เปิดใจหญิงเก่งด้านศาสนา 'ภิกษุณีธัมมนันทา'

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย สังขารไม่เที่ยง, 17 ธันวาคม 2011.

  1. Pornkasem

    Pornkasem Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +64
    ...ผมไม่ได้หลบหลู่ความดีของท่านนะครับ แต่ถ้าจำไม่ผิด ภิกษุณี หมดไปจากโลกนี้นานแล้ว...สำนักงานพระพุทธศาสนา หรือ ผู้รู้ พอจะออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ไหมครับ เพราะสงสัยมานานมาก เกี่ยวกับผู้บวชที่เรียกว่าภิกษุณี ยังมีอยู่อีกหรือครับ...
     
  2. Pornkasem

    Pornkasem Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +64

    ...อยากให้มาออกความเห็นกันมาก ๆ ครับ...ส่วนตัวผมเห็นด้วยกับความเห็นนี้ แต่ เราอย่าโพสเถียงกันนะครับ เพราะความคิดแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน...
     
  3. Pornkasem

    Pornkasem Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +64
    การบวชเป็นภิกษุณี
    เมื่อผู้ที่ประสงค์จะบวชเป็นภิกษุณี ได้เป็นสิกขมานา ถือศีล 6 ข้อครบ 2 ปีแล้ว แล้วจึงมีสิทธิ์ที่จะเข้าพิธีอุปสมบท โดยต้องอุปสมบทในฝ่ายของ ภิกษุณีสงฆ์ ก่อน แล้วไปเข้าพิธีอุปสมบทในฝ่าย ภิกษุสงฆ์ อีกครั้งหนึ่งจึงจะเป็นภิกษุณีได้โดยสมบูรณ์ (บวชในสงฆ์สองฝ่าย)

    <O:pการสูญวงศ์ของภิกษุณีฝ่ายเถรวาท<O:p
    ปัจจุบันผู้หญิงผู้ศรัทธาออกบวชในฝ่ายเถรวาทนิยมโกนหัวนุ่งขาวห่มขาวถือศีลอุโบสถบวชเป็น แม่ชี แทน
    <O:pก่อนที่ภิกษุณีสงฆ์จะหมดไปจากอินเดียนั้น พระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งพระธรรมทูตออกไป 9 สาย 1 ในนั้นคือ พระมหินทรเถระ ผู้เป็นพระราชโอรสของพระองค์เอง ในสายพระมหินทรเถระนี้ไปศรีลังกา การเผยแพร่ศาสนาพุทธประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง พระนางอนุลา น้องสะใภ้ของกษัตริย์ศรีลังกา ทรงอยากผนวช จึงนิมนต์ พระนางสังฆมิตตาเถรี พระธิดาของพระเจ้าอโศก มาเป็นปวัตตินีให้ ("ปวัตตินี" คือพระอุปัชฌาย์ที่เป็นผู้หญิง

    จากศรีลังกา ภิกษุณีสงฆ์ได้ไปสืบสายไว้ในจีนไต้หวัน และอื่น ๆ อีกมาก จนกระทั่งพุทธศาสนาที่อินเดียและศรีลังกาเสื่อมลงลงไปในช่วงหลัง ทำให้ภิกษุณีฝ่ายเถรวาทซึ่งมีศีลและข้อปฏิบัติที่ยุ่งยากไม่สามารถรักษาวงศ์ของภิกษุณีเถรวาทไว้ได้ จึงทำให้ไม่มีผู้สืบทอดการบวชเป็นภิกษุณีสายเถรวาทในปัจจุบัน

    <O:pการพยายามรื้อฟื้นภิกษุณีสายเถรวาทในปัจจุบัน<O:p
    ในปัจจุบัน มีความเชื่อว่ายังมีภิกษุณีสายเถรวาทเหลืออยู่ และอ้างหลักฐานยืนยันว่าภิกษุณีทางสายมหายานวัชรยานนั้นสืบสายไปจากภิกษุณีสายเถรวาท โดยถือกันว่าหากภิกษุณีสายเถรวาทสืบสายไปเป็นมหายานได้ (ภิกษุณีจากลังกาไปบวชให้คนจีน) ภิกษุณีมหายานก็สืบสายมาเป็นเถรวาทได้เช่นกัน<O:p
    เคยมีประเด็นถกเถียงอยู่ช่วงหนึ่งว่าปัจจุบันนี้สามารถบวชภิกษุณีได้หรือไม่ มีข้อสรุปจากทางพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาทว่าพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้มีการบวชเป็นภิกษุณีได้ก็ต่อเมื่อบวชต่อสงฆ์ทั้ง 2 ฝ่าย คือต้องบวชทั้งฝ่ายพระภิกษุสงฆ์ และฝ่ายภิกษุณีสงฆ์เป็นการลงญัตติจตุตถกรรมวาจาทั้งสองฝ่าย จึงจะสามารถเป็นภิกษุณีได้ ดังนั้นในเมื่อภิกษุณีสงฆ์เถรวาทได้เสื่อมสิ้นลงไม่มีผู้สืบต่อ จึงทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถทำการบวชผู้หญิงเป็นภิกษุณีฝ่ายเถรวาทได้ การที่มีข้ออ้างว่าสายมหายานสืบสายวงศ์ภิกษุณีสงฆ์ไปก็ไม่สามารถอ้างได้ เพราะการสืบสายทางมหายานมีข้อวินัยและการทำสังฆกรรมบวชภิกษุณีที่ไม่ถูกต้องกับพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาท......

    <O:pวงศ์ภิกษุณีสงฆ์เถรวาทในศรีลังกาที่มีมาแต่ครั้งพระเจ้าอโศกได้สูญวงศ์ไปนานแล้ว ภิกษุณีสงฆ์ที่อ้างว่าเป็นนิกายเถรวาทของศรีลังกาในปัจจุบันคงเป็นเพียงภิกษุณีซึ่งบวชมาจากทางฝ่ายมหายานเท่านั้น หากแต่ยังคงอ้างว่าตนเป็นวงศ์ภิกษุณีเถรวาทดั้งเดิม ซึ่งไม่ชอบด้วยพระวินัยปิฎกเถรวาท เพราะการบวชภิกษุณีมหายานไม่ได้บวชจากสงฆ์สองฝ่าย และมีวัตรปฏิบัติแตกต่างกันมาก

    <O:pข้อมูลบางส่วนจาก [FONT=TH SarabunIT๙]http://th.wikipedia.org<O:p></O:p>[/FONT]
    <O:p
    ประกาศห้ามพระเณรไม่ให้บวชหญิงเป็นบรรพชิต ลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๔๗๑<O:p
    <TABLE style="BORDER-BOTTOM: #08a4e7 1pt dashed; BORDER-LEFT: #08a4e7 1pt dashed; WIDTH: 100%; BACKGROUND: #b7e1f3; BORDER-TOP: #08a4e7 1pt dashed; BORDER-RIGHT: #08a4e7 1pt dashed; mso-border-alt: dashed #08A4E7 .5pt; mso-cellspacing: 1.5pt; mso-yfti-tbllook: 1184" class=MsoNormalTable border=1 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes"><TD style="BORDER-BOTTOM: #08a4e7; BORDER-LEFT: #08a4e7; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; PADDING-LEFT: 0.75pt; WIDTH: 15%; PADDING-RIGHT: 0.75pt; BORDER-TOP: #08a4e7; BORDER-RIGHT: #08a4e7; PADDING-TOP: 0.75pt" width="15%"></TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #08a4e7; BORDER-LEFT: #08a4e7; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; PADDING-LEFT: 0.75pt; PADDING-RIGHT: 0.75pt; BORDER-TOP: #08a4e7; BORDER-RIGHT: #08a4e7; PADDING-TOP: 0.75pt">
    ประกาศห้ามพระเณรไม่ให้บวชหญิงเป็นบรรพชิต ลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๔๗๑<O:p></O:p>

