อาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ พบพระพุทธองค์ ธรรมพุทธองค์โปรดจนจิตทะลุปรุโปร่ง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ลุงมหา, 18 มีนาคม 2011.

  1. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    ขออนุญาตครับ

    ขอนำเรื่องราวที่ท่านอาจารย์ทิพากร รินไธสงค์พบพระพุทธองค์ ธรรมพระพุทธองค์โปรดจนจิตทะลุปรุโปร่ง

    อันเป็นการเปิดจิตขั้นสูง ขั้นซึ่งทำให้เกิดปัญญาขั้นไม่มีที่สิ้นสุด
    การเปิดจิตโดยมากจะเป็นขั้น สมาธิ-ปัญญาซะเป็นส่วนมาก

    วันนั้นตรงกับวันมาฆบูชา ขณะที่อาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ นั่งบำเพ็ญภาวนา จิตสงบแล้วได้เกิดแสงสว่างวาบ
    แล้วปรากฏเป็นรูปพระวรกายของพระพุทธเจ้านั่งอยู่บนดอกบัว รูปร่างงามสง่า ผิวพรรณรัศมีเปล่งประกายผ่องใส
    แล้วพระพุทธองค์ได้ทรงเสด็จมาโปรดเมตตาอาจารย์ทิพากรให้ทราบ

    “ดูก่อน เมื่อตาเห็นรูป”

    พระสุระเสียงที่เปล่งออกมานั้นมีความนุ่มกังวาน คล้ายอากาศสะเทือน อาจารย์ทิพากรได้รับฟังสุระเสียงจากพระพุทธองค์
    จิตก็สามารถรับทราบถึงอานุภาพได้อย่างอัศจรรย์

    “ดูความพอใจ หรือไม่พอใจให้วาง”

    เพียงเท่านี้สภาวะจิต อาการจิต ของอาจารย์ทิพากร ได้รู้เข้าใจแจ่มชัด ในรูปวิญญาณ รับรู้อารมณ์ที่มากระทบจิต

    เพียงเท่านี้อาจารย์ทิพากร ก็บังเกิดความรู้ทะลุปรุโปร่งถึงดินแดนพรหมโลก อรูปพรหมที่เคยไปท่องเที่ยวมา

    รับทราบถึงสภาวะจิตของดวงจิตวิญญาณ ของท่านเหล่านี้ที่มาเสวยกรรมกุศล เพราะความพอใจอยู่ในรูปอรูปฌาน....

    อาจารย์ทิพากร เข้าใจแจ่มแจ้ง โดยอัตโนมัติ

    “โอ้! นี่คือรากเหง้า ของกรรมทั้งหลายไม่ว่ากรรมดำหรือกรรมขาว ก็อยู่ตรงนี้ ตรงที่ ความพอใจนี่เอง หรือความไม่พอใจนี่เอง”

    ขณะอาการอารมณ์ แห่งสภาวะจิตขณะนั้นของอาจารย์ทิพากร มีความพอใจอยู่ในความรู้เห็น รูปเทพ รูปพรหม และในสิ่งที่เป็นกุศลทั้งหลาย

    ก็เกิดความพอใจทั้งหลายที่ได้ทำกรรมดีขึ้นมาและความพอใจที่ได้เสวยในภพภูมินั้น สวรรค์หรือพรหม

    เขาก็พอใจในภพภูมินั้น ปรารถนาไม่เกิน ภพภูมินี้

    อาจารย์ทิพากร พิจารนาธรรม

    “เอ! ความพอใจนี่ ทำไมถึงครอบคลุมทั้งหมดในภพต่างๆของสัตว์โลกทั้งหมด และความไม่พอใจ ก็เช่นกัน”


    จิตพิจารนาทบทวนด้วยปัญญา ก็เกิดปัญญารู้แจ้งแตกฉานออกไปไม่มีที่สิ้นสุด

    ด้วยความซาบซึ้งในในเมตตา มหากรุณาธิคุณ ของพระพุทธองค์ที่ทรงโปรด

    อาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ จึงได้ก้มกราบพระพุทธองค์ กราบแล้วกราบอีก กราบๆๆๆ อยู่อย่างนั้น

    จนภาพของพระพุทธองค์หายไป....

    ความสงสัย ติดในปัญหาข้อธรรมข้อนี้มานาน ของอาจารย์ทิพากร ก็คลายด้วยปัญญาธรรม...

