เรื่องเล่า:การปฏิบัติกรรมฐานด้วยการสร้างพระฯ และการเรียนรู้ธรรมะจากชีวิตทางโลก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Attawat_Rx, 10 ธันวาคม 2011.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    ขมากรรม

    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเตอุกาสะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเตอุกาสะ ขะมามิ ภันเต


    โย โทโส โมหะจิตเต
    นะ พุทธัสมิง ปาปะกโต
    มยา ขะมะถะ เม
    กตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ

    โย โทโส โมหะจิตเต
    นะ ธัมมัสมิง ปาปะกโต
    มยา ขะมะถะ เม
    กตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ

    โย โทโส โมหะจิตเต
    นะ สังฆัสมิง ปาปะกโต
    มยา ขะมะถะ เม
    กตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2011
  2. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    มูลเหตุแห่งกระทู้

    ๑. เนื่องจากงานทางโลกที่รัดตัว ประกอบกับโอกาสที่ไม่อำนวย ทำให้ข้าพเจ้าจำต้องว่างเว้นการสร้างพระฯทางรูปธรรมมานานกว่า ๒ ปีแล้ว และด้วยไตร่ตรองถ้วนถี่แล้วเห็นว่าหากจะรอให้พร้อม อาจจะมิทันพญามัจจุราชที่จะมาพรากเอาชีวิตไปเสียเมื่อไหร่ก็ได้ จึงเห็นสมควรว่าวันนี้เวลานี้ควรจะได้ทำงานทางธรรมอย่างเป็นรูปธรรมเสียที

    วัตถุประสงค์ของกระทู้

    ๑. เพื่อเป็นบทบันทึกกันลืมฯ และเป็นบทสรุปองค์ความคิด ของสิ่งที่ได้เรียนรู้ เผื่อว่ากาลข้างหน้าจะมีประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่นไม่มากก็น้อย

    การเขียนกระทู้

    ๑. ด้วยเวลาที่จำกัด จึงเป็นเพียงมาอัพเดทโดยคร่าวๆ สั้นๆตามวาระที่พอหาเวลาว่างจากภาระทางโลก และการปฏิบัติทางธรรม
    ๒. ด้วยไม่พร้อมที่จะตอบกระทู้ และอยากให้กระทู้อ่านติดตามง่าย จึงล็อคกระทู้ไว้ และขออนุญาติลบกระทู้ที่โฟสท์ตอบ ทั้งนี้ผมไม่มีเจตนาไม่ดีแต่อย่างใดทั้งสิ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2011
  3. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    ห้องพระและห้องสร้างพระของคนยาก

    [​IMG]

    [​IMG]

    โต๊ะหมู่บูชา ปรับง่ายๆ ตามสะดวกเนื่องเพราะไม่มีเงินเหลือพอจะทำได้อลังการตามปรารถนา ขอบูชาด้วยใจฯ และกำลังทรัพย์ตามสมควรแก่อัตภาพ คิดเช่นนี้เพื่อให้ใจสบายไม่หนัก ไม่กังวล ตรงนี้ยังไม่สมบูรณ์นักเพราะพึ่งย้ายที่ทำงาน มัวแต่จัดการปัญหาทางโลกที่ไม่มีจุดจบ จนวันหนึ่งพบทางออกว่า "เรื่องทางโลกไม่มีทางจบเหมือนกงล้อเกวียน" จึงเริ่มปล่อยวาง และหันมามุ่งทางธรรม เพราะ มันคุ้มค่าแก่การทุ่มเท และมีจุดจบที่แท้จริง...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_8983.JPG
      IMG_8983.JPG
      ขนาดไฟล์:
      90.5 KB
      เปิดดู:
      746
    • IMG_8984.JPG
      IMG_8984.JPG
      ขนาดไฟล์:
      103.2 KB
      เปิดดู:
      732
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2011
  4. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    มวลสารทางรูปธรรมส่วนหนึ่ง

    ๑. มวลสารที่แสวงหาเองและมีผู้ร่วมบุญส่งมาให้ มีจำนวนทั้งสิ้น ๑,๐๐๐ กว่ารายการ (รูปนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง)
    ๒. มวลสารที่งอกเงยได้ ขยายเพิ่มจำนวนได้ คือว่านที่สะสมไว้ราวๆกว่า ๑๐๘ รายการ มี ๓ ที่ด้วยกัน คือหน้าบ้าน หลังบ้าน และสวนว่านที่บ้านกำแพงเพชร สะสมไว้ใช้ประโยชน์หลากหลายนอกเหนือจากใช้สร้างพระ ภาพนี้เป็นส่วนหนึ่งที่หน้าบ้าน มวลสารนี้โทษและเวรภัยค่อนข้างน้อยกว่ามวลสารอย่างแรกมาก หากทำไม่เป็นจะเดือดร้อนเอาได้ เพราะมาจากหลายสายวิชา ที่อาจมีข้อห้าม มีขะลำต่างกันไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2011
  5. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    รูปแบบการสร้าง

    [​IMG]

    ๑. ด้วยความถนัดส่วนตัว ในการสร้างพระครั้งนี้จะใช้เทคนิคการสร้างพระแบบหลวงปู่ดู่ วัดสะแก หรือแบบหลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ
    ๒. โดยจะฝังพลอยทับทิมบูชาพระไว้ที่องค์พระ จำนวนการสร้างพระชุดนี้ จะสร้างเท่ากับจำนวนพลอยที่ได้รับมอบมาจากคณะบุญ "คณะแก้วมณีโชติ"
    ๓. จากนั้นจะทำการแช่น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์จากที่ต่างๆ และแช่น้ำว่าน "มหาว่าน" ที่ได้จากการพิธีป้อนเหนียวป้อนมันครบ ๓ ปี ของกลุ่มคณะผู้ศึกษาไสยศาสตร์เขาอ้อ ผสมกับน้ำว่านยาจากว่านยาที่ผมปลูกเลี้ยงไว้เอง

    อุปกรณ์การสร้าง

    เนื่องจากแบบพิมพ์กว่า ๓๐ พิมพ์ที่ทำแบบเอง ได้แจกคนอื่นไปหมดแล้ว เห็นทีต้องกลับไปบ้าน ไปเอาอุปกรณ์สร้างแบบพิมพ์มาสร้างแบบพิมพ์ใหม่แล้วครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2011
  6. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    ไสยศาสตร์เขาอ้อ จ.หนองคาย เขาอ้อนี่ผมนึกว่ามีแต่ที่ใต้นะ ไม่น่าเชื่อเขาอ้ออีสานก็มี.....เขาอ้อหนองคาย สายสำนักนี้น่าสนใจนะครับ...เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก....

