ประสบการณ์ในการนั่งสมาธิแบบผิดวิธี

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย yiyuanka, 12 ธันวาคม 2011.

  1. warmar

    warmar Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2010
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +83
    ขอบคุณคับที่นำมาเล่าให้ฟัง:cool:
     
  2. camrymax

    camrymax นายองครักษ์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    469
    ค่าพลัง:
    +1,257
    ผมเอง...ก็ขอเป็นกำลังใจไห้นะครับ....
     
  3. ungku

    ungku Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +28
    ลองฟังกันดูครับ ท่านพระอาจารย์ ปอ. ประยุตโต ตามชื่อเรื่องครับลำดับที่21


    จากจิตวิทยา สู่จิตภาวนา - ธรรมบรรยาย

    สำหรับผมบังเอิญได้เจอแล้วฟังดู พอได้ฟังแล้วเลยได้เข้าใจความเกี่ยวพันกันระหว่างสมถะภาวนาและวิปัสนาภาวนามากขึ้นเยอะจากแต่ก่อนที่ศึกษาจากการอ่านประวัติหรือคำสอนครูบาอาจารย์แต่ละท่าน เหมือนเราได้รู้หลักทำให้มองการปฎิบัติของแต่ละสำนักแต่สายด้วยความเข้าใจมากขึ้น บางสำนักเน้นไปที่สมถะ บางสำนักก็เน้นวิปัสนา(สมาธิไม่เอาขั้นสูงๆ) รายละเอียดก็ลองฟังดูนะครับหากมีเวลาเยอะลองฟังเรื่องอื่นๆเพิ่มอีกก็ได้ครับ มีความเกี่ยวเนื่องกันหมด
     
  4. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676

    เวียนหัว อาการทางระบบประสาทสัมผัส รับรู้ทุกอย่างช้า ทั้งๆที่มันก็ปกติของมัน คล้ายๆอาการประสาทถูกกดจากฤทธิ์ของกัญชา ฝิ่น ฯลฯ มีสาร แอนโดรฟินหลัง ทำให้มีความสุข คล้ายๆกันกับคนติดยา หรือสูบยาแรกๆ แต่เมื่อหมดฤทธิ์ แอนโดรฟิน ก็จะหงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย และโมโหร้าย ขึ้กลัว ขึ้ระแวง ถึงต้องมีคนคอยดู คอยสอนคอยกำกับ
     
  5. srirattana

    srirattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,972
    บางทีก็อาจจะเป็น สมาธิค้าง วิธีแก้ ต้องรีบผ่อนคลายอารมร์ด่วน เช่นดูหนังฟังเพลง ทำให้ใจมันคลาย...หลวงพ่อบอก อย่าเครียดกับการทำสมาธินะคะ เพราะจะทำให้เพี้ยนได้ เพราะประสาท มันเครียดค่ะ แต่ก่อนก็เป็น มองอะไร สิ่งนั้นมันจะพุ่งเข้าตรงหน้าเลย สุดท้าย อ่านเจอ อ้อ เราเครียดไปจริงๆ แบบไม่รู้ตัวด้วยค่ะ
     
  6. yiyuanka

    yiyuanka Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +34

    1. ได้รับยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียค่ะ แต่คิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับยาตัวนี้ เพราะกินแรกๆ ก็อาเจียนออกมาหมด อาจจะเป็นอาการอดนอน เพราะตอนอยู่ รพ ไม่กล้านอน นอนไม่หลับลึก เพราะหมอ พยาบาล เข้าออกตลอดเวลาค่ะ เลยเป็นแบบเหมือนกดตัวเองไว้ไม่ให้หลับ