    </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #08a4e7; BORDER-LEFT: #08a4e7; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; PADDING-LEFT: 0.75pt; WIDTH: 13.95pt; PADDING-RIGHT: 0.75pt; BORDER-TOP: #08a4e7; BORDER-RIGHT: #08a4e7; PADDING-TOP: 0.75pt" width=19></TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #08a4e7; BORDER-LEFT: #08a4e7; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; PADDING-LEFT: 0.75pt; WIDTH: 15%; PADDING-RIGHT: 0.75pt; BORDER-TOP: #08a4e7; BORDER-RIGHT: #08a4e7; PADDING-TOP: 0.75pt" width="15%"></TD></TR><TR style="mso-yfti-irow: 1; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-BOTTOM: #08a4e7; BORDER-LEFT: #08a4e7; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; PADDING-LEFT: 0.75pt; WIDTH: 15%; PADDING-RIGHT: 0.75pt; BORDER-TOP: #08a4e7; BORDER-RIGHT: #08a4e7; PADDING-TOP: 0.75pt" width="15%"></TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #08a4e7; BORDER-LEFT: #08a4e7; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; PADDING-LEFT: 0.75pt; PADDING-RIGHT: 0.75pt; BORDER-TOP: #08a4e7; BORDER-RIGHT: #08a4e7; PADDING-TOP: 0.75pt">
    โดย: คณะสงฆ์ไทย<O:p


    </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #08a4e7; BORDER-LEFT: #08a4e7; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; PADDING-LEFT: 0.75pt; WIDTH: 13.95pt; PADDING-RIGHT: 0.75pt; BORDER-TOP: #08a4e7; BORDER-RIGHT: #08a4e7; PADDING-TOP: 0.75pt" width=19></TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #08a4e7; BORDER-LEFT: #08a4e7; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; PADDING-LEFT: 0.75pt; WIDTH: 15%; PADDING-RIGHT: 0.75pt; BORDER-TOP: #08a4e7; BORDER-RIGHT: #08a4e7; PADDING-TOP: 0.75pt" width="15%"></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ประกาศ<O:p


    ห้ามพระเณรไม่ให้บวชหญิงเป็นบรรพชิต<O:p

    หญิงซึ่งจักได้สมมติตนเป็นสามเณรีโดยถูกต้องพระพุทธานุญาตนั้น ต้องสำเร็จด้วยนางภิกษุณีให้บรรพชา เพราะพระองค์ทรงอนุญาตให้นางภิกษุณีมีพรรษาสิบสองล่วงแล้วเป็นปวัตตินี คือ เป็นอุปัชฌาย์ ไม่ได้อนุญาตให้พระภิกษุเป็นอุปัชฌาย์ นางภิกษุณีหมดสาบสูญขาดเชื้อสายมานานแล้ว เมื่อนางภิกษุณีผู้รักษาขนบธรรมเนียมสืบต่อสามเณรีไม่มีแล้ว สามเณรีผู้บวชสืบต่อมาจากภิกษุณีก็ไม่มี เป็นอันเสื่อมสูญไปตามกัน ผู้ใดให้บรรพชาเป็นสามเณรี ผู้นั้นชื่อว่าบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ เลิกถอนสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว เป็นเสี้ยนหนามแก่พระศาสนา เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเพราะเหตุนี้ ห้ามไม่ให้พระเณรทุกนิกายบวชหญิงเป็นภิกษุณีเป็นสิกขมานาและเป็นสามเณรีตั้งแต่นี้ไป

    <O:pประกาศแต่วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๑ <O:pกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์<O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2011
  4. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,562
    ค่าพลัง:
    +2,128
    ดีแค่ไหนก็ไม่เห็นด้วย
    เราจะตอบคนต่างศาสนาว่าอย่างไรถ้าเขาถามว่า ไหนว่าศาสดาของท่าน ตรัสสิ่งไหนเป็นจริงตามนั้น แล้วที่บอกไว้ว่า 500ปีผ่านไปจะไม่มีภิกษณี แต่นี้2554ปีแล้วทำไมมีภิษุณีอยู่ได้
    พระธรรมคำสอนท่าจะเชื่อไม่ได้เสียแล้วละมั๊ง....

    ฝากไปถามภิกษุณีของท่านที่เคารพด้วยนะครับว่าจะตอบคนต่างศาสนาเขาว่าอย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2011
  5. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    คือบางครั้งนั้นผมก็คิดเล่นๆนะครับ.....จะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีภิกษุณีสงฆ์ที่ปฏิบัติอยู่หรืออยู่ในที่ห่างไกล เช่น เนปาลหรือแถบหิมาลัย...ซึ่งไม่ได้มีการบันทึกไว้....โดยเฉพาะประกาศทางคณะสงฆ์ไทยในสมัยนั้น...ท่านจะหมายเอาเฉพาะเหตุการณ์ในไทยในสมัยนั้นโดยท่านอาจลืมที่จะมองสภาวะของภิกษุณีในต่างประเทศหรือเปล่า.....

    ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อตามคณะสงฆ์ไทยนะครับ...เพียงแต่บางครั้งผมก็สนับสนุนนะครับ...ใครที่จะทำความดีก็ให้ทำความดี...ถ้าท่านบอกชัดเจนว่าท่านเป็นภิกษุณีที่มาจากต่างประเทศ (ไม่ใช่ภิกษุณีไทย)...ก็พ้นจากการปกครองของคณะสงฆ์ไทย อยู่แล้ว....
     
  6. เซียนถง

    เซียนถง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +126
    ที่จริงแล้วถ้าเขาบวชแล้วทำตามพระวินัยผมจะไม่ค้านสักคำ แต่มันมีหลายๆข้อที่แหกพระวินัยหมด เอาง่ายๆ ภิกษุณี แม้พรรษาแก่กว่า ย่อมยกมือไหว้แม้พระที่บวชได้เพียง 1 วัน แต่นี่ให้พระไหว้ เหมาะสมที่ไหน และ ฯลฯ ปัญญาคนธรรมดาอย่าเอาไปดัดแปลงพระวินัยของพระพุทธเจ้าเลยเพื่อที่จะหาข้ออ้างที่ทำให้ตัวเองดูดี นี่ละความเสื่อม!
     
  7. อมิตพระ

    อมิตพระ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +44
    ภายภาคหน้าจะเกิดเป็นเช่นใดหนอ...อีกหน่อยจะมีภิกษุณีเต็มบ้านเต็มเมืองไหม..มีเรื่องอื้อฉาวระหว่างภิกษุกับภิกษุณีไหม..ผู้หญิงทิ้งลูกทิ้งผัวไปบวชไหม..พระหนุ่มจะใจแตกไหม..ภิกษุจะถือตัวอ้างศีลมากกว่ามิได้รุกรับไหว้ภิกษุไหม..เที่ยวกล่าวสอนภิกษุเพราะคิดว่าตัวมีความรู้มากกว่าไหม..ไม่เคารพคณะสงฆ์โดยอ้างว่าบวชมาจากที่อื่นประเทศอื่นไหม..คำถามเกิดขึ้นในแบบนี้มากมายครับ..
     
  8. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    ทำไงได้หละครับ...เขาเข้ามาแล้ว....

    ผมว่าบางครั้งคณะสงฆ์ไทยต้องปรับหรือเพิ่มเติมบ้างเพื่อที่จะป้องกันหรือแก้ไขในเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าเรื่องสายการปกครอง กฏมหาเถระสมาคม ให้เป็นรูปแบบ เพราะว่าตอนนี้อย่างไรจะไปแต่เบียดบังเขานั้นมันไม่ได้หลอกครับ...เพราะสาขานั้นเริ่มที่จะมีมากมาย ขยายไปมากมายแล้ว....เราต้องพูดตรงๆนะครับเพศที่ใกล้ชิดหรือให้ความสนใจกับพระศาสนามากกว่า คือ เพศหญิง......คุณไปดูได้วัดใหนทำบุญ หญิงมีมากกว่าชายเสมอ.....

