พญานาคราช 4 ตระกูล นครคำชะโนด

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Ajarn Pithak, 23 พฤศจิกายน 2009.

  1. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    " ปี๋ใหม่ที่ซิมานี้ 2555 ขอให้สู้เจ้า อยู่ดีสำบายมั่นเสมอมันเครือเก่า เดอ ให้เจ้าอยู่ดีมีแฮงความเจ็บอย่าให้ได้ความไข้อย่าให้มี ให้ไปดีมาดีผู้อยู่ให้มีชัยผู้ไปให้มีโชค โชคม้าอยู่เทิงอาน อยู่เทิงเครื่องอลังการสำรับ นอนหลับให้เจ้าได้เงินพัน นอนฝันให้เจ้าได้เงินหมื่น นอนตื่นให้เจ้าได้เงินแสน แบมือไปให้ได้แก้วมณีโชติ โทษฮ้ายอย่ามาพาน มารฮ้ายอย่ามาผ่า ให้เจ้ามีอายุ วรรณัง สุขัง พลัง เดอ"
    “ผูกเบื้องซ้ายให้ขวัญเจ้ามา ผูกเบื้องขวาให้พระเจ้าอยู่ ฝ้ายเส้นนี้มีคำแถน นำมาผูกแขนผอวนเจ้า อย่ามีศรีเศร้าตัวเจ้าอย่างหมองหม่น คุณพระพุทธ พระ ธรรมมากล้นไหลตื้อตื่นประสงค์ เจ้านอนหลับให้ได้เงินหมื่น เจ้านอนตื่นให้ได้เงินแสน แปนมือไปให้ได้แก้วมณีโชติ โทษร้ายอย่าพานมารร้ายอย่าเบียด”
     
  2. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    พี่น้องเอ้ย เพิ่นว่าชมรมลูกหลานสายพญานาค เจ้าปู่ศรีสุทโธเฮานี่ มีดีอยู่หลายอย่างอยากให้ซ่อยฮักษาไว้ อย่าไลถิ่มเปล่าดาย คั่นสิพากันสร้าง แปงทางให้มันเกี้ยง อันว่าเรื่องปากเสียง ให้อดสาเก็บไว้ ไม้ลำเดียวอ้อมฮั่วบ่อยู่ ไหมหลายไจดึงซ้างจังสิคือ แท้นอ ขอให้ฮักกันไว้ คือข้าวเหนียวนึ่งใหม่ อย่าสิไรซังกัน คือเข้าเหนียวถูกน้ำ ไผว่าชมรมลูกหลานสายพญานาค เจ้าปู่ศรีสุทโธสิฮ้าง ให้จูงแขนพามาเบิ่ง คนยังแตกจ้นจ้น มันสิฮ้างแมนบ่อนได๋ นั่นแหลว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2011
  3. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    ม่วนหลายแท่เนาะ คำพรนี่
     
  4. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    อะไรคือสัญญาณบอกว่าเป็นลูกหลานสายพญานาคคะ (ไม่ได้กวนนะ แต่อยากรู้จริงๆ ค่ะ)
     
  5. porntips

    porntips เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,410
    อยากรู้ด้วยคน แต่ก็เคยฝันเห็นบ่อย๐ เคยเจอคนคุยกันว่าพวกเค้าเป็นสายพญานาคเราแค่ได้ยินเสียงก็น้ำตาไหลพรากๆเก็บเสียงเก็บอาการสุดขีด ทำเป็นไม่สนใจกลัวเค้ารู้ ก็คนไม่รู้จักกันนี่
     
  6. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    อาลัยแค่ คุณแม่พรจันทร์ พรมพิทักษ์ สิริอายุ 57 ปี เผาเมื่อ 29 ธันวาคม 2554 ณ วัดสว่างสันติธรรม (วัดทิพย์สันติวัน) ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี

    โอ้พระคุณ บุญปลูกของลูกเอ๋ย มาละเลย ลาลับ ไม่กลับหวน
    เหลือไว้เพียง รอยอาลัย ให้คร่ำครวญ เมื่อแม่ด่วน จากไป ไม่กลับมา
    ภาพความหลัง เมื่อยังเล็ก เป็นเด็กน้อย แม่เฝ้าคอย เลี้ยงดูเรา เฝ้าห่วงหา
    ตื่นแต่เช้า หาข้าวปลา มาเลี้ยงเรา จะเมื่อยล้า ไม่บ่น ทนทำไป
    แม่เหนื่อยยาก ตรากตรำ ทำทุกอย่าง เพื่อสรรค์สร้าง ทางชีวิ ที่สดไส
    อนาคต ของลูกรัก คือหลักชัย ลูกเติบใหญ่ เพราะแม่นี้ มีเมตตา
    คราแม่พราก จากไป ดวงใจแป้ว สิ้นวี่แวว ใจเหม่อลอย ละห้อยหา
    เห้นมีเพียง ภาพถ่ายไร้ิวิญญา ดูต่างหน้า เตือนใจ สายสัมพันธ์
    แสงเทียนดับ ลับลา แล้วครานี้ ชาติหน้ามี เกิดใหม่ ดั่งใจฝัน
    เป็นลูกแม่ ทุกชาติไป ไม่แคล้วกัน บุญอนันต์ ส่องสว่าง ทางสุขขีเทอญ

    พิทักษ์ พลีขันธ์ บุตรชายคนที่สองแต่งอาลัยแด่ แม่ผู้มีบุญคุณอันมหาศาล
     
  7. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งด้วยค่ะน้องยา
     
  8. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    เวรนั้นไม่มีที่สิ้นสุด กรรมนั้นก็ไม่มีที่สิ้นที่สุด


    เวรนั้นไม่มีที่สิ้นสุด กรรมนั้นก็ไม่มีที่สิ้นที่สุด
    อย่างพระพุทธเจ้าเกิดมาก็ต้องหลายกัปป์หลายกัลป์
    กับพระเทวทัตนั่นเป็นเวรต่อกันไม่รู้แล้วรู้รอดสักที
    พระองค์ก็พยายามทำดีทุกอย่าง
    แต่ว่าพระเทวทัตไม่ละไม่ถอน
    คอยที่จะทำเวรอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งมาเกิดที่ทศชาติ
    ก็ยังพยาบาททำกรรมทำเวรมาเกิดเป็นจันทกุมาร
    นี่แหละเรื่องกรรมเรื่องเวรมันเป็นอย่างนี้แหละ
    ยากที่สุดที่จะพ้นจากกรรมจากเวรได้น่ะ
    เราไม่พ้นจากกรรมจากเวร
    เราเกิดมาเพราะกรรม เพราะเวร จึงว่า

    กมฺมโยนิ กรรมเป็นกำเนิดให้เกิดมา

    กมฺมพนฺธุ มันติดพันเรามาตลอดเวลา

    กมฺมปฏิสรณา เราอาศัยกรรมอยู่เดี๋ยวนี้

    ทุกสิ่งทุกประการมันจะหมดสิ้นอย่างไรได้?
    มันจะหมดสิ้นก็ต่อเมื่อสิ้นสังขารร่างกายนี้
    พระพุทธเจ้าก็ดี สาวกทั้งหลายก็ดี
    ท่านบำเพ็ญเพียรถึงที่สุดแล้ว
    สังขารร่างกายนี้แตกดับ กรรมตามไม่ทันแล้วคราวนี้
    กรรมอันนี้เรียกวิบากขันธ์
    วิบากนี้ต้องตามทันอยู่ตลอดเวลา
    ส่วนจิตนั้นตามไม่ทัน จิตใจของพระองค์หมดจดบริสุทธิ์
    จิตใจของสาวกหมดจดบริสุทธิ์แล้ว
    คราวนี้แหละกรรมตามไม่ทัน
    กรรมที่ตามไม่ทันเพราะจิตใจหลุดพ้น
    เพราะจิตปราศจากความกังวลเกี่ยวข้อง จิตที่เป็นหนึ่ง

    อย่างที่เคยพูดให้ฟังว่า
    จิตที่เป็นหนึ่ง ที่รู้เท่ารู้ตัวอยู่ตลอดเวลาเป็นนิจ
    ไม่คิดถึงเรื่องอดีต อนาคต
    ไม่คิดถึงเรื่องวุ่นวายสิ่งทั้งปวงหมด บริสุทธิ์อยู่คนเดียว
    จิตอันอยู่คนเดียวนั้นไม่มีอะไรถูกต้อง
    อะไรถูกต้องก็รู้เท่ารู้เรื่อง อันนั้นแหละเรียกจิตบริสุทธิ์
    อันนั้นแหละจึงจะหลุดพ้นจากกรรมจากเวรได้

