หลักการกินแบบหยิน-หยาง

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย ublove, 4 ธันวาคม 2011.

  1. ublove

    ublove สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +5
    [​IMG]


    ศาสตร์การกินที่มีมานานของจีน ให้คุณได้มากกว่าการลดน้ำหนัก ด้วยแนวคิดพื้นฐานที่ว่า “อาหารแต่ละชนิดมีกระบวนการย่อยแตกต่างกัน” ถ้ารู้จักเลือกกินอาหารที่เข้ากัน ระบบต่างๆ ในร่างกายก็จะทำหน้าที่ได้เต็มที่ สามารถดูดซึมอาหาร เผาผลาญ และขับของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากเพื่อการเผาผลาญอาหารที่รับประทานเข้าไปให้มีความสมดุลแล้ว ปฏิกิริยาต่ออารมณ์จิตใจก็มีผลเช่นเดียวกัน สุดท้ายแล้วการเลือกรับประทานอาหารที่ส่งผลต่อความสมดุลย์ทั้งร่างกายและจิต ใจจะส่งผลให้มีความงามของรูปร่าง ความอ่อนวัยของผิวพรรณ และมีอายุยืนยาวนานได้

    อาหารประเภทแป้ง


    - ไม่ควรกินแป้งกับอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น ไม่ควรกินขนมปังที่ทาด้วยแยม ราดน้ำผึ้ง หรือโรยน้ำตาล เพราะน้ำตาลจะไปป้องกันการผลิตเอนไซม์ไทอะลิน ซึ่งทำหน้าที่ย่อยแป้ง ให้เลือกเป็นทาเนยที่ทำจากน้ำมันมะกอก เนยถั่ว หรือชีส
    - ไม่ควรกินอาหารจำพวกแป้งกับอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด จำพวกผลไม้รสเปรี้ยว น้ำส้มสายชู เช่น กินก๋วยเตี๋ยวห้ามใส่น้ำส้มสายชู เพราะจะไปขัดขวางการหลั่งเอนไซม์ไทอะลิน ซึ่งทำหน้าที่ย่อยแป้ง

    อาหารประเภทโปรตีน

    - ไม่ควรกินโปรตีนกับอาหารที่มีไขมันหรือน้ำตาลสูงในมื้อเดียวกัน เช่น ไม่ควรดื่มน้ำหวานหลังหรือระหว่างกินสเต๊ก หรือกินกุ้งชุบแป้งทอดจิ้มน้ำสลัดหรือมายองเนส เพราะโปรตีนจะทำให้ระบบการย่อยน้ำตาลช้าลง ซึ่งน้ำตาลควรได้รับการซึมผ่านเข้าสู่ร่างกายทันทีที่กินเข้าไป และไขมันจะไปขัดขวางให้การย่อยโปรตีนช้าลง
    - ไม่ควรกินโปรตีนกับอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดจำพวกผลไม้รสเปรี้ยวในมื้อเดียว กัน เช่น กินไข่ดาว แฮม ตามด้วยน้ำส้ม เป็นต้น เพราะความเป็นกรดจะไปกำจัดการหลั่งของน้ำย่อยเป๊ปซิน ซึ่งมีหน้าที่ย่อยโปรตีน
    - ไม่ควรกินโปรตีนกับแป้ง เช่น ไข่กับขนมปัง สเต๊กกับเฟรนซ์ฟราย เพราะความเป็นกรดและด่างที่ต่างกันมาก จะไปขัดขวางระบบการย่อยอาหาร
    - ไม่ควรกินโปรตีนต่างชนิดในมื้อเดียวกัน เช่น เนื้อวัวกับเนื้อไก่ หรือเนื้อหมู่กับเนื้อปลา ให้เลือกกินเนื้อสัตว์ที่อยู่ในประเภทเดียวกัน เช่น เนื้อวัวกับเนื้อแกะ เนื้อไก่กับเนื้อเป็ด เนื้อปลากับเนื้อกุ้ง หรืออาหารทะเลชนิดอื่น

    ผลิตภัณฑ์นมและของหวาน

    - ไม่ควรดื่มนมหรือโยเกิร์ตพร้อมมื้ออาหารซึ่งจะทำให้เกิดแก๊สในช่องท้อง
    - ไม่ควรกินของหวานหรือผลไม้หลังมื้ออาหาร เพราะจะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง

    อาหารที่ส่งผลต่ออารมณ์ของมนุษย์
    อาหาร ที่ส่งผลต่อการเพิ่มของระดับชีโรโทนินในสมอง เป็นอย่างยิ่งคือ อาหารที่อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต อาหารจำพวกแป้งจำนวนมาก เช่น ข้าว อาหารประเภทเส้นทั้งหลาย เช่น พาสต้า, บะหมี่, มะกะโรนีฯลฯ ขนมหวานสามารถช่วยเพิ่มระดับชีโรโทนินในสมองและตามมาด้วยความสุขสบายและลด ภาวะวิตกกังวล สิ่งนี้ได้พยายามอธิบายว่าทำไมผู้คนทั่วไปจึงรู้สึกง่วงในเวลาบ่ายหลังรับ ประทานอาหารกลางวันมื้อใหญ่ๆ เช่น กินข้าวหรือเส้นพาสต้า ขนมหวานประเภทลอดช่องมา เป็นเช่นนี้ก็เพราะร่างกายได้หลั่งสารชีโรโทนินในสมองพลอยทำให้ง่วงได้
    อาหาร ประเภทคาร์โบไฮเดรตส่งผลโดยตรงต่อระดับชีโรโทนินในสมองเป็นเพราะ Tryptophan ซึ่งทริปโตเฟนเป็นกรดอามิโนตัวหนึ่งที่สร้างชีโรโทนินให้กับสมองนั่นเอง โดย Tryptophan พบมากในกล้วยหอม

    มีสารเคมีของสมองอีกตัวหนึ่งที่สำคัญ ที่เป็นผลกระทบมาจากอาหารนั่นคือ โดปามีนและนอร์อิทิเนฟริน ซึ่งสารดังกล่าวมีส่วนช่วยให้คนเรารู้จักตื่นตัวมีปฏิกิริยาไวต่อสิ่ง กระตุ้น มีความเป็นไปได้ 2 สาเหตุที่ทำให้เกิดปฏิกิริยานี้คือ 1) ระดับชีโรโทนินถูกระงับโดยอาหารจำพวกโปรตีนสูงที่ส่งผลต่อความตื่นตัวและ สมาธิของคนเรา หรือ 2) ระดับโดปามีนและนอร์อิทิเนฟริน ถูกเพิ่มโดยอาหารโปรตีนสูง
    ช็อกโกแลตเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการหลั่งชีโร โทนินและเอนดอร์ฟิน(Endorphin) ในร่างกาย โดยทำให้รู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดี สิ่งนี้อาจจะอธิบายได้ว่าบางคนที่กินช็อกโกแลตจะรู้สึกได้เลยว่าคนนั้นกำลัง อยู่ในอาการเหงาและกำลังต้องการคลายความเหงา (จริงหรือเปล่าลองนึกทบทวนดูค่ะ)
    อาหารที่ส่งผลเร็วไห้เกิดปฏิกิริยาใน เวลาอันสั้น คือการรับประทานทูน่ามื้อกลางวันช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าและมีสมาธิภา ใย 2-3 ชั่วโมงหลังรับประทานเช่นเดียวกับการรับประทานพาสต้าผสมซอสมะเขือเทศ ก็ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายภายใน 2-3 ชั่วโมงเช่นกัน

    ขนาดของมื้ออาหาร

    อีก ปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อความตื่นตัวของผู้คนคือ ขนาดของอาหาร อาหารเที่ยงมื้อหนักที่มีปริมาณคลอเลสเตอรอล 1,000 ขึ้นไป เช่น ในแฮมเบเกอร์ 2 ชิ้น มันฝรั่งทอด หรืออาหารที่ดูดซึมได้ช้าย่อยยาก เช่น ข้าวเหนียวหมูปิ้ง จะเป็นสาเหตุทำให้มีกระแสเลือดไหลเวียนในกระเพาะสูง ใช้เวลานานในการย่อย ส่งผลทำให้กระแสเลือดไหลเวียนไปสมองน้อยลง ทำให้เรารู้สึกง่วง ซึม เพลียได้