    พระที่ปฏิบัติดีก็มี พระที่ปฏิบัติเหลวก็มี อีกหน่อย ภิกษุณีดีก็มี ภิกษุณีเหลวก็มี ว่ากันไป....ตอนนี้ยังมองกันไม่ค่อยออกว่าตกลงศาสนาพุทธในไทยเจริญขึ้น หรือเสื่อมลง
    (ผู้ที่ให้การสนับสนุนก็กล่าวว่าเจริญขึ้น เพราะประเทศไทยครบแล้วทั้งพุทธบริษัท 4 ช่วยกันเผยแผ่พระศาสนามากขึ้น พระศาสนาแข็งแรงขึ้น ในขณะเดียวกัน ผู้ที่ไม่เห็นด้วยอาจเป็นเพราะความไม่ชินเพราะไม่เคยเจอมาก่อน ประกอบกับมองปัญหาที่คิดว่าจะเกิดในอนาคตที่คิดว่าพระศาสนาจะแย่ลง) เพราะที่เข้ามาตอนนี้เขาก็ทำหน้าที่ของเขาดีและเขาก็มีความสามารถมากเพราะเป็นผู้ที่ศึกษาในเรื่องของพระพุทธศาสนามาค่อนข้างดี ถึง ดีมาก เช่นกัน ไม่ว่าเรื่องปริยัติธรรม หรือ เรื่องของปฏิบัติธรรม....เป็นเหตุให้มีสำนักสาขาหรือผู้ที่มาบวชเป็นสามเณรีมากขึ้น....เพียงแต่ว่าถ้าจะบวชจริงๆต้องไปที่ศรีลังกาเท่านั้น......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2011
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    ท่านพระอานนท์ได้เห็นพระนางมหาปชาบดีโคตมี มีพระบาททั้งสองพอง มีพระวรกายเกลือกกลั้วด้วยธุลี มีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ประทับยืนกันแสง<O:p</O:p
    อยู่ที่ซุ้มพระทวารภายนอก ครั้นแล้วได้ถามว่า ดูกร โคตมี เพราะเหตุไร พระนางจึงมีพระบาท<O:p></O:p>
    ทั้งสองพอง มีพระวรกายเกลือกกลั้ว ด้วยธุลีมีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์ชุ่มด้วยน้ำพระเนตร <O:p></O:p>
    ประทับยืนกันแสง อยู่ที่ซุ้มพระทวารภายนอก<O:p></O:p>
    พระนางตอบว่า พระอานนท์เจ้าข้า เพราะพระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาต ให้สตรีออกจาก<O:p></O:p>
    เรือนบวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศ แล้ว ฯ <O:p></O:p>
    พระอานนท์กล่าวว่า ดูกรโคตมี ถ้าเช่นนั้น พระนางจงรออยู่ที่นี่แหละ สักครู่หนึ่ง จน<O:p></O:p>
    กว่าอาตมาจะทูลขอพระผู้มีพระภาคให้สตรีออกจากเรือนบวชเป็น บรรพชิต ในพระธรรมวินัย<O:p></O:p>
    ที่พระตถาคตประกาศแล้ว ฯ <O:p></O:p>
    [๕๑๕] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคม นั่ง ณ ที่ควร<O:p></O:p>
    ส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พระนางมหาปชาบดี โคตมีนั้น มีพระบาททั้ง ๒<O:p></O:p>
    พอง มีพระวรกายเกลือกกลั้วด้วยธุลี มีทุกข์ เสีย พระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร <O:p></O:p>
    ประทับยืนกันแสงอยู่ที่ซุ้มพระทวาร ภายนอก ด้วยน้อยพระทัยว่า พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาต<O:p></O:p>
    ให้สตรีออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ขอประทาน<O:p></O:p>
    วโรกาส ขอสตรีพึงได้การออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศ<O:p></O:p>
    แล้ว พระพุทธเจ้าข้า <O:p></O:p>
    พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า อย่าเลย อานนท์ เธออย่าชอบใจ การที่ สตรีออกจากเรือน<O:p></O:p>
    บวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย <O:p></O:p>
    แม้ครั้งที่สอง ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ขอประทาน วโรกาส ขอ<O:p></O:p>
    สตรีพึงได้การออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่ พระตถาคตประกาศแล้ว พระ<O:p></O:p>
    พุทธเจ้าข้า <O:p></O:p>
    พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า อย่าเลย อานนท์ เธออย่าชอบใจ การที่สตรี ออกจากเรือน<O:p></O:p>
    บวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย <O:p></O:p>
    แม้ครั้งที่สาม ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ขอประทาน วโรกาส <O:p></O:p>
    ขอสตรีพึงได้การออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่ พระตถาคตประกาศแล้ว<O:p></O:p>
    พระพุทธเจ้าข้า

    พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า อย่าเลย อานนท์ เธออย่าชอบใจ การที่สตรี ออกจากเรือน<O:p></O:p>
    บวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย <O:p></O:p>
    แม้ครั้งที่สาม ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ขอประทาน วโรกาส <O:p></O:p>
    ขอสตรีพึงได้การออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่ พระตถาคตประกาศแล้ว<O:p></O:p>
    พระพุทธเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า อย่าเลย อานนท์ เธออย่าชอบใจ การที่สตรี ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย


    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ก็ถ้าสตรีจักไม่ได้ออกจากเรือนบวช เป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จักตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมจะพึงตั้งอยู่ได้ตลอดพันปี <O:p></O:p>
    ก็เพราะสตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว บัดนี้ พรหมจรรย์<O:p></O:p>
    จักไม่ตั้งอยู่ได้นาน สัท ธรรมจักตั้งอยู่ได้เพียง ๕๐๐ ปีเท่านั้น ดูกรอานนท์ สตรีได้ออกจากเรือน<O:p></O:p>
    บวชเป็น บรรพชิตในธรรมวินัยใด ธรรมวินัยนั้นเป็นพรหมจรรย์ไม่ตั้งอยู่ได้นาน เปรียบเหมือน<O:p></O:p>
    ตระกูลเหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีหญิงมาก มีชายน้อย ตระกูลเหล่านั้นถูกพวก โจรผู้ลักทรัพย์กำจัดได้<O:p></O:p>
    ง่าย อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนหนอนขยอกที่ลงใน นาข้าวสาลีที่สมบูรณ์ นาข้าวสาลีนั้นไม่<O:p></O:p>
    ตั้งอยู่ได้นาน อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือน เพลี้ยที่ลงในไร่อ้อยที่สมบูรณ์ ไร่อ้อยนั้นไม่ตั้งอยู่ได้นาน ดูกรอานนท์ บุรุษกั้น ทำนบแห่งสระใหญ่ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้น้ำไหลไป แม้ฉันใด เราบัญญัติครุธรรม ๘ ประการแก่ภิกษุณี เพื่อไม่ให้ภิกษุณีละเมิดตลอดชีวิต ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ

    ที่มา พระวินัยปิฎกเล่ม 7

    <O:p></O:p>

     
  10. Suprawee

    Suprawee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +310
    ประวัติความเป็นมาเกี่ยวภิกษุณี

