สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ฐาณัฏฐ์, 9 ธันวาคม 2011.

  1. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    วิปัลลาสสูตร

    [๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส ๔
    ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ

    สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาสในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ๑
    ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ๑
    ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน ๑
    ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ๑
    สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส ๔ ประการนี้แล

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ

    สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง ๑
    ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ ๑
    ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน ๑
    ในสิ่งที่ไม่งามว่าไม่งาม ๑
    สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ๔ ประการนี้แล ฯ


    เหล่าสัตว์ผู้ถูกมิจฉาทิฐิกำจัด มีจิตฟุ้งซ่าน มีความสำคัญผิด

    มีความสำคัญในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง สำคัญในสิ่งที่เป็นทุกข์

    ว่าเป็นสุข สำคัญในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน และสำคัญในสิ่งที่

    ไม่งามว่างาม สัตว์คือชนเหล่านั้น ชื่อว่าประกอบแล้วในเครื่อง

    ประกอบของมาร ไม่เป็นผู้เกษมจากโยคะ มีปรกติไปสู่ชาติ

    และมรณะ ย่อมไปสู่สงสาร ก็ในกาลใด พระพุทธเจ้าทั้งหลาย

    ผู้กระทำแสงสว่าง บังเกิดขึ้นในโลก พระพุทธเจ้าเหล่านั้น

    ย่อมประกาศธรรมนี้เป็นเครื่องให้สัตว์ถึงความสงบทุกข์ ชน

    เหล่านั้น ผู้มีปัญญา ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น
    แล้ว ได้จิตของตน ได้เห็นสิ่งไม่เที่ยงโดยความเป็นของไม่

    เที่ยง ได้เห็นทุกข์โดยความเป็นทุกข์ ได้เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตน

    ว่าไม่ใช่ตน ได้เห็นสิ่งที่ไม่งามโดยความเป็นของไม่งาม
    สมาทานสัมมาทิฐิ จึงล่วงทุกข์ทั้งปวงได้ ฯ


    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
    อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต

     
  2. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    จิตวิปลาส เห็นเป็นตน ของตน กันอยู่รึเปล่าเอ่ย
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ยังเห็นตนเป็นของตน [​IMG] อยู่เสมอ คอมเฟริ์มว่า จิตวิปลาส

    ฉันผิดไหม ที่เห็นแบบนี้ รู้ว่าจิตวิปลาส ได้แค่นั้น
    อยู่ในระหว่างรักษาอาการจิตวิปลาส ด้วยตนเองอยู่
     
  4. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    เป็นปกติ ใครๆเขาก็เป็นกัน

    แต่ถ้าศึกษาธรรม เห็นความไม่เที่ยงทิ่มตาอยู่ แล้วเฉเข้าอัตตา เห็นเที่ยงอยู่ ก็เข้าทางอัตตาทิฏฐิ

    เป็นกันเยอะในแวดวงธรรมชั่วโมงบินสูง
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ยังรักตัว กลัวตัวเองจะตายอยู่
    ยังไม่ปล่อย ยังไม่ยอมวาง เกิดปุ๊บงับปั๊บ แล้วค่อยๆดับไป
    เกิดก็ไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีก็เป็นตัวเป็นตนอีกแล้ว [​IMG]

    ดับไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันเกิดใหม่เปลี่ยนไปอีกแล้ว

    ก็ศึกษาธรรมกันไป ภาวนากันไป ไม่ท้ออยู่แล้ว
     
  6. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    มันตายอยู่ตลอดเวลาที่เกิดดับ

    ที่กลัวตาย ที่จริงต้องดูขณะนั้นกลัวเป็นโทสะ กุกุจจะ มัจฉริยะ หรืออะไร

    กลัวตาย เสียดายทรัพย์ เสียดายของกู หรือ ห่วงอะไรที่ตนก็ไม่รู้

    กลัวตาย กลัวเจ็บ กลัวทรมาน กลัวไม่สบายกาย หรือ กลัวเวทนาขันธ์ที่ปรากฏ

    กลัวตาย ไม่รู้สาเหตุ คิดขึ้นมาเฉยๆ กลัวตายเพราะความคิด ความฟุ้ง ความรำคาญใจ ฯลฯ

    แต่โดยเนื้อแท้ คือ โมหะ

    ความไม่รู้ ต้องอาศัยค่อยๆระลึกรู้ ดับความติดข้องในตนทีละขณะ

    สติระลึกรู้ลักษณะอาการไป ว่า สิ่งที่คิดเป็นเรื่องราวนั้นเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นนั้น ใช่ตัวตนไหม