    สร้างพระแบบหลวงตานี่แบบเดียวกับการสร้างพระผงจักรพรรดิ์อย่างเดิมใช่ไมครับ....โมทนาสาธุบุญด้วยนะครับ....
     
  7. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    ข่มความทุกข์ด้วยบุญ

    ช่วงนี้ของชีวิต มีเหตุการเข้ามาปั่นทอนจิตใจค่อนข้างมาก ประมาณว่า "ทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป เจตนาดีกลายเป็นร้าย" ประมาณนั้น เล่นเอาเสียนอนไม่หลับไป ๑ คืนเลยนั่น สุดท้ายก็คลิก! ไปที่การปล่อยวาง และอุเบกขา เรื่องของโลกมันก็วนเวียนอยู่ในโลกธรรม ๘ อยู่นั่นเอง ไม่ว่าเราจะทุ่มเทขนาดไหนโลกมันก็พร้อมที่จะเสื่อมได้ตลอด เอามันให้ดีไม่ได้นาน ความทุ่มเทให้กับบ้านเมือง กับองค์กรในยุคเสื่อมโทรมทางศีลธรรมแบบสุดๆนี้ ดูท่าไม่เป็นผลอันใดเลย

    กระนั้นก็หันเหประเด็นอารมณ์มาในทางกุศลเสียเลย ให้จิตมันทรงในบุญ ในปีติเสีย ปัญญา กำลังกาย และกำลังใจจะได้แกล้วกล้า

    มูลเหตุนี้เอง กระทู้นี้และงานสร้างพระจึงได้เกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากหายไปนานด้วยความไม่พร้อมต่างๆทางโลก

    เรื่องนี้สอนตัวผมเองให้รู้ว่า ธรรมมะนั้นหากฝึกฝน และนำมาใช้จริงย่อมพึ่งพาได้จริง ศึกษาธรรมแล้ว ให้ทำ ให้ปฏิบัติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2011
  8. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    ประโยชน์ของว่านยา

    สนใจเรื่องว่านมานานแล้ว แต่ก็พึ่งมีโอกาสเล่นหาจริงๆก็ราวๆ ๔-๕ ปีเห็นจะได้ ค่อยๆเล่นมาเรื่อยๆอย่างทุลักทุเล เพราะพักบ้านพักข้าราชการ พื้นที่มันไม่ค่อยเหมาะกับการปลูกนัก ตอนย้ายมารับราชการใกล้บ้านนั้้นลำบากมาก เพราะต้องย้ายของเอย ไหนจะว่านที่อุตส่าห์บ่มเพาะมาอีก สุดท้ายก็ต้องปล่อยทิ้งไว้หลายชนิดทีเดียว อย่างสาวหลงนี่เป็นดง ปลูกได้ดอกทุกปี ไม่มีโอกาสกลับไปเก็บมา ตอนนี้สะสมใหม่ก็พอใช้ได้มีจำนวนพอสมควร ปลูกอีกฤดูฝนหนึ่งก็พอทยอยนำไปใช้ประโยชน์ได้

    ประโยชน์ของว่านนั้นมาก เป็นที่ผ่อนคลายจิต(ปลูกต้นไม้แล้วอารมร์มักแจ่มใสผ่อนคลาย) เป็นที่ฝึกจิต นี่กุศโลบายของโบราณเขา พิธีกรรม คาถา เคล็ดต่างๆสารพัด มันเป็นการเกลี่ยจิตของเราให้อยู่ในองค์สมาธิ อยู่ในพุทธคุณ เพราะคาถาส่วนมาก ที่ใช้เลี้ยงว่านเป็นคาถาทางพุทธศาสตร์ทั้งสิ้น

    ว่านจึงถูกนำมาใช้สร้างพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง ตลอดจนประกอบพิธีกรรมต่างๆได้หลากหลาย อย่าง พิธีหุงปรอท(การเล่นแร่แปรธาตุ) พิธีป้อนเหนียวป้อนมัน หรือพิธีอาบน้ำว่าน เป็นต้น

    อีกประการหนึ่งคือสรรพคุณทางยา ว่านหลายตัวหากรู้จักใช้ สรรพคุณชะงัดนัก เอาเข้าจริงๆแล้วโรคหลายๆโรค ที่ปัจจุบันรักษาไม่ได้ สุดท้ายก็ไปหายด้วยสมุนไพร ล่าสุดพ่อผมอยู่ดีๆที่ข้อเท้าก็บวมปูดออกมา หมอบอกว่าน้ำเลี้ยงไขข้อมันไหล จากการที่ร่างกายเสื่อมจากอายุขัย วิธีการรักษาไม่มี หากมันบวมมากก็เจาะดูดน้ำออก สำคัญที่น้ำเลี้ยงไขข้อ น้ำมันเหนียวมากเจาะดูดก็ไม่ยุบเท่าไรเพราะดูดอย่างไรก็ไม่หมด

    ผมไปปรึกษาแพทย์แผนไทย ได้ยามากิน ประมาณเดือนหนึ่งก็ยุบหายตอนนี้ดูเกือบปกติแล้ว เอากับเขาไหมล่ะ ภูมิปัญญาไทย ที่เราใช้กันมานับพันๆปี แพทย์สมัยใหม่หลายๆคนปิดหูปิดตาไม่ยอมรับ เขาบอกว่ามันขาดการวิจัยฯลฯ สำหรับผมนะแมวน่ะ สีอะไรก็ได้ถ้ามันจับหนูได้สุดยอดผมก็เรียกว่ายอดแมว การแพทย์แผนไทยน่ะ เขาผ่านการใช้มานับร้อยนับพันปี ถ้าคิดจำนวนเคส ยาบางรายการก็ใช้ทดลองมาเป็นแสนเคสนะ

    ครั้งหนึ่งแม่เป็นโรคฉี่หนู เข้าโรงพยาบาลอยู่ห้อง ICU รอดได้เพราะหมอแผนปัจจุบัน แต่ตอนออกจากโรงพยาบาลเดินไม่ได้ ต้องไปทำกายภาพบำบัด ผมตัดสินใจเปิดตำรา ปรุงยาสมุนไพรให้แม่ แล้วก็ลองเสกยาให้แม่ด้วย มีวิชาอะไรอัดใส่เต็มเหนี่ยว ปรากฎว่ารุ่งขึ้นเริ่มเดินได้เลย เออแปลกดี

    [​IMG]

    จริงๆแล้วแพทย์วิชา ๒ ยุคนี่ และจิตศาสตร์อีก ๑ ถ้าจับรวมกันได้นี่มันจะสุดยอดเลย แต่จะหาใครทำได้ล่ะ พ.อ.(พิเศษ)ชม สุคันธรัตน์ เคยกล่าวในเรื่องแพทย์ ๓ แผน น่าสนใจมาก รูปนี้ยืมเขามา ของผมเองหนังสือไม่รู้เก็บไว้ไหนแล้ว ตอนย้ายบ้านของหาไม่เจอเยอะเลย

    ต้องยอมรับนะโรคบางโรคหรือบางช่วง การรักษาด้วยแพทย์แผนไทยก็สู้แผนปัจจุบันไม่ได้ เราต้องฉลาดและเชี่ยวชาญในการรักษาด้วย เช่นเดียวกันโรคบางโรคแผนปัจจุบันก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน ต้องใช้แผนไทยถึงจะดีกว่า อีกประเภทโรคบางอย่าง อย่างคุณไสย์ ก็ต้องแก้ด้วยวิชาแพทย์ทางจิตศาสตร์ อย่างนี้เป็นต้น

    [​IMG]

    ทางบ้านผมเองนี่ก็เรียกว่ารอดตายมาหลายครั้งหลายคราจากพิษเบื่อเมา ของทั้งยาฆ่าแมลงเอย จากพิษพืชพิษบ้าง อะไรที่ว่าเบื่อและเมานี่ เจอว่านรางจืดเถาเข้าไป หายไวมาก ตัวนี้ประสบการณ์ตรงเยอะมาก เป็นว่านที่น่าปลูกไว้ประจำบ้านตัวหนึ่ง

    ว่านและสมุนไพรที่เริ่มสะสมใหม่นี้ วางแผนว่าเวลาภัยพิบัติมาคงได้ทำยาแจกผู้คน หวังว่าคงช่วยกันได้บ้างไม่มาก็น้อย เพราะเรื่องยาในประเทศไทยนี้เปราะบางมาก น้ำท่วมกรุงเทพฯและเขตใกล้เคียงงวดนี้ยาขาดหลายตัว โดยเฉพาะน้ำเกลือ ตอนนี้ต้องนำเข้าจากมาเลย์เซียบ้าง แถบใกล้เคียงบ้าง นี่แค่ซ้อมๆนะ พอของจริงมาไม่ต้องไปฝัน ใครที่เคยรังเกียจยาไทยๆ ได้สาหัสก็คราวนี้ ตอนนี้ตัวยาสมุนไพรไทยหาคนปลูกน้อยมาก บางช่วงแค่สะค้านยังหาไม่ได้เลย ทั้งที่เป็นตัวยาหลักที่ใช้กันในเครื่องยามาก เป็นห่วงเหมือนกัน พอภัยพิบัติมาคนอาจตายกันเยอะเพราะขาดตัวยา หรือขาดคนเชี่ยวชาญเรื่องการใช้ยาไทย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2011
  9. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    สร้างพระแล้วได้อะไร

    ตามครูบาอาจารย์ท่านว่า

    ๑.หลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา แสดงธรรมไว้ว่าสร้างพระ ๑ องค์ ได้อานิสงส์ ๕ กัป ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่สร้างด้วยอะไรก็ตามหมายความว่าบุญกุศลจะตามหนุนส่งท่านไปทุกภพทุกชาตินานถึง ๕ กัป

    ๒.หลวงพ่อพระราชพรหมยานหรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานีกล่าวว่า "การสร้างสมเด็จองค์ปฐมทำได้ยากคือว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต้นพระพุทธเจ้าทั้งหมดการสร้างองค์ปฐมนี้ท่านเปลี่ยนบัญชีใหม่โดยใช้บัญชีสีทองเป็นทองคำล้วนทั้งเล่มจดบันทึก (เป็นอีกเล่มหนึ่งจากที่จดธรรมดา)ก็แสดงว่าคนที่จะสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมได้นี้ต้องเป็นคนมีบุญมากและไปนิพพานได้เร็วมาก"

    ๓.หลวงพ่อขอมวัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี เคยแสดงธรรมไว้ว่าผู้ใดสร้างรูปพระพุทธเจ้าจะเป็นองค์เล็กเท่าต้นคาก็ดี ใหญ่กว่าต้นคาก็ดีผู้นั้นจะได้เป็นพรหมเป็นอินทร์หมื่นชาติแสนชาติถ้าเป็นมนุษย์จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิหมื่นชาติแสนชาติจะไม่เป็นผู้ตกต่ำเลยตราบจนกว่าเข้าสู่นิพพาน

    ๔.พระครูพัฒนกิจจานุรักษ์หรือครูบาชัยยะวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน เคยแสดงธรรมไว้ว่าการสร้างพระเปรียบได้กับธนาคารบุญซึ่งจะเกิดบุญกุศลกับผู้ที่มีส่วนในการสร้างโดยบุญกุศลนั้นจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีผู้มากราบไหว้สักการบูชาเท่ากับจำนวนคนและจำนวนครั้ง

    ๕.พระธรรมสิงหบุราจารย์หรือหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรีเคยแสดงธรรมไว้ว่าการที่ผู้สร้างพระพุทธรูปเกิดศรัทธาจนถึงสละเงินออกมาสร้างพระพุทธรูปได้และออกมาทำทานในงานฉลองพระพุทธรูป ได้ชื่อว่าเป็นผู้มี "ความเห็นตรงเห็นถูกแท้" เพราะเป็นบุญของตนเองไม่ใช่บุญของใครเลยผู้สร้างพระพุทธรูปชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาทชื่อว่าเป็นผู้เตรียมตัวก่อนตาย

    และจากประสบการณ์ตรง

    สิ่งที่ผมได้ จากที่เคยสร้างพระพุทธรูปด้วย ๒ มือ ในทุกๆขั้นตอน นับตั้งแต่หามวลสาร บดผสมมวลสาร สร้างแบบพิมพ์ สร้างพระ จนถึงแจกจ่าย ใจมันจะอยู่ในองค์ปิติตลอด เห็นอะไรก็ชื่นบานชื่นใจไปหมด แล้วรู้สึกว่านิวรณ์ต่างๆมันเบาลงมาก เพราะเราต้องมีสติคุมตลอด จะเอาใจมัวๆไปสร้างพระไม่ได้ พอสร้างเสร็จในแต่ละวัน อารมณ์มันก็ทรงปิติตรงนั้นได้นานพอสมควร ทำให้ลืมความทุกข์ทางโลกได้พอสมควรทีเดียว เรียกว่าเป็นกุศโลบายในการทำกรรมฐานทางหนึ่งก็ไม่น่าผิด
     
