนี้คงไม่น่าอยู่..(แสดงความเห็นแค่นี้)

 

มี "ข่าวดี"มาฝากครับคุณชยุต

สิ่งที่เราแปลกันมา กำลังสร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้เกิดขึ้นแล้วครับ
มีผู้ติดตามอ่านใจดีท่านหนึ่ง ที่เคยอ่านโนวา อนาลัย และ ข้อความต่างมิติฯ
ท่านติดต่อมา อยากจะให้เราช่วยกันสร้างสิ่งหนึ่งขึ้นนะครับ


นั่นก็คือ "ชุมชนแห่งแสงสว่าง" ที่พี่ๆน้องๆได้พูดถึงกันในกระทู้ต่างมิติฯ
ตอนนี้ฝันพี่เค้าเป็นจริงไปแล้วเกินครึ่ง ท่านบอกว่าได้แรงบันดาลใจจากข้อความดีๆเหล่านี้มาโดยตลอด
พี่เค้ารู้สึกชื่นชมยินดีกับความตั้งใจดีๆของพวกเราทุกคน
บอกว่าเมื่อความคิดของเราตรงกันแล้ว ก็ควรมาช่วยกันสร้างความฝันนั้นให้เป็นจริงด้วยกัน
พี่เค้าเป็นตัวตนต่างร่างร้วมวัตถุประสงค์ของพวกเราน่ะครับ

พี่เขามาพร้อมกับความรัก ความปรารถนาดี ที่จะทำความฝันนั้นร่วมกัน...
เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งครับ

 

จริงเหรอครับ? คุณมี๊ด เป็นข่าวดี สำหรับค่ำคืนนี้เลย 55+ ใครๆที่ไม่เข้าใจพวกเรา วันนึงเค้าต้องเข้าใจครับ. ผมก็โดนเพื่อนต่อว่าอยู่บ่อยๆว่า"เสพข้อมูล จนจะบรรลุอยู่แล้ว" ฮ่า ฮ่า.. ผมไม่ถือสาฮะ เพราะผมเข้าใจตัวเอง..