    <table class="sites-layout-name-one-column sites-layout-hbox" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="sites-layout-tile sites-tile-name-content-1">
    ภิกษุณีองค์สำคัญ
    เรื่องภิกษุณี เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งในทางพุทธศาสนา ด้วยภิกษุณีเป็นส่วนหนึ่งของคณะบุคคลที่เรียกว่า พุทธบริษัท ซึ่งได้จัดไว้ 4 เหล่า คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
    กำเนิดของภิกษุณีนั้น เราเกือบจะทราบแน่นอน คือภิกษุณีได้อุบัติขึ้นในตอนกลางพุทธกาลระหว่าง30 ถึง15 ปี ก่อนพระพุทธเจ้านิพพาน แปลว่านางภิกษุณีได้มีขึ้นในพุทธศาสนาเมื่อราว 2,500 ปีมาแล้ว แต่เมื่อมีปัญหาที่ว่า ภิกษุณีได้สูญสิ้นไปเมื่อไหร่ ก็เป็น เรื่องที่ไม่สามารถตอบได้ เราได้ทราบว่าข่าวของภิกษุณีเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงส่งพระโอรส ไปประกาศพระพุทธศาสนา ณ เกาะลังกา
    ประมาณปีพุทธศักราช 313พระธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราชทรงพระนามว่าสังฆมิตตา ได้บวชเป็นภิกษุณี ไปเกาะลังกาด้วย และนัยว่ากุลสตรีชาวเกาะลังกาได้บวชเป็นภิกษุณีจำนวนมาก ตามประวัติศาสตร์สืบค้นมามีเพียงเท่านี้ ภิกษุณีในอินเดียก็ดี ในเกาะลังกาก็ดี จะยั่งยืนยาวนานเพียงใด ไม่มีหลักฐานปรากฏหรือพงศาวดารใดๆกล่าวไว้ เท่าที่เราสามารถค้นพบในเวลานี้ เข้าใจว่าภิกษุณีที่สืบเชื้อสายมาแต่พุทธกาลนั้น คงจะดำรงอยู่ไม่เกิน 500 ปี ภายหลังพระพุทธเจ้านิพพาน จึงได้สาบสูญไป
    กำเนิด ภิกษุณีมีขึ้นได้ด้วยความยากลำบากมาก เพราะพระพุทธเจ้าไม่สมัครพระทัยที่จะให้ผู้หญิงบวช เราทราบกันแล้วว่าพระพุทธมารดาได้สิ้นพระชนม์ภายหลังพระพุทธเจ้าประสูติไม่ กี่วัน พระนางมหาปชาบดีเป็นซึ่งเป็นพระน้านาง ได้เป็นผู้เลี้ยงพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ จนเจริญวัย พระนางมหาปชาบดีเป็นพระชายาของพระเจ้าสุทโธทนะ ซึ่งเป็นพุทธปิตุลาอยู่ด้วย ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว และประกาศพระศาสนาให้แผ่ไพศาล
    พระนางมหาปชาบดีเป็น ผู้หนึ่งที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งครั้นเมื่อพระเจ้าสุทโธทนะได้ เสด็จทิวงคตแล้ว พระนางมหาปชาบดีได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลขออนุญาตให้สตรีบวชได้ พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต พระนางมหาปชาบดีได้ทูลขออนุญาตหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ ถึงกระนั้นพระนางไม่ทรงละความพยายาม ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ เมืองไพศาลี
    พระนางมหาปชาบดี ได้ โกนพระเกศา ทรงผ้ากาสาวพัสตร์เหมือนอย่างภิกษุ ทรงอธิษฐานบรรพชาด้วยพระองค์เอง พร้อมด้วยสตรีอีกหลายสิบคน แล้วพากันเดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงเมืองไพศาลี โดยหวังว่าการกระทำดังนี้จะสามารถบังคับพระพุทธเจ้าให้ทรงรับภิกษุณีไว้ใน พุทธศาสนา แต่พระองค์ก็ยังไม่รับอยู่นั่นเอง
    พระนางมหาปชาบดี เสียพระทัยทรงกันแสง พระอานนท์จึงรับภาระเข้าไปทูลขอพระพุทธเจ้าให้ทรงอนุญาต พระอานนท์ได้ทูลขอหลายครั้ง พระพุทธเจ้าก็ยังไม่ทรงอนุญาต พระอานนท์จึงได้ทูลถามว่าถ้าสตรีได้บวชในพุทธศาสนาแล้ว อาจจะสำเร็จมรรคผลเหมือนอย่างบุรุษหรือไม่ พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า อาจสำเร็จได้ อานนท์จึงได้ทูลถึงการที่พระนางมหาปชาบดี มีอุปการคุณแก่พระองค์มาอย่างพระมารดา ควรจะให้บวช เพื่อให้บรรลุมรรคผลอันยิ่งใหญ่ คราวนี้พระพุทธเจ้าทรงขัดไม่ได้ จึงได้ทรงอนุญาต แต่การที่ทรงอนุญาตนั้น ได้ทรงวางเงื่อนไขไว้หลายประการ เงื่อนไขที่เรียกว่าครุธรรม แปลว่าธรรมอันหนักมีอยู่ ๘ ข้อ
    ๑. ภิกษุณี แม้บวชแล้วได้ 100 ปี ก็ต้องทำการกราบไหว้ภิกษุ แม้ที่บวชได้เพียงวันเดียว
    ๒.ห้ามมิให้ภิกษุณีอยู่จำพรรษาในวัดที่ไม่มีภิกษุ (คือต้องอยู่ในวัดที่มีภิกษุ)
    ๓.ภิกษุณีต้องถามวันอุโบสถ และฟังคำสั่งสอนจากภิกษุทุกกึ่งเดือน
    ๔.ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้ว ต้องปวารณา (คือยอมให้ใช้และยอมรับคำตักเตือน) ในสงฆ์สองฝ่าย(คือในภิกษุสงฆ์ และภิกษุณีสงฆ์)
    ๕.ถ้าภิกษุณีต้องอาบัติหนัก คือทำผิดวินัยร้ายแรง ต้องทำพิธีกรรมในสงฆ์สองฝ่าย
    ๖.ต่อ ไปภายหน้า ภิกษุณีที่จะบวชได้ จะต้องบวชในสงฆ์สองฝ่าย คือบวชในภิกษุณีสงฆ์ก่อน แล้วจึงบวชในภิกษุสงฆ์อีกชั้นหนึ่ง และก่อนจะบวชเป็นภิกษุณีได้ ต้องเป็นนางสิกขมานารักษาสิขาบท ๖ ประการคือ
    ๑. เว้นจากการฆ่าสัตว์
    ๒. เว้นจากการลักขโมย
    ๓. เว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์
    ๔. เว้นจากการพูดเท็จ
    ๕. เว้นจากการดื่มสุราเมรัยและของมึนเมา
    ๖. เว้นจากการรับประทานอาหารในยามวิกาล
    (ทั้ง ๖ ประการนี้มิให้ขาดตกบกพร่องให้ครบสองปีบริบูรณ์ ถ้าบกพร่องในระหว่าง ๒ ปี ต้องเริ่มปฏิบัติใหม่)
    ๗.ภิกษุณีจะแสดงอคารวะต่อภิกษุ อย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้เลยเป็นอันขาด
    ๘.ภิกษุณีนับแต่วันบรรพชาเป็นต้นไป พึงสดับตับฟังโอวาทของภิกษุกล่าวสั่งสอนฝ่ายเดียว ห้ามโอวาทสั่งสอนภิกษุ นอกจากนี้พระภิกษุณีจะต้องถือ พระวินัย ๓๑๑ ข้อ เรียกว่า ภิกขุนีวิภังค์ คือพระวินัยที่ว่าด้วยศีลของภิกษุณี
    เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสเงื่อนไขที่เรียกว่า ครุธรรม ๘ พระอานนท์เถระ ได้แจ้งพระพุทธเจ้าบัญชานั้นแก่พระนางมหาปชาบดีโคตรมีแล้ว พระนางเจ้าก็ทรงน้อมรับที่จะปฏิบัติด้วยความยินดีทุกประการ จึงเป็นอันว่าพระนางมหาปชาบดีได้อุปสมบทเป็นการถูกต้อง เป็นการอุปสมบทที่มิได้กระทำแม้ต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้า ส่วนสตรีอื่นๆได้ทรงอนุญาตให้อุปสมบทในภิกษุสงฆ์ฝ่ายเดียวก่อน
    เพราะภิกษุณีสงฆ์ยังไม่มีครบคณะ เมื่อได้มีผู้หญิงบวชเป็นจำนวนมากพอที่จะ เป็นภิกษุณีสงฆ์ให้ครบคณะแล้ว จึงทรงบัญญัติว่า ต่อไปสตรีจะบวชเป็นภิกษุณีได้ จะต้องได้บวชในภิกษุสงฆ์เสียก่อน จึงจะบวชในภิกษุณีสงฆ์อีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้บวชภิกษุณีรุ่นแรกนี้แล้ว พระพุทธเจ้าก็รับสั่งพระอานนท์ว่า การที่ผู้หญิงได้บวชในพุทธศาสนานั้น จะทำให้พรหมจรรย์เสื่อมสูญไปโดยเร็ว เหมือนเพลี้ยที่ลงในไร่ข้าวไร่อ้อย ย้อมทำให้ไร่ข้าวไร่อ้อยนั้นสิ้นไป ข้อความข้างต้นนี้แสดงให้เห็นว่า การที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้สตรีบวชเป็นภิกษุณีได้นั้น ได้ประทานด้วยความไม่เต็มพระทัย
    การเกิดภิกษุณีครั้งแรก แม้ว่าจะเป็นองค์พระนางมหาปชาบดี ซึ่งมีพระคุณต่อพระองค์อย่างพระมารดาก็ดี ก็มิได้ทรงบวชให้ด้วยพระองค์เอง เหมือนอย่างภิกษุในขั้นต้น เพียงแต่มีรับสั่งให้พระอานนท์นำครุธรรม๘ประการ ไปแจ้งแก่พระนางมหาปชาบดี เมื่อพระนางมหาปชาบดีทรงรับแล้ว ก็ให้ถือว่าอุปสมบท
    ใน เวลาต่อมาพระนางได้ตั้งใจบำเพ็ญภาวนากรรมฐานจนได้บรรลุธรรมชั้นสูง สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระนางว่าเป็นเลิศกว่าผู้อื่นในทางรัตตัญญู (คือ ผู้ได้บวชก่อนใคร ได้รู้ได้ฟังมาก มีประสบการณ์มากเป็นผู้รู้ราตรีนาน)
    พิธีบวชภิกษุณี ในสมัยต่อมา จากรุ่นพระนางมหาปชาบดีนั้น มีพุทธบัญญัติดังต่อไปนี้