  10. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    การทำมวลสารต้องระวังให้มาก

    เรื่องมวลสารนี่พลาดกันเยอะ อย่างผมเองก็ไม่รู้เผลอพลาดไปบ้างหรือเปล่านะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี อย่างพระธาตุเขาสามร้อยยอดนี้จริงๆแล้วการบดการแกะ การไปยุ่งอะไรก็ตามนี่ไม่ควรนะ ทั้งธาตุพระ ทั้งพระธาตุ ใดๆทั้งปวง โดยเฉพาะพระธาตุนี่เกิดด้วยบุญฤทธิ์ด้วยอิทธิฤทธิ์ให้แสดงถึงการคงอยู่ หากไปบดไปทำลายก็เท่ากับทำลายพระ ทำลายเจตนาของพระ อย่างนี้ก็ถือว่าบาปกรรมมาก

    เรื่องพระแตกหักนี่มีหลายข้อมูลบ้างก็ว่าบดแล้วสร้างใหม่ได้ บ้างก็ว่าไม่ควร บ้างก็ว่ามีวิธีการขมากรรมแล้วสร้างจึงบดสร้างใหม่ได้ แต่ส่วนตัวผม ขอเอาแบบปลอดภัยที่สุด คือ อัญเชิญมาล้างทำความสะอาด(ระวังพระบางเนื้อที่ละลายน้ำด้วยนะ เดียวเจตนาดีจะกลายเป็นทำลายพระไป) ใช้น้ำนั้นเป็นน้ำมนต์สร้างพระ หรือจะผึ่งให้แห้งใช้ผงที่เหลือเป็นมวลสารสร้างพระก็ได้ จากนั้นก็อัญเชิญพระที่สะอาดดีแล้ว มาซ่อมแล้วปิดทองทับ หรือจะนำไปบรรจุใต้ฐานพระพุทธรูปพระประธานก็ได้

    พระที่แตกหักในระหว่างการสร้างพระก็เช่นเดียวกัน ถ้าจะให้ปลอดภัยไม่ควรบดหรือทิ้งขว้างให้รวบรวมไปบรรจุใต้ฐานพระหรือใช้หล่อพระขนาดใหญ่ต่อไป

    การร่อนมวลสาร การบด การสร้างพระ ฯลฯ แล้วมีผงมวลสาร ตกหล่น จะใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดเฉยๆก็ไม่ควร อาจเป็นโทษได้ ต้องทำน้ำมนต์ประจุบขาด ขอขมากรรม แล้วควรใช้ผ้าใหม่ชุบแล้วค่อยเช็ด

    นี่ยุ่งยากพอดูต้องละเอียดอ่อน ดังนั้นอย่างไรส่วนตัวผมก็ชอบมวลสารว่านเป็นที่สุด เพราะจุกจิกน้อย จะโอน จะบอกวิชาการสร้างพระให้ใครต่อใครได้ง่ายกว่า มีหลายคนเหมือนกันที่อยากเรียนการสร้างพระ ได้โทรมาถาม หากมีเวลา ดูกระแสแล้วดี คุยกันถูกคอผมก็จะบอก แต่มันบอกได้ไม่หมดหลอก ต้องเรียนกันเป็นวันๆ ต้องทำให้ดู ต้องมีเคล็ด ต้องรู้จักทางหนีทีไล่ในะกระบวนการต่างๆ เพราะการสร้างพระนี่ถือว่ามีเทคนิคเยอะ มีอันตรายซ่อนอยู่เหมือนกันส่วนใหญ่ก็เป็นอันตรายจากมวลสารศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ หากทำไม่ถูกไม่ควรก็จะเป็นโทษเอาได้

    ผมจึงได้เปิดกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อเป็นที่เรียบเรียงความรู้ตามแต่จะรวบรวมหรือนึกได้ เพราะ ณ วันเวลานี้มันเป็นยุคส่งท้ายของคนไม่ดีแล้ว วิชานี้ต่อไปเห็นสมควรเผยแพร่ เพราะจะยังประโยชน์ได้อย่างมากในอนาคต
     
  11. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    ผลดำเนินการ การสร้างพระนับตั้งแต่เริ่มโครงการ

    [​IMG]

    โครงการพระโสฬสมงคล มีเป้าหมายที่การสร้างพระจำนวนทั้งสิ้น ๑๖ ล้านองค์ฯ โดยสมาชิกกลุ่มสหธรรมิกราช ปัจจุบันสมาชิก ได้สร้างพระแล้วร่วมกว่า ๑,๓๖๖,๐๙๑ องค์(เท่าที่ได้นับหรือนับกันได้) ยังไม่รวมถึงบุญในการส่งมวลสารไปร่วมสร้างพระกับคณะบุญอื่นๆอีกหลายคณะบุญ พระที่สร้างนั้น มีทั้งแจกจ่ายและบรรจุตามองค์พระใหญ่และเจดีย์ต่างๆ ทั่วประเทศ เรียนเชิญร่วมกันอนุโมทนาครับ^-^

    หลังยุคภัยพิบัติและยุคฟื้นฟููประเทศชาติ คนที่รอดชีวิตจะว่างๆจากภาระทางโลกกัน และพากันแข่งทำบุญ ยอดพระคงมากกว่านี้และคงครบ ๑๖ ล้านองค์ตามเจตนาตั้งแต่เริ่มแรก แต่จะมีการต่อยอดอีกหรือไม่คงต้องคิดกันอีกทีหลังหลังครบจำนวนแล้ว...

    แอบเผยความฝันอันสูงสุดครับว่าชั่วชีวิตหนึ่งอยากรวมหมู่คณะร่วมสร้างพระทันใจ ๑ ล้านองค์ให้เสร็จภายใน ๑ วัน จริงๆ ไม่รู้จะมีชีวิตได้อยู่ถึงวันนั้นไหมนะ....
     