    เมื่อรู้แล้วก็ปล่อยวาง

    อาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ อัศจรรย์ในพุทธบารมี

    “ทำไม อานุภาพของพระองค์จึงมีอานุภาพมากมายยิ่งนัก ท่านพูดเพียงเล็กน้อย ไม่กี่ประโยค”

    ก็สามารถทำให้อาจารย์ทิพากรเข้าใจในปัญหาธรรมได้ละเอียดขึ้น

    เพราะอารมณ์แห่งความพอใจและไม่พอใจนี้ครอบงำไปทุกเรื่อง ทั้งธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล รู้แล้วในอารมณ์จิต

    แล้วปล่อยวางในเรื่องต่างๆที่มากระทบส่วนความรู้เห็นภายนอกกาย นอกจิตของตน ก็สัมผัสภพภูมิต่างๆ

    ทั้งการรู้กรรม อดีตชาติของผู้อื่นเป็นมาอย่างไร ก็โดยอาศัยสัญญาของบุคคลนั้นปรุงแต่งให้ได้รับทราบ ปรากฏเป็นรูปภาพธรรมทางจิตชัดเจน

    อาจารย์ทิพากร กล่าวถึง การทำใจทำจิตว่า

    “หลักการทำจิตให้ใส วางอารมณ์ปราศจากอคติทั้ง๔ วางความพอใจ ไม่พอใจในสิ่งเหล่านั้นได้

    หากทำจิตใจให้ขาวก็ยังไม่เห็นรูปที่อยู่ด้านหลัง ที่ชัดเจนได้ แต่หากทำจิตให้ใส ก็สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังได้ชัด

    เป็นประภัสสรได้ การดูอนาคต รู้เห็นในอนาคตก็จะทราบได้แจ่มชัด ภาพในอนาคต
    ก็จะมีสิ่งคอยแทรกคือกรรม อุปสรรคต่างๆจากอดีตชาติ ก็จะแนะนำบอกให้ไปแก้ไขขอขมาอย่างนั้นอย่างนี้”

    อาจารย์ทิพากร รู้ธรรม เห็นธรรม นับตั้งแต่พระพุทธองค์มาโปรดในครั้งนี้

    จึงทำให้ฌานหยั่งรู้ อาจารย์ทิพากรสามารถ

    ระลึกชาติเองได้เป็นแสนๆชาติ และอดีตชาติของผู้อื่นได้ชัดนับไม่ถ้วน

    ฝึกจิตอบรมกาย-ใจ พิจารณามรนานุสติ กำหนดจิตคิดพิจารนาทบทวนทางจิต ญาณหยั่งรู้ อดีตคตังสญาณ ความล่วงรู้ในกรรมอดีตของตนเองและผู้อื่น

    ใครคิดอะไรอย่างไรกับตนเองก็รู้ รู้กรรมอดีต อนาคตคนอื่นได้แจ่มชัด
    จึงสามารถ บอกวิธีขออโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรของผู้คนได้ถูกต้อง


    ขออนุโมทนาในกุศลผลบุญร่วมกับญาติธรรมทุกๆท่าน

    ขอบพระคุณครับ

    ลุงมหา

    ขอเรียนเชิญผู้มีจิตเป็นบุญ เป็นกุศล ร่วมชื่นชมยินดี
    และร่วมอนุโมทนาบุญ ในงานทอดกฐินสามัคคีมหากุศล
    ณ พุทธสถานพระใหญ่ชัยภูมิ 7 พฤศจิกายน 2553
    และกิจกรรมมูลนิธิพระใหญ่ชัยภูมิอื่นๆ

    http://palungjit.org/posts/4096190

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2011
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ" มิคชาละ รูป ทั้งหลายที่เห็นด้วยตา อันเป้นรูปที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ เป็นที่ยั่วยวน ชวนให้รัก เป็นที่ตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจมีอยู่ ถ้าภิกษุนั้นเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ สยบมัวเมาในรูปนั้นไซร้ เมื่อภิกษุนั้น เพลิดเพลินพร่ำสรรเสริญ สสยบมัวเมาในรูปนั้นอยู่ นันทิ(ความเพลิน)ย่อมเกิดขึ้นได้ มิคชาละ เรากล่าวว่า ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ มีได้เพราะความเกิดขึ้นแห่งนันทิ ดังนี้(ในกรณี เสียงที่ได้ยินด้วยหู กลิ่นที่ดมด้วยจมูก รสที่ลิ้มด้วยลิ้น โพฎฐัพพะ ที่สัมผัสด้วยผิวกาย และธัมมารมณ์ที่รู้แจ้งด้วยใจ ก็ ตรัสไว้ในทำนองเดียวกันกับ กรณีรูปที่เห็นด้วยตา)-สฬา.สํ.18/45/68:cool:
     