    ๑.ต้องบวชเป็นสามเณรีก่อน รักษาศีล ๑๐ เหมือนสามเณรก่อน จะเริ่มบวชเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เมื่อบวชเป็นสามเณรีแล้ว ถ้ามีอายุถึง ๑๘ ปีก็ให้เป็นสิกขมานา อยู่อีกสองปี จึงจะบวชเป็นภิกษุณีได้
    ๒.การเป็นสิกขมานานั้น ก็คือการถือศีล๑๐เหมือนอย่างเมื่อเป็นสามเณรี แต่มีศีล๖ข้อข้างต้นคือ
    1.ไม่ฆ่าสัตว์ 2.ไม่ลักทรัพย์ 3.ไม่ประพฤติผิดในพรหมจรรย์ 4.ไม่พูดเท็จ 5.ไม่ดื่มสุรา 6.ไม่รับประธานอาหารในเวลาวิกาล (คือตั้งแต่เที่ยงวันไปจนย่ำรุ่ง)
    ทั้ง ๖ ประการนี้ จะต้องรักษาอย่างเคร่งครัด ในเวลาสองปีขาดไม่ได้ ถ้าขาดข้อหนึ่งข้อใด ก็ต้อง ตั้งต้นใหม่รักษาใหม่ ให้บริสุทธิ์อยู่ให้ครบสองปีให้จงได้ ในระหว่างรักษาศีลทำนองนี้จน ครบสองปีเรียกว่า สิกขมานา
    ๓.เมื่อปฏิบัติตนในฐานะสิกขมานาแล้วอย่างสมบูรณ์ครบสองปีแล้ว เมื่อจะอุปสมบท เป็นภิกษุณี ก็ให้อุปสมบทในคณะภิกษุณีสงฆ์ก่อน แล้วต้องมารับอุปสมบทในคณะภิกษุสงฆ์อีกชั้นหนึ่งจึงจะนับเป็นภิกษุณีอย่างสมบูรณ์
    ๔.เครื่องนุ่งห่มของภิกษุณี มี 5 อย่างคือ
    1.ผ้าคลุมข้างนอกเรียกว่าสังฆาฏิ
    2.ผ้าห่มเรียกว่าจีวร
    3.ผ้านุ่งเรียกว่าสบง ทั้งสามอย่างนี้มีเหมือนพระภิกษุ แต่เพิ่มขึ้นมาอีกสองอย่าง
    4.มี ผ้ารัดนมอยู่ข้างใน ต้องใช้ผ้ารัดนมก่อนแล้วจึงคลุมจีวร นอกจากนั้นมีผ้าสำหรับผลัดอาบน้ำ อีกผืนหนึ่ง ฉะนั้นเครื่องแต่งกายภิกษุณีจึงไม่ใช้ไตรจีวร จะเรียกว่าผ้าไตรก็ไม่ถูกต้อง เพราะไม่มีสามอย่างแต่มีอยู่ห้าอย่าง ซึ่งควรจะเรียกว่าเบญจจีวร
    5.สตรีที่เป็นภิกษุณี ถ้าได้สึกออกไป จะกลับมาบวชอีกไม่ได้ ไม่เหมือนบุรุษที่เป็นภิกษุ ซึ่งจะบวชจะสึกกี่ครั้งก็ได้ ภิกษุณีในครั้งพุทธกาล จะมีมากน้อยสักเพียงไรไม่ปรากฏ แต่เข้าใจว่าคงมีจำนวนไม่น้อย เพราะมีที่เป็นมหาสาวีกาถึง ๑๒ องค์ และมีประวัติน่ารู้น่าฟังดังต่อไปนี้

    ๑.พระนางมหาปชาบดี มีเรื่องราวดังได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว

    ๒.พระนางเขมา ราชธิดาของพระเจ้าสากลราช เป็นพระชายาขิงพระเจ้าพิมพิสาร ถือองค์ว่ารูปงาม และถึงแม้ว่าพระเจ้าพิมพิสารจะทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาแล้ว พระนางเขมาก็ไม่ยอมเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ถึงแม้พระเจ้าพิมพิสารทรงพยายามจะให้พระนางเขมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าให้จงได้ ก็ตาม
    เมื่อ พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายสวนเวฬุวันให้เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า มีรับสั่งให้แต่งสวนเวฬุวันให้งดงามยิ่งขึ้น แล้วให้พวกกวีผูกคำกลอนชมสวนเวฬุวันที่ตบแต่งขึ้นใหม่ ให้นักร้องร้องถวายพระพุทธเจ้า พระนางเขมาทรงทราบว่าได้มีการตบแต่งสวนเวฬุวันอย่างงดงาม ก็ทรงแสดงความปรารถนาจะเสด็จไปชม พระเจ้าพิมพิสารจึงมีรับสั่งกับพวกข้าราชการที่ตามเสด็จพระนางเขมาไปด้วย ว่าให้นำองค์พระนางเขมาไปเฝ้าพระพุทธเจ้าให้จงได้ แม้จะต้องใช้กำลังฉุดคร่าไปก็ทำได้
    เมื่อ พระนางเขมาได้ไปชมสวนเวฬุวันแล้ว ก็จะกลับไม่ยอมไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่พวกข้าราชการตามเสด็จได้ใช้ความพยายามให้พระนางเขมาเข้าไปเฝ้าพระ พุทธเจ้าจนได้ พอไปถึงพระพุทธเจ้าทรงแสดงให้พระนางเขมาเห็นชัด ว่าความงามของพระนางนั้น ในที่สุดต้องเสื่อมโทรมลงไป และกลายเป็นซากอสุภในวันหนึ่ง พระนางเขมาทรงเลื่อมใสถึกกับยอมบวชเป็นภิกษุณี และได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าดีเลิศในทางปัญญา