    :: หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
     
  9. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ขอบคุณครับผมพี่ปราญชลี
     
  10. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    กระทู้นี้เงียบเหงาจัง
     
  11. yupayut

    yupayut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +138
    หวัดดี บอบู้ บายดีป่าวเพื่อน
     
  12. porntips

    porntips เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,410
    มาแล้วจ๊ะ ยังไม่มีใครเมตตาบอกเลยว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นสายญาณบารมีองค์นาคิน
     
  13. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    http://palungjit.org/threads/ขอเชิญ...สมทบทุนสร้างพระประธานใหญ่ปางคันธราชฐ์.340127/ คลิ๊กที่ลิ๊งค์

    ขอเชิญพี่น้องสายญาติธรรมร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อสมทบทุนสร้างพระประธานใหญ่ปางคันธราชฐ์ ขนาดหน้าตักรวมฐาน 12 x 15 เมตร นามว่า พระพุทธธรรมรัตนมุณี ศรีบ้านไผ่ ทอดถวาย ณ วัดตาปะขาว ต.หัวหนอง อ.บ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่นวันที่ 21 มิภุนายน พ.ศ. 2555 (ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 8) ท่านใดสนใจเชิญอ่านละเอียดในลิ๊งค์ที่แสดงอยู่นะ ครับขอบพระคุณครับ พุทโธรักษา ธังโมรักษา สังโฆรักษา
     
  14. snakejoke

    snakejoke เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    374
    ค่าพลัง:
    +699
    พญาธรรมนาคราช

    ใครเป็นผู้รู้ช่วยตอบที เราไม่รู้ว่าเราเป็นสายพญานาคหรือป่าว แต่ที่รู้คือปฏิบัติธรรมสายสัญญาบารมี แล้ว มีองค์พ่อที่ท่านบอกว่าท่านเป็นพญาธรรมนาคราช ที่ปกครองเหล่านาคทั้งหมดทั่วโลกนี้ มาช่วยกอบกู้โลกจากยุคเสื่อมของศีลธรรม โดยพาสายญาติมาปฏิบัติธรรม ท่านสามารถทำให้คนเห็นนิมิตเป็นพญานาคได้เพียงจับหัว หรือลงอักขระธรรม ที่หัว คอ คาง
    ส่วนผมที่ท่านบอกว่าเป็นลูกท่านก้อเกิดความอัศจรรย์คือ เมื่อสามปีก่อน ปีห้าสอง

    ได้บวชเป็นพระปฏิบัติธรรม สายสัญญาบารมีแล้วสามารถ
    1.มองพระอาทิตย์ได้ด้วยตาเปล่า ในเวลาใดก้อได้ โดยเวลาเพ่งดวงอาทิตย์แล้วจะเห็นเป็นสีขาวใส ซ้อนกันบ้าง มีเงาดำมาปกปิดบ้าง มีแสงสว่างส่องเป็นทางาบ้าง รู้สึกร้อนบริเวณระหว่างคิ้ว ที่เขาเรียกว่าตาที่สาม เพ่งอาทิตย์ได้เป็นชม.ๆ ทำมาแล้วสามปี ก้อไม่ผิดปรกติทางตาเลย
    2. มองเห็นดวงดาวเคลื่อนที่ไปมาได้ โดยเคลื่อนจากซ้ายไปขวา แล้วหายไป และถ้าเป็นกลุ่มดาวก้อจะเห็นแสงแว็ปๆไปมาเป็นเส้นสีขึ้นเคลื่อนที่เร็วมากจนตาจับไม่ทันแต่จะเห็นเป็นเส้นเล็กๆวิ่งไปมาเป็นหมื่นดวงทั่วทั้งท้องฟ้าเลย
    3. เวลากลางวันจะเมื่อมองฟ้า จะเห็นจุดเล็กๆสีเงิน ทอง วิ่งไปมาเต็มท้องฟ้า รอบๆตัวเรา ได้ไปเซิสในเน็ตเขาเรียกว่า แสงทิพย์ มีเต็มท้องฟ้าแต่จะเห็นเมื่อมองท้องฟ้า
    4. เห็นจุดขาวใสคล้ายพลาสติกใส วิ่งอยู่บริเวณตาซ้ายและตาขวา เป็นรูปพญานาคบ้าง เป็นรูปองค์พระบ้าง เป็นรูปกิ่งรากไม้บ้าง(จินตนาการไม่ถูก)เปลี่ยนรูปไปมาไม่ซ้ำกัน เมื่อมองฟ้าจะเห็นชัด แต่มองพื้นดินก้อเห็นแต่ไม่ชัด ถ้าหลับตาก้อจะเห็นจากสีใสเป็นสีดำเคลื่อนไปมาระหว่างตา
    5. เวลาปฏิบัติธรรมดับล้างและลงอักขระธรรม โดยไม่ต้องนั่งกรรมฐาน จะเห็นดวงไฟสีส้ม สีเขียว ติดตาทั้งยามหลับตาและลืมตา และก้อยังเห็นแสงสีเงินเวลามองฟ้า
    6. เวลากลางวัน จะเห็นแสงสีทองบนฟ้า บนพื้น บ้าง เคลื่อนที่ไปมาบนท้องฟ้า และเมื่อเวลากลางคืน จะเป็นสีขาว เคลื่อนไปบนท้องฟ้าที่มีเมฆ เคลื่อนตามที่เราดู

    และหลังจากมีส่ิงมหัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้ว จากการอ่านแสงทิพย์ของคุณแม่เกษร ก้อได้รู้วิธีโอนบุญให้เจ้ากรรมนายเวรสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยนึกถึงแสงทิพย์ ก้อจะขนลุกขึ้นมาทันใด
    และก้อเพ่งมองอาทิตย์มีพระองค์หนึ่งท่านบอกว่าเมื่อมองเป็นนิจแล้ว เวลามีผีเข้าคน แค่เรามองตามันมันก้อจะร้อนและออกไปจากตัว แต่ข้าพเจ้าไม่เคยลอง

    อีกทั้งคนรู้จัก ที่เคยบวชเป็นพระและได้ลงอักขระที่บริเวณตาให้เข้า ระหว่างคิ้ว ตอนแรกมองไม่ได้พอลงแล้วสามารถเพ่งพระอาทิตย์ได้
    อีกสองคนผมอธิฐานจิตให้เขามองแสงทิพย์ได้ขนก้อลุกแค่เพียงนึกชื่อ เขาก้อมองแสงทิพย์บนฟ้าได้แต่มีจำนวนน้อย ไม่เหมือนผมที่มีเป็นหมื่นๆดวง
    และตอนไปฝึกงานที่ราชบุรี เคยเห็นพระเดินธุดง ผิวแดงก่ำมากเดินผ่านตอนแรกข้าพเจ้าจะจอดรถมอเตอร์ไซด์รับแต่พอขี่ผ่านไปแค่ห้าสิบเมตรกลับหันมามองอีกทีไม่มีแล้ว ขี่รถยอ้นศรไปถามคนบริเวณนั้นก้อไม่เจอ คาดว่าเป็นพระอรหันต์ที่ท่านมาอนุโมทนาบุญให้เราเห็นนี่คือถามจากผุ้รู้

    ที่มาโพสไม่ได้จะมาอวดอ้างอะไรเพราะคิดว่าเป็นสิ่งธรรมดาที่ทุกคนสามารถประสบพบเจอได้เมื่อถึงเวลา และมีกุศลมูลเดิมมากพอ ครับแชร์แค่นี้ครับ

    ใครสนใจที่จะปฏิบัติสายสัญญารบารมี ก้อลองเซิสคำว่าสายสัญญาบารมีแล้วเข้าไปอ่านดูวิธีการดูครับ ปฏิบัติแล้วไปไวมาก อย่างเช่นที่ผมได้เล่าให้ฟัง

    ผมเกิดวันอังคารที่ 12 มกราคม 2525 เวลา 19.25 ท่านใดดูดวงได้ก้อโปรดแนะนำว่าเป็นวันเกิดที่ดีหรือไม่ครับ ขอบพระคุณมากครับผม
     