  3. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    อาการเกิดแห่งความทุกข์ อีกปริยายหนึ่ง พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งรูป นันทิ(ความเพลิน ตัณหา)ย่อมเกิดขึ้น ความเพลินใดในรูป ความเพลินนั้นคือ อุปาทาน เพราะอุปาทานของภิกษุนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะ มีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกข์โทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้(ในกรณีแห่ง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน ก็มีข้อความที่ตรัสอย่างเดียวกับ กรณีแห่งรูป)-ขนธ.17/18/28:cool:................................................ในพระสูตร นี้ อธิบายเรื่อง ปฎิจสมุปบาทที่บางคนสงสัยอยู่ ว่า เป็นอย่างไร?นะครับ... ความมี ภพ ชาติ เพราะ ?:cool:
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    ถึงธรรมแล้ว ทำไมไปสนใจกับ เศษความสว่างแบบนั้นเล่า
    ของกระจอก
     
  5. kongkiatm

    kongkiatm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,263
    ขออนุโมทนา กับเรื่องราว ของอาจารย์ทิพากร รินไธสงค์พบพระพุทธองค์
    เราได้อ่านหนังสือของอาจารย์แล้วเกิดความประทับใจและศัทธา

    นะโมตะโป ยาจาถะ<!-- google_ad_section_end -->
     
  6. Allymcbe222

    Allymcbe222 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +1,445
    อ๊ะ มีรูปถ่ายกับครูบาหน่อแก้วฟ้าด้วย
    กราบนมัสการครูบาครับ
    ศรัทธาท่านมาก
     
  7. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
     
  8. กสิน9

    กสิน9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +270
    อย่างฮา.......:cool:
     
  9. bamrung

    bamrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    839
    ค่าพลัง:
    +1,524
    ไม่มีอะไรกระจอก
    สิ่งนั้นแม้นไม่ใช้ความดับสนิท หรือ นิพพาน
    แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของอนุตรสัมมาสัมโพธิ์
    ซึ่งนายก็ไม่มีสิทธิไปวิจารย์อย่างนั้น
    ยิ่งถ้านายยังไม่ใช่อริยบุคคลก็สร้างกรรมไปเปล่าๆ
     
  10. โลน้อย

    โลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +701
    สุดยอดมากครับกรรมใครรับเอง สาธุด้วย
     
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    คุณบำรุง

    คุณเอาอะไรมาพูด ที่ว่า เป็นส่วนหนึ่งของอนุตรสัมมาสัมโพธิ์
    คุณยังรู้จักพวกมารน้อยไปหน่อย
    พระศาสดา ก่อนตรัสรู้ ท่านเจอสวยงามมากกว่านี้กี่เท่า
    พระศาสดาบารมี คงไม่น้อยไปกว่า อ ทิพากร ของคุณหรอก ทำไมท่านยังเจอมารได้

    ทิพากร เป็นใคร เมื่อเห็นพระศาสดาปั๊บก็นึกว่าองค์จริง

    และหากไม่ใช่องค์จริง จะมีสิ่งประเสริฐใดเล่นพิเรนปลอมมาเป็นพระศาสดานอกเสียจากมารเท่านั้น
     
  12. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    ตามธรรมดา เวลาเราได้ยินแต่คนพูด บรรยายสรรพคุณ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
    ถ้าเข้าข้างตัวเองประเภทพวกหลงตัวเอง เราไปเจอของสิ่งใดสิ่งหนึ่งเราก็ทึกทักไปก่อนว่าใช่ เช่นคนบอกว่า เพชรมันจะแข็งๆ ใสๆ คนไม่เคยเห็นเพชรของจริง ไปเจอ ก้อนหินใสๆ เขาหยิบขึ้นมาเขาก็ว่าเพชร
    เพราะไม่เคยเห็นของแท้ว่าเป็นอย่างไร และซ้ำร้าย หากตัวเองหัวปรักหัวปรำกับก้อนหินนั้นที่ตนนึกว่าเพชร ลองมีใครไปบอกสิว่า นั่นไม่ใช่เพชร นั่นมันหิน คนๆนั้นก็ต้องหน้าร้อนผ่าว เดือดดาล
    แย่ไปกว่านั้น หากใครเอาเพชรแท้ไปให้ดูเขาก็ต่องบอกว่าของคนอื่นไม่แท้
    นี่เป็นสันดานของคนหน้ามืดตามัว

    ทีนี้ คนที่ไม่รู้จักธรรม สติปัญญาไม่พัฒนา เขาก็เหมาเอาว่า รูปสวยงามนั้นเป็นของวิเศษ
    แล้วปากจะพร่ำเพ้อตามที่ได้ฟังมาว่า ดับกิเลสแล้ว ดับกิเลสแล้ว พระพุทธเจ้ามาโปรด

