โทษของความอยาก (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 17 ธันวาคม 2011.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    ความอยากสามารถฉุดกระชากลากแต่ละคนให้คิด ให้พูด ให้ทำ อะไรต่อมิอะไรที่ร้ายแสนร้ายเพียงใดก็ได้ ลักโขมยเล็กๆ น้อยๆ ก็เกิดจากความอยากได้เพียงเล็กๆ น้อยๆ

    การปล้นสดมภ์ถึงเข่นฆ่าแทบจะล้างผลาญกันให้หมดบ้านหมดเรือนหมดประเทศ ก็เกิดจากความอยากได้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จนถึงกับต้องสังหารผลาญชีวิตเพื่อให้สมอยาก

    การอยากได้ทรัพย์สินเงินทองที่ฉุดลากให้ไปเป็นผู้ร้ายลักโขมย แม้ถึงทำลายชีวิตกัน ก็ไม่เสมอด้วยความอยากมีอำนาจยิ่งใหญ่ ความอยากนี้มีโทษเกินกว่าจะคาดคิดได้ ความอยากนี้ก็เป็นที่รู้ที่เห็นกันอยู่เสมอมา

    ความอยากมีวาสนาเป็นใหญ่เป็นโตในบ้านในเมืองนั้น ต้องทำอะไรต่อมิอะไรมากมาย ผิดร้ายอย่างใดก็ทำกัน บ้านเมืองจะดีขึ้นหรือเลวลงเพียงใด เป็นเรื่องไม่สำคัญเท่าความอยากของคน

    ความอยากยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ยิ่งทำความเร่าร้อนรุนแรงเพียงนั้นให้เกิดในหัวใจผู้อยาก ขณะเดียวกันก็อาจทำความเดือดร้อนให้เกิดแก่สังคมแก่ประเทศชาติศาสนามากมาย แต่ก็น้อยนักที่จะเห็นโทษของความอยาก

    ความอยากจึงเต็มไปทุกชีวิตจิตใจชักลากนรชนไปดังพระพุทธภาษิต โดยที่ผู้ที่ถูกความอยากชักลากอยู่นั้นหาได้เป็นสุขไม่ แต่ก็หาได้รู้ไม่ว่าความไม่เป็นสุขที่ต้องได้รับอยู่นั้นเกิดแต่ความอยาก ความอยากที่ไม่เคยหยุด ไม่เคยเพียงพอ

    ความอยากที่สำคัญประการหนึ่งและมีอยู่ทุกหนทุก แห่ง คือความอยากทำลายผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของความอิจฉาริษยา โกรธใคร เกลียดใคร อิจฉาริษยาใคร ก็อยากทำลายให้ย่อยยับ ความอยากนี้จะฉุดลากให้ผู้มีความอยากอันเกิดจากความโกรธเกลียดอิจฉาริษยาโลด แล่นไปอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย อย่างไม่กลัวอะไรทั้งนั้น

    มุ่งมั่นไปตามอำนาจของความมุ่งร้าย ที่มีความโกรธเกลียดความอิจฉาริษยาเป็นกำลังของความอยาก ผลักดันและฉุดกระชากลากถูลู่ถูกังไปทุกวิธีทาง อย่างไม่รู้จักท้อแท้เหน็ดเหนื่อย ไม่คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษใดๆ ทั้งสิ้น


    ความอยากเท่านั้นมีกำลังเหนือความรู้คิดที่ถูกที่ควรทั้งหลายทั้งปวง ความอยากเท่านั้นที่ผูกมัดไว้และลากถูไป ไม่ปล่อยให้มีอะไรอื่นมาปลดปล่อยให้เป็นอิสระ

    สมเด็จพระบรมศาสดาทรงชี้ชัดให้พากันคิดว่า “สัตว์เป็นอันมากถูกความอยากผูกมัดไว้ ดุจนางนกถูกบ่วงรัดไว้ฉะนั้น” นกที่ติดบ่วงย่อมไร้อิสระภาพ ย่อมรอเวลาที่จะถูกจับไปเป็นอาหาร

    สัตว์ทั้งหลาย คือเราท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกันกับนางนกที่ทรงมีพุทธภาษิตว่าถูกบ่วงรัด นางนกนั้นเป็นเช่นไร สัตว์ทั้งหลายที่ถูกความอยากผูกมัดไว้ ก็เป็นเช่นเดียวกัน นั้นเอง

    : แสงส่องใจ ๒๕๕๐
    : สมเด็จพระญารสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    ที่มา::
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 พฤษภาคม 2012
  2. เ่ต่าโบราณ