  15. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี
    ตามพญางูยักษ์ไปเห็นเมืองใต้บาดาล
    โดย วันชนะ
    หลวงปู่คำคะนิงเคยรับรู้ฟังเรื่อง “ถ้ำมืด” ซึ่งอยู่ใกล้กับภูปังฝั่งไทย เขตโขงเจียม และอยู่เลยอำเภอบ้านด่านขึ้นไปทางเหนือ มีชาวบ้านและพระธุดงค์กล่าวถึงถ้ำมืดแห่งนี้ว่าเป็นที่อยู่ของชาวลับแลหรือชาวบังบด ภายในถ้ำมีเหล็กไหลกายสิทธิ์ซึ่งเป็นสมบัติที่ชาวบ้านบังบดหวงแหนอย่างยิ่ง แต่ถ้าใครมีวาสนาบารมีเข้าไปในถ้ำมืด ชาวบังบดจะให้การต้อนรับอย่างดี พร้อมกับมอบแก้วแหวนเงินทองของมีค่าให้ หรือไม่ก็จะได้รับพระพุทธรูปทองคำนำกลับออกมาบูชากราบไหว้
    นอกจากเรื่องราวพิสดารพันลึกดังกล่าวแล้ว ภายในถ้ำมืดยังมีช่องทางลงไปสู่นคาเร้นลับใต้บาดาลอันเป็นเมืองของพญานาคซึ่งอยู่ใต้แม่น้ำโขง เมืองพญานาคนี้เล่าลือกล่าวขานกันว่าเป็นเมืองใหญ่โตมโหฬาร มีสมบัติล้ำค่ากลาดเกลื่อนไปทั่ว
    ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเข้าไปในถ้ำมืดจากฝั่งไทยสามารถจะลอดไปใต้แม่น้ำโขงตามช่องทางหรืออุโมงค์กว้างใหญ่ และในอุโมงค์ใหญ่แห่งนี้จะมีช่องอุโมงค์แยกออกไปอีกหลายทาง เช่นไปทะลุขึ้นฝั่งลาว บางช่องอุโมงค์มีความยาวนับร้อยกิโลเมตรไปทะลุแก่งลี่ผีสี่ทันดรหรือแยกไปขึ้นถึงเมืองญวนเมืองแกวโน่น เรื่องเมืองใต้บาดาลของพญานาค เรื่องอุโมงค์ใต้พิภพตลอดทรัพย์สมบัติล้ำค่าเหล่านี้ มิใช่เป็นเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมาอย่างเลื่อนลอย เพราะได้มีพระธุดงค์กัมมัฎฐานมีฌานอภิญญาหลายรูปนั่งทางในดูแล้วยืนยันตรงกันว่ามีจริงๆ เหตุนี้ได้มีคนโลภหลายกลุ่มปรารถนาอยากได้ทรัพย์สมบัติตลอดจนวัตถุโบราณล้ำค่าได้พากันเข้าไปในถ้ำมืด เมื่อลงไปในถ้ำมืดแล้วกลับไม่พบเห็นช่องอุโมงค์อะไรเลยนอกจากผนังถ้ำตันทุกด้าน ภายในถ้ำไม่มีวี่แววของเหล็กไหล หรือสิ่งของมีค่าแม้แต่ชิ้นเดียว พวกที่ลงไปในถ้ำจึงต้องกลับขึ้นมาด้วยความผิดหวัง มีคนโลภกลุ่มหนึ่งพากันบุกเข้าไปในถ้ำมืดเพื่อหวังจะพบสมบัติมีค่าบ้าง เข้าไปในถ้ำแล้วก็เจอกับสภาพถ้ำตันทุกด้านไม่มีของมีค่าให้หยิบฉวยมาเป็นของตน คนกลุ่มนี้จึงเกิดความไม่พอใจอย่างแรงกล่าวโทษนินทาพระธุดงค์กัมมัฎฐานว่าโกหกหลอกลวงไม่มีศีลไม่มีสัจจะ อวดอุตริมนุษยธรรม โดยไม่มีสำนึกถึงตัวเองบ้างว่า ที่พวกตนตะเกียกตะกายลงมาในถ้ำมืดนี้ก็เพราะความละโมบโลภมากโดยแท้ อยากได้ทรัพย์สมบัติอันมีค่าของผู้อื่นมาเป็นของตนเพียงอย่างเดียว ทันใดนั้นอาถรรพ์ของถ้ำมืดก็แสดงฤทธิ์ให้ปรากฎทันทีโดยจู่ๆ กลุ่มคนโลภนับสิบคนเกิดมองไม่เห็นคนอื่นๆ เห็นแต่ตัวเองคนเดียวทั้งๆ ที่แต่ละคนต่างถือคบไฟสว่างไสว ยิ่งไปกว่านั้นกลับมองไม่เห็นทางออกไปสู่ปากถ้ำซึ่งเพิ่งมุดผ่านเข้ามาง่ายๆ คราวนี้คนโลภทุกคนตื่นตระหนกแทบเสียสติต่างกู่ก้องร้องตะโกนเรียกหากันไม่เป็นส่ำ พลางเดินคลำหาทางออกอลหม่าน แต่มองไม่เห็นทางออกไปสู่ปากถ้ำได้เลย คนกลุ่มนี้ถูกขังอยู่ในถ้ำมืดไม่มีข้าวปลากิน หิวน้ำทนไม่ไหวถึงขั้นต้องดื่มน้ำปัสสาวะของตัวเอง จนถึงวันที่ 16 จึงได้ออกมาจากถ้ำมืดได้ แต่ละคนแทบจะคลานออกมาไม่ไหว และเข็ดหลาบอาถรรพ์ถ้ำมืดไปจนวันตายทีเดียว หลวงปู่คำคะนิงสดับตรับฟังเรื่องเล่ากล่าวขานเกี่ยวกับถ้ำมืดแห่งนี้ด้วยความวางเฉย เพราะท่านไม่ต้องการเหล็กไหลกายสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น ยิ่งเป็นแก้วแหวนเงินทองของมีค่ายิ่งไม่มีคุณค่าใดๆ สำหรับท่านเลย เพราะสิ่งเหล่านี้มิได้ทำให้พ้นทุกข์บรรลุมรรคผลนิพพานได้ จะมีคำเล่าลือที่ทำให้หลวงปู่คำคะนิงสนใจบ้างก็คือ มีชาวบ้านเคยพบเห็นงูยักษ์ลำตัวใหญ่ขนาดต้นตาลออกมาจากถ้ำมืดแล้วเลื้อยหายไปในดงไม้ ทำให้คนซึ่งบังเอิญไปเห็นเข้าอกสั่นขวัญกระเจิงไปนานวันทีเดียว หลวงปู่เชื่อว่างูยักษ์ที่ชาวบ้านพบเห็นน่าจะเป็นพญานาคมากกว่าเป็นงูธรรมดา วันหนึ่ง…………….
    อาจารย์คำดี บ้านแก่งยาง พาชาวบ้านจังหวัดศรีสะเกามาหาหลวงปู่คำคะนิงถึง 2 คันรถ จุดประสงค์ของพระอาจารย์คำดีต้องการจะไปที่ถ้ำมืดเพื่อค้นหาพระพุทธรูปโบราณในถ้ำ จะได้อาราธนานำไปกราบไหว้บูชา สำหรับชาวบ้านกลุ่มใหญ่มุ่งหมายอยากได้เหล็กไหลกายสิทธิ์ในถ้ำมืดเป็นสำคัญ
    ในกลุ่มชาวบ้านทั้งหมดนั้น มีฆราวาสที่มีวิชาอาคมทางไสยศาสตร์แก้กล้าอยู่หลายคน และฆราวาสพวกนี้แหละที่จะเข้าไปทำพิธีตัดเหล็กไหล พระอาจารย์คำดีและญาติโยมซึ่งเป็นผู้ติดตาม ไม่กล้าบุกรุกเข้าไปในถ้ำมืดแต่เพียงลำพัง เนื่องจากหวาดเกรงอาถรรพ์ของถ้ำตลอดจนภัยอันตรายอันเร้นลับที่อาจทำให้ดับดิ้นสิ้นชีวิตเอาง่ายๆ พระอาจารย์คำดีและญาติโยมชาวศรีษะเกษจึงมานมัสการหลวงปู่คำคะนิงอ้อนวอนขอร้องให้ท่านไปด้วย เพราะเชื่อมั่นว่าหลวงปู่ช่วยคุ้มครองป้องกันผองภัยได้ หลวงปู่คำคะนิงไม่อยากขัดศรัทธาประกอบกับท่านเองก็สนใจในเรื่องงูยักษ์อยู่ก่อนแล้วจึงตกลงร่วมทางไปด้วย เมื่อทั้งหมดเดินทางมาถึงหน้าถ้ำมืด ชาวบ้านที่ไม่มีวิชาอาคมไม่กล้าเข้าไปในถ้ำ ตกลงกันว่าจะรอคอยอยู่นอกถ้ำ ดังนั้นผู้ที่จะเข้าไปในถ้ำมืดจึงมีเพียงหลวงปู่คำคะนิงพร้อมด้วยอาจารย์คำดี และกลุ่มฆราวาสผู้เรืองวิชาอาคมเท่านั้น หลวงปู่คำคะนิงพระและพวกโยมเข้าไปในถ้ำ โดยใช้คบไฟซึ่งเตรียมเอามาหลายอันเป็นแสงสว่างส่องทาง เพราะลึกเข้าไปในถ้ำมีแต่ความมืดครอบคลุมไปทั่วทุกตารางนิ้ว ภายในถ้ำมืดนั้นมีความกว้างใหญ่อย่างคาดไม่ถึงสามารถบรรจุคนได้นับหมื่นคน บนเพดานถ้ำมีค้างคาวเกาะอาศัยอยู่นับจำนวนไม่ถ้วน หลวงปู่คำคะนิงเดินสำรวจไปรอบๆ บริเวณพบว่ามีธารน้ำใส่ไหลรอดจากใต้ภูเขาผ่านเข้ามาในถ้ำ ด้านหนึ่งมีบาตรโบราณเก่าๆ บรรจุพระเครื่องแตกชำรุดอยู่เต็มบาตร และตรงซอกหินใกล้ๆ กันมีผ้าไตรผุเปื่อยซุกอยู่แสดงว่าต้องมีคนเข้ามาบูชาเอาพระเครื่องดีๆ ไป หรือถวายผ้าไตรเป็นการแก้บนผีสางเทวดาก็อาจเป็นได้ หลวงปู่คำคะนิงใช้คบไฟสำรวจตรวจดูผนังถ้ำทุกด้านไม่เห็นมีช่องทางหรืออุโมงค์ใดๆ ที่เจาะทะลุไปสู่ภายในลึกล้ำไปกว่าถ้ำด้านหน้านี้อีก ดังนั้นถ้ำนี้จึงเป็นถ้ำตัน ส่วนพระอาจารย์คำดีกับโยมฆราวาสพากันใช้คบไฟส่องหาเหล็กไหลกายสิทธิ์ แต่ก็ไม่พบร่องรอยว่าจะมีเหล็กไหลตรงไหน ฆราวาสผู้มีวิชาอาคมทางไสยเวทย์จึงได้ทำพิธีเซ่นสรวงสักการะเจ้าเขาเจ้าถ้ำขอพระพุทธรูปพระเครื่องโบราณและเหล็กไหลเพื่อนำไปบูชา โดยหลวงปู่คำคะนิงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยกับพิธีของพวกนั้น หลวงปู่แยกออกมาหาที่สงบอีกมุมหนึ่ง ทรุดกายลงนั้นเจริญฌานสมาธิ เพื่อตรวจสอบดูถึงบางสิ่งบางอย่างซึ่ง “ตาเนื้อ” มองไม่เห็นนอกจาก “ตาใน”
    นิมิตที่ปรากฎแก่หลวงปู่คำคะนิง เห็นผนังถ้ำด้านหนึ่งใสกระจ่างคล้ายกับกระจก เบื้องหลังผนังถ้ำนั้นมีบ่อน้ำหินกว้างใหญ่พอสมควร ในบ่อน้ำหินมีก้อนหินอีกก้อนหนึ่งจมน้ำอยู่รูปร่างลักษณะคล้ายจระเข้โผล่ส่วนหลังขึ้นมา เสียงในนิมิตบอกว่าให้ก้าวข้ามหรือลอดใต้จระเข้แล้วจะพบประตูลับแลเข้าสู่ถ้ำภายใน
    หลวงปู่คำคะนิงรู้เช่นนั้นก็ถอนจิตออกจากสมาธิ แล้วลุกขั้นเดินไปสำรวจดูผนังถ้ำด้านที่เห็นในนิมิต คราวนี้หลวงปู่มองเห็นหินย้อยลงมาเป็นซอกหลืบเล็กๆ เมื่อยอบตัวลงนั่งยองๆ ดูก็เห็นโพรงเล็กๆ ขนาดคนคลานลอดเข้าไปได้อยู่หลังหลืบหิน ภายในโพรงนั้นมืดมิด หลวงปู่ไม่รู้เหมือนกันว่าโพรงนี้จะตันหรือเปล่าและอาจเป็นที่อยู่อาศัยของงูยักษ์ก็ได้ แต่เป็นที่น่าพิศวงอย่างยิ่งก็คือ หลวงปู่คำคะนิงได้สำรวจตรงผนังถ้ำอย่างละเอียดถี่ถ้วนมาแล้วในตอนแรก กลับมองไม่เห็นหินย้อย ออกจากฌานสมาธิแล้วถึงได้เห็นคล้ายกับมีอะไรมาบังเอาไว้ ขณะเดียวกัน ทางฝ่ายฆราวาสผู้มั่นใจว่าพวกยกตนแก่กล้าวิทยาคุณ ได้จัดพิธีเซ่นสังเวยบวงสรวงเจ้าถ้ำเจ้าเขาครบถ้วนทุกอย่าง จากนั้นก็นั่งลงเข้าฌานสมาธิทุกคน ตอนนี้ต่างลุกขึ้นมายืนเป็นกลุ่มรวมทั้งพระอาจารย์คำดีด้วย เมื่อหลวงปู่คำคะนิงเดินไปถึงกลุ่มจึงบอกให้รู้ว่าได้พบโพรงที่จะลอดเข้าไปยังถ้ำภายใน ขอให้ทุกคนเตรียมตัวไปด้วยกัน แทนที่พระอาจารย์คำดีและพวกโยมฆราวาสจะดีอกดีใจ กลับแสดงกิริยาหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด คนหนึ่งในกลุ่มบอกว่าพวกเขาเห็นในนิมิตเป็นพญางูยักษ์ตัวมหึมาเหมือนๆ กัน ไม่กล้าเข้าไปแล้ว จะขอรอคอยอยู่ที่บริเวณหน้าปากถ้ำแทน หลวงปู่คำคะนิงชวนพระอาจารย์คำดีไปด้วยกัน พระอาจารย์คำดีรีบปฏิเสธ ยอมรับว่ากลัวมาก ดังนั้นหลวงปู่จึงได้สั่งให้ทุกคนอย่าอยู่ตรงบริเวณหน้าปากถ้ำมืดเลย จงไปอยู่ไกลๆ เพราะถ้ำเกิดมีสิ่งน่ากลัวออกมาจากถ้ำเช่น งูยักษ์ แต่ละคนหากเกิดความตระหนกตกใจสุดขีดอาจวิ่งกระเจิดกระเจิงตกเหวตกเขาถึงตายได้ พวกนั้นก็รับคำจะทำตามที่หลวงปู่บอก แล้วทุกคนก็รีบออกจากถ้ำมืดไปทันที เหลือหลวงปู่คำคะนิงเพียงรูปเดียว หลวงปู่คำคะนิงตระหนักแก่ใจตนเองดีกว่าการจะมุดอดเข้าไปในโพรงแคบๆ นั้น เป็นการเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง เพราะไม่รู้ว่ามีอะไรรอคอยอยู่ในโพรงและโพรงดังกล่าวจะไปสิ้นสุดลงตรงไหนก็ยากจะคาดเดาได้ หรืออาจจะไปบรรจบกับเหวลึกก็อาจเป็นได้อีกเช่นกัน ก่อนจะคลานลอดเข้าไปในโพรง หลวงปู่คำคะนิงได้กำหนดจิตแน่วแน่แล้วเปล่งเสียงอธิษฐานว่า “สาธุนโม อันว่านมัสการแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันเป็นสรณะที่พึ่งสูงสุดอาตมภาพจักขออนุญาตเข้าไปในถ้ำสถานอันลึกลับแห่งนี้ ขอปวงเทพยเจ้าทั้งนาคทั้งหลายที่สิงสถิตย์อยู่ ณ ถ้ำสถานแห่งนี้ จะได้รับทราบและเปิดทางสะดวกให้แก่อาตมภาพด้วยเถิด อาตมภาพเพียงอยากจะเข้าไปสมใจ มิได้มีจิตเจตนาโลภโมโทสันอยากได้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือทรัพย์สมบัติของพวกท่านทั้งหลายแต่ประการใด อธิษฐานด้วยจิตบริสุทธิ์แล้ว หลวงปู่คำคะนิงได้ล้วงเอาเทียนขนาดใหญ่ในยามซึ่งเตรียมมาหลายห่อ จุดเทียนขึ้นแล้วก้มตัวลงมุดคลานผ่านเข้าไปในช่องอุโมงค์แคบๆ นั้น เข้าไปได้ประมาณสองร้อยวาก็ทะลุออกมายังถ้ำอีกถ้ำหนึ่งมีเพดานสูง แต่มีความกว้างประหนึ่งม่านระย้าที่กำลังไหวพริ้ว ส่วนพื้นถ้ำมีตะพักหินเหมือนเป็นบันใดที่ธรรมชาติสร้างขึ้นซ้อนเป็นชั้นๆ ขึ้นไป บนตะพักเป็นแอ่งน้ำใสแจ๋วเต็มเปี่ยมถึงขอบบนสุด