  12. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    อ่านข้อมูลนี้แล้ว อย่าลืมใช้หลักกาลามสูตรด้วยนะครับ

    ขอบอกก่อนว่า อ่านบทความผม ขอให้กลั่นกรองเองด้วย ด้วยเพราะผมกล่าวตั้งแต่ต้นแล้วว่า

    ทั้งนี้ผมไม่มีเจตนาจะเขียนข้อมูลให้บิดเบือนจากความเป็นจริงแต่อย่างใด แต่ด้วยเพราะข้อจำกัดเรื่องเวลา เรื่องบางอย่างนึกออกก็เขียนเลย นึกไม่ออกก็ไม่เขียน เห็นว่ารู้ๆกันอยู่แล้ว-ไม่สำคัญก็ไม่เขียน ไม่มีเวลากลั่นกรองหลายชั้นตลอดจนไม่มีเวลาในการหาแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือได้ คุณต้องตระหนักรู้อยู่แล้วว่าข้อมูลทาง Internet นั้นทางหลักวิชาการเขาไม่ยอมรับเป็นแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือนัก ที่พูดไว้กันผู้รู้มาติงว่า เฮ้ยพูดไม่ครบ เฮ้ยมันบังข้อมูลกันนี่หว่า เฮ้ยตรงนี้ผิด ฯลฯ กลายเป็นสร้างความสับสนกันไปใหญ่

    เพราะข้อมูลที่เสนอในบทความนี้ผมจะทยอยกลับมาเพิ่มเติมรายละเอียด เรื่อยๆ ตามเหตุและปัจจัยอันสมควรอีกที่ เพราะฝันว่าบทความนี้จะสมบูรณ์ได้จนกลายเป็นหนังสือเล่มหนึ่งในอนาคต ซึ่งเป็นการต่อความฝันที่ยังไม่จบที่ครั้งหนึ่งเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับการสร้างพระทั้งทางภาคทฤษฎีและปฎิบัติลงในนิตยสารพลังจิต(ปิดตัวไปแล้ว)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2011
  13. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    เรียนไสยศาสตร์ ไม่มีครูเขาเรียกว่า “ไอ้บ้า”

    ขอยกเอาบทความของครูของต้นแบบชีวิตของผมท่านหนึ่งมาให้อ่านนะครับ ผมเห็นว่ามันสำคัญมากต่อการเรียนสิ่งใดๆ ทั้งเรียนทางโลก กรรมฐาน ไม่ใช่เพียงแต่ไสยศาสตร์ครับ เพราะไสยศาสตร์นั้นนิยามของผมก็คือกรรมฐานโดยกุศโลบายที่ปรับใช้ในสยามประเทศครับ....

    " วันนี้ ที่บ้านผมนิมนต์พระมาเจริญพุทธมนต์ที่บ้าน &nbsp;ท่านเจ้าอาวาสวัดใกล้บ้านท่านเองทำตัวเป็นเกจิมาช้านาน ผมเข้าไปนั่งสนทนาด้วย ท่านได้ยินเรื่องเล่าของผมมาบ้างจึงชวนคุยเรื่องไสยศาสตร์ ท่านหลุดมาว่า “ก็ซื้อตำราตลาดมาลอกๆ ก็ใช้ได้แล้วเพราะจิตเราดี” &nbsp;ผมยิ้มๆ ไม่ต่อความ <b><font color="#0070c0">ประเด็นเรื่องจิตผมถือเป็นนามธรรม ใครจะพูดอย่างไรก็ได้ &nbsp;ผมเห็นปลอมมากกว่าจริง แต่ &nbsp;“ตำราตลาดใครๆ ก็ลอกได้” ทำให้ผมเศร้าและสะท้อนใจ</font></b> &nbsp;</font> <br><br><font size="3">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คำว่า “ตำราตลาด” ถ้าใช้ในแง่ร้ายผมก็ขอค้าน เพราะ อ.เทพย์ สาริบุตรของผม ผู้ถือได้ว่าเป็นไม้ร้อยโอบ ผู้มีคุณูปการ ตำราของท่านจึงนับว่ามาตรฐาน กว่าตำรา “ชาวบ้าน” ที่มุขปาถสืบกันมา &nbsp; พระเกจิ ในเมืองไทยร้อยละเก้าสิบ แอบใช้ตำราท่าน แต่ไม่กล้าเปิดเผย เพราะอายที่เอาวิชามาจากตำราตลาด มิหนำซ้ำฆราวาสเป็นคนเขียน</font> <br><br><font size="3">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;<font color="#ff0000">ตำราอ.เทพย์ได้มาตรฐานสมบูรณ์มากจนไม่มีใครโต้แย้งได้ จะมีข้อจำกัดก็คือ &nbsp;ตำรานี้ท่านไม่ได้บอกจนหมดเปลือกแบบแบไต๋ &nbsp;ท่านกล่าวว่า &nbsp;“บอกหมดอาจารย์ก็เต็มบ้านเต็มเมืองนะสิ” &nbsp;</font>ท่านพูดและหัวเราะ คงเป็นอารมณ์ขันมากกว่าการหวงวิชา เพราะแท้จริงแล้วไสยศาสตร์มีธรรมเนียมบางประการทำให้ท่านบอก เท่าที่บอกได้</font> <br><br><font size="3">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นักพุทธศาสตร์มักดูถูกวิชาไสยศาสตร์(แบบพุทธ) ว่าเป็นศาสตร์ทางขวาง แต่ตลอดเวลาหลายปีที่ผมศึกษาค้นคว้า ผมพบว่า &nbsp;<font color="#ff0000"><b>ถ้าเราเชื่อว่าสมถะเป็นพื้นฐานของ วิปัสสนา อย่างพวกลัทธิเจโตวิมุตแล้ว ไสยศาสตร์ก็มิใช่เดียรัจฉานวิชา แต่กลับเป็นวิชาชั้นสูง ในฐานะเป็นพื้นฐานแห่งการหลุดพ้น </b></font>การศึกษาไสยศาสตร์แค่ผิวเผินซะอีกทำให้เราพบแต่กระพี้ จึงเห็นแค่ประโยชน์ทางโลกแบบโลกีย์วิสัย เมื่อนักพุทธศาสตร์มีฐานความคิดดูถูกไสยศาสตร์แล้ว จึงขาดความนับถือวิชาเหล่านี้ด้วย</font> <br><br>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2011
  14. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    <font color="#00b050"><font size="3"><b>ครู คือสิ่งจำเป็นทางไสยศาสตร์</b></font> <br></font><br><font size="3">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ศาสตร์ของไทยแต่โบราณแทบทุกแขนง ต้องมี “ครู”ทั้งนั้น &nbsp;เหมือนคำอีสานที่ว่า <b><font color="#0070c0">“หมกปลาแดกมีครูจี่ปูมีวาท”</font></b> โดยเฉพาะไสยศาสตร์ด้วยแล้ว อ.ชุม ไชยคีรีท่านกล่าวว่า “ไสยศาสตร์ คือคำสั่งครู” เมื่อแรกเรียน จึงต้องมีการเคารพครูขอเป็นศิษย์ &nbsp;มีขัน มีดอกไม้มาคารวะเสียก่อนตามทำเนียมของศาสตร์นั้นๆ เพราะเคารพครูก็เท่ากับเคารพวิชา <b><font color="#0070c0">เป็นการแสดง ถึงฉันทะ ที่จะบอกว่า ศิษย์คนนั้นมีโอกาสสำเร็จวิชา ตามหลักอิทธิบาทสี่</font></b> &nbsp;ครูเองก็มีโอกาสเรียนรู้ว่าศิษย์เหมาะแก่การสืบวิชาหรือไม่? โดยพิจารณาจาก สติปัญญา ความหมั่นเพียร และคุณธรรม </font><br><br><font size="3">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; คงจำกลอนสุนทรภู่ได้นะครับ </font><font size="3">พระอภัยมณี ศรีสุวรรณ หลังสำเร็จวิชาจากอาจารย์ทิศาปาโมก แล้ว อาจารย์เอาเงินคืนหลังจากเก็บค่าเรียนสุดแพง ท่านว่า<font color="#ff0000"><b> “ไม่ได้ประสงค์ซึ่งสิ่งสุวรรณ แต่จะกันมิให้ไพร่ได้วิชา”</b></font></font> <br><font size="3">ที่กล่าวมาไม่ใช่ว่าครูหวงวิชา แต่เป็นการ <b><font color="#0070c0">“รักษาความบริสุทธิของวิชา”</font></b> ให้สืบไปภายหน้า ให้ห่างจากพวก นอกครู (พวกนักประยุกต์ ตำรา ก็ถือว่านอกครู)</font> <br><br><font size="3">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในขณะศึกษาเล่าเรียน ครูจะดูแลศิษย์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้รับความรู้ที่ถูกต้อง บางเรื่องซับซ้อน มีกลเม็ด ที่เขาว่า<font color="#0070c0"><b>”วิชาหาง่ายแต่แยบคายนั้นหายาก” </b></font>นั่นแล บางอย่างพลาดพลั้งมีอันตรายต้องมีผู้ชำนาญทำให้ดู ที่เขาเรียกว่า “ฝีมือชั้นครู” นั่นเอง บางอย่างเป็นวิชาลับไม่อาจจดในตำราตรงๆ ขณะศิษย์อ่านหรือลอกตำรา ครูต้องคอยสอนให้เห็นวิธีการบังวิชาในแบบต่างๆ เช่นจดสลับหน้า ,กลตัวเลข ,ตัวข่มตัวสับ,กลกุ้งนอนเฟย ฯลฯ</font> <br><br>
     