    ๓.พระนางอุบลวรรณา เป็นธิดาเศรษฐีในเมืองสาวัตถี เมื่อเป็นสาวอายุ ๑๗ ปี ได้มีพระเจ้า แผ่นดินหลายองค์ต้องพระราชประสงค์ ถึงกับมีพระราชสารมาสู้ขอ แต่บิดาของเธอต้องการให้เธอบวช เธอก็เต็มใจบวช ครั้นบวชแล้วอยู่มาวันหนึ่ง นางได้จุดไฟสว่าง เพื่อเก็บกวาดทำความสะอาดในอุโบสถ ด้วยอำนาจแสงสว่าง เป็นเหตุให้นางน้อมใจยึดถือเอาแสงสว่างมาเป็นอารมณ์(เตโชกสิณ) จนได้สำเร็จพระอรหัน ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเลิศในทางมีฤทธิ์

    ๔.พระปฏาจารา เป็นธิดา เป็นธิดาเศรษฐีในเมืองสาวัตถี เมื่อแต่งงานแล้ว ได้ไปอยู่กับสามีจนเมื่อตั้งครรภ์ ครบกำหนดจะคลอด เห็นว่าที่บ้านสามีไม่เหมาะสมสำหรับคลอดบุตร จึงขอร้องให้สามีพากลับบ้านเดิม แต่สามีไม่ตามใจ
    นาง จึงหนีกลับบ้านแต่ผู้เดียว ยังไม่ทันถึงบ้าน นางได้คลอดบุตรระหว่างทาง และสามีของนางได้ติดตามมาจนพบ และพากลับไปอยู่ที่เดิม อยู่ด้วยกันจนตั้งครรภ์บุตรคนที่สอง ก่อนหน้านางจะคลอดบุตรเล็กน้อย สามีของนางถูกงูเห่ากัดตาย
    ส่วน นางได้คลอดบุตรคนที่สองตามลำพัง นางอุ้มบุตรคนเล็ก จูงบุตรคนแรกเที่ยวเดินตามหาสามี จนพบสามีนอนตายอยู่ นางเศร้าโศกอย่างสาหัส นางจึงพาบุตรทั้งสองกลับไปอยู่บ้านเดิม ถึงแม่น้ำแห่งหนึ่งกว้างมาก แต่น้ำตื้นพอที่จะเดินลุยข้ามไปได้ แต่ไม่กล้าอุ้มและจูงลูกไปพร้อมกันทั้งสองคน
    จึง ปล่อยลูกคนโตไว้ที่ตลิ่งฟากข้างนี้ แล้วอุ้มลูกคนเล็กข้ามไปไว้ฝากโน้น เสร็จแล้วจึงลุยน้ำกลับมารับลูกคนโต พอลุยมาถึงกลางแม่น้ำ บังเอิญเหยี่ยวใหญ่ตัวหนึ่ง บินมาเห็นลูกน้อยของนางนอนอยู่ เห็นเด็กเกิดใหม่ตัวยังแดงๆ คิดว่าก้อนเนื้อจึงเฉี่ยวคาบเอาลูกน้อยของนางไป
    ปฏา จาราเหลียวไปเห็น ก็ตบมือส่งเสียงร้อง เพื่อให้เหยี่ยวปล่อยลูกของนาง ในระหว่างที่นางตบมือส่งเสียงร้องอยู่นั้น ลูกคนโตเข้าใจว่าแม่เรียก ก็คลานตกลงไปในน้ำจมน้ำตาย
    พอกลับ ไปถึงบ้านพ่อแม่ ได้ข่าวว่าลมพายุพัดบ้านเรือนพัง พ่อแม่ก็ตายแล้วทั้งคู่ เคราะห์ร้ายหลายเคราะห์มาประดังกันในเวลาใกล้ๆกันเช่นนี้ ทำให้ปฏาจาราถึงกับเสียจริต เดินผ้าผ่อนหลุดลุ้ยเข้าไปจนถึงพระพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้าทรงทำให้มีสติ ปฏาจาราจึงได้บวชเป็น ภิกษุณี และได้สำเร็จพระอรหันต์ นี้เป็นข้อพิสูจน์อีกอย่างหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าสามารถรักษาคนบ้าให้หาย เป็นปรกติ นางปฏาจารา เป็นผู้เลิศทางวินัย

    ๕.พระธัมมทินนา เป็นธิดาผู้มีสกุลในราชคฤห์ เป็นภริยาของวิสาขาเศรษฐี ผู้สำเร็จโสดา อยู่เป็นผัวเมียกันเรื่อยมา จนสามีเบื่อหน่ายชีวิตฆราวาส จึงมอบทรัพย์สมบัติ ทั้งหมดให้แก่ภรรยา แล้วออกบวช นางจึงบวชบ้าง ครั้นบวชแล้วนางมีเพียรพยายาม บำเพ็ญเบญจวิปัสสนา จนได้สำเร็จพระอรหันต์ ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นเลิศในทางแสดงธรรม

    ๖.พระรูปนันทา เป็นพระกนิษฐาของพระพุทธเจ้า เป็นพระธิดาของพระนางมหาประชาบดี ถือว่าพระองค์ทรงพระสิริโฉมมาก ทั้งวันจะเอาแต่เพลิดเพลินยินดีกับพระสิริโฉม จนไม่คิดจะประกอบการอื่นๆ ในที่สุดได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้เห็นว่า สังขารเป็นของไม่เที่ยงแท้ จนพระนางเกิดความเลื่อมใส ได้ฟังพระธรรมจนได้สำเร็จพระอรหันต์ ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเลิศในทางบำเพ็ญญาณ

    ๗.พระโสณา เป็นธิดาของผู้มีตระกูลในเมืองสาวัตถี แต่งงานมีลูก ๑๔ คน ชาย ๗ คน หญิง ๗ คนเมื่อเติบโตตามๆกัน ก็จัดแจงแต่งงานให้มีครอบครัว แบ่งสมบัติให้ตามสมควร ต่อมาสามีของนางตายลง พวกบุตรขอแบ่งสมบัติที่เหลืออีก และรับปากว่าจะเลี้ยงดูนางให้สุขสบาย นางก็แบ่งสมบัติให้จนหมด ด้วยความรักและเชื่อลูก
    ครั้น ต่อมาไม่มีลูกคนใดรับเลี้ยงนางเลย เมื่อพึ่งใครไม่ได้นางจึงไปบวช บวชแล้วก็ไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติ ถูกลงโทษทัณฑ์บ่อยๆ เมื่อบุตรธิดาทราบเช่นนั้น ยังพากันเยาะเย้ย นางคิดสังเวชใจ ก็เริ่มเจริญภาวนากรรมฐานจนได้สำเร็จอรหันต์ พระพุทธเจ้าได้จัดพระโสณาให้ดำรงตำแหน่งเป็นเลิศในทางความเพียร

    ๘.พระสกุลา เป็นธิดาของผู้มีตระกูลในเมืองสาวัตถี ได้ฟังธรรมตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เกิดมีความเลื่อมใส ได้บวชเป็นภิกษุณีในพระศาสนา เจริญวิปัสสนาจนสำเร็จอรหันต์ และได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าเป็นเลิศในทางทิพย์จักษุ