    ส่งท้าย
    กล่าวโดย สรุปแล้ว จะพบว่าหากต้องการสวยคงยากจะอารมณ์ดี แต่หากต้องการเป็นคนอารมณ์ดียากจะหุ่นสวย ด้วยว่าอาหารที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์นั้นดูจะเป็นอุปสรรคกับหุ่นงาม การปฏิบัติอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อค่อยๆปฏิบัติด้วยสติคงจะทำได้ไม่ยาก ว่าด้วยหลักการของความสมดุล หรือว่าทางสายกลางคงเป็นสิ่งที่เข้าใจง่ายและปฏิบัติได้ ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงตนเองนะคะ............
    แหล่งที่มา :เว็บไซด์กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2011
  2. ublove

    ublove สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +5
    กินอาหารแบบหยินหยาง

    <dd>พอได้ยินคำว่าหยินหยาง อย่าเพิ่งไปนึกถึงหนังกำลังภายในวะหมดนะคะ หยินหยางในที่นี้นั้นหมายถึงการกินที่ทำให้สุขภาพแข็งแรง ใช่ว่าจะกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่เท่านั้น แต่ต้องรู้จักกินอย่างสมดุลด้วยค่ะ ฉะนั้นเรามาสร้างสมดุลให้ร่างกายด้วยการกินอย่างสมดุล ตามแนวคิดของหยิน หยางกันค่ะ
    </dd><dd>ถ้าคุณมีอาการร้อนในแล้วพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดอาการ ร้อนในยิ่งขึ้น อย่างลำไย ทุเรียน หรือถ้าคุณมีอาการเป็นหวัดคัดจมูก น้ำมูกไหล แล้วพยายามกินพืชผักผลไม้ให้มากขึ้น เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว วิธีคิดและวิธีกินแบบนี้นี่แหละ ที่เข้าข่ายกินตามแบบหยินหยางที่เรากำลังจะพูดกัน
    </dd><dd>เมื่อนำหลักคิดแบบหยินหยางมาใช้กับเรื่องการกิน เราก็จะพิจารณาได้จากการที่อาหารทุกประเภท ล้วนมีภาวะหยินและหยางอยู่ด้วยกันทั้งหมด แล้วแยกแยะว่าอาหารชนิดนั้นๆ มีความเป็นหยินหรือหยางมากกว่ากัน โดยดูที่คุณสมบัติหลักของอาหารชนิดนั้นเป็นเกณฑ์ตัดสิน อย่างพริกไทยมีรสชาติเผ็ดร้อน ก็ถือเป็นอาหารแบบหยาง หรือมะระมีรสชาติขม ถือเป็นอาหารแบบหยินค่ะ
    </dd><dd>ทีนี้เราลองมาดูตัวอย่างอาหารกันค่ะว่า อาหารแบบไหนที่มีภาวะหยิน และอาหารแบบไหนที่มีภาวะหยางมากกว่า
    <dd>อาหารหยิน : อาหาร ที่ให้ความเย็น มีรสชาติเค็ม ขม เปรี้ยว เช่น กล้วย ส้ม สาลี่ อ้อย แตงโม สับปะรด องุ่น มะพร้าว มะละกอ ถั่วเขียว ถั่วฝักยาว ถั่วเหลือง เต้าหู้ ชา แตงกวา มะเขือเทศ บวบ ขึ้นฉ่าย ข้าวโพด ปู เป็ด ห่าน หอยนางรม รวมทั้งอาหารที่ผ่านการปรุงด้วยกรรมวิธีต้ม นึ่ง ตุ๋น
    </dd><dd>อาหารหยาง : อาหารที่ให้ความร้อน มีรสชาติเผ็ด หวาน เช่น ขิง กระเทียม พริก ผักชี มะเขือยาว พริกไทย หอม เนื้อวัว ไก่ มะกอก งาดำ หัวหอม รวมทั้งอาหารที่ผ่านการปรุงด้วยกรรมวิธีทอด ย่าง รมควัน </dd>​
    <table align="center" border="1" cellpadding="7" cellspacing="0" width="350"> <tbody> <tr bgcolor="#e1ffe1"> <th colspan="2">ความต่างระหว่างหยิน – หยาง</th> </tr> <tr> <th bgcolor="#ffaed7">หยิน</th> <th bgcolor="#59acff">หยาง</th> </tr> <tr> <td align="center" bgcolor="#ffe6f2">ความมืด
    ผู้หญิง
    กลางคืน
    ดิน
    น้ำ
    ความเย็น
    ความชื้น
    ลบ</td> <td align="center" bgcolor="#e1f0ff">ความสว่าง
    ผู้ชาย
    กลางวัน
    ฟ้า
    ไฟ
    ความร้อน
    ความแห้ง
    บวก</td> </tr> </tbody> </table>

    </dd><dd>คุณเป็นโรคหยินหรือหยางกันแน่ ?
    </dd><dd>ตามความเชื่อแบบหมอจีนโบราณ โรคแบบหยินและหยางจะแตกต่างกัน โดยสังเกตได้จาก
    <table align="center" border="1" cellpadding="7" cellspacing="0" width="550"> <tbody> <tr> <th bgcolor="#ffaed7">โรคหยิน</th> <th bgcolor="#59acff">โรคหยาง</th> </tr> <tr> <td bgcolor="#ffe6f2">เราจะมีอาการไม่สดใส หน้าซีด ไม่มีแรง ไม่กระหายน้ำ แขน ขาเย็น ขี้หนาว เสียงเบาค่อย หายใจเบา ชีพจรเต้นช้า ปัสสาวะมากและใส อุจจาระน้อยและค่อนข้างเหลว ท้องอืด ลิ้นบวมโต แถมมีสีซีด และมีชั้นฝ้าขาวลื่น</td> <td bgcolor="#e1f0ff">เราจะมีอาการหน้าแดง ตาแดง หายใจแรง เสียงดังใหญ่ ตัวร้อน หงุดหงิด กระวนกระวาย เจ็บคอ คอแห้ง ท้องผูก ชีพจรเต้นเร็ว ลิ้นแห้งแต่มีสีแดงเข้ม มีชั้นฝ้าเหลือง ปัสสาวะเหลืองเข้ม</td> </tr> </tbody> </table>

    </dd><dd>แล้วร่างกายเราอยู่ในภาวะ หยินหรือหยาง ?
    </dd><dd>นอกจากจะดูที่คุณสมบัติของอาหารเป็นหลักแล้ว เราควรดูคุณสมบัติในตัวของเราด้วยว่า ภาวะร่างกายของเราเป็นหยินหรือหยางมากกว่ากัน เช่น ถ้าเรากินอาหารพวกหยางในปริมาณไม่มากเกินไป แล้วเกิดมีอาการเจ็บคอหรือคอแห้ง อย่างนี้แสดงว่าร่างกายเราอยู่ในข่ายพวกหยางค่ะ ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องพยายามหาอาหารพวกหยินมากิน เพื่อให้เกิดความสมดุลขึ้น
    </dd><dd>เพื่อความเข้าใจ ลองคิดตามตัวอย่างที่ยกมานี้ดูนะคะ สมมติว่าเรากำลังกินแกงเลียงที่มีภาวะหยางมากกว่าหยิน เพราะใส่พริกไทย หัวหอม และเครื่องเทศต่างๆ ถ้าเรารู้สึกว่าทุกครั้งที่เรากินแกงเลียงจะเกิดอาการร้อนใน เราอาจตั้งข้อสงสัยได้ว่าร่างกายเรามีภาวะหยางมากกว่าภาวะหยิน ทีนี้เมื่อคิดตามแบบหยินหยางแล้วก็ลองเติมบวบ ใบตำลึง และข้าวโพด (หยิน) เข้าไปมากๆ ในแกงเลียง ก็จะช่วยให้อาหารมื้อนี้เกิดความสมดุลต่อร่างกายเรามากขึ้น อาการร้อนในก็จะลดลงหรือไม่เกิดขึ้น
    </dd><dd>ในทางกลับกัน ถ้าเรากินอาหารพวกหยินปริมาณไม่มากนัก แต่เกิดอาการท้องอืด มึนหัว นั่นแสดงว่าร่างกายเราอยู่ในภาวะของหยินมากกว่าหยาง ดังนั้น การกินอาหารหยินที่เย็นมากๆ เช่น บวบ ผักกาดขาว ในช่วงที่ร่างกายเราไม่ค่อยแข็งแรง จะทำให้ร่างกายฟื้นตัวช้า
    </dd><dd>จากหลักการกินข้างต้น จะช่วยเรารู้ได้ค่ะว่า นอกจากจะต้องเลือกอาหารที่ทำให้ภาวะร่างกายเราสมดุลแล้ว เราควรดูด้วยว่าตัวของเรานั้นอยู่ในภาวะหยินหรือหยางด้วย เพื่อช่วยให้การกินอาหารนั้นๆ ได้ประโยชน์สูงสุด และช่วยให้ภาวะในร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอค่ะ
    <hr>
    เรียบเรียงใหม่จากบทความพิเศษจากหนังสือนิตยสารรักลูก
    </dd>
     