กลางแอ่งน้ำมีหินรูปร่างเหมือนจระเข้ขนาดใหญ่นอนขวางจมน้ำพอปริ่มๆ เบื้องหลังจระเข้หินมีปากอุโมงค์ตรงผนังถ้ำด้านหลังสุดอุโมงค์ช่องนี้มีขนาดกว้างพอจะมุดลอดผ่านเข้าไปได้ และภายในอุโมงค์นั้นมืดมิด หลวงปู่คำคะนิงเห็นสภาพภายในถ้ำนี้ตรงกันกับในมิมิตทุกอย่าง ทำให้ท่านมั่นใจว่าการเข้าไปในถ้ำมืดส่วนลึกเข้าไปอีกคงได้พบกับสิ่งอัศจรรย์ตามที่ต้องการเข้ามาดูชมอย่างแน่นอน หลวงปู่คำคะนิงเดินขึ้นบันได้ตะพักหินไปถึงขอบแอ่งน้ำแล้วก้าวลงไป น้ำในแอ่งลึกขนาดยาว หลวงปู่ไปถึงจระเข้จึงปีนป่ายหมายจะข้ามหลังมันเข้าไปในอุโมงค์ แต่จระเข้หินได้ยกตัวพรวดขึ้นมาปิดบังปากอุโมงค์เอาไว้อย่างไม่น่าเป็นไปได้ หลวงปู่จึงทดลองใหม่ โดยลองแหย่เท้าเข้าไปตรงใต้ท้องจระเข้และทำท่าจะมุดลอด ทันใด………จระเข้หินซึ่งยกตัวสูงพลันลดวูบลงมาขวางกั้นไม่ยอมให้มุดลอดผ่านไปได้ ความมหัศจรรย์เช่นนี้มิใช่เกิดจากกลไกอะไรเลยหากเป็นพลานุภาพอันลึกลับจากความศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคอยพิทักษ์รักษาถ้ำใต้พิภพแห่งนี้ หลวงปู่คำคะนิงจึงเสี่ยงสัจจอธิษฐานอีกครั้งว่า “อาตมภาพขอเข้าไปดูเท่านั้น ไม่มีเจตนาอื่นใดอีกเลย” แปลกเหลือเชื่อ! ทันทีที่หลวงปู่คำคะนิงอธิษฐานจบลงจระเข้ได้จมวูบลงไปในใต้น้ำเป็นการแสดงว่าได้อนุญาตให้หลวงปู่ข้ามตัวจระเข้ผ่านเข้าอุโมงค์ไปได้ หลวงปู่คำคะนิงจึงก้าวข้ามหลังจระเข้จากนั้นก็มุดคลานผ่านปากอุโมงค์เข้าไปโดยอาศัยแสงเทียนส่องสว่างนำหน้า แสงเทียนในมือหลวงปู่มิใช่เพียงแค่ใช้ประโยชน์ส่องทางอย่างเดียว แสงเทียนยังช่วยบอกให้รู้ว่าอากาศสำหรับหายใจมีพอเพียงหรือไม่ หากเปลวเทียนริบหรี่หรือดับเมื่อไหร่ก็ย่อมหมายถึงว่าอ๊อกซิเจนเจือจางเกือบไม่มี หากเป็นเช่นนั้นมนุษย์หรือสัตว์ก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ใต้อีกแต่ตราบใดที่เปลวเทียนโชติช่วงเป็นปกติ ตราบนั้นอ๊อกซิเจนสำหรับหายใจย่อมบริบูรณ์อยู่เช่นเดียวกับเทียนในมือของหลวงปู่คำคะนิงในขณะนี้ ช่องอุโมงที่หลวงปูคำคะนิงพาตัวผ่านลึกเข้าไปเรื่อยๆ นั้นลาดต่ำลงไปประมาณ 30 วาก็ทะลุสู่คูหาถ้ำกว้างใหญ่ เพดานถ้ำมีลักษณะสูงโค้ง วิจิตรตระการตาด้วยหินย้อยน้อยใหญ่หลายหลายสีเช่นแดง เหลือง ขาว หม่น น้ำตาลอ่อน ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไป หลวงปู่คำคะนิงพาตัวออกมาพ้นช่องอุโมงค์ลงสู่พื้นถ้ำแล้วมิทันได้พิจารณาสภาพของถ้ำโดยละเอียด ก็พลันยืนตะลึงงันไปชั่ววูบ เมื่อคลองจักษุกระทบเข้ากับภาพที่ไม่คาดคิดว่าจะมีจริงๆ และได้พบเห็นในขณะนี้ นั่นคือพญางูยักษ์ตามที่ชาวบ้านเล่า และได้เห็นมาแล้วครั้งหนึ่งในมิมิต!! พญางูตัวนั้นขดลำตัวขนาดโคนต้นตาลใหญ่หรือลำตัวใหญ่ประมาณถัง 200 ลิตร ความยาวนั้นยากจะประเมินได้เพราะขดลำตัวที่วนซ้อนกันอยู่นั้นกองเต็มพื้นที่ถ้ำอันกว้างใหญ่ เกล็ดของพญางูดำขลับตลอดตัว ส่วนหัวมหึมาไม่มีหงอน มีลักษณะเป็นงูธรรมดาๆ แต่นัยน์ตาเป็นสีเขียวไม่ผิดมรกตใหญ่ขนาดไข่เป็ด ถ้าเป็นคนธรรมดาสามัญมาเผชิญหน้ากับพญางูยักษ์อย่างจังหน้าเช่นนี้ เห็นที่จะล้มลงหมดสติด้วยความหวาดกลัวสุดขีดเป็นแน่ แต่สำหรับหลวงปู่คำคะนิง ท่านไม่รู้สึกกลัว กระนั้นขนก็ยังลุกซู่ๆ ขึ้นมาเอง หลวงปู่รีบกำหนดจิตอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกภาวนาพุทโธไว้ในใจเรื่อยๆ เหตุที่หลวงปู่คำคะนิงยึดมั่นในคำภาวนา “พุทโธ” ท่านกล่าวไว้ว่า……ท่องพุทโธตัวเดียวนี่แหละคุ้มครองได้หมด พระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์รวมลงอยู่ที่พุทโธตัวเดียวนี่แหละ พุทโธตัวเดียวเป็นพระคาถาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดใสสากลโลกนี้ จำไว้ให้ดีคาถาของหลวงปู่มีพุทโธตัวเดียวใช้ได้ทุกอย่าง แล้วแต่จะอธิษฐานเอา” เมื่อกำหนดจิตภาวนาพุทโธๆ แล้ว หลวงปู่คำคะนิงได้บอกกล่าวแก่พญางูดังๆ ว่า “อาตมาภาพถือสัจจะที่เข้ามาในนี้ มาเพื่อขอดูสิ่งศักดิ์ในบ้านเมืองของท่าน ถ้ามีอะไรก็ขอดูชมให้สมใจเพื่อเป็นวาสนาบุญตาเท่านั้น” เมื่อหลวงปู่คำคะนิงกล่าวจับ พญางูใหญ่ซึ่งชูคอจ้องมองพระภิกษุผู้บุกรุกเข้ามาประหนึ่งเข้าใจในจิตเจตนาอันบริสุทธิ์ของหลวงปู่ส่วนหัวอันชูร่าก็ค่อยๆ ลดลงแล้วคลายขนดที่ม้วนซ้อนกันออกเลื้อยออกจากที่ หลวงปู่คำคะนิงยืนถือเทียนนิ่งอยู่ ไม่รู้จะทำอย่างไร พญางูยักษ์เอี้ยวลำตัวท่อนบนมาทางหลวงปู่แสดงกิริยาผงกหัวขึ้นลงประหนึ่งบอกให้ตามไป ก่อนจะเลื้อยต่อ หลวงปู่คำคะนิงจึงเดินตามไปข้างๆ ลำตัวดำขลับ ไปได้พักใหญ่ งูยักษ์ก็หยุด ทำหัวก้มๆ เงยๆ ที่พื้นถ้ำด้านซ้ายมือ หลวงปู่มองไปยังบริเวณนั้น เห็นปากหลุมอุโมงค์กว้างใหญ่พอสมควร ภายในมืดมิดน่ากลัว ท่านก็รู้ด้วยวิถีจิตว่าพญางูกำลังเตือนมิให้เข้าไปใกล้ปากหลุมนั้น เพราะมีอันตราย! จากนั้น……….