    ตถาคตเป็นเพียงผู้ชี้ทาง ถ้าไม่เดินเองตถาคตจะยกให้คนตรัสรู้ธรรมเดี๋ยวนั้นเป็นหนังการ์ตูนไม่ได้
     
  13. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    965
    ค่าพลัง:
    +1,012
    งานนี้ถือข้าง คุณขันธ์ครับ ชอบ
     
  14. gamemaster

    gamemaster Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2010
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +62
    ผมว่า ลุงมหา แต่ละกระทู้ พยายามดิสเครดิต ทิพากร ตั้งหัวข้อให้คนเค้าหมั่นใส้ ทุกกระทู้ เป็นผลลบต่อเจ้าตัวมากกว่า แต่ถ้า ทิพากร พูดเองก็คงโม้อ่ะนะ นิติยะโพธิสัตว์ ไม่อ้างตน ต้องได้พยากรณ์จากพระพุทธองค์เท่านั้น มาเก็บบารมี ก็ออกเงินเองสิครับ มีบุญขนาดนั้น ต้องเกิดเป็นกษัตริย์ประเทศใดในโลกไปล่ะ เรี่ยไรเงินอยู่นั่นแหล่ะ ตลก
     
  15. มโน

    มโน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +100
    ประวัติ อ.ทิพากร

    อาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ เกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2505 ณ บ้านหนองหว้าน้อย ต.นาโพธิ์ จ.บุรีรัมย์ เดิมชื่อ นายวรรณลพ รินไธสงค์ ชื่อเล่นเรียกกันโดยทั่วไปว่า อจารย์เปี๊ยก เป็นบุตรคนแรกของคุณพ่อสรินทร์ และคุณแม่คำตา รินไธสง ชีวิตในช่วงเยาว์วัยของอาจารย์ทิพากร ดำเนินชีวิตตามวิถีของชาวชนบทร่วมกับบรรดาพี่น้องร่วมสายโลหิต 7 คน ที่ตำบลนาโพธิ์ อำเภอนาโพธิ์ จังหวัดบุรีรัมย์ เติบโตมาท่ามกลางท้องทุ่งนา จนอายุครบตามเกณฑ์เข้าเรียนในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนนาโพธิ์ จังหวัดบุรีรัมย์ จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 และได้ศึกษาต่อ ชั้นมัธยมศึกษาโรงเรียนการศึกษาผู้ใหญ่ (กศ.น.) ที่อำเภอพุทไธสงค์ จนจบระดับมัธยมศึกษา ด้วยความมุมานะในการที่จะศึกษาต่อได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยเทคนิคบุรีรัมย์ และเมื่อจบจากวิทยาลัยเทคนิคบุรีรัมย์ แล้วเข้าสอบบรรจุเข้ารับราชการครู ที่โรงเรียนในอำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นการเริ่มต้นรับราชการเป็นครั้งแรก

    อาจารย์ทิพากร ริยไธสงค์ รับราชการครูประถมศึกษาอยู่ที่ อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ จนถึง พ.ศ. 2526 ได้แต่งงานกับคุณบุษราคัม รินไธสงค์ ที่บ้านห้วยกนทา อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ จึงย้ายมารับราชการครูที่โรงเรียนนางแดดเหนือ อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ ต่อมาได้ย้ายมารับราชการที่โรงเรียนปากห้วยเดื่อ และย้ายมาที่โรงเรียนบ้านห้วยกนทา อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ รับราชการครูอยู่ที่โรงเรียนบ้านห้วยกนทา อำเภอหนองบัวแดง ซึ่งเป็นบ้านภรรยาจนถึงปัจจุบัน (บ้านเลขที่ 284 บ้านห้วยกนทา อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ) ด้วยความมุมานะที่จะทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ภรรยา และบุตร 2 คน คือ นางสาววิลาวัลย์ รินไธสงค์ และนายอภิภู รินไธสงค์ และมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ครอบครัวมีความสุข อาจารย์ทิพากร ได้ใช้เวลาหลังจากเสร็จภารกิจจากการสอนหนังสือแต่ละวัน และวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ เพื่อประกอบธุรกิจเสริม เช่น เจียรนัยพลอย เลี้ยงวัว เลี้ยงไก่ ปลูกกุหลาบขาย อาชีพที่กล่าวมาทั้งหมดขาดทุนยับเยิน ผลจากการประกอบธุรกิจเสริมล่มสลายยังไม่พอ กลับมีหนี้สิน ทำให้เงินเดือนไม่พอเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน การดำรงชีวิต ฝืดเคืองชักหน้าไม่ถึงหลัง เกิดความทุกข์จากความขยันอย่างหาที่สุดมิได้ ยังพอโชคดีอยู่บางที่ได้นำเงินส่วนหนึ่งไปซื้อที่ดิน 70-80 ไร่ ปลูกต้นสักทองไว้ จะไปเสนอขายให้ใครก็ไม่มีใครซื้อ บางครั้งคิดว่าจะได้ก็มีอันพลาดไป จากสภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองทำให้เกิดทุกข์อย่างยิ่ง จนบางครั้งคิดว่าเป็นเรื่องเคราะห์กรรม มีผู้รู้บางท่านให้คำแนะนำให้แก้กรรมโดยการบวช อาจารย์ทิพากรบวได้ 15 วัน มุ่งมั่นอยู่กับการทำความเพียร พักผ่อนวันละ 4 ชั่วโมง บวชได้ 6-7 วัน ก็ได้ออกธุดงค์กับ ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อพระครูศรี วัดผาเกิ้ง ได้มองเห็นวิญญาณคนตายวนเวียนให้เห็น แม้ไม่เคยเชื่อเรื่องวิญญาณ หรือสิ่งลึกลับมาก่อน แต่ในขณะนั้นเกิดความรู้สึกเชื่อมั่นแล้ว ว่าวิญญาณและสิ่งลึกลับกลับมีจริง เมื่อบวชได้ครบ 15 วันแล้ว จึงได้ลาสิกขาบท ฐานะความเป็นอยู่ด้านเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น แต่สภาวะจิตสงบลงไม่วุ่นวาย สภาวะที่รุมเร้าด้วยความดีงามเริ่มปรากฏอยู่ทุกขณะจิต จึงได้เปลี่ยนวิถีชีวิตตนเอง ด้วยการเดินภาวะนาวันละ 36 กิโลเมตร