    2. พอออกจาก รพ มันโล่ง ไม่มีเรื่องคิดในหัว งานไม่มีให้ทำ พอได้ฟังธรรม ก็ทำสมาธิ เหมือนตามดูลมหายใจแบบผ่อนคลาย โล่งมากๆ เบา แต่เหมือนไปติดในสุขบ้าง ทำให้เคลิ้ม แล้วอยากทำต่อ ไม่อยากคุยกับใครกลัวความสุขนี้หายไป เป็นค้างๆ แบบนี้อยู่ประมาณสองสามวัน คิดว่าพอกลัวสมาธิหายก็เลยเพ่ง พอไม่พูดกับใคร ตาเริ่ม กลอกไปมา ดูทีวีแล้วมันช้าลง ก็กลอกตาให้ทันกับที่มันไป เป็นอัตโนมัติจะหยุด ก็ไม่ได้ ก็เหมือนเริ่มเครียดกับตรงนี้ ตอนนอนก็ไม่หลับ เรื่องต่างๆ พุ่งมาหมดเลย โดดไปนั่นคิดนู่นนี่ คนรอบข้างก็ว่าเราบ้า เราก็เครียดหนัก ร่างกายเหนื่อยไม่ได้พัก แต่มันก็ยังเพ่งอยู่แหละค่ะ ความดันสูง
    พอกินยาอาการสุดขั้วก็ต่ำลง ก็กลายเป็นช้า เซื่องซึม จนคิดอยากตาย แต่ไม่กล้ากลัวเจ็บ ตอนนี้ก็คิดว่าปกติ แต่พอไปนอนในที่มืดๆ แล้วไม่หลับ แล้วจะเกร็งไม่กล้าพลิกตัวบ่อย ก็เริ่มเป็นอีกแล้ว แต่ตอนนี้พอจะควบคุมมันได้แล้วค่ะ แต่กลายเป็นคนสมาธิสั้นลง เข้าใจอะไรยากขึ้นกว่าเดิม ก็อยากจะกลับมาฝึกอีก ก็อยากได้แนวทางที่ถูก ตอนนี้รู้แล้วว่านั่งไปนั่งมา อยากสุข มันก็ไม่สุขซักที มันก็ประมาณนี้ค่ะ
     
  7. yiyuanka

    yiyuanka Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +34
    ตอนนี้ก็อ่านทุกความคิดเห็นแล้ว รู้จุดบกพร่องของตัวเองเยอะเลย ขอบคุณทุกๆ ความคิดเห็นนะคะ
     