  3. ublove

    ublove สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +5
    การทานอาหารเช้าเพื่อสุขภาพ แบบหยินหยาง

    <ins style="display:inline-table;border:none;height:60px;margin:0;padding:0;position:relative;visibility:visible;width:468px"><ins id="aswift_1_anchor" style="display:block;border:none;height:60px;margin:0;padding:0;position:relative;visibility:visible;width:468px"></ins></ins> [​IMG]

    การดูแลรักษาสุขภาพ ในทางการแพทย์แผนจีน จะให้ความสำคัญในการรักษาสมดุลของระบบร่างกาย ให้มีความเป็นหยินและหยางที่พอดีกัน เมื่อหยินและหยางมีความสมดุล การเกิดโรคภัยและความเจ็บป่วยก็ย่อมห่างไกล

    แต่ด้วยการดำรงชีวิตในปัจจุบัน มีความเร่งรีบแข่งกับเวลา การผจญชีวิตบนท้องถนนเพื่อแข่งกับเวลาของการเดินทางต่างๆ ทำให้ผู้คนในเมืองมีความเร่งรีบ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้ร่างกายได้รับอาหารไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะอาหารมื้อเช้า และทำให้เกิดปัญหาต่อระบบชี่ในร่างกาย ดังนั้นวันนี้แตงกวาจะมาแนะนำการดูแลสุขภาพมื้อเช้า สำหรับพวกเราชาวเมืองที่เร่งรีบกัน

    1. การอาบน้ำชำระร่างกายตอนเช้า ควรอาบด้วยน้ำที่อุ่นเล็กน้อย
    ไม่ ควรที่จะให้ร่างกายที่เพิ่งตื่นนอนในตอนเช้าถูกราดรดด้วยน้ำที่เย็น เพราะในการพักผ่อนที่ผ่านมา ร่างกายเราอยู่ในสภาวะหยิน หรือการนอนหลับมาเป็นเวลานาน จึงต้องปรับชี่ในร่างกายด้วยการอาบน้ำอุ่นขึ้นเล็กน้อย เพื่อปรับอุณหภูมิร่างกาย อย่าประมาทไปค่ะ มีปรากฎมาแล้ว ตื่นมาสดชื่นดี แต่พอเข้าไปอาบน้ำเย็นยามเช้า เกิดอาการวิงเวียน แบบหน้าจะมืด เพราะร่างกายปรับตัวไม่ทัน เรียกว่าน๊อคค่ะ เช้านั้นเลยมึนงงไปทั้งวัน

    2. ตื่นนอนตอนเช้า ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 1-2 แก้วค่ะ ถ้าเป็นน้ำอุ่นได้จะดีทีเดียว ก็เพื่อให้เกิดความเป็นหยาง น้ำเย็น น้ำผลไม้แช่เย็น ควรงด

    3. ควรรับประทานอาหารมื้อเช้า
    เป็นประจำอย่าให้ขาด

    เพื่อ ให้พลังงานหยางแก่ร่างกาย ซึ่งทางการแพทย์ได้มีการยืนยันแล้วว่า มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด และมีผลต่อสุขภาพร่างกายในระยะยาว โดยเฉพาะเรื่องภูมิคุ้มกันนี่แหละ สำหรับคุณๆ ที่ทำงานหรือน้องๆ นักเรียน นักศึกษา ที่ต้องเร่งรีบแข่งกับเวลา อาจรับประทานอาหารมื้อเช้าไม่ทัน แตงกวามีอาหารด่วนให้เลือกแก้ปัญหาดังนี้

    3.1 สำหรับท่านที่ชอบรับประทานนมอยู่แล้ว
    ตอน เช้าห้ามทานนมที่แช่เย็นน่ะค่ะ เพราะร่างกายอยู่ในช่วงวอร์มอัพค่ะ แตงกวาขอแนะนำให้อุ่นนมให้อุ่นเล็กน้อย โดยแช่น้ำร้อนก็พอ ไม่ต้องขนาดไปต้มใหม่ในหม้อน่ะเจ้าค่ะ ถ้ามีไมโครเวฟก็ตามสะดวก หรือถ้าซื้อมาเป็นกล่อง UHT ก็ไม่ต้องเข้าตู้เย็น ไว้อุณหภูมิห้องไปเลยก้อใช้ได้แล้ว ถ้าจะทานร่วมกับพวกคอนเฟลก ให้นำนมไปอุ่นร้อนก่อน