พญางูได้เลื้อยไปทางขวา ตรงไปยังหลืบหินย้อยซึ่งหยาดลงมาประหนึ่งม่านกั้น ด้านหลังม่านหินย้อยมีปากถ้ำซ่อนอยู่ พญางูผงกหัวเป็นสัญญาณให้ตามไปอีก แล้วพญางูก็เลื้อยเข้าไปในถ้ำนั้นโดยมีหลวงปู่คำคะนิงติดตามไปเช่นเดิม เส้นทางนี้ราบเรียบเกลี้ยงเกลาไม่ผิดกับพื้นผิวถนนชั้นดีเพดานและผนังอุโมงค์เมื่อถูกแสดงสว่างจากเทียนใหญ่ในมือหลวงปู่คำคะนิงสากส่องไปกระทบได้เกิดประกายสะท้อนวูบวาบพราวไปหมดไม่ผิดกับแสงดาวระยิบระยับนับแสนนับล้านดวง แสดงว่าตลอดเพดานและผนังอุโมงค์ถ้ำแห่งนี้คือแหล่งอัญมณีล้ำค่ามหาศาล อุโมงค์ใต้พิภพลาดต่ำลงไปเรื่อยๆ หลวงปู่จำได้หมายมั่นว่าเส้นทางนี้มุ่งสู่ทางทิศตะวันออกอันเป็นทิศทางไปสู่แม่น้ำโขง ถ้าอุโมงค์ซึ่งอุโมงค์ซึ่งพญางูพาหลวงปู่คำคะนิงบ่ายหน้าไปนั้นเป็นระยะทางอันยาวไกลมาก หลวงปู่ใช้เทียนหมดไปหลายเล่มและเดินจนรู้สึกเหนื่อย เมื่อใดที่หลวงปู่หยุดพักเหนื่อย พญางูยักษ์จะเอี้ยวมามองและผงกหัวขึ้นลงเป็นสัญญาณให้เดินต่ออีก หลวงปู่คำคะนิงประมาณว่า ท่านได้ใช้เวลาเดินตามพญางูมาโดยตลอดถึง 1 วันเต็มๆ พญางูนำพาหลวงปู่คำคะนิงบรรลุถ้ำกว้างใหญ่อีกแห่งหนึ่งถ้ำแห่งนี้มีหินย้อยประหนึ่ง หลืบฉากคล้ายท้องพระโรงพระราชา พื้นผิวของหินย้อยและผนังถ้ำทุกด้านมีแสงสว่างเป็นประกายวับ ถึงตอนนี้ เทียนใหญ่ในมือของหลวงปู่คำคะนิงดับเปลววูบลงแสดงว่า ณ ที่นี้ไม่มีอ๊อกซิเจนสำหรับหายใจ หลวงปู่รู้สึกหายใจไม่ออก แน่นหน้าอกวูบขึ้นมาท่านจึงรีบกำหนดจิตทันทีว่า “อาตมภาพต้องการเห็นสิ่งศักดิ์เท่านั้นอย่าเพิ่งตายเดี๋ยวนี้เลย” อธิษฐานจบ ความรู้สึกอึดอัดเพราะหายใจไม่ออกพลันหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ลมหายใจไหลรื่นปลอดโปร่งเช่นเดิม ยิ่งไปกว่านั้นความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียกลับเปลี่ยนเป็นสดชื่นกระปรี้กระเปร่า พญางูยักษ์ผงกหัวเตือนหลวงปู่คำคะนิงให้เดินทางต่อไปได้แล้ว เลยจากถ้ำใหญ่ออกไปหลวงปู่คำคะนิงก็พบเห็นสิ่งมหัศจรรย์ซึ่งไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น นั่นคือเพดานถ้ำเหนือศรีษะกว้างยาวประมาณ 20 วา นั้นเป็นหินใสเหมือนกระจก เหนือเพดานถ้ำใสนั้นคือสายน้ำไหลเอื่อย หลวงปู่รู้สึกด้วยจิตตัวเองว่านั่นคือแม่น้ำโขง ดังนั้นถ้ำพญานาคช่วงนี้ได้ทอดไปใต้ความลึกของก้นแม่น้ำโขงนั่นเอง งูยักษ์พาหลวงปู่คำคะนิงได้ชมเมืองใต้บาดาลเป็นเวลาถึง 3 วัน โดยมีเส้นทางเป็นอุโมงค์และถ้ำมากมายโดยเชื่อมติดต่อกันทั้งหมด ภายในถ้ำคูหาต่างๆ นั้นเรืองรองด้วยประกายอัญมณีหลากสีงดงามแพรวพราวสุดจะพรรณาได้ ตลอดเวลาอันยาวนานนั้น หลวงปู่คำคะนิงไม่ได้ฉันอาหารหรือน้ำเลย แต่น่าประหลาดที่ท่านไม่รู้สึกหิวโหยหรืออ่อนเพลียแม้แต่น้อย ร่างกายสดชื่นแข็งแรงยิ่งกว่าปกติเสียอีก ในที่สุด พญางูยักษ์ได้นำหลวงปู่คำคะนิงมาถึงคูหากว้างใหญ่มหึมา กึ่งกลางพื้นคูหานั้นมีลำธารกว้างพาดผ่าน กระแสน้ำใสไหลเอื่อย น้ำไม่ลึกนักมองเห็นก้นลำธารชัดเจนไม่ผิดมองผ่านกระจกใสกรวดทรายก้นลำธารระยิบระยับหลากสี น่าเชื่อว่าเป็นอัญมณีและเกร็ดทองคำมากกว่าจะเป็นกรวดทรายธรรมดา พญางูยักษ์เลื้อยปราดลงไปในลำธารนั้น แล้วหายวับไป! หลวงปู่คำคะนิงยืนยันว่าพญางูไม่ได้หนีหายไปอย่างแน่นอน เพราะน้ำในลำธารใสเหลือเกิน การหายตัวของพญางูเหมือนกับแสงไฟดับวูบไปฉะนั้น! หลวงปู่เหลือเพียงรูปเดียวจึงตัดสินใจลุยน้ำข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งขึ้นฝั่งแล้วก็ต้องประหลาดใจอีก เพราะมีรอยเท้ามนุษย์เปียกน้ำเหยียบทาบพื้นหินเห็นได้ชัดเจนเป็นรอยเท้าซึ่งเพิ่งผ่านไปหยกๆ แต่ไม่เห็นร่างของเจ้าของรอยเท้า หลวงปู่คำคะนิงหยั่งรู้ได้ในพลันว่า ลำธารใหญ่สายนี้ ต้องเป็นสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ขวางกั้นนั้นระหว่างเขตชั้นนอก และเขตชั้นในซึ่งเป็นเมืองพญานาคใต้พิภพ เมื่องูใหญ่หรือพญานาคเลื้อยลงสู่สายน้ำนี้ร่างก็จะกลายเป็นมนุษย์ แต่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเนื้อธรรมดาได้เช่นเดียวกับพญางูยักษ์ซึ่งเป็นผู้นำทางให้หลวงปู่คำคะนิงเข้ามาสู่เมืองพญานาคแล้วเลื้อยลงสายน้ำศักดิ์สิทธิ์หายไป! เดินไปไม่ไกลนักก็ทะลุคูหาถ้ำกว้างใหญ่เหลือจะกล่าวเพดานถ้ำมีลักษณะโค้งเป็นวงกลมคล้ายโดม ภายในคูหานี้สว่างไสวด้วยแสงสีทองระยิบระยับ แสงสีทองอาบไปทั่วบริเวณ แม้กระทั่งตัวของหลวงปู่ซึ่งครองจีวรก็ดูเป็นสีทองไปด้วย ตรงกึ่งกลาง คูหาถ้ำอันกว้างใหญ่มหึมา มีพระมหาเจดีย์องค์ใหญ่สูงลิ่วปรากฎอยู่ พระมหาเจดีย์องค์นี้สร้างด้วยทองคำทั้งองค์ รายรอบองค์มหาเจดีย์มีพระพุทธรูปทองคำตั้งเรียงรายเป็นชั้นๆ จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ชั้นที่วางพระพุทธรูปทองคำทำด้วยหินผลึกสลักลายทองเป็นลวดลายละเอียดวิจตรงดงาม ต่ำลงจากชั้นวางพระพุทธรูปทองคำมีเชิงเทียนทองคำประดับมณีแดงและกระถางธูปเป็นมรกตสีเขียวใส่ใหญ่ขนาดสองแขนโอบ ภายในกระถางธูปบรรจุทรายทองคำจนเต็มเพื่อเอาไว้ปักธูป ธูปที่ปักส่งควันกรุ่นอวลตลบด้วยกลิ่นหอมขจรขจาย ส่วนเทียนที่จุดมีทั้งเทียนขาว เทียนเหลือง เทียนแดง ถัดจากกระถางธูป และเชิงเทียนเป็นกำแพงแก้วรายรอบองค์พระมหาเจดีย์ทุกด้าน กำแพงแก้วเป็นลายกนกอ่อนช้อยงดงาม