    หรือ เกิดขึ้นพร้อมกับ ทำกิจให้จิตรู้ แล้วดับไปพร้อมกับจิตอยู่ขณะนี้

    :cool:


    ส่วนเรื่องดับ ปัญญาต้องรู้ว่าอะไรดับ อะไรยังมีอยู่

    ดูจนมันค่อยๆดับไปเอง อย่างเพิ่งไปทิ้งมัน ดูไปเรื่อยๆ

    ตอนดับนั้น ถามว่า รูปดับ นามดับ หรือ ลักษณะที่รู้มันดับหนอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ธันวาคม 2011
  7. GoingMarry

    GoingMarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +124
    โรคนี้รักษายาก ต้องออกกำลังกายเยอะๆ ถึงอย่างนั้นก็หายยากอยู่ดี:'(
     
  8. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    กูรูบอกว่า เจอน้ำเน่าที่ไหน อย่าสักว่านั่งดู

    ให้ โยน Em Boll ที่นั่น ดูจนน้ำมันใส

    จนเห็นน้ำเน่าได้ ก็ใสได้ ขึ้นได้ ก็ลดได้ ^^
     
  9. wavepoo

    wavepoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +113
    โมทนากับทุกท่านครับ ผมเองก็ยังเห็นว่า ที่ตัวเองบอกว่าไม่เที่ยงนี่ รู้สึกว่ายังไม่เที่ยงจริงๆ ครับ สักแต่จำมาสัญญา ซะเยอะ พยายามปรับแก้ไขใจ เช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ธันวาคม 2011
  10. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    คุณพี่หลง ซำบายดีบ่ :cool:
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ดูไปเรื่อย ยังไม่ทิ้ง อยู่แล้ว

    ที่ถามว่า รูปดับ นามดับ หรือ ลักษณะที่รู้มันดับหนอ ยังบอกไม่ได้ (ไม่อยากตอบตามตำราเพราะรู้ๆกันอยู่)
    แต่รู้ว่า มันไม่อยู่ในลักษณะเดียว มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ รู้สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
    มันไม่เที่ยง คงอยู่ในลักษณะเดิมไม่ได้

    เอาเรื่อง อชิตมานพถามปัญหาพระศาสดามาฝาก
    พระบรมศาสดาทรงประทานโอกาสอนุญาตแล้ว อชิตมาณพผู้เป็นหัวหน้า จึงกราบทูลถามปัญหาทีแรก ๔ ข้อว่า

    โลก คือ หมู่สัตว์อันอะไรปิดบังไว้ จึงหลงดุจอยู่ในความมืด เพราะอะไรเป็นเหตุจึ้งไม่มีปัญญาเห็นปรากฏ พระองค์ตรัสว่าอะไรเป็นเครื่องฉาบไล้สัตว์โลกนั้นให้ติดอยู่ ตรัสว่าอะไรเป็นภัยใหญ่ของสัตว์โลกนั้น

    พระบรมศาสดาทรงพยากรณ์ว่า โลก คือ หมู่สัตว์อันอวิชชา คือ ความไม่รู้แจ้งปิดบังไว้ จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด เพราะความอยากมีประการต่าง ๆ และความประมาทเลินเล่อ จึงไม่มีปัญญาเห็นปรากฏ เรากล่าวว่า ความอยากเป็นเครื่องฉาบไล้สัตว์โลกให้ติดอยู่ และเรากล่าวว่า ทุกข์เป็นภัยใหญ่ของสัตว์โลกนั้น ฯ

    อชิตมาณพ

    ขอพระองค์จงตรัสบอกว่า อะไรเป็นเครื่องห้าม เครื่องปิดกั้นความอยาก ซึ่งเป็นดุจกระแสน้ำหลั่งไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง ความอยากนั้นจะละได้เพราะธรรมอะไร?