  8. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...มนุษย์มีความกลัวไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับจิตใต้สำนึกที่ได้รับมาแล้วฝังอยู่ลึกๆภายในใจโดยที่เราอาจคาดไม่ถึงหรือไม่ทันสังเกตุตัวเอง
    ...คุณชอบเรื่องเร้นลับ ดูคุณริว จิตสัมผัสด้วย ก็เลยเหมือนป้อนโปรแกรมไว้สัก folder หนึ่งทางความคิด
    ...เพราะเรื่องราวของคุณริว จะเกี่ยวข้องกับวิญญานในมิติที่ซ้อนทับกันบนโลกใบนี้
    ...นั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้จิตของคุณหวั่นไหวได้ในเวลาอยู่กับความมืดคนเดียว
    ...ฟ้าผ่าแรงๆ ถ้าพูดกันตรงๆทุกคนก็กลัวกันทั้งนั้นแหละครับแต่พยายามข่มความรู้สึกก็แค่ธรรมชาติของเขาแต่จริงๆเขาก็น่ากลัวอยู่หรอกยิ่งปัจจุบันแรงมากๆ
    ...ความกลัวเกิดขึ้นได้กับทุกๆคน บางคนความมืดไม่ยักกลัว กลับกลัวจิ้งจก ตุ๊กแก สัตว์เลื้อยคลาน ต้นไม้บางชนิด ฯลฯ
    ...บางคนกลัวความสูง กลัวลงน้ำคลอง กลัวป่าช้า สารพัดกลัวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    ...ผมไม่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนไม่เคยกลัวอะไร กลัวจน กลัวตาย กลัวไม่สวย ไม่หล่อ กลัวสิวขึ้นฯลฯ เป็น 1000 พันๆหมื่นๆความกลัว
    ...กลัวอะไรลองกลับไปหาเหตุตรงนั้นและลองค่อยๆพิจารณาทีละนิด ทีละหน่อย อย่าพยายามแสร้งว่าเราไม่กลัวอะไรเลย
    ...ฉนั้นทุกอย่างจะกลับมาที่ตัว สติ ของเราครับถ้าสติมั่นคงก็จะทำให้อะไรๆดีขึ้นไม่ล่องลอยไร้การควบคุม
    ...อย่ามัวอ่านๆๆ คนนั้นคนนี้เขาปฏิบัติภาวนา ทำไมจึงง่ายจังเราก็น่าจะทำได้อย่างเขาบ้าง
    ...บางที จริต ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บุญเก่าหรือสัญญาเก่าในอดีตชาติที่ผ่านมาแตกต่างกันไป ถ้าคุณไม่เข้าใจตรงนี้หากทำเองใจฟุ้งซ่านเตลิดแน่ๆ
    ...ยิ่งปฏิบัติเพราะความอยากจะสำเร็จได้เร็วไวแบบคนอื่นที่ไปอ่านหรือดูตามคลิปมาอาการแบบนี้เรียกว่า น่าเป็นห่วงครับ
    ...ไม่ทราบว่าคุณมี พระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งสูงสุดทางใจหรือปล่าว???หรือมีครูบาอาจารย์ที่เหมือนเป็น IDOL เลื่อมใสศรัทธามากๆอยู่ในใจตลอดเวลาสักองค์หรือไม่???
    ...ถ้ามีเป็นเรื่องไม่ยากขอบารมีจากท่านคุ้มครองให้จิตของเรามั่นคง อย่าได้มีสิ่งใดๆเข้ามาแทรกจิตภายในจนฟุ้งซ่าน
    ...แต่ถ้าไม่มีใครเลยอยากจะทำก็ทำ บางครั้งคุณจะหาอะไรยึดเหนี่ยวทางจิตไม่ได้เลย พวกเจ้ากรรมนายเวร สัมพเวสีทั้งหลายก็อาจแกล้งคุณให้ตกใจ ล่องลอยเหมือนคนไร้สติได้ง่ายๆ
    ...เพราะคุณยังไม่เคยฝึกจิตให้แข็งแกร่งเล่นก้าวกระโดดเพื่อหวังให้บรรลุเหมือนคนอื่นๆเขาเร็วดั่งใจต้องการ อันตรายครับ
    ...เพราะมิติที่ทับซ้อนกันอยู่ในบรรยากาศทุกๆที่มีสิ่งต่างๆเหล่านี้วนเวียนจ้องหาคนแบบคุณอยู่แล้ว
    ...ฉนั้นถ้ายังไม่ไว้ใจจิตของตนเอง ควรหาครูบาอาจารย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญคอยชี้แนะแก้ไขอย่างใกล้ชิด น่าจะดีที่สุด
    ...ที่สำคัญการทำสมาธิโดยความไม่พร้อม บวกกับความเครียดมุ่งเอาชนะเพื่อเป้าหมายที่รวดเร็ว เป็นไปไม่ได้หรอกครับยิ่งเครียดยิ่งฟุ้งซ่าน
    ...ต้องผ่อนคลายลดจากกิเลสภายนอกหรือความกังวลใจมาข้องแวะแบบเข้าๆออกๆระหว่างปฏิบัติภาวนา พร้อมก็ทำ
    ...ยังไม่พร้อมก็หาอะไรเพลินๆทำไปก่อนก็เป็นสมาธิได้ จะดูหนัง ฟังเพลง เดินห้าง หาเพื่อน ร้องค่ราโอเกะ อ่านหนังสือ ฯลฯอย่าหมกมุ่น จิตต้องผ่อนคลายสบายๆเหมือนปกติ
    ...ความเครียดความอยากได้ในขณะที่คุณกำลังสงบอยู่เพลินๆ แค่เสียงปิดประตูหรือสุนัขเห่าอาจทำให้จิตตกแบบตกใจรุนแรงได้เพราะมัวเพลินกับความสงบ แต่ขาดสติ
    ...และหากคุณมี การบริจาคทาน จิตใจมีความเมตตา อุทิศส่วนกุศลให้ เทวดารักษา ญาติ เจ้ากรรมนายเวร ทั้งหลายสม่ำเสมอ
    ...รักษาศีล๕ ครบ คุณลองสังเกตุดูความเปลี่ยนแปลงในการนั่งสมาธิได้เลยซึ่งจะนำไปสู่การพิจารณาเองโดยอัตโนมัติที่เรียกว่า วิปัสสนา
    ...ไม่ยึดติดตัวกูของกู ทุกอย่างไม่เที่ยงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีแต่ทุกข์ ธาตุ๔ ขันธ์๕ แค่การอาศัย สลัดได้เมื่อไรเหลือจิตประภัสสรล้วนๆ
    ...ก็ไม่มีอะไรจะมาขวางการปฏิบัติภาวนาได้อีกต่อไป ค่อยเป็นค่อยไปแล้วพิจารณาไปเรื่อยๆตามอารมณ์และตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสไว้ดีแล้ว
    ...และเมื่อไรคุณรู้สึกเบื่อกับ การ เกิด แก่ เจ็บ ตาย พิจารณาแล้วเห็นว่ามีแต่ทุกข์ มีสุขเป็นรางวัลบ้างแต่ก็ไม่ยาวนาน โลกนี้คือสิ่งสมมุติทั้งนั้นที่มนุษย์สร้างเพื่อตอบสนองกิเลสกัน
    ...พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่าแก่นสูงสุดของพระพุทธศาสนาคือ นิพพาน เท่านั้นซึ่งมีแหล่งที่แสวงหาความรู้ได้มากมายในยุคนี้แม้แต่ผู้ที่เป็นฆราวาส
    ...ขอให้คุณปฏิบัติต่อไปแต่ควรมีครูบาอาจารย์คอยแนะนำแก้ไขใกล้ชิด น่าจะดีที่สุดสำหรับจริตแบบคุณ
    ...ส่วนสุขภาพร่างกายพอพักผ่อนให้เพียงพอ จะปฏิบัติก็เดินสายกลางอย่าเครียด 5 นาที 10 นาที......เดี๋ยวก็พัฒนาไปเองจนรู้สึกว่า 1 ชั่วโมงแป๊บเดียวในที่สุด
    ...โชคดีครับขอให้พบ แสงสว่างแห่งธรรมในเส้นทางเดินข้างหน้าในชาตินี้
     