    ๙.พระภัททา กุณฑลเกศา เป็นธิดาเศรษฐีเมืองราชคฤห์ รูปงามจนบิดามารดามักให้อยู่ชั้นบนของบ้านเสมอ วันหนึ่งเธอยืนอยู่หน้าต่าง มอง เห็นโจรคนหนึ่งถูกเพชฌฆาตนำไปฆ่า เธอเกิดมีความรักใคร่ในตัวโจรผู้นั้น จึงสัญญาว่าถ้าไม่ได้โจรผู้นั้นเป็นสามีเธอจะต้องตาย บิดาก็กลัวเธอจะตาย จึงนำเอาเงินจำนวนมากไปไถ่เอาโจรผู้นั้นออกมาให้ลูกสาว
    อยู่ ด้วยกันไม่นาน โจรผู้นั้นก็หลอกลวงนางว่า ได้บวงสรวงเทวดาไว้ที่ภูเขาโน้น ตั้งใจจะไปแก้บนวันนี้ ให้นางแต่งตัวด้วยของมีค่ามากๆ และมีเครื่องสังเวยไปบ้าง นางไม่รู้ว่าถูกหลอก จึงแต่งตัวตามที่สามีแนะนำ แล้วก็พากันไป โจรให้นางยืนอยู่ริมปากเหว บอกให้นางถอดเอาเครื่องประดับออกเพื่อจะแก้บน
    คราว นี้นางรู้ตัว สัญชาติโจรก็คือโจรเสมอ แม้จะให้ความอุปถัมภ์ ได้รับความสุขอย่างไร ก็อดเป็นโจรไม่ได้ แต่นางสามารถพูดให้โจรตายใจ เลยผลักโจรตกเหวลงไปแทน ครั้นแล้วนางก็ไม่กลับบ้าน แต่นางไปบวชอยู่ในสำนักของพระมหาวีระ
    ครั้น บวชแล้วก็ตั้งใจศึกษาเป็นอย่างดี เรียนที่นี่ ที่อื่นบ้าง เที่ยวพูดโต้ตอบใครๆจนไม่มีใครสู้ได้ อยู่มาวันหนึ่ง นางได้พบพระสารีบุตรอัครสาวกของพระพุทธเจ้า ได้พูดจาโต้ตอบซักถามกันจนเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า จนได้สำเร็จพระอรหันต์ และได้รับการยกย่องว่า เป็นเลิศในทางตรัสรู้ธรรมได้เร็วที่สุด

    ๑๐.พระภัททกาปิลานี เป็นบุตรีพราหมณ์ ได้ออกบวชในสำนักพระนางมหาปะชาบดี ครั้นบวชแล้ว ก็บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานจนได้สำเร็จพระอรหันต์ และได้รับตำแหน่ง เป็นเลิศในทางระลึกชาติ
    ๑๑.พระภัททา กัจจานา คือพระนางยโสธราหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พิมพาพระชายาพระพุทธเจ้า ก่อนออกบวช พระนางได้บวชในพระศาสนาแล้ว ได้รับนามใหม่ว่า พระภัททา กัจจานา ได้สำเร็จพระอรหันต์ เป็นเลิศในทางบรรลุมหาอภิญญาทั่วไป

    ๑๒.พระกีสาโคตรมี เป็นธิดาของคนขัดสนในเมืองสาวัตถี แต่ได้แต่งงานกับลูกเศรษฐี จนมีบุตรชายด้วยกัน พอหัดเดินลูกก็ตาย นางเสียใจมากเที่ยวอุ้มลูกเดินไปหาหมอรักษา ก็ไม่มีใครรักษาให้ได้ เพราะตายไปแล้ว จนไปถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้ทราบว่าลูกของนางตายแล้ว และความตายเป็นเรื่องธรรมดา นางฟังธรรมจนเกิดความเลื่อมใส จึงบวชบำเพ็ญเพ่งเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงเป็นประกาย โดยถือเอาว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปในที่สุด นางได้สำเร็จอรหันต์ พร้อมด้วย ปฏิสัมภิทาญาณ

    ๑๓.พระสิคาลมาตา เป็นธิดาเศรษฐีเมืองราชคฤห์ และได้สามีที่มีฐานะเป็นเศรษฐีเหมือนกัน อยู่ ด้วยกันจนมีบุตรหนึ่งคน ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าจนเกิดความเลื่อมใสอย่างมาก จึงบวชในศาสนา ความเลื่อมใสก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ เวลาไปฟังธรรมนางมักจะดูแลพระพุทธเจ้า และสรรเสริญความงามของพระองค์ พระพุทธเจ้าทรงทราบวารจิตของนาง ดังนั้นจึงเทศให้เหมาะแก่กาล นางได้ฟังและพิจารณาไปตามกระแสเทศนานั้น จนได้สำเร็จพระอรหันต์.


    </td></tr></tbody></table>
     
  11. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,562
    ค่าพลัง:
    +2,128
    ชักจะรู้สึกรางๆแล้วว่าทำไมพระพุทธเจ้าถึงไม่อยากให้มีภิษุณี
    แล้วทำไมถึงยอมให้มีภิกษุณีได้
    และทำไมเมื่อมีภิกษุณีแล้วสัทธรรมจะตั้งอยู่ไม่นาน....
     
  12. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663

    [​IMG]

    ดูกรอานนท์ บุรุษกั้น ทำนบแห่งสระใหญ่ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้น้ำไหลไป แม้ฉันใด เราบัญญัติครุธรรม ๘ ประการแก่ภิกษุณี เพื่อไม่ให้ภิกษุณีละเมิดตลอดชีวิต ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ


    ที่มา พระวินัยปิฎกเล่ม 7
    <O:p</O:p
     
  13. Suprawee

    Suprawee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +310
    คือก่อนอื่นผมต้องขอออกตัวก่อนว่าผมเคารพในทุกคนที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบครับไม่ว่าจะหญิงหรือชาย เด็กหรือผู้ใหญ๋

    แต่เท่าที่ทราบมา คือ เนื่องจากความไม่สมบูรณ์ตั้งแต่ต้น ในการบวชภิกษุณีครับ เพราะในช่วงพุทธกาล พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ต่อไปภายหน้า ภิกษุณีที่จะบวชได้ จะต้องบวชในสงฆ์สองฝ่าย คือบวชในภิกษุณีสงฆ์ก่อนแล้วจึงบวชในภิกษุสงฆ์อีกชั้นหนึ่ง"

    แต่เนื่องจากภิกษุณีสงฆ์ได้สาบสูญไปแล้ว 500 ปี ภายหลัง พระพุทธเจ้าปรินิพพาน จึงไม่มีภิกษุณีสงฆ์ที่แท้จริงท่านใด จะมาบวชให้อีกต่อไปในภายหลัง จึงคล้ายกับการบวชในสมัยหลังนี้จึงไม่สมบูรณ์ครับ ไม่ว่าจะอยู่ประเทศไหนก็แล้วแต่ ตามที่เข้าใจนะครับ

    เคารพนับถือคนดีทุกท่าน แม้ว่าจะไม่ได้เป็นนักบวช
     
  14. สังขารไม่เที่ยง

    สังขารไม่เที่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,943
    ค่าพลัง:
    +24,697
    เพราะว่ามีแต่คนดูหมิ่นเหยียดหยาม...สำหรับผู้ชายบางคน...ยอมรับไม่ได้...เพราะเค้าถือว่าเพศหญิงต่ำกว่าด้อยกว่าเพศชาย...ทั้ง ๆ ที่ผู้ชายก็เกิดออกมาได้เพราะเพศหญิง...และที่สำคัญคือ...พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้มีการบวชพระภิกษุณี...และเป็นที่โต้เถียงกันมานาน...แต่ที่ศรีลังกา...ซึ่งเป็นต้นกำเนิดและเป็นแผ่นดินประวัติศาสตร์ทางพระพุทธศาสนา...เค้าก็ยังมีการบวชพระภิกษุณีกันอยู่....จะด้วยนิกายที่ต่างกันหรืออย่างไร....

    โดยส่วนตัวนะ...ระหว่างพระที่ศีลขาด...พร่องศีล....กับ...พระภิกษุณีที่ถือศีลครบ แม่ชี ที่สอนดีและถูกต้อง....เราเลือกไหว้พระภิกษุณีมากกว่า ไหว้พระที่ศีลขาด...เพราะว่าพระบางรูปที่ชอบหลอกลวง ทำของไม่ดี พระนักเลงทั้งหลาย จัดได้ว่าทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง....