    3.2 หากมีเวลา ควรรับประทานอาหารที่ร้อนๆ เช่น ข้าวต้ม ข้าวต้มกระดูกหมู หรือข้าวต้มทรงเครื่อง โจ๊ก ต้มเลือดหมู ข้าวแกงร้อนๆ ฯลฯ เพื่อให้ร่างกายตื่นตัวได้รับสารอาหาร ช่วยปรับอุณหภูมิร่างกายให้พร้อมทำงาน เหมือนเครื่องยนต์ที่วอร์มเครื่องพร้อมทำงาน

    3.3 หากมีเวลาน้อยไปอีก คราวนี้ต้อง โอวัลติน ชาร้อน เต้าฮวยน้ำขิง บัวลอยน้ำขิง น้ำเต้าหู้ค่ะ ซื้อไปนั่งทานที่ทำงานกันเลย แต่ขอเน้นว่า...การทานที่ถูกต้องตามหลักหยินหยางและได้ประโยชน์ คุณต้องมีปาท่องโก๋ควบคู่ด้วยค่ะ เพราะว่าพวกโอวัลติน ชาร้อน น้ำเต้าหู้ จะเป็นกลุ่มอาหารที่เป็นธาตุหยิน แต่ปาท่องโก๋จะเป็นอาหารธาตุหยาง เมื่อทานพร้อมกันจึงจะดี ขนาดคนฮ่องกงทานโจ๊กกันทุกเช้า ก็ต้องมีปาท่องโก๋เป็นเพื่อนเลยค่ะ

    4. หลีกเลี่ยงการทานของที่เย็นจัด
    เครื่องดื่มที่ใส่น้ำแข็ง เครื่องดื่มที่แช่เย็นตามตู้แช่ หรือเครื่องกดตามร้านสะดวกซื้อ

    5. หมั่นออกกำลังกาย ตามสภาพร่างกายในวันหยุดบ้าง

    เหล่า นี้เป็นวิธีดูแลสุขภาพและอาหารการกินอย่างง่ายๆ เพื่อสุขภาพของคุณ ที่สำคัญก่อนซื้อหาก็ต้องดูเรื่องความสะอาดด้วย เพียงเท่านี้ร่างกายของคุณก็จะมีสุขภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันโรค ได้ตามระบบของธรรมชาติ ถ้าคุณทานอาหารทุกเช้า หมั่นออกกำลังกาย ระบบต่างๆ ในร่างกายก็จะแข็งแรงโดยไม่ต้องพึ่งยา เพราะยาไม่ใช่อาหารค่ะ

    ขอบคุณที่มาจาก เกจิอาจารย์ดอทคอม
     
  4. ublove

    ublove สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +5
    อาหารที่เป็น 'หยิน' - ถั่ว อัลมอนด์ แอปเปิ้ล กล้วยหอม หน่อไม้ ข้าวบาร์เลย์ ถั่วดำ บรอคโคลี แครอท กะหล่ำปลี เซเลอรี กะทิและเนื้อมะพร้าว เนื้อปู แตงกวา เนื้อเป็ด ไข่ขาว มะเขือม่วง ปลาเนื้อขาว เกรพฟรุต ชาเขียว หมูแฮม ฮ็อบส์ ผักเคลป์และสาหร่ายทะเลทุกชนิด ผักกาดทุกชนิด รากบัว มิ้นท์และเปปเปอร์มิ้นท์ แตงโมและเมลอนทุกชนิด เห็ด ส้ม หอยนางรม ลูกแพร์ ไดก็อนรูท เกลือ เมล็ดงา ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองทุกชนิด ผักโขม มะเฟือง สตรอเบอรี่ มะเขือเทศ แห้ว มันเทศ โยเกิร์ต