  9. คนสามตา

    คนสามตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +311
    ลุงขอตอบให้แบบไม่มีอะไรนะจ้า...

    "...สติรู้ไม่ทันอารมณ์..."
    ที่จริงมันเป็นการที่รับรู้สิ่งที่เข้ามากระทบ เพียงแต่พ่อคุณ
    ตั้งสติไม่ทัน หรือไม่ทันตั้งสติ ก็ปล่อยสติมันไหลไปแล้ว
    พอสติมันไหลคราวนี้ มันไหลไปไหนละ มันก็เข้าทางกิเลสมารบ้าง
    เข้าไปรู้สัญญาเดิมบ้าง จิตมันก็ไหลไปเรื่อย เพราะเราตามสติไม่ทัน
    หากตามสติทันมันก็หยุด เพราะสติมันก็ตั้งอยู่ตรงนั้นแล้ว
    คนมีสติแล้ว มันก็พิจารณาได้ ว่่าสิ่งที่เกิดที่เข้ามากระทบคือสิ่งใด
    เป็นอย่างไร เอาแบบง่ายๆ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตา อย่างนี้ใช้ได้
    สติไม่หลุดแล้ว สิ่งที่เข้ามา คือ ปัญญา จากสติแล้วอย่างนี้ใช้ได้นะ

    ลุงสามตา
     
  10. เลไล

    เลไล สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    ปรุงกรรมเองคืออะไรค่ะ รบกวนช่วยอธิบายด้วยค่ะ คือไม่ค่อยเข้าใจค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
     
  11. คนสามตา

    คนสามตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +311
    ลุงตอบแบบไม่มีอะไรนะ...