  15. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    <font size="3">การค่อยๆ เรียนอย่างมีระบบแบบแผน ภายใต้การดูแลของครูนี้เรียกว่า<b><font color="#0070c0"> “การต่อวิชา”</font></b> </font><br><font size="3"><br>นอกจากสอนเรื่องวิชาแล้ว ต้องสอนเรื่องจรรยาด้วย และวิชาชีพทุกอย่างต้องมีจรรยาบรรณของตนเอง อันเป็นการวางระบบ กติกา มารยาท ของสังคมที่สืบทอดวิชานั้นๆ ด้วย จะเห็นได้ว่า เวลาที่ศิษย์ครูมีให้กันนั้นยาวนาน ศิษย์แทบจะกินนอนอยู่บ้านครูทีเดียว ความรัก ความผูกพันจึงเกิดขึ้น <font color="#0070c0"><b>ศิษย์จึงยกให้ว่า “พ่อครู” จะเห็นได้ว่า ครู ในความหมายของเรา จะหนักแน่นมากกว่า ผู้สอนวิชาให้ ดังนั้นไสยศาสตร์จึงมีหลายเรื่องที่มีความสำคัญมากกว่า ตัวคาถา หรือลายยันต์</b> </font>ดังที่คนรุ่นหลังที่ต่ำตื้นเขาใจกัน ผมเห็นหลายผู้คน ที่เสกของ พอวิชาไม่ถึง (ไม่พิถีพิถัน ดังจารีตควรจะเป็น) ทำพิธีแต่พอลวกๆ &nbsp;แต่มักง่าย อ้างผู้คนเรียกศรัทธาว่า “เราเชิญครู (ดวงจิต) มาช่วยเสกให้แล้ว ”ผมเห็นว่า แค่เคารพวิชายังทำไม่ได้ จะเรียกว่าเคารพครูได้อย่างไร !! บางคนยกขันบูชาครูตามทำเนียมก่อนเรียนก็ยังไม่เคย ,กล่าววาจารับประสิทธิก็ยังไม่เคย เราจะเอาอะไรมาแสดงว่าท่านเป็นครูเรา และแน่ใจอย่างไรได้ว่า ครูท่านถือเราเป็นศิษย์บทไหว้ครูที่มักจะท่องกันผิดๆ คือ “ขอเชิญครู ผู้อยู่ในถ้ำ จงมาช่วย อวยพรให้” จริงแล้ว คือ “ครูผู้อยู่ในธรรม” หรือ “ครูโดยธรรม” &nbsp;(นึกความหมายไม่ออก นึกถึงคำว่า ลูกบุญธรรม ) นั่นหมายถึงการเป็นครูศิษย์กันอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม โดยไม่ขาดสาย ศิษย์จึงมีสิทธิที่จะอัญเชิญครูได้ &nbsp;เมื่อเป็นครูเป็นศิษย์กันโดยชอบแล้ว เราจึงมี “สิทธิ” เรียน ใช้ วิชาของท่านได้ <br><br>ดังนั้นพวกที่ได้เฉพาะตำรามาเรียนเอง กระทั่งสิทธิ์ที่จะอ่าน เรียน ใช้ วิชชาเหล่านั้นก็ยังไม่มี ก็ไม่ต้องพูดถึง ขลังไม่ขลัง คนเรียนวิชาด้วยตนเอง ยังเหมือนถูกสาปกับสิ่งที่เรียกว่า “ธรณีสาร” คือความอัปมงคลของการนอกครูนอกจารีต <br><br> &nbsp; เรื่องครูและศิษย์นี้นี้ยังมีปลีกย่อยไปอีกหลายเรื่อง เช่น ครูคนนั้นเป็นครูโดยชอบหรือไม่,การรับวิชชาหรือประสิทธิ์วิชา นั้นชอบหรือไม่ ถ้าไม่ชอบด้วยจารีต ก็ต้องธรณีสาร ทั้งครูและศิษย์ วิชาที่ได้จึง กำมะลอ <b><font color="#0070c0">ย้ำว่าครูทางไสยศาสตร์ไม่ใช่คิดจะตั้งตนเป็นเมื่อไรก็ทำได้อย่างปัจจุบัน บูรพาจารย์ต้องคัดสรรตามมาตรฐาน และต้องมีพิธีการเป็นพิเศษอีกด้วย</font></b> <br><br> &nbsp;ครูจึงเป็นเรื่องสำคัญมากในทางไสยศาสตร์ หากไม่มีครู ก็ไม่มีสิทธิที่จะเรียนวิชา!! มีเรื่องเล่าที่น่าถือเป็นอุทธาหรณ์ว่า เจ้าคุณศรี(สนธิ) แห่งวัดสุทัศผู้เป็นศิษย์ใกล้ชิดพระสังฆราชแพ คราวนั้น มีหนุ่มคนหนึ่งมาสนทนากับท่าน เล่าว่าร่ำเรียนคาถาอาคมมา ท่านจึงถามว่า &nbsp;เรียนมาจากใคร เขาตอบว่า เรียนด้วยตัวเองไม่มีอาจารย์ ท่านมองหนุ่มคนนั้นหัวจรดเท้า แล้วกล่าวว่า “ไอ้บ้า” <br><br><font color="#0070c0"><b>และนี่คือที่มาของชื่อบทความว่า เรียนไสยศาสตร์ ไม่มีครูเขาเรียกว่า “ไอ้บ้า” "</b></font> <br><br>ทรรพเอก <br><br><b>ที่มา :</b> </font><a href="http://www.bannaksit.com/index.php?name=knowledge&amp;file=readknowledge&amp;id=26"><font color="#476c8e"><font size="3">http://www.bannaksit.com/index.php?name=knowledge&amp;file=readknowledge&amp;id=26</font></font></a><font size="3"> โดย ทรรพเอก <br></font> <br><br>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2011
  16. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    ลองกลับอ่านทวนใหม่อีกรอบช้าๆ ครับ