    อาจารย์ทิพากร กลับมาสอนหนังสือเด็กที่ โรงเรียนบ้านห้วยกนทาอีกดังเดิม แต่เปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตอยู่แบบสมถะ สันโดษ ไม่สุงสิงกับใคร เฝ้าดูแต่อารมณ์ภายในใจตนเองอยู่ตลอดเวลา เพราะเมื่อพิจารณาภายนอกทุกสิ่งทุกอย่างเต็มไปด้วยความทุกข์ ถูกคนนินทา ถูกมองว่าเสียสติ หนี้ก็ถูกทวงถาม จึงเก็บตัวเงียบเพียงลำพัง สังเกตอารมณ์ของตนเองทุกขณะจิต มุ่งปฎิบัติธรรมมาตลอดเวลา 3-4 เดือน มีคนแนะนำให้สวดมนต์ภาวนา ไหว้พระวันละ 18 จบทุกวัน โดยการสวดอิปิติโส และยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก อย่างละ 9 จบ ทุกเช้า-เย็น แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น อาจารย์ทิพากรมุ่งเน้นการปฏิบัติธรรมเพื่อแสวงหาความตายมาตลอดเวลา 3-4 เดือน
    ได้มีร่างทรง(องค์) มาประทับทรงบอกให้ทราบว่า อาจารย์ทิพากรดวงดีแล้ว ตีนภูเขาน้อยห่างจากบ้านห้วยกนทา 18 กิโลเมตร มีทองคำอยู่ในภูเขาหนักถึง 10 ตัน ตลอดทั้งของมีค่าต่างๆ อาจารย์ทิพากรไม่เชื่อว่าจะเป็นความจริง แต่ต้องการพิสูจน์จีงได้นำคณะรวมกัน 6 คน เดินไปที่ภูเขาน้อย จิตอยู่กับอารมณ์ ภาวนา พุท-โธ กลางคืนภาวนาไปจนถึงตีหนึ่ง จึงนอนพักผ่อน ช่วงใดไม่มีงานสอนหนังสือจะภาวนาไปจนถึงสว่าง ด้วยความมุ่งมั่นอาจารย์ทิพากรฝึกฝนอบรมจิตเช่นนี้เป็นประจำทุกวันทุกเย็นหลังจากเลิกโรงเรียน วันจันทร์-วันศุกร์ เดินทางจากบ้านภูเขาน้อย 18 กิโลเมตร บำเพ็ญภาวนาจยถึงตีสาม จึงออกเดินจงกรมลงจากภูเขากลับบ้าน เพื่อสอนหนังสือเด็กที่โรงเรียนบ้านห้วยกนทา เดินทางไปกลับ 36 กิโลเมตร พอถึงวันสาร์ วันอาทิตย์ ก็จะมาอยู่อาศัยภาวนาบนภูเขาน้อยนี้ ทุกอาทิตย์หมู่คณะที่ร่วมเดินทางมาด้วยก็เริ่มร่อยหรอลงทีละคน 2 คน จนต้องอาศัยอยู่ลำพังคนเดียว การภาวนาอยู่ที่ภูเขาน้อยนี้เองทำให้อาจารย์ทิพากรนิมิตรเห็นภาพต่างๆบางคืนนิมิตรเห็นรูปดอกบัวสีทองสวยงามลอยมาปรากฎ บางครั้งก็ปรากฏวิญญาณอสูรกายมาแหกอกให้เห็นไส้พุงในร่งกายหลอกหลอนให้หวั่นไหวหวาดกลัว อาจารย์ทิพากรได้แผ่เมตาให้ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด บางค่ำคืนก็มองเห็นใญญาณมาดึงศรีษะหลุดออกมาจากคอ บางครั้งก็มองเห็นร่างคนที่เคยรู้จักที่ได้ตายไปแล้วเมื่อสามสิบปีก่อน การปฎิบัติธรรมภาวนาบนภูเขาน้อยแห่งนี้ของอาจารย์ทิพากร เพื่อต้องการพิสูจน์เรื่องราวบางอย่างของร่างทรง(องค์) ที่บอกว่า บนภูเขาลูกนี้มีทรัพย์สมบัติ แต่ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงแต่อย่างใด อาจารย์ทิพากรฝึกฝนอารมณ์จนจิตตั้งมั่นในอารมณ์ สมถกรรมฐานจิตรวมลงเป็นสมาธิได้ปรากฏเห็นเทวดา ซึ่งเป็นเจ้าเมืองมาก่อนในอดีตของสถานที่แห่งนี้ได้มาบอกว่า ข้างล่างมีสมบัติจะพาขุดให้เห็นนะ จะพาล้างอาถรรพ์เอาสมบัติในเมืองนี้ พลันสิ้นเสียงเทวดาเจ้าเมืองในอดีตแห่งนี้ ทันใดนั้นเองอาจารย์ทิพากร ก็สามารถมองเห็นสิ่งที่ถูกซ่อนปิดปังไว้ด้วยตาเนื้อ เป็นประตูหิน เป็นแผ่นจารึกจากแม่ธรณีลงไปประมาณ 6 เมตร มองทะลุลงไปก็เห็นทองคำ เพชรนิลจินดา เต็มไปหมด อาจารย์ทิพากรเกิดความสงสัยในจิตไม่ปราถนาที่จะได้ แต่ต้องการพิสูจน์ว่ามันเป็นความจริงหรืออุปทาน คณะเดิมที่เคยร่วมหาสมบัติทราบข่าวก็มาพบอาจารย์ทิพากรที่ภูเขาน้อย โดยอาจารย์ทิพากรเป็นผู้แจ้งบริเวณใช้เวลาขุดลึงลงไป 1 เมตร จะพบแต่ดินเปล่า ลึงลงไปอีกเมตรที่ 2 พบก้อนหินก้อนเล็กก้อนน้อย เมตรที่ 3-5 เป็นหินดินขาวที่ทับถมกันมานาน พอขุดลงไปเมตรที่ 6 ก็ได้พบประตูหินขนาดเว้นผ่าศุนย์กลางกว้าง 2 เมตร อย่างน่าอัศจรรย์จริงมีตราสัญลักษณ์บริเวณรอบหินสัณฐานกลมนั้น คณะขุดทองทั้ง 5 คน