    "...ติดสัญญา..."
    แล้วแม่คุณจะไปปรุงทำไมละจ้ากรรมนั้นนะ
    ไม่ปรุง ไม่แต่ง มันก็หนักหนาอยู่แล้ว กรรมที่เป็นอกุศล
    ส่วนกรรม ที่เป็นกุศล ใครเขาปรุงกันละจ้า

    เอาเป็นว่า "ปรุงกรรมเอง" นี้คงจะมีหมอดู หมอพระบอกมา
    หรือว่านักปฏิบัติที่พูดง่าย ทำยาก พูดให้ได้คิดนะ
    ที่จริงมันก็ เป็นสัญญาของเราเองทั้งนั้น ที่มีมาแต่หนหลัง
    สัญญาที่จำได้หมายรู้ กับสัญญาที่จำไม่ได้หมายก็ไม่รู้
    เพราะมันนานมากหลายชาติแล้ว พอนั่งสมาธิ "สติ"
    มันไม่ทัน ก็เลยไหลลึก สนุกกับสัญญาไปกันไกลนะแม่คุณ
    นี้แหละมั้งที่ว่าปรุงกรรม ที่จริงมันติดสัญญา แล้วขาดสติเท่านั้นเองจ้า


    ลุงสามตา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2011
  12. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +1,073
    สภาพบุญ-บาป คือ กุศล-อกุศล ล้วนตกอยู่ภายใต้ของการปรุงแต่งทั้งสิ้น
    โดย อภิสังขารมาร ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง3 เป็นหนึ่งในมารทั้ง5 ผู้ขวางทาง

    เรียกได้ว่า ยังไม่พ้นเจตนาการปรุงแต่ง ในภูมิปุถุชน คือ จิตสังขาร พาให้ปรุงแต่งไปในบุญ และบาป

    จึงต้องมาฝึกสติ เพื่อให้รู้ทัน ในสภาพของสังขารความคิด ที่พาเวียน

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2011
  13. มดแดง3120

    มดแดง3120 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +34
    ผมศึกษา และอ่าน"อริยสัจ4"คับลองหาอ่านดูคับเผื่อจะมีประโยชน์คับ แต่ที่อ่านๆดูเหมือนคุณจะติดสุขนะคับ(ความคิดส่วนตัวเฉยๆ) แล้วพอไม่มีสมาธิหรือสาธิไม่นิ่ง มันก็จะทำให้รู้สีกหงุดหงิด นอนไม่ค่อยหลับ ประมาณว่า สติตามอารมไม่ทัน ผมก้อเด็กใหม่ไม่กล้าชี้แนะใครคับเพราะตัวเองก้อยังอ่อนประสบการณ์ ลองหาอ่านดูนะคับ อริยสัจ4 มรรคมีองค์8
     
  14. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ก็ไม่มีอะไรแล้วนี่ครับ หลุดออกมาได้แล้ว เห็น รู้ด้วยตนเองแล้ว
    ระยะนี้จะแค่ต้องการยืนยันสิ่งที่ผ่านไปเท่านั้นเอง
    ก็ อ่านๆนะครับ ทั้งของฆราวาส ของพระ และพระไตรปิฏก
    เจอก็อ่าน อ่านผ่านๆไปครับ ที่ชอบ ที่โดน เขาจะพิจารณาเอง
    ทีนี้ ก็จะเริ่มเข้าที่เข้าทาง
    ที่ผ่านไม่มีผิดครับ แค่ไม่รู้เท่านั้นเอง ปล่อยมันไปครับ
    ช่วงนี้ ก็ทำตัว สบายๆ อยู่กับ ตัวเอง การงาน ให้เต็มที่
    พึงระลึกไว้เสมอ ว่า ปฏิบัติธรรม ไม่ได้หนีโลก แต่อยู่กับโลกด้วยความสบาย
    เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่นน้อยที่สุด
    อนุโมทนาครับ
     
  15. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,942
    ค่าพลัง:
    +1,253
    สังเหตเลยนะครับ จขกท เวลาปฏิบัติธรรมนั้น เราจะมุ่ง ทำลาย "สันตาติ"

    ความสืบเนื่องของอุปทาน เอาอุปทานไปซ้อนอุปทาน เอาอุปทานไปสนับสนุน
    อุปทาน และที่ร้ายที่สุด เอาอุปทานของคนขาดการสดับ มาสนับสนุนอุปทาน
    ทางธรรม ( เอาเหตุผล ค่านิยม อาชีพ เงินตรา ตำแหน่ง ดี เลว มา ตัดสินการละ
    อุปทานธรรม ) มันจะทำให้เกิด การอลหม่าน

    การอลหม่าน ก็คือ การร้อยเรียงเรื่องราว คล้ายมีเหตุผล คล้ายว่าทำมาดี
    ขนาดนี้ คล้ายทำมารู้ว่าไม่ดีอย่างนี้ คล้ายรู้เหตุผลของการดำเนิน ปฏิปทา
    ทั้งหมด แต่ โง่ เท่าเดิม หรือ ซ้ำร้าย โง่ ยิ่งกว่าเก่า ในตอนที่ "ความคิดอ่าน"
    ของเรา ถูกชี้ว่าเป็น อภิสังขารมาร

    มันไม่ใช่เลย

    มันไม่ใช่อภิสังขารมารอะไรหลอก มันเป็นเรื่อง ของคนขาดการสดับธรรมะ
    ทำให้ ไม่เข้าใจว่า เขาปฏิบัติอะไร เพื่ออะไร ยังเข้าใจ เป้าหมายไม่ถูก และ
    ยังจับเป้าหมายทางธรรมผิด มันเลยทำให้ปฏิบัติไปแล้ว เกิดผล เกิดกุศล ก็
    ไม่รู้ว่า กุศลมันเกิดแล้ว ดีแล้ว

    อภิสังขารมาร มันจะมาก็ต่อเมื่อ คุณปฏิบัติได้ดีสุดๆ ประมาณหนึ่ง ประมาณ
    ว่า มุดฟ้า ดำดิน แปลวกายได้ นั่น ตอนนั้น อภิสังขารมาร จะมา จะบอกว่า
    คุณเป็นเทวะ พระเจ้า อะไรประมาณนั้น โดยดำริเอาเอง ไม่มีใครมายุ เนี่ยะ
    แบบนี้คือ อภิสังขารมาร คือ เข้าใจว่า สังขารตัวเองใหญ่เสียเหลือเกิน เกิน
    มนุษญมนา อะไรทำนองนี้

    สรุปว่า ยังขาดการสดับ และ สำคัญว่าเยาศึกษาธรรมด้วยการรู้เหตุรู้ผลไป
    เรื่อยๆ แบบนี้ถือว่า ยังไม่เข้าใจ

    ธรรมะปฏิบัตินั้น เมื่อถึงที่สุด จะเหนือเหตุเหนือผล มันต้องไปตรงนั้นให้ได้
    โดยที่เราไม่ไร้เหตุผลไปเสียก่อน หรือ ติดในเหตุในผลจมอยู่แค่นั้น