และฝังเพชรเม็ดใหญ่นับไม่ถ้วน เลยจากกำแพงแก้วเป็นมหาวิหารคตและพระอุโบสถสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวลวดลายเป็นทองคำ ฝังแก้วเจ็ดประการส่งประกายพราวพร่างงามวิจิตรพิสดารเกินจะพรรณา หลวงปู่คำคะนิงจุดธูปเทียนซึ่งวางอยู่ในภาชนะที่ใส่ทำด้วยทองคำ บูชาพระมหาเจดีย์และพระพุทธรูปทองคำ น้อมใจเคารพบูชาต่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธบิดาแห่ง อริยวงศ์ ตลอดบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลอันมีพระมหาเจดีย์เป็นองค์ประธานเงียบเชียบ นอกจากพระอุโบสถ พระมหาวิหารคตแล้ว ยังมีกุฎิเรียงราย อีกหลายสิบหลัง กุฎิแต่ละหลังสร้างด้วยหินอ่อนสีเขียว หลังคาเป็นแก้วประพาฬ แต่ประตูหน้าต่างปิดเงียบเป็นกุฎิร้าง หลวงปู่คำคะนิง “รู้” ว่าศาสนสถานที่ท่านเห็นอยู่นี้พญานาคเป็นผู้สร้างขึ้นด้วยฤทธิ์ เพื่อใช้เป็นสถานที่สักการะบูชาต่อพระรัตนตรัย หลวงปู่เดินต่อไปทั่วบริเวณสมความปรารถนาที่อยากดูชมเป็นบุญตา แล้วก็สำรวจลึกเข้าไปอีกด้านหนึ่งของคูหาถ้ำ ณ บริเวณนี้สระน้ำกว้างใหญ่ในสระน้ำดารดาษด้วยดอกบัวหลากสีสัน มีทั้งบัวตูมและบัวบาน รายรอบสระเป็นที่ราบเรียบปูลาด้วยหญ้าเขียวขจีดุจสนามหญ้าซึ่งตัดแต่งเอาไว้เสมอกัน บนสนามหญ้ามีสวนดอกไม้ถูกจัดเอาไว้อย่างเหมาะสมสวยงาม ดอกไม้และใบไม้เท่าที่เห็นมีรูปลักษณ์ สีสันแปลกๆ ตลอดสวนดอกไม้อบอวลด้วยกลิ่นหอมสดชื่นยิ่งกว่ากลิ่นหอมของดอกไม้ใดๆ ในโลกมนุษย์ มีทางเดินตัดผ่านเข้าไปในสวนดอกไม้ บนทางเดินปูลาดด้วยแผ่นแก้วสีขาวหม่นๆ สองฟากทางเดินนั้นมีต้นไม้ใหญ่แผ่ร่มใบสยายความร่มรื่นประหนึ่งอยู่ใต้ร่มฉัตร อีกยังมีลูกมีผลเป็นพวงดูงามประหลาดตา หลวงปู่เดินตามไปตามทางเดินซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปบรรจบ ณ จุดใดเดินไปได้สักครู่ หลวงปู่คำคะนิงก็เห็นฤาษีผมขาว หนวดเคราสีเดียวกันยาวถึงตักนั่งอยู่บนแท่นหินสูงเหนือพื้นขึ้นไปประมาณ 2 วา เบื้องหลังหน้าผาราบเรียบ หลวงปู่คำคะนิงเห็นฤาษีก็ยอบตัวลงจะยกมือไหว้ ฤาษีตนนั้นรีบยกมือห้าม “ข้าพเจ้ามิใช่พระ อย่าไหว้ข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าเป็นดาปะโสหรือดาบสฤาษี” “ดาบสฤาษี ท่านเป็นพญานาคแปลงกายใช่หรือไม่?” ดาบสฤาษีตอบว่า ท่านมิใช่เป็นพญานาคแปลงกาย หากบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญศีลภาวนามาได้ 3,000 ปีแล้ว สถานที่ท่านบำเพ็ญเพียรจนบรรลุอภิญญาสมาบัติคือแก่งลี่ผีแม่น้ำโขงอยู่ทางทิศใต้ของนครจำปาศักดิ์ คำว่า “ลี่ผี” หมายถึงที่ตักปลายของภูตผี บริเวณแก่งลี่ผีมีลักษณะเป็นแก่งน้ำนับร้อยๆ แก่ง กระแสน้ำเชี่ยวกราก ไม่มีเรือแพลำโตล่องผ่านแก่งนี้ได้ ขนาดท่อนซุงหลายคนโอบลอยมาถึงแก่งลี่ผีจะถูกกระแสน้ำพัดกระแทกแก่งหินแตกละเอียดในพริบตา แก่งลี่ผีไม่มีผู้คนอยู่อาศัย และไม่มีใครกล้าเข้าไปกล้ำกราย บริเวณแก่งลี่ผีจึงเป็นสถานอันสงบวิเวก ผู้เป็นฤาษีชีไพรจะมาบำเพ็ญเพียรที่นี่ตั้งแต่โบราณกาล รวมทั้งพระธุดงค์กัมมัฏฐานผู้ซึ่งมั่นหมายได้บรรลุโมกขธรรมมักจะมาเจริญธรรมที่นี่เช่นกัน หลวงปู่คำคะนิงถามฤาษีดาบสว่ามาทำไมที่นี่ ฤาษีดาบสตอบว่าพวกบังบดนิมนต์ท่านมาเทศนาธรรม พร้อมกันนั้นก็ได้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า พวกบังบดก็คือพวกลับแลซึ่งมีสภาวะเป็นทิพย์ พวกพญานาคก็เป็นบังบดเหมือนกันเพราะมีสภาวะเป็นทิพย์สามารถจำแลงแปลงกายได้และมีฤิทธิ์ หลวงปู่ถามว่าเหตุใดตลอดบริเวณคูหากว้างใหญ่ไพศาลถึงไม่มีใครอยู่เลย ฤาษีดาบสองค์นั้นก็บอกว่าพญานาคไม่ต้องการให้พบเห็นตัว หลวงปู่คำคะนิงจึงอยากเข้าไปอีก แต่ฤาษีดาสบห้ามไว้และอธิบายว่า ลึกเข้าเป็นเขตอาถรรพ์เพราะเป็นเวียงวังของพญานาคทั้งปวง ผู้ที่จะเข้าไปได้ต้องเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ ได้ฌานสมาบัติถึงจะมีพลานุภาพต้านทางพิษร้ายของพญานาคได้ แต่เมื่อเข้าไปแล้วต้องจำพรรษาอยู่ในเวียงวังพญานาคชั่วชีวิต จะออกมาไม่ได้ เพราะเป็นกุฎิลึกลับของเมืองบาดาล แม้แต่ฤาษีดาบสเองก็ยับยั้งอยู่แค่เขตมหาเจดีย์ทองและอารามไม่เข้าไปในเขตหวงห้าม เพราะถ้าท่านเข้าไปก็ต้องเป็นสมภารเจ้าวัดในเมืองบาดาลตราบชั่วกาลนานเช่นกัน ฤาษีดาบสมาเทศนาธรรมให้ปวงพญานาคสดับได้ 3 วันแล้ว เวลาที่ท่านเทศนาพญานาคทั้งหลายจะออกมาฟังธรรมข้างนอกในรูปมนุษย์ เมื่อสิ้นสุดการแสดงธรรมเทศนาตามกำหนดที่พญานาคนิมนต์ท่านมาแล้ว ฤาษีดาบสก็จะกลับออกไปบำเพ็ญเพียรที่ภูจอมทอง ซึ่งอยู่ในเขตลาว ฤาษีดาบสได้บอกกับหลวงปู่คำคะนิงว่า หลวงปู่เข้ามาอยู่ในเมืองบาดาลของพญานาคนานพอสมควรแล้ว ควรจะกลับได้เสียทีเพราะหากอยู่นานเกินไปอาจเป็นอันตรายจากพิษของพญานาคได้ เนื่องจากพญานาคคายพิษอันตรายเอาไว้ทั่ว พิษนี้จะทำให้มนุษย์ธรรมดาและสัตว์สิ้นชีวิตได้ หลวงปู่คำคะนิงเชื่อฟังคำเตือนด้วยความหวังดีจากฤาษีดาบส ท่านจึงย้อนกลับมาตามทางเดิม ข้ามสายน้ำศักดิ์สิทธิ์แล้วก็พบกับพญางูยักษ์เดิมคอยอยู่ พญางูยักษ์เลื้อยนำทางพาหลวงปู่คำคะนิงกลับคืน
     