ต่างพากันทุบตีกระแทกก้อนหินให้แตกวาดฝันว่าจะนำสมบัติในนี้ไปใช้ทำอะไรบ้าง และที่สำคัญที่สุดจะจัดสรรสมบัติเหล่านี้อย่างไร ทุกคนลืมสัญญาต่างปรารถนาถึงประโยชน์ที่อยู่ข้างหน้า ส่วนอาจารย์ทิพากรได้มองเห็นก้อนทองคำเคลื่อนห่างออกไป แต่ทันใดนั้นกลุ่มผู้ขุดทองที่กำลังทุบก้อนหินอย่างไม่คิดชีวิต เกิดอาการปวดหัว ร้องโอดครวญ ทรมานต้องนำส่งสถานีอนามัย ในขณะนั้นจิตของอาจารย์ทิพากรทราบว่า วันพรุ่งนี้พระอาทิตย์จะทรงกลดตอนเที่ยง ให้ทำลายอาถรรพ์ตรงนั้น เทวดาเจ้าเมืองแห่งนี้ คือ พ่อขุนถาด ได้บอกพระคาถา 7 ตัว ให้อาจารย์ทิพากร คือ “นะ โม ตะ โป ยา จา ถะ” วันรุ่งขึ้นเวลาเที่ยงวันพระอาทิตย์ทรงกลดให้ปรากฏได้เห็นเด่นชัด อาจารย์ทิพากรใช้นิ้วชี้ กลาง นาง แนบชิดกันชี้ไปที่ดวงอาทิตย์แล้วชี้ไปยังก้อนหินที่ปิดประตูอยู่นั้น พร้อมตั้งนะโมนำหน้า 3 จบ แล้วตามด้วยพระคาถา “นะโม ตะโป ยาจาถะ นะโม ตะโป ยาจาถะ นะโม ตะโป ยาจาถะ” ประตูก้อนนั้นค่อยๆเซาะแตกออกอย่าง่ายดาย สามารถมองเห็นอุโมงค์มีบันไดลึกลงไป แต่ไม่ปรากฏเห็นทองคำทรัพย์สินแต่อย่างใด แต่ในทิพย์จักษุของอาจารย์ทิพากร ที่มีวิญญาณพ่อขุนถาดครอบงำ ทำให้อาจารย์ทิพากรมองเห็นก้อนทองคำและสมบัติต่างๆ เคลื่อนลงไปอีก 10 เมตร ทำให้อาจารย์ทิพากรทราบว่าคณะผู้ขุดทองไม่มีวันได้ทองคำแน่นอน เพราะคนกลุ่มนี้ผิดสัญญา อาการปวดศรีษะของคณะขุดทองยังไม่หาน อาจารย์ทิพากรจึงใช้คาถาของพ่อขุนถาดนำมารักษา ให้คณะผู้ขุดทองอาการปวดศรีษะก็หายไป คณะผู้ขุดทองทุกคนยังไม่ละความพยายามต่างมุ่งหน้าขุดทองต่อไป ด้วยการขุดลึกลงไปในอุโมงค์ จนกระทั่งเวลา 23.00 นาฬิกา อาจารย์ทิพากรมองเห็นอีกนิมิตหนึ่งเต็มไปด้วยความสวยงามตระการตา สภาพจิตโปร่งเบา สบาย สติสมบูรณ์ทุกขณะจิต มองเห็นองค์อัมรินทร์และ ท่านบอกว่าให้ทราบว่า ตรงนี้มีอาถรรพ์มาก ให้รับพลังลูกแก้ววิเศษนี้ไป พร้อมยื่นพระหัตถ์ส่งลูกแก้วให้อาจารย์ทิพากร แสงแวววาวจากลูกแก้วสีเขียวส่องกระทบเข้ามาปะทะร่างกายอาจารย์ทิพากรจนรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก ต่อมาก็โปร่งเบาสบาย ปัจจุบันยังมีลูกแก้ว หรือ แก้วมณี เป็นของคู่บารมีของอาจารย์ทิพากรจนถึงปัจจุบัน ความพยายามในการเจริญภาวนาของอาจารย์ทิพากร ดำเนินไปต่อจนกระทั่ง อาจารย์ทิพากรเกิดความปิติดีใจสุดๆ จนน้ำตาไหล จิตใจมีแต่ความเบิกบาน นิมิตรเห็นพระวรกายของพระพุทธองค์ปรากฏอยู่ตรงหน้าประมาณ 1 นาที ภาพนิมิตนั้นจึงเลือนหายไป หลังจากนั้นอาจารย์ทิพากรก็ระลึกชาติเก่าของตนเองได้ 5 ชาติ กระแสจิตของอาจารย์ทราบถึงบุพกรรมความสัมพันธ์ของภูเขาน้อยแห่งนี้ ภาพแห่งอดีตอาจารย์ระลึกได้นั้นพบว่าภูเขาน้อยแห่งนี้เป็นเมืองที่เคยรุ่งเรืองมาก่อนในอดีตเมื่อ 4,000 ปี ชื่อเมืองเจริญปุระนคร เจ้าเมือง คือ พ่อขุนถาด มีมเหสี ชื่อ แม่คำสร้อย มีธิดา 2 คน ชื่อ บัวเงิน และบัวทอง เห็นสภาพบ้านเรือนของเมืองนี้ คนในเมืองนี้ยังไม่ไปผุดไปเกิด อดีตมีทะเลสาบน้ำจืดอยู่ในบริเวณนี้ และมองเห็นภาพของตนเองเป็นมหาดเล็กของเจ้าเมือง คือ พ่อขุนถาด ได้ออกปฎิบัติหน้าที่ทั้งในเมืองและนอกเมือง ต่อมาได้เกิดศึกสงครามรบกันแย่งความเป็นใหญ่ จนบ้านเมืองนี้ล่มสลาย ทรัพย์สมบัติต่างๆถูกฝังไว้ มีฤาษีหลายตนได้มาทำพิธีสาปปิดเมืองไว้ ลงอักขระไว้บนก้อนหินก้อนหนึ่ง ฝากแม่ธรณีไว้ ผู้ที่จะถอนคำสาป และล้างอาถรรพ์ ได้ก็ต่อเมื่อ
    1. ต้องเป็นผู้ที่เคยอยู่เมืองนี้มาก่อน
    2. ต้องศรัทธาในคุณงามความดี มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ
    3. ต้องถือศีลเพศพรหมจรรย์ถึง 4,000 ปี
    4. ต้องเป็นผู้ปฎิบัติธรรมเหนือความตาย คือ ไม่กลัวความตาย