    ฟังยากหน่อยนะ เพราะ พูดให้เล็งไปที่เป้าหมายข้างหน้าโน้น

    พอเข้าใจนะ เหตุผลร้อยแปดที่คุณเล่ามา มันเศ็งเคร็งทั้งนั้น มันไม่มี
    ค่าอะไรเลย สู้ ปัจจุบันที่เห็นเหตุเกิด เหตุดับ ไม่ได้ ตัดฉับ ตัดฉับ
    เป็นเรื่องๆ เป็นท่อนๆ ไม่เกี่ยวกัน ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีแพทย์ ไม่มีด๊อกเตอร์

    ที่เห็นว่าเกี่ยวกัน เพราะมันเป็น อุปทานในขันธ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2011
  16. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +1,073
    อภิสังขารมาร อภิสังขารมาร ^^
     
  17. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    โมทนาสาธุธรรมนะครับ....เป็นประโยชน์มากๆ....
     
  18. thongchai394

    thongchai394 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2011
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +136
    http://www.wimutti.net/pramot
    หลักของการเจริญวิปัสนา คือให้มีสติ
    รู้รูปธรรม นามธรรม
    ตามความเป็นจริง
    ด้วยจิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง

    จิตหลงไปคิดแล้วก็รู้
    ขณะที่รู้นี่แหละจิตจะตั้งมั่น


    ที่นี่หลวงพ่อจะเน้นสอนเรื่องการปฏิบัติให้ หลักของ
    การปฏิบัติเราก็ต้องรู้ว่า เราจะปฏิบัติอะไร ปฏิบัติเพื่อ
    ปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติแล้วได้ผลเป็นอย่างไร ต้อง
    ตอบได้ชัดเจน


    เป้าหมายของเราก็คือ เราจะต้องรู้กายรู้ใจ
    จนเห็นความจริงของกายของใจว่าเป็นไตรลักษณ์
    จนหมดความยึดถือกายยึดถือใจ
    แล้วจิตก็จะเข้าถึงวิมุตติความหลุดพ้น...
    ส่วนวิธีการก็คือการเจริญสติปัฏฐาน
    สติปัฏฐานมี 2 ส่วน
    คือส่วนที่เป็นสมถะ กับส่วนที่เป็นวิปัสสนา
    อย่านึกนะว่าทำสติปัฏฐานแล้วจะเป็นวิปัสสนาเสมอไป
    ถ้ารู้กาย ถ้ารู้ใจ แต่ไม่เห็นไตรลักษณ์
    ไม่เรียกว่าวิปัสสนา ยังเป็นสมถะอยู่
    แต่ถ้าเห็นกายเห็นใจเป็นไตรลักษณ์จึงจะเป็นวิปัสสนา


    ผู้ใดเข้าใจอริยสัจอย่่างแจ่มแจ้ง
    ผู้นั้นจะพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้อย่างน่าอัศจรรย์
    ยิ่งกว่าความน่าอัศจรรย์ใดๆ ในโลก...
    เรื่องการดูจิตนั้นสำคัญมาก
    ถ้าอ่านจิตตนเองแล้วจะเห็นอริยสัจแห่งจิต
    เพราะทุกข์ก็เกิดที่จิต ถ้าจิตไม่ทุกข์
    แล้วใครจะทุกข์ ตัณหาคือตัวสมุทัยก็เกิดที่จิต
    นิโรธคือนิพพานก็ประจักษ์ด้วยจิต
    อริยมรรคก็ดำเนินอยู่ที่ิจิต ท่านสอนรวบรัด
    ถ้าเห็นเข้ามาให้เห็นถึงจิตถึงใจตัวเอง
    การปฏิบัติก็ลัดสั้นนิดเดียว