    อาหารที่เป็น 'หยาง' - พริก หวาน พริกไทยดำ น้ำตาลทรายแดง เนย เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ชีส เชอรี่ ตับไก่ ชอคโกแลต อบเชย กาแฟ ผงกะหรี่ พุทราจีน ไข่แดง อาหารทอดทุกชนิด กระเทียม ขิง ฝรั่ง สมุนไพรต่างๆ เนื้อแกะ ลำใย เปลือกส้มแห้ง ลูกจันทน์ หัวหอม ส้มตากแห้ง ลูกพีช เนยถั่ว น้ำมันต่างๆ อาหารอบต่างๆ แตงกวาดอง ราสเบอรี่ โรสแมรี เซจ น้ำมันงา นมแพะ โสมไซบีเรียน กุ้งเล็ก ปลาและเนื้อสัตว์รมควัน ไก่งวง น้ำส้มสายชูหมัก วอลนัท วิสกี้และไวน์

    อาหารสมดุล 'หยิน/หยาง' -
    เป๋าฮื้อ ถั่วอาซูกิ แอปริคอท หน่อไม้ฝรั่ง เนื้อวัว บีทรูท เมล็ดงาดำ ข้าวกล้อง เชอรี่ กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ เนื้อไก่ ข้าวโพด ไข่ทั้งฟอง มะเดื่อ องุ่น แฮม น้ำผึ้ง ถั่วแดง โสมเกาหลีขาว ชะเอม นมวัว ข้าวโอ๊ต น้ำมันมะกอก มะละกอ สับปะรด บ๊วยสด เนื้อหมู มันฝรั่ง ฟักทอง ลูกเกด ข้าว แซลมอน ปลากระพง และปลาเทร้าท์ สาหร่ายทะเล ถั่วเหลือง น้ำตาล ปลาทูน่า ข้าวสาลีและจมูกข้าวสาลี



    From: นิตยสาร her world

    ที่มา communities.gmember.com/variety/variety_content.php?groups_id=5
     
  5. ublove

    ublove สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +5
    <iframe width="480" height="360" src="http://www.youtube.com/embed/V-BWgBglheQ" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  6. ublove

    ublove สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +5
    " หยิน - หยาง " ... มิติใหม่แห่งการกินเพื่อสุขภาพ

    อยู่เพื่อกิน หรือกินเพื่ออยู่ ? .... อาจดูเป็นคำถามชวนให้วิงเวียนศีรษะอยู่ไม่น้อย
    แต่ ... เพียงท่านใส่ใจสักนิด ท่านอาจจะ มีชีวิตที่คาดไม่ถึง เลยทีเดียว ​

    คาดไม่ถึงแรก ... หากเลือกที่จะอยู่เพื่อกิน .. ชีวิตท่านกำลังก้าวไปสู่ความเจ็บป่วยโดยไม่รู้ตัว นั่นเป็นเพราะสรรพสิ่งล้วนแล้วแต่มีพลังด้านมืด ( พลังหยิน ) และพลังด้านสว่าง ( พลังหยาง ) .. อาหารก็มีพลังเหล่านี้เฉกเช่นเดียวกันหากแต่ ... สามารถรวมพลังสองสิ่งเข้าด้วยกันไปกับการกินเพื่ออยู่ได้นั้น ท่านก็จะพบกับสิ่งที่คาดไม่ถึงอีกประการหนึ่ง คือ ความสมดุลแห่งชีวิตนั่นเอง มาเถิดมา ... มาบรรเทาโรคภัย ( ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค ) คืนความสมดุลให้แก่ร่างกาย

    ด้วยการแก้ที่ต้นเหตุ คือ อาหารการกิน ( เลี่ยงอาหารที่ไปกระตุ้นให้เกิดอาการ คือ อาหารด้านหยิน และหันมากินอาหารบรรเทาอาการ คือ อาหารด้านหยาง ) และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ( เป็นพฤติกรรมด้านหยาง ) .. กันเถิด ...​
    [​IMG]

    อาการปวดศีรษะไมเกรน

    อาหารด้านหยิน : ไวน์แดง ข้าวโพด มะนาว ส้ม ข้าวสาลี กาแฟ ชา ช๊อคโกแลต ไข่ กล้วย และถั่วลันเตา
    อาหารด้านหยาง : อาหารที่มีแมกนีเซียม แคลเซียม และเส้นใยมาก
    พฤติกรรมด้านหยาง : กินอาหารให้ตรงเวลา

    อาการลำไส้แปรปรวน

    อาหารด้านหยิน : ชา กาแฟ ข้าวสาลี ไขมันต่าง ๆ นม ส้ม และมะนาว
    อาหารด้านหยาง : น้ำมันสาระแหน่

    โรคไข้ข้ออักเสบ

    อาหารด้านหยิน : กาแฟ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ส้ม มะนาว ข้าวโพด ข้าวสาลี มันฝรั่ง และมะเขือเทศ
    อาหารด้านหยาง : ไวน์ขาว และไวน์แดง

    อาการแพ้อากาศ

    อาหารด้านหยิน : มะเขือเทศ เมลอน พลัม แอปเปิ้ล ขึ้นฉ่าย และ แครอท
    อาหารด้านหยาง : ปลาที่มีไขมันมาก หัวหอม ส้ม ชา มะนาว กระเทียม และอาหารที่มีแมกนีเซียมสูง

    อาการก่อนมีประจำเดือน

    อาหารด้านหยิน : กาแฟ น้ำตาล แอลกฮอล์ เกลือ และช๊อคโกแลต
    อาหารด้านหยาง : อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ๆ ( ช่วยลดความแปรปรวนของอารมณ์ และความหิว ) อาหารที่มีแมกนีเซียมสูง สมุนไพรแอ๊กนัสและคาสทัส ( ช่วยสร้างสมดุลให้กับฮอร์โมน )
    พฤติกรรมด้านหยาง : ควรกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ

    เมื่อปรับเปลี่ยนวิถีการกิน ...แล้วท่านจะเข้าใจถึงคำว่า " ชีวิตที่ปราศจากโรค มีความสุขเหนือสิ่งอื่นใด" เป็นเช่นไร

    อ้างอิง
    ความหมายหยินและหยาง. ( 2550 ).( ออนไลน์ ).​
    แหล่งที่มา : Yahoo! รู้รอบ - สัญลักษณ์หยินหยางมีความหมายว่าอะไร?
    วันที่สืบค้น 8 กุมภาพันธ์ 2552.​

    พลังหยินและหยางของธาตุทั้ง 5. ( 2548 ). ( ออนไลน์ ).​
    แหล่งที่มา : http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=7204
    วันที่สืบค้น 8 กุมภาพันธ์ 2552.​

    AIA. (ม.ป.ป.)." วิธีล้างพิษสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ " ใน ชีวิตปราศจากโรค มีความสุขเหนือสิ่งอื่นใด. หน้า 56-57. ( ม.ป.ท .).​
     
  7. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    ได้รับความรู้เพิ่มเติมมากจร้า ขออนุโมทนาในบุญด้วยจร้า
     
  8. Sukthara

    Sukthara เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2009
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +144
    เท่าที่ศึกษามา รายละเอียดในข้อมูลที่โพสต์ ยังไม่ถูกตรงนัก
    มีสิ่งที่น่าสนใจแต่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่สามารถนำไปปฏิบัติตามได้เลย
    โปรดใช้วิจารณญาณในการศึกษาเรื่องหลักการกินให้มากกว่าที่จะทำตามข้อมูลเหล่่านี้นะคะ
    ไม่เช่นนั้นจะเกิดอันตรายต่อการดูแลสุขภาพได้โดยรู้เท่าไม่ถึงการ
    (ที่กล่าวมาเน้นข้อมูลตัวหนังสือนะคะ ไม่รวมในวีดีโอ)

    เรื่องการกินเพื่อปรับสมดุลย์ร้อน-เย็น แนะนำให้ศึกษาจากคุณหมอเขียว ศูนย์การเรียนรู้การบำบัดสุขภาพวิถีพุทธฯ รพ.อำนาจเจริญ จ.มุกดาหารค่ะ
     
  9. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    เท่าที่ดู เข้าใจว่า การกินแบบหยิน-หยาง เป็นศาสตร์การกินเพื่อปรับสมดุลร่างกายแบบจีน
    แต่การบำบัดสุขภาพวิถีพุทธของหมอเขียวที่มุกดาหาร เป็นศาสตร์ปรับสมดุลร้อน เย็น โดยหลักธาตุทั้งสี่ เข้ากับวิถีชีวิตของคนในแต่ละท้องถิ่น รวมศาสตร์อื่นๆด้วย เช่นความกลมกลืน ความเป็นธรรมชาติ จิต .
    ไม่รู้เข้าใจถูก รึป่าว คะ ?
    ทั้งหมด นี่ น่าศึกษาไว้เป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพ
    เพราะความบกพร่องของแต่ละคนไม่เท่ากัน ฉะนั้นการนำไปใช้ต้องพิจารณาให้ดีก่อน ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...