    อาจารย์ทิพากรมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดในเมืองเจริญปุระนคร และได้ยินเสียงของพ่อขุนถาดบอกเสนาอำมาตย์อีก 40-50 คน ที่อยู่รายรอบให้ “ไปเกิดได้แล้ว เพราะมีผู้ล้างอาถรรพ์ให้แล้ว” อาจารย์ทิพากรหลายคนลังเลสงสัยไม่รู้ว่าไปเกิดคืออะไร อีกไม่นานอาจารย์ทิพากรก็กำหนดจิตกลับเข้าสู่กายตามปกติ เมื่อทราบเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา 4,000 ปี ทำให้เข้าใจสัจธรรม ทราบเหตุว่าทำไมชาติปัจจุบันนี้จึงทำมาหากินอะไรไม่ประสบความสำเร็จทำอะไรก็ขาดทุน เป็นหนี้สิน เกิดความทุกข์ใจสารพัดต้องเบนเข็มชีวิตสู่การปฎิบัติธรรม โดยการกำหนดความตายเป็นรณะ หากชีวิตประสบสุขสำเร็จในชีวิตทางโลก ก็จะไม่เห็นทุกข์คงจะไม่เบนเข็มชีวิตมาทางสายธรรม คณะขุดทองยังคงขุดทองคำต่อ แต่อาจารย์ทิพากรอาบน้ำตามปกติเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินมาหาคณะขุดทองอย่างสบายใจ คณะขุดทองบางคนสงสัยนึกว่าอาจารย์ทิพากรได้ทองคำแล้ว แต่ในความเป็นจริงอาจารย์ทิพากรยังไม่ได้ทองคำ และไม่คิดที่จะขุดทองต่อไป หลายคนพยายามขุดจนกระทั่งปัจจุบันตรงบริเวณนี้เป็นถ้ำเล็กที่คนสามารถลงไปได้อยู่ภูเขาน้อย และยังไม่มีใครได้ทองคำ และได้เลิกขุดทองไปโดยปริยาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2012
  16. มโน

    มโน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +100
    ประวัติ อ.ทิพากร ไม่เห็นมีตรงไหน ที่ทำความเพียรขั้นอุกฤษก์เอาชีวิตตัวเองเข้าแลกกับความตาย
    เพื่อบูชาพระธรรม พิจารณาธรรมจนบรรลุคุณธรรม เสียเวลาอ่านตั้งหลายหน้าหาไม่เจอแก่นธรรมสักนิด
    ในประวัติที่แสนจะเพ้อเจ้อไร้สาระ มีแต่พูดถึงเรื่อง ร่างทรง หลงนิมิต ค้นหาทองคำ อดีตชาติ ฯลฯ


    เอาเป็นว่า สมัยนี้ ถ้าใครอวดอุตริ พูดถึง อดีตชาติ นิมิตตนเองเป็นผู้วิเศษมีวาสนาบารมีกลับชาติมาเกิด เพื่อสร้างบารมี
    กำลังเป็นกระแสเทรนนิยม ให้คนสมัยนี้หลงใหลคลั่งไคล้ ยิ่งทำหนังสือโปรโมทขายในซีเอ็ด ยิ่งดังเร็ว

    ช้างกูอยู่ไหน......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2012
  17. bamrung

    bamrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    839
    ค่าพลัง:
    +1,524
    พระพุทธเจ้า บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ์
    สาวกไม่ได้บรรลุสิ่งนี้ อะไรคือความแตกต่าง อะไรคืออนุตตรสัมมาสัมโพธิ์
    ถ้าพระพุทธเจ้าไม่บรรลุสิ่งนี้จะเป็นศาสดาได้ไหม เช่นกันผู้บำเพ็ญเพื่อสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ต้องรู้เรียนรู้ทั้งหมด ไม่ได้นิพพานอย่างเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2012
  18. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>หลงเข้ามา, bamrung </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ใช่คนเดียวกับ อาจารย์กร ที่พูดกันรึเปล่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...