    พระพุทธเจ้า

    เรากล่าวว่า สติเป็นเครื่องห้าม เป็นเครื่องป้องกันความอยาก และความอยากนั้น จะละได้เพราะปัญญาฯ

    อชิตมาณพ

    ปัญญา สติ กับ นามรูปนั้น จะดับไป ณ ที่ไหน ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลถามแล้ว ขอพระองค์ตรัสบอกความข้อนี้แก่ข้าพระพุทธเจ้า?

    พระพุทธเจ้า

    เราจะแก้ปัญหาที่ท่านถามถึงที่ดับของนามรูปทั้งหมด ไม่มีเหลือแก่ท่าน เพราะวิญญาณดับไปก่อน นามรูปจึงดับไป ณ ที่นั้นเองฯ

    อชิตมาณพ

    ชนได้เห็นธรรมแล้ว (ได้บรรลุมรรคผลแล้ว) และชนผู้ยังต้องศึกษาอยู่สองพวกนี้มีอยู่ในโลกเป็นอันมาก ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบทูลถามถึงความประพฤติของชนพวกนั้น พระองค์มีปัญญาแก่กล้า ขอจงตรัสบอกแก่ข้าพระพุทธเจ้า?

    พระพุทธเจ้า

    ภิกษุผู้ได้เห็นธรรมแล้ว และชนผู้ต้องศึกษาอยู่ต้องเป็นคนไม่กำหนัดในกามทั้งหลาย มีใจไม่ขุ่นมัว ฉลาดในธรรมทั้งปวง มีสติอยู่ทุกอิริยาบถฯ

    บรรลุพระอรหันต์

    ครั้นสมเด็จพระบรมศาสดา ทรงพยากรณ์ปัญหาที่อชิตมาณพกราบทูลถามอย่างนี้แล้ว ในที่สุดการแก้ปัญหา อชิตมาณพก็ได้สำเร็จพระอรหัตผล (ก่อนอุปสมบท) เมื่อจบโสฬสปัญหาพยากรณ์แล้ว อชิตมาณพพร้อมด้วยมาณพสิบห้าคน กราบทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหุภิกขุอุปสัมปทา ท่านพระอชิตะดำรงชนมายุอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพานฯ...

    อ่านเพิมเติมได้ที่
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka...30&A=170&Z=643

    http://www.geocities.com/piyainta/ab18.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2011
  12. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    คุณพี่หลง ผมไม่ค่อยเข้าใจ เลยไม่รู้จะอธิบาย ว่า รูป หรือ นามดับ
    มันไม่มี พอมันมี(เกิด) มันก็มี(ดับ)แล้วมันก็ว่าง(ไม่เกิด) ตรงช่องว่าง นี่ล่ะ ที่ตัดสายทุกข์
    คุณพี่หลง พอจะอธิบายได้ไหมครับ
     
  13. tOR_automotive

    tOR_automotive เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    582
    ค่าพลัง:
    +184
    แล้วไปยังเมืองนิพาน พบพระสมเด็จองค์ปฐมนี้ จะละได้ยังไงครับ
    เรียกว่าอะไรวิปลาสหรือเปล่า
     
  14. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    เรียกว่าอะไรๆก็วิปลาส

    เจริญสติปัฏฐาน นามรู้นาม รู้แต่สิ่งที่มีจริง
     
  15. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    มันมีแนวอะไรดับก็ไม่รู้ อะไรเกิดก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันเกิดและดับ

    ทั้งที่จริงลักษณะต่างๆของรูป และนามนั้น มันมีลักษณะเฉพาะตัวให้รู้ให้เข้าใจได้ ปัญญาสามารถจำแนกลักษณะเหล่านั้นได้

    เมื่อจำแนกได้ อะไรเกิดก็รู้ว่า สิ่งนี้เกิดอยู่ อะไรดับก็รู้ว่าสิ่งนั้นกำลังดับไป

    ส่วนอะไรเกิด อะไรดับก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันดับ สงบ นิ่ง ว่าง แต่ว่างจากอะไรก็ไม่รู้

    จมแช่กับสิ่งที่ไม่รู้ว่าคืออะไรนั้น ไม่เป็นปัญญาหรอก

    อาจจะมาคนละทางกับจิตตินนท์ อะิบายหย่อยสิ ว่า ดับสายทุกข์นั้น รู้ได้อย่างไรว่านั้นคือทุกข์ นั้นคือทุกข์ดับ
     
  16. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ไม่รู้จะเรียกว่าอย่างไรครับ
    ส่วนที่เรียกว่าสายทุกข์นั้น
    ในขณะที่เรารู้สึก รับความทุกข์ แต่แรก จะรู้ว่า นี่รู้สึกโกรธ นี่รู้สึกพอใจ นี่รู้สึกดีใจ
    แล้วพอเราดูๆไป ก็จะคิดเห็นว่า หายโกรธ หายไม่พอใจ จะสลับสับเปลี่ยนไป
    จะเห็นเอาว่า บางทีเราเสียใจนาน ดีใจนาน บางทีข้ามวันข้ามคืน
    นั่นเรียกว่าขณะแรกครับ
    พอเราดู เห็น รู้จัก สติ รู้จักสัมปชัญญะ รู้จักสติตั้งมั่น
    ก้จะพอจำแนก แยกแยะอารมณ์ ที่ดูรู้อยู่ได้ เป็น ขณะๆ ไป
    เรียกว่า เริ่มจากเห็นหยาบๆ คือลมหายใจ คือกาย
    แล้วไปรู้ เวทนา รู้จิต รู้ธรรม
    จากนั้น มันก้ยังเห้นว่า แค่รู้ มันไม่ได้ทำให้หายทุกข์
    คำถามจึงมาตันที่ แล้วทุกข์ที่แท้คืออะไร คืออาการที่เรารู้สึกหรือ
    จึงเป้นเหตุให้ค้นหา ตามรู้ บ้าง ดูๆๆ แต่มันก็ไม่หาย
    ผมจึงเริ่มวางสงสัย คือช่างมัน มันจะบีบจะเค้นยังไง ก็ให้รู้เฉยๆ
    ตั้งอยู่ที่ลมหายใจ ภวนา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    มันไม่แน่ ดูอาการบีบคั้นนี่ไว้ ทุกข์ไหม ทรมานไหม
    ดูๆ ไป ภวนาไป ทำการงานไป ช่างมันไป
    ทำๆไปก็มารู้ เห้น สายของทุกข์ที่รู้ว่ามันมีสาย ก็เพราะ เราดูความรู้สึก มันเหมือนจะทุกข์นาน แต่จริงๆ ขณะนั้น มันไม่นาน อาการบีบคั้นตรงนั้นมันเกิด แล้วมันก็ดับ ยิบๆ ๆ
    แต่พอเราไม่รู้ เจ้ายิกๆมันจึงต่อกันเป็นเรื่องราว เป็นอารมณ์
    ที่นี้ การไปเห็นอาการบีบคั้นไปเห็นอย่างไร
    เป้นการเทียบเคียงครับ
     
  17. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    แล้วเทียบเคียงอย่างไร
    ก็ต้องมารู้ที่ สติตั้งมั่น มีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์
    ขณะนั้นๆ จะปรากฏชัด
    ขณะตั้งมั่น อารมณ์เดียว มีทุกข์ไหม มีสุขไหม
    แล้วทุกข์มันมายังไง เหตุอย่างไร อาการอย่างไร
    ตรงนี้ มันจึงมีแค่ ทุกขัง เท่านั้น ที่กระเพื่อม ที่สั่น
    ผมจึงบอกได้แค่ เทียบเคีียง เท่านั้น
     
  18. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ทุกขเวทนา สุขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ๓ อย่างนี้ มีลักษณะอาการแตกต่างกันไป

    แต่หมายรวม คือ เวทนาขันธ์ มีอาการเสวยอารมณ์ หรือ สัมผัสอารมณ์เป็นลักษณะ

    เช่น ผัสสะเกิด ความรู้สึกทางกายเกิด ความรู้สึกทางใจเกิด คิดว่าคงเข้าใจ

    ตอบแบบบ้านๆ ขณะมีการกระทบ ขณะนั้น เวทนาเกิดให้รู้สึกสบายกาย ไม่สบาบกาย สุข ทุกข์ หรือเฉย

    พวกนี้เป็นอาการของเวทนาที่เกิด แต่ลักษณะเวทนาจริงๆคือ ลักษณะการเสวยอารมณ์


    ต่อมา ไปรู้ความไม่สบายใจ ว่านี้คือโกรธ นี้คือลักษณะอาการโกรธ เวทนาดับไป กิจของสัญญาเกิด กิจของสังขารเกิด