    เ่ต่าโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +3,624
    ขอบคุณที่นำมาให้อ่านค่ะ ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
    เห็นด้วยว่า...เป็นเช่นนั้นจริงๆ
     
  3. sukh_anand

    sukh_anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +731
    ขออนุโมทนาอย่างสูงต่อผู้นำเสนอกระทู้นี้ครับ ขอบคุณครับ
     
  4. athikhom1965

    athikhom1965 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +77
    อนุโมทนาสาธุครับ ช่วยเตือนสติให้ตั้งมั่นอยู่บนความไม่ประมาทได้ดีครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • .jpg
      .jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.3 KB
      เปิดดู:
      39
  5. lobsterkiss

    lobsterkiss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +325
    ขอบคุณมากครับสำหรับบทความดีๆ ขอโมทนาบุญด้วยนะครับ:cool:
     
  6. JoJoz

    JoJoz สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +20
    "ความอยากยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ยิ่งทำความเร่าร้อนรุนแรงเพียงนั้นให้เกิดในหัวใจผู้อยาก"


    ความทะเยอทะยาน ความขยัน ความมุ่งมั่น ความฝันที่ยิ่งใหญ่ ย่อมต้องมีแรงขับเคลื่อน

    แรงนั้น เรียกว่า ความอยาก ความโลภ หรือเปล่า

    ดีทางโลก ไม่ดีทางธรรม และเราควรวางใจอย่างไร

    โลกนี้มันอยู่ยากจริงๆ

    โมทนาสาธุครับ
     
  7. ทางสวรรค์

    ทางสวรรค์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +347
    ผมเคยอ่านหนังสือของท่านสมเด็จพระสังฆราช ท่านมีคำสอนที่อธิบายได้อย่างลึกซึ้งและเข้าใจง่าย ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ
     
  8. Ji_ramet

    Ji_ramet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +222
    ถ้าอยากทำในสิ่งดีดี อยากทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล ภาวนา หลวงตามหาบัวท่านบอกว่าอยากอย่างนี้เป็นธรรม แต่ถ้าอยากได้นั่นได้นี่เช่นได้ได้ชู้ อยากไม่มีประมาณจนถึงกับต้องไปขโมยเขา ไปทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน อันนี้เป็นกิเลส ธรรมดามนุษย์เราก็อยากหาอยู่หากินเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ผิดแต่อย่าให้มันเลยเถิดอย่าให้มันเกินพอดี อย่าให้มันไปเดือดร้อนคนอื่น

    ผมเองตอนนี้ก็มีความอยากมาก อยากเล่นเกมส์ ทั้งที่ไม่ได้เล่นมาตั้งนานแล้ว เพิ่งมาเล่นช่วงนี้ เด๋วเล่น เด๋วลบ อยู่นี่พูดไปก็เศร้าใจตัวเองตอนนี้กำลังฝืนใจไม่ให้เล่นเกมส์อยู่ เล่นแล้วพังหมด งานเงิน สมาธงสมาธิพังหมดกับเกมส์นี่แหละ
     
  9. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    อนุโมทนา สาธุ กับเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ ที่เสียสละเวลาทำกระทู้ดีๆ ให้สมาชิกเว็ปพลังจิตได้ศึกษาธรรมะกัน :cool:


    [​IMG]

    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น (เล่ม 7)

    ผลบุญจากธรรมทาน ซึ่งชนะทานทั้งปวง
    เพราะสร้างปัญญาให้เกิด

    สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตา ตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ มีความสำคัญดังนี้

    ๑. การให้ธรรมเป็นทาน คือ การให้เขาอ่านหรือฟัง หรือดูแล้วเกิดปัญญา เป็นการเพิ่มปัญญาบารมีให้กับตนเองด้วยและกับผู้อื่นด้วย จักทำให้มีปัญญาตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานได้ เข้าถึงพระนิพพานเร็วเข้า

    ๒. อย่าลืมเราให้ทานอันใด เราย่อมได้ทานอันนั้นตอบสนอง จักหวังผลหรือไม่หวังผลตอบแทนก็ตาม แต่กฎของกรรมก็เที่ยงอยู่อย่างนี้แหละ

    ๓. อนึ่ง แม้เรื่องภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เจ้าเขียนนั้น การเขียนบรรยายธรรมไว้ใต้ภาพ ก็อย่าให้ย่อมากไปจนเสียใจความของธรรมะ ความใดควรยาวก็ให้ยาวเข้าไว้ ความใดควรสั้นก็สั้นตามนั้น ต้องให้ผู้อ่านทั่วไปเข้าใจในธรรมปฏิบัติได้เป็นสำคัญ นั่นแหละจึงจักมีอานิสงส์ที่สมบูรณ์


    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...