    <DD style="WIDOWS: 2; TEXT-TRANSFORM: none; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); TEXT-INDENT: 0px; FONT: 15px Tahoma, Arial, sans-serif; WHITE-SPACE: normal; ORPHANS: 2; LETTER-SPACING: normal; COLOR: rgb(0,0,0); WORD-SPACING: 0px; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px">การดูจิต ก็คือการรู้สึกว่าจิตเป็นอย่างไร เพื่อให้จิตเกิดสติ-สัมปชัญญะ เมื่อรู้สึกว่าจิตมีกิเลส สติจะเกิด และถ้ามีสัมปชัญญะ จิตที่มีกิเลสก็จะดับไป เหลือแต่ความรู้ ตื่น เบิกบาน ไม่รู้สึกว่าพอใจ-ไม่พอใจต่อจิตที่มีกิเลส (ที่เพิ่งดับไป)


    <DD style="WIDOWS: 2; TEXT-TRANSFORM: none; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); TEXT-INDENT: 0px; FONT: 15px Tahoma, Arial, sans-serif; WHITE-SPACE: normal; ORPHANS: 2; LETTER-SPACING: normal; COLOR: rgb(0,0,0); WORD-SPACING: 0px; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px">เมื่อไม่รู้สึกว่าพอใจ ก็ไม่พยายามสร้างจิตที่มีกิเลสขึ้นใหม่ เมื่อไม่รู้สึกว่าไม่พอใจ ก็ไม่พยายามทำให้จิตที่มีกิเลสไม่สามารถเกิดขึ้นอีก สติสัมปชัญญะที่เกิดขึ้นมีผลให้จิตเหลือแต่ รู้ เท่านั้น



    <DD style="WIDOWS: 2; TEXT-TRANSFORM: none; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); TEXT-INDENT: 0px; FONT: 15px Tahoma, Arial, sans-serif; WHITE-SPACE: normal; ORPHANS: 2; LETTER-SPACING: normal; COLOR: rgb(0,0,0); WORD-SPACING: 0px; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px">จิตที่มีสติสัมปชัญญะ เรียกอีกอย่างว่า รู้สึกตัว หรือ รู้ตัว เมื่อเกิดสติสัมปชัญญะ (รู้สึกตัว) ได้บ่อย ๆ จิตเองจะค่อย ๆ เกิดความเข้าใจต่อกายต่อจิตเอง จนกระทั่งเกิดความเข้าใจได้ว่า กายไม่ใช่ตัวเรา จิตเองก็ไม่ใช่ตัวเรา กายนี้เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมสลายดับไป จิตนี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เมื่อเข้าใจถึงระดับหนึ่ง ความเข้าใจผิด ความเห็นผิดไปว่ากายนี้จิตนี้เป็นตัวเรา ก็จะถูกละออกไปอย่างชนิดไม่กลับไปเข้าใจผิด ไม่กลับไปเห็นผิดอีกเลย



    <DD style="WIDOWS: 2; TEXT-TRANSFORM: none; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); TEXT-INDENT: 0px; FONT: 15px Tahoma, Arial, sans-serif; WHITE-SPACE: normal; ORPHANS: 2; LETTER-SPACING: normal; COLOR: rgb(0,0,0); WORD-SPACING: 0px; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px">เมื่อละความเข้าใจผิด ความเห็นผิดไปแล้ว สติสัมปชัญญะที่เกิดจากการรู้สึกว่าจิตเป็นอย่างไร ก็จะพัฒนาไปตามลำดับจนในที่สุด การปล่อยวางกายปล่อยวางจิตก็จะเกิดขึ้น สภาวะที่เรียกกันว่า นิพพาน ก็จะปรากฏขึ้น

    สุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา
    ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ๑๐:๔๓ น.
    </DD>
    คัดลอกจากเวบhttp://www.wimutti.net/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2011
  19. thongchai394

    thongchai394 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2011
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +136
  20. pass and go

    pass and go สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    ครับ

    ต้องยังตัวเองให้รู้สึกอยู่เสมอ ให้รู้เสมอว่าหายใจเข้า หายใจออก แค่นี้ก็ควบคุมสติได้ หายใจเข้าพุทธ หายใจออกโธ แต่ถ้าเรารู้ตัวเองว่านี่หายใจเข้า นี่หายใจออก เราไม่ต้องท่องพุธ โธก็ได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...