    แล้วก็กลับมาระลึก เสวยอาการไม่พอใจต่อ สัญญาดับ เวทนาเกิด

    พวกนี้เกิดดับกันอยู่เป็นปกติ ในชีวิตประจำวัน เป็นปัจจัยต่อกัน



    ทีนี้กล่าวแบบง่ายๆ หากสติปัฏฐานเกิด การรู้ลักษณะของอารมณ์โลภะ โทสะ โมหะ นั้น

    คือรู้ว่า โทสะ มีอารมณ์ที่ไม่ดีเป็นลักษณะ มีการทำให้เร่าร้อนเป็นกิจ

    พอโยนิโส มันจะค่อยๆดับลงให้รู้ได้ ที่ดับนั้น คือ ลักษณะของนามมันดับลงไป

    ระหว่างค่อยๆดับ ตรงนี้จะเห็น ทุกข์ (ความไม่เที่ยง) อนัตตา ( ความไม่ใช่เรา ไม่เป็นของเรา ) ก็แล้วแต่ปัญญา


    ดูหยาบๆ อาจเริ่มจาก รูปนาม

    ลมเป็นรูป รู้ลมเป็นนาม รู้ตรงลมกระทบ

    ลักษณะลม มีความเคลื่อน ความไหว เป็นลักษณะความเป็นวาโยธาตุ รู้ตรงลมกระทบ

    ขณะรูปกระทบ เกิดนามรู้ รู้ตรงลมกระทบ

    รู้ว่านี้ลม นี้คือลักษณะของลม นี้เรียกว่าธาตุลม เป็น นามเกิดนาม นามรู้นาม เป็นคนละขณะที่ลมกระทบ แต่เป็นสัญญาความจำเกิด

    ก็จะเข้าใจความเป็นขณะๆ ลักษณะต่างๆของรูป ของนามแต่ละขณะ เกิดทีละขณะ ดับทีละขณะ

    พิจารณาสิ่งที่มีจริงในขณะนั้น พวกนี้จะดับลงด้วยปัญญารู้


    คือ ธาตุ !! อ้าว รู้ไปจิตสร้างรูปอีกแล้ว ใช่เราไหมนั่น

    สังเกตุเอา เวลากระทบกับอารมณ์ที่ไม่ดี ไม่พอใจ ให้รู้สึกได้ถึงความเจ็บ ความแสบ ความเร่าร้อน ความบีบคั้น ความเผาไหม้ อะไรก็ตามแต่จะยกมาเปรียบเทียบนั้น

    เป็นการสัมผัส และเสวยอารมณ์ ซึ่งเป็นลักษณะของเวทนา

    ในความเจ็บ ความเร่าร้อน ความบีบคั้น อึดอัด นั้นมีลักษณะ แข็ง อ่อน ร้อน เย็น เอิบอาบ เคลื่อน ให้สังเกตุได้ด้วยความเป็นธาตุ

    ทั้งนี้ ไม่ว่าด้วยความเป็นธาตุ หรือด้วยความเป็นเวทนานั้น นั้นไม่เรียกว่าทุกขสัจ หรือทุกขในวัฏฏะ

    ขณะเดียวกัน ทุกขสัจก็ปรากฏอยู่ในธาตุ และ เวทนาด้วยเช่นกัน

    ไม่ได้เร่าร้อนอะไรเลย หากแต่ความไม่เที่ยง ความบังคับให้ไม่เกิดไม่ได้ ไม่ให้ดับก็ไม่ได้ นั้นแล
     
  19. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ปัญญาเห็นเวทนา

    ลองสังเกตุดู ว่า ช่วงเวลาที่ว่ากำลังรู้ทุกข์อยู่นั้น สิ่งใดเกิดอยู่บ้าง

    ความคิด ความจำ ความรู้สึก ความระลึกได้ ความกระทบ ความปรุงแต่ง ฯลฯ

    และ สิ่งใดที่เป็นปัญญาบ้าง หมายถึง เข้าใจว่าสิ่งนี้คืออะไร


    อาจแสดงความเห็นไม่ครบทุกประเด็น คงไม่ว่ากัน :cool:
     
  20. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +4,065
    ขอเจริญในธรรม เกิด-ดับ-เกิด-ดับ...ท่านหลงเข้ามา..!
     

แชร์หน้านี้

Loading...