    ปล...ไม่ได้ตั้งกระทู้เพื่อให้ใครเข้ามาด่า หรือพูดจาดูถูกเพศแม่ นะคะ....แล้วแต่จะพิจารณา...เพราะว่าไม่อยากจะสร้างกรรมกับใครเพิ่มค่ะ ไม่อยากจะเป็นคนมือถือสากปากถือศีล กับคนบางคนถึงแม้จะมีบุญได้เกิดมาเป็นชาย แต่เค้าก็ยังไม่มีบุญที่จะได้บวช...แม้กระทั่งศีลแค่ 5 ข้อ ก็ยังไม่มีปัญญาถือให้ครบทั้ง 5 ข้อเลย...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2011
  15. สังขารไม่เที่ยง

    สังขารไม่เที่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,943
    ค่าพลัง:
    +24,697
    ดูกีทีก็ปลื้มปีตีจิต...เป็นบุญเหลือเกิน...เป็นภาพที่งดงาม...ในด้านพระพุทธศาสนาอยากให้ประเทศไทยเป็นเหมือนประเทศศรีลังกา....ไม่มีคำว่า "ใจแคบ"....

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=IiHVOt0Zamg&feature=player_embedded"]คนค้นคน 7 Jun 2011 1 - YouTube[/ame]

    คนค้นคน 7 Jun 2011 2 - YouTube

    คนค้นคน 7 Jun 2011 3 - YouTube
     
  16. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,562
    ค่าพลัง:
    +2,128
    นี่เอาเรื่องเพศเข้ามาเป็นประเด็นซะงั้น พูดเองเออเอง โดนผู้ชายที่บ้านกดขี่ข่มเหงรังแกเอาหรือไงครับ เอาเหตุผลมาคุยกันสิครับ เขาเอาเหตุผลมาคุย ไม่มีใครเอาปม เอาเรื่องเพศมาคุยมาเป็นข้ออ้างว่าไม่เห็นด้วยเลย
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    คนที่บอกว่าเมืองไทยใจแคบ คงต้องคิดใหม่
    ว่าที่แท้ตนนั่นแหละเป็นคนใจแคบ เพราะมีทางอื่นให้เลือกปฏิบัติธรรมมากมายไม่เลือก ทำไมต้องมาเลือกไอ้ที่เขาห้าม หากคนที่อยากเป็นภิกษุณี ละความอยากของตัวเองได้เสียอย่างเดียว หันหน้าไปเอาดีทางปฏิบัติธรรม ทุกอย่างจบไหม มันก็ลงรอยไม่ขัดต่อพระศาสดา

    แต่นี่เพราะความอยาก ความหลงของตนเอง อ้างว่าสู้เพื่อสิทธิ์สตรี ทั้งๆที่ประเทศนี้ไม่มีใครไปกั้นสิทธิสตรี ไปต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีที่ไม่มีใครเรียกร้องนอกจากความหลงของตนเองเท่านั้นที่เรียกร้อง แต่ไปทำลายมาตรฐาน ไปดันทุรังในสิ่งที่ไม่มีความจำเป็น มิหนำซ้ำไปลาก ไปชักจูงแนวร่วม มาขัดพระธรรมวินัย
    ใครกันแน่ที่ใจแคบ แคบเสียจนไม่ไปทางอื่นหละ
     
  18. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,562
    ค่าพลัง:
    +2,128
    มันไม่ใช่เรื่องใจแคบใจกว้างเลยนะ คงต้องถามก่อนว่าหัวใจของพระศาสนาอยู่ที่ไหน อยู่ที่ต้องบวชเป็นพระ หรืออยู่ที่พระสัทธธรรมแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงเคารพธรรม
    ถ้าอย่างนั้นพระธรรมก็เป็นหนึ่ง พระพุทธก็เป็นสอง ( แต่ที่จริงพระพุทธพระธรรมก็เป็นหนึ่งเดียวกัน)

    พระสัทธรรมคือหัวใจ เป็นทางไปสู่มรรคผลนิพพานใช่หรือไม่ หรือว่าการบวชเป็นพระนั้นสำคัญกว่า พระสัทธรรม พระสัทธรรมสำคัญกว่าใช่ใหม แล้วมีใครห้ามผู้หญิงศึกษาปฏิบัติธรรมหรือไม่ละ

    แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ ทำไมท่านไม่ต้องบวชเป็นพระ ไม่ต้องดื้อรัน ท่านก็สำเร็จได้ละ มรรคผล มันไม่ได้อยุ่ที่บวชหรือไม่บวช แต่มันอยู่ที่ศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรม พระวินัย หรือไม่ตะหาก
    ถึงจะห่มผ้าเหลือง แต่ไม่เคารพพระธรรม พระวินัย ก็ไม่มีประโยชน์

    ต่อให้เป็นแม่ผมถ้าจะบวชเป็นภิกษุณีผมก็ค้าน ค้านเพราะรักแม่กลัวแม่ทำผิด ค้านเพราะเคารพพระศาสดา ก็หมายความว่าที่บอกว่าไม่เห็นด้วยนั้นก็ไม่ได้คิดหยามเพศแม่อะไรอย่างนั้น แต่ก็เพราะความรุ้สึกเดียวกันกับที่ห่วงแม่นั้นละ (ถึงจะห่วงน้อยกว่าห่วงแม่แยะแต่ก็ห่วงเหมือนกันหมด)

    ....อ่อนใจ ขอบายดีกว่าครับ เดี๋ยวนี้ความดันทุรังน้อย ต้องยกให้เป็นหน้าที่ท่านอื่นละ
    __________________
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2011
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    การปฏิบัติธรรม แม้แต่พระที่ท่านฝึกมานาน ท่านยังโดนกิเลสหลอกเอาง่ายๆ เวลามันปิด รู้ตัวเสียที่ไหน
    กิเลสมันละเอียดแหลมคม ผู้ที่เจริญมหาสติปัฏฐานพอเห็นตัวละเอียดแล้ว จะไม่มีใครประมาท เพราะรู้ดีในกลมายาของมัน

    ไม่ได้ดูถูก สตรี ขนาดแม่ชีแก้ว ศิษย์หลวงตามหาบัว ก่อนหน้าที่ท่านจะเห็นธรรม ท่านก็หลงไป รู้ดี ขนาดว่าดูถูกว่าหลวงตามหาบัวรู้ไม่เท่าตน โดนหลวงตาไล่ตะเพิดลงเขา ไปนั่นแหละจึงพอได้สติมาบ้าง

    นี่ผู้หญิง อบรมทางธรรมขั้นอุกฤติก็ไม่เคย ไปถูกเข้มงวดโดยพระอริยบุคคลก็ไม่เคย เพราะถ้าเคยจิตจะหมอบกราบพระธรรมวินัยมากกว่านี้ นี่กิเลสยังมีเต็มหัวใจ จะไปปกครองกันเอง ก็สุดท้ายพระสัทธรรม อันบริสุทธิ์ ก็จะเห็นกันแค่เพียง บุญ บาป ตื้นๆทั่วไป แล้วพลอยจะทำให้ สัทธรรมอันลึกซึ้งค่อยๆเสื่อมไป
     
  20. สังขารไม่เที่ยง

    สังขารไม่เที่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,943
    ค่าพลัง:
    +24,697
    แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจ...ในเรื่องที่พระพุทธเจ้าห้าม...และไม่เข้าใจเหตุการณ์ในปัจจุบัน...

    แล้วเรื่องในครอบครัวของเรา...เมื่อก่อนเราโดนสามีตบดี บีบคอทำร้าย...แต่ทุกวันนี้เค้าไม่ทำแบบนั้นแล้วค่ะ...เพราะว่าเราทำความดี สวดมนต์ทุกวัน...และเป็นคนสอนธรรมะให้กับเค้า เค้าถึงได้เป็นคนดีอย่างทุกวันนี้.... เราไม่เคยอายที่จะเล่าให้ใครฟัง....แต่ทุกวันนี้ภูมิใจ...ที่หาทางออกให้กับชีวิตของตัวเองและทำให้สามีผู้หลงผิดมานานหลายชาติหลายภพ....ได้พบพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า....


    แล้วภิกษุณี คือ ผู้ชายเหรอคะ....ถามหน่อยสิ...

    แล้วที่พระพุทธเจ้าห้ามผู้หญิงบวช เพราะเหตุผลอะไรบ้างเหรอคะ....
     

แชร์หน้านี้

Loading...