    ในหัวข้อ เรียนไสยศาสตร์ ไม่มีครูเขาเรียกว่า “ไอ้บ้า” นั้นถือเป็นบทเอกบทหนึ่งแห่งความเข้าใจในศาสตร์แห่งการสร้างพระเพื่อให้เกิดองค์กรรมฐาน ที่จะพัฒนาผู้สร้างพระ ให้กลายเป็น"พระ" ที่แท้จริงได้ในอนาคต หากจะคิดว่าบทความที่ผมสละเวลาเขียนในขณะไฟลนก้นนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าธรรมดาๆ ผมว่าคงคิดผิดไม่น้อยนะครับ

    และข้างต้นนี้เอง บทความกระทู้นี้จึงต้องปิดกระทู้เพื่อให้ทุกบทความต่อเนื่องกัน ผู้อ่านจะได้รับข้อมูลเป็นลำดับขั้นตอนไม่ขาดตอน และอีกประการบทความนี้จึงเป็นเพียงชี้แนะแนวทางให้เพราะมิได้บอกทั้งหมด เพราะบอกหมดมันผิดระเบียบครู ระเบียบครูนี้มิได้มีเพราะหวงวิชา แต่เพราะห่วงในโทษภัยที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยความไม่รู้ของผู้นำวิชาไปปฎิบัติมากกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2011
  17. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    การเขียนผงลบผง เพื่อสร้างพระ กุศโลบายในการทำกรรมฐานแบบโบราณ

    ความแยบคายของกรรมฐานแบบโบราณนั้น ท่านได้ประยุกต์ให้ปรับใช้เข้ากับวิถีชีวิต และพิธีกรรมต่างๆ ในสังคมไทย ทั้งสังคมฆราวาส และสังคมพระสงฆ์ ในสังคมพระสงฆ์นั้น ผู้บวชนอกจากจะต้องทำกรรมฐานแบบโบราณแล้ว ก็ยังมีกรรมฐานประยุกต์ให้เรียน หรือให้ทำเล่นๆเพื่อผ่อนคลายความจำเจ หนึ่งในนั้นคือวิชาการทำผง การทำผงนอกจากเป็นกุศโลบายการหัดอ่านเขียนอักขระขอม-ไทยแล้วยังเป็นการฝึกกรรมฐานอย่างหนึ่ง

    ผลของกรรมฐานนั้นหากทำถูกวิธีถูกขั้นตอนท่านรับรองการบังเกิดฤทธิ์กันได้ทุกผู้ที่เรียน ถ้าทำไม่ได้แสดงว่าภูมิจิตยังไม่ถึง หรือยังไม่ผ่านห้องกรรมฐานนั้น ก็ต้องแนะนำแก้ไขหรือกลับไปฝึกฝนใหม่จนทำได้ น่าเสียดายที่ปัจจุบันครูผู้เชี่ยวชาญในการสอนในเมืองไทยปัจจุบันนี้หาได้น้อยทีเดียว เพราะต้องบอกว่าตำราที่มีอยู่นั้น ดูมีข้อมูลไม่พอที่จะแก้จุดติดขัดต่างๆของผู้ปฏิบัติ อย่างน้อยก็ผมล่ะหนึ่งคน การขาดครูนี่เองเป็นเหตุหนึ่งที่ปัจจุบันฆราวาสไม่อาจแสดงฤทธิ์ได้เป็นที่ประจักษ์ ที่แสดงไม่ได้ไม่ใช่อะไรเพราะไม่ได้กันนั่นเอง

    การที่จะบอกว่าตนเองเห็นนั่นเห็นนี่ผมไม่นับ เพราะเป็นนามธรรมเกินไป ทิพจักขุกับจินตนาการมันใกล้กันมาก หวยงวดหน้าหากบอกกันถูกไม่ได้ นับประสาอะไรกับการพยากรณ์ในเรื่องอนาคตที่มีการผันแปรมาก เช่นเดียวกันเงินในกระเป๋าปัจจุบันหากบอกจำนวนไม่ได้ นับประสาอะไรกับการเห็นผี เห็นเทวดาที่ละเอียดยิ่งกว่า

    การเขียนผงลบผงนั้นเมื่อจิตเข้าถึงที่ สามารถปรับโอนพลังงานของจิตทำฤทธิ์ต่างๆได้ตามฝอยตำราบรรยายทั้งสิ้น ได้มากได้น้อยขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญ แต่ต้องได้ ถึงจะเรียกว่าสอบผ่าน อย่างผงอิทธิเจผงที่ได้ ใช้ทางเมตตาก็จะต้องเกิดปาฏิหาริย์เมตตาจริงๆ หรือถ้านามธรรมเกินไป ก็ต้องทำผงให้ทะลุกระดานได้ อย่างนี้เป็นต้น

    กระทู้นี้จึงเป็นกระทู้แนะแนวกรรมฐาน ที่มีให้เลือกหลากหลาย ที่หลายคนดูถูกหรือไม่รู้ว่านี่แหละกรรมฐานล่ะ

    คุณค่าของพระเครื่องพระบูชามิได้อยู่ที่ตัวองค์พระเครื่องพระบูชา แต่หากอยู่ที่ตัวเราที่เข้าถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์ได้หรือไม่ คิดง่ายๆ ลองสำรวจดูสิ ห้องพระของคุณหรือในคอของคุณมีพระเครื่องกี่องค์ แล้วลองดูสิว่ากี่องค์ที่เชื่อว่าทำให้คงกระพัน แล้วลองเอามีดเฉือนเนื้อตัวเองดู เข้าไหม ... ที่ไม่เหนียวนั้นไม่ใช่เพราะพระแต่เป็นเพราะตัวคุณเองที่ยังทำจิตให้เข้าถึงคุณของพระฯไม่ได้ต่างหาก ผมเองก็ต้องบอกว่ายังไม่ถึงไหนเหมือนกัน เรามาเริ่มฝึกกันไปพร้อมๆกันนะครับ ฝึกกันให้ถึงระดับกระบี่อยู่ที่ใจกันเลย คือไม่ต้องคล้องพระหรือมีพระเพียงองค์เดียวในคอ แล้วบังเกิดความเจริญรุ่งเรืองทุกอย่าง ทั้งความคงกระพัน แคล้วคลาดปลอดภัย เมตตามหานิยม โชคลาภ ฯลฯ อ้อสุดท้าย คือการก้าวเข้าสู่ความพ้นทุกข์อย่างถาวรครับ....
     
  18. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    "คนสามบ้านกินน้ำส่างเดียว เที่ยวทางเดียว บ่เหยียบฮอยกัน"

    คำคำนี้หรือประมาณนี้มีการตีความไปหลากหลายแนวทางด้วยกัน แต่น้อยท่านนักจะทราบว่าแท้จริงแล้ว คำคำนี้คือเคล็ดลับในการทำกรรมฐานอย่างหนึ่ง ที่สมัยโบราณใช้กัน เป็นเคล็ดที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญทางจิต เป็นบาทฐานสำคัญที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญในสมาธิ ซึ่งเป็นบาทฐานสำคัญลำดับขั้นต่อมาที่ทำให้เกิดความแข็งแกร่งเฉียบขาดทางปัญญาในการเจริญวิปัสนากรรมฐานนั่นเอง

    อ้อใบให้นิดหนึ่ง คำภาวนามี ๔ ตัวคือ "นะ มะ อะ อุ" ครับ

    การขาดการสืบต่ออย่างเป็นระบบของกรรมฐานโบราณ ทำให้กรรมฐานโบราณที่มีการฝึกสมาธิเป็นขั้นเป็นตอน และรับรองผลทุกขั้นตอน (แก้ข้อกังขาทั้งหลายว่าฝึกสมาธิเป็น ๑๐ ปีแล้วทำไมไม่ก้าวหน้า ก็เป็นเพราะฝึกไม่มีลำดับขั้นตอนนั่นเอง ตามธรรมดาการศึกษาทางโลก ก็ยังมีชั้นอนุบาล ประถม มัธยม มหาลัย แล้วทำไมการเรียนทางจิตที่ยากและละเอียดอ่อนกว่า ถึงไม่มีแบบนี้บ้าง ความจริงแล้วเคยมี แต่ปัจจุบันขาดผู้สืบทอด และผู้ที่ทำได้สอนได้ไปแล้วนั่นเอง) ปัจจุบันแทบจะเรียกว่าหายสาปสูญไปแล้ว น่าเสียดายยิ่งนัก กรรมฐานโบราณหลายวิธีก็พลอยถูกเรียกว่าไสยศาสตร์ และคุณค่าของไสยศาสตร์เองก็ถูกลดค่าลงไปมากในยุคปัจจุบัน
     
  19. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    อย่างไรที่เรียกว่าฝึกสมาธิแล้วก้าวหน้า

    "ทำไมฝึกสมาธิมาตั้งนานนมแล้วทำไมไม่ก้าวหน้าเสียที" นี่คงเป็นคำถามที่ใครหลายๆคนมักคิดนึกถามตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่ตัวผมเองก็ตาม

    อาจเป็นเพราะเรานิยามคำว่าสมาธิและผลของสมาธิไปผิดๆก็ได้ เพราะหลายคนฝึกสมาธิเพราะต้องการฤทธิ์ เมื่อไม่ได้ฤทธิ์ก็ว่าไม่ก้าวหน้า ความจริงแล้วการฝึกสมาธิที่ว่าก้าวหน้านั้นมีด้วยหลักๆ 2 ทางก็คือ คือทางโลกและทางธรรม ฤทธิ์อภิญญานั้นจัดเป็นผลทางโลก การจะได้มาต้องรู้วิธีการดึงเอาผลของสมาธิคือกำลังจิตเอามาใช้ ซึ่งก็มีเคล็ดการทำหลายวิธีด้วยกัน ถ้าทำไม่ถูกขึ้นตอนก็ไม่มีผล เหมือนการหุงข้าว ถ้าเอาข้าวใส่หม้อแต่ไม่ก่อฟืนข้าวก็ไม่มีทางสุก อย่างนี้เป็นต้น

    ผลอีกทางหนึ่งคือผลในทางธรรม คือการระงับซึ่งทุกข์ทั้งโดยชั่วคราวและถาวร ถ้าฝึกสมาธิแล้วโลภ โกรธ หลง น้อยลง ทำให้ทุกข์น้อยลง หรือเมื่อมีทุกข์ก็รู้จักเอากำลังหรือผลของสมาธิวิปัสนามาข่ม มาปล่อยวางจนคลายทุกข์ได้ อย่างนี้ก็เรียกว่าการทำสมาธิมีผลก้าวหน้า
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...