  16. 385

    385 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +57
    ไปใสกันเบิดหน่อพี่น้องบ้านเฮ้าข่อยหัวแต่มาอ่านบ่อขอเข้าชมรมแนเด่อ:cool:
     
  17. 385

    385 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +57
    เสียดายหลายแท่บ้านข่อยมีฮอยพระยานาคนำถ่ายรูปไวแล้วลงบ่เป็นอยากใหพี่ใหน้องบ้านเฮ้าเบิงนำกับเฮ็ดจังไดหน่อ
     
  18. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    Doi ยินดีต้อนฮับหลายๆเด้อ
     
  19. sam.337

    sam.337 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    401
    ค่าพลัง:
    +937
    องค์พญานาคาธิบดีศรีสุทโธนาคราช หลัง องค์พญานาคาธิบดีศรีสัตตะนาคบาดาล



     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a1.JPG
      a1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      199.1 KB
      เปิดดู:
      522
    • a2.JPG
      a2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      183.6 KB
      เปิดดู:
      469
  20. Bí£ëRñ

    Bí£ëRñ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ใครพอมีฌานบอกได้บ้างคะ เราว่าเราเป็นสายพญานาคจริงอย่างที่มีคนทัก
    เราคิดว่าเราเป็นสายพญานาคท่านปู่ศรีสุทโธนาคราชนะคะ แล้วท่านปู่มีกายสีอะไรหรอคะ(ไม่แน่ใจอ่าค่ะ)
    เราอยากรู้ให้แน่ชัด ถ้าเป็นไปได้ก็อยากรู้ชื่อตัวเองด้วยค่ะ

    ปล. เราเข้าไปเป็นสมาชิกกลุ่มใน Facebook แล้วนะคะ

    ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ
    มีอะไรแนะนำ ติเตียนได้ค่ะ
    เรารับฟังด้วยความยินดี
    เราก็เหมือนเด็กที่เพิ่งหัดเดิน
    ทุกอย่างเข้ามาแบบกระทันหันมาก
    แต่เรามองว่าที่เกิดแบบนี้ ต้องมีเหตุมีผลแน่นอน
    ตอนนี้เข้าใจเกือบ 100% แล้ว

    เราเพิ่งมีคนทักอาทิตย์นี้เอง
    ก็เลยอยากรู้ความจริงมาก
    ทั้งหาข้อมูล และปฏิบัติธรรม
    ดีใจจริงๆ รู้แบบนี้ยิ่งอยากหลุดพ้นมากขึ้นไปอีกๆ
    เดิมก็มีความคิดเรื่องเข้าทางธรรมมาโดยตลอดอยู่แล้ว
    เพราะรู้สึกว่า "ธรรมะ คือ ความสุขที่แท้จริง"

    ยินดีมากค่ะ เราคงได้ทำบุญร่วมกันมาบ้าง เลยได้มาเจอในกลุ่มนี้
    ยินดีที่จะได้รู้จักทุกคนนะคะ จะเป็นการดีมากถ้าจะสั่งสอนเราโดยเฉพาะทางธรรม
    และเรื่องพญานาค เราไม่ได้ยึดติดชาติถพเก่านะคะ
    แต่เมื่อยิ่งได้รู้ว่าเคยเป็นแบบนี้ ยิ่งภูมิใจที่ได้เป็น1ในแสน…
    (เคยอ่านมาจากในเว็ปอ่าค่ะ ถ้าผิดขออย่าได้ถือสา อโหสิแก่ความผิดนี้ด้วย เราไม่อยากผิดศีลค่ะ)
    …ที่ได้ทำหน้าที่รักษา ปกป้องพระพุทธศาสนาสืบไป ดีใจที่มีโอกาสได้สะสมบุญ ปฏิบัติธรรม
    แค่อยากทำให้ได้ดีที่สุดค่ะ แต่ไม่อยากคาดหวังว่าต้องถึงระดับไหน กลัวเกิดกิเลส

    เคยคิเว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร ชดใช้กรรมหรอ?
    หรือเพื่อเรียนจบ ทำงานเลี้ยงพ่อแม่ มีครอบครัว มีลูก
    หาเงินเยอะๆ มีบ้านใหญ่ๆ รถหรู คนนับหน้าถือตาอย่างน้านหรอ?
    เราขอโทษนะคะ(อโหสิให้ด้วยหากใครไม่เห็นด้วย) แต่เราว่าเป็นความสุขจอมปลอม
    เราไม่ชอบความวุ่นวาย เราชอบความเงียบสงบ เราไม่อยากมีห่วง ไม่อยากผูกพันธ์
    เพราะไม่อยากเสียใจ และไม่อยากทำให้คนที่เขารักเราต้องมาเดือดร้อนใจเพราะเราด้วย
    เราว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ เราเลยอยากหลุดพ้นค่ะ
    แต่เราก็รู้หน้าที่ทางโลก เราตั้งใจไว้ จะเรียนให้จบ ทำงานเลี้ยงพ่อแม่
    ทุกส.-อา.ปิดเทอมที่ว่างไปปฏิบัติธรรม ถ้าเราหมดภาระหน้าที่ทางโลกหมดห่วงเมื่อไร
    เราอาจเข้าทางธรรมไปโดยปริยาย เราคิดไว้%ส่วนมากเป็นเช่นนั้น ถ้าเราไม่มีเหตุเรื่องครอบครัวนะคะ

    ปล. ขอโทษนะคะ ชอบเขียนยาว อย่าได้ถือสาหาความเลย
    เราความรู้น้อย ขอท่านผู้รู้ท่านอื่นชี้แนะด้วยค่ะ (^_^)☆
     

แชร์หน้านี้

Loading...