ได้โปรดแจ้งเตือนต่อไป...แต่ขอให้ทำด้วยใจบริสุทธิ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย อนิจฺจํ, 5 มกราคม 2012.

  1. อนิจฺจํ

    อนิจฺจํ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,374
    ค่าพลัง:
    +2,949
    สวัสดีปีใหม่ 2555 ครับ พี่น้องพ้องพี่ชาวพลังจิตทุกท่านครับ

    เนื่องจากเห็นเพื่อนสมาชิกบางท่าน ออกมาตั้งกระทู้ขอความเห็นจากสมาชิก ว่าควรเลิกเตือนภัยพิบัติ
    ในเว็ปพลังจิต เช่น

    http://palungjit.org/threads/บอร์ดพ...ำทำนายภัยพิบัติทางไสยศาสตร์ได้หรือยัง.320320/

    http://palungjit.org/threads/ใครเห็นด้วยกับการเลิกเตือนภัยพิบัติ.320418/



    โดยส่วนตัวผมเอง กลับมองว่า ห้องภัยพิบัติและการเตรียมการ เจตนาของทางเว็ปเอง


    น่าจะมีไว้เพื่อการแจ้งเตือนภัย การเตรียมพร้อมรับมือ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ติดตามข่าวสาร<O:p

    เรืองภัยพิบัติ ทั้งนี้ ท่านทั้งหลายที่เช้ามาติดตามข่าวสาร ต้องใช้สติในการพิจารณาเรื่องที่มีผู้เข้า<O:p

    มาเตือนให้มาก ผมเองเป็นหนึ่งในผู้ติดตามเรื่องการเตือนภัยพิบัติ จึงไม่อยากให้มีการยกเลิกการเตือนภัยพิบัติ <O:p
    ผมขออนุโมทนาในบุญกุศลของท่านที่ออกมาเตือนภัยพิบัติด้วยเจตนาดี ในเจตนาบริสุทธิ์ และขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มกราคม 2012
  2. อนิจฺจํ

    อนิจฺจํ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,374
    ค่าพลัง:
    +2,949
    ใครเห็นด้วยกับการเลิกเตือนภัยพิบัติ

    โดยส่วนตัวผมเอง กลับมองว่า ห้องภัยพิบัติและการเตรียมการ เจตนาของทางเว็ปเอง<O:p
    น่าจะมีไว้เพื่อการแจ้งเตือนภัย การเตรียมพร้อมรับมือ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ติดตามข่าวสาร<O:p
    เรืองภัยพิบัติ ทั้งนี้ ท่านทั้งหลายที่เช้ามาติดตามข่าวสาร ต้องใช้สติในการพิจารณาเรื่องที่มีผู้เข้า<O:p
    มาเตือนให้มาก ผมเองเป็นหนึ่งในผู้ติดตามเรื่องการเตือนภัยพิบัติ <O:p
    จึงไม่อยากให้มีการยกเลิกการเตือนภัยพิบัติ <O:p
    <O:p
    ผมขออนุโมทนาในบุญกุศลของท่านที่ออกมาเตือนภัยพิบัติด้วยเจตนาดี ในเจตนาบริสุทธิ์ และขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ
     
  3. อนิจฺจํ

    อนิจฺจํ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,374
    ค่าพลัง:
    +2,949
    ก่อนอื่นผมขอแสดงผังเส้นทางของห้องภัยพิบัติและการเตรียมการก่อนครับ

    พลังจิต <O:p

    <?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:line style="Z-INDEX: 1; POSITION: absolute; TEXT-ALIGN: left; LEFT: 0px" id=_x0000_s1026 strokeweight="3pt" strokecolor="red" to="207pt,45.05pt" from="207pt,9.05pt"><v:stroke endarrow="classic"></v:stroke></v:line><O:p

    วิทยาศาสตร์ – เรื่องลึกลับ <O:p

    <v:line style="Z-INDEX: 2; POSITION: absolute; TEXT-ALIGN: left; LEFT: 0px" id=_x0000_s1027 strokeweight="3pt" strokecolor="red" to="207pt,45.35pt" from="207pt,9.35pt"><v:stroke endarrow="classic"></v:stroke></v:line><O:p



    ภัยพิบัติและการเตรียมการ <O:p

    <O:p

    ดังนั้นการเตือนภัยพิบัติ จึงจัดเป็นสาระสำคัญของห้องภัยพิบัติและการเตรียมการ เหลือเพียงเราต้องมาดูแหล่งที่มาของข้อมูลที่มีผู้นำมาเตือนภัยในห้องนี้ ซึ่งพอแยกออกได้ ดังนี้<O:p
    1. พุทธทำนาย ที่ได้รับการถ่ายทอดจากพระอริยะเจ้าหลายท่าน จากครูบาอาจารย์หลายท่าน ซึ่งพุทธศาสนิกชนที่มีความเลื่อมใส และเชื่อในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเชื่อว่าน่าจะเกิดขึ้นจริง เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ และผู้รู้หลายท่านพยายามวิเคราะห์และถอดรหัสมาโดยตลอด<O:p
    2. แปลรหัสจากปริศนาหลาย ๆ อย่าง ที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ถ่ายทอดออกมา ทั้งในรูปพระราชดำรัส , ส.ค.ส พระราชทาน , พระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก ซึ่งผู้รู้หลายท่านพยายามวิเคราะห์และถอดรหัสมาโดยตลอดเช่นกัน ซึ่งตัวผมเองก็เห็นว่าที่ผ่านมาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความแม่นยำเช่นกัน ดังนั้น หากวิเคราะห์ดี ๆ สามารถนำมาเตรียมตัวป้องกันเหตุการณ์ที่เชื่อว่าน่าจะเกิดขึ้นในอนาคตได้<O:p
    3. จากพระอริยเจ้า หรือครูบาอาจารย์ที่ทรงอภิญญา ที่ฝึกสมาธิ ปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน ความแม่นยำอยู่ที่กำลัง ความผ่องใสของจิต ซึ่งผมเองความรู้เท่าหางอึ่ง จึงไม่กล้าอธิบายในส่วนนี้ กลัวพลาด (ผู้รู้โปรดชี้แนะด้วยครับ)<O:p
    4. ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ ทั้งทางด้าน ดาราศาสตร์ การสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ ข้อมูลด้านอุตุนิยมวิทยา รอยเลื่อนของแผ่นดิน ซึ่งทั้งหมดจะเก็บข้อมูลเชิงสถิติแล้วนำมาวิเคราะห์ จึงถือเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้เป็นอย่างดี<O:p
    5. การทำนายโดยใช้วิชาโหราศาสตร์ การเคลื่อนตัวของราศี ดวงดาว ธาตุต่าง ๆ ซึ่งมีเก็บข้อมูลมาตั้งแต่โบราณกาล จนกลายเป็นเป็นวิชาโหราศาสตร์แขนงด่าง ๆ ความแม่นยำน่าจะขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ ทั้งกาย วาจา ใจ ของนักโหราศาสตร์เหล่านั้นด้วย ซึ่งที่ผ่านมาแม่นบ้าง ไม่แม่นบ้าง ผู้รับข่าวสารต้องใช้วิจารณญาณในการพิจารณาให้มาก<O:p
    6. จากผู้มีความเพียรในการปฏิบัติ ที่ฝึกสมาธิ ปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน (ต้องขออภัยที่แยกออกจาก ข้อ 3.) เนื่องจากท่านเหล่านี้ยังถือเป็นบุคคลธรรมดาอาจถือศีล 5 ศีล 8 มีความเชื่อ ความศรัทธาในการปฏิบัติ เนื่องจากยังอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่บริสุทธิ์ จึงอาจมีจิตฟุ้งซ่าน จิตปรุงแต่ง ดังนั้นความแม่นยำจึงขึ้นอยู่กับสภาวะจิตในขณะนั้น จึงแม่นบ้าง ไม่แม่นบ้าง<O:p
    7. กลุ่ม ลัทธิ ต่าง ๆ รวมถึงมนุษย์ต่างดาว ซึ่งจะยอมรับกันเป็นบางกลุ่ม แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากบุคคลทั่วไปมากนัก แต่ก็มีเกร็ดความรู้ สาระดี ๆ ที่เราไม่อาจมองข้ามได้หลายอย่างและผมก็ให้ความสำคัญกับกลุ่มนี้เช่นกัน<O:p
    8. กลุ่มก่อกวน ปั่นกระแส อาจด้วยความสะใจ หรือหวังผลสิ่งใดไม่อาจทราบได้
    หากท่านใดคิดเห็นแตกต่าง หรือความคิดเห็นผมผิดพลาด ขอท่านผู้รู้ชี้แนะด้วยครับ และหากกระทู้ของผมไปรบกวนจิตใจท่าน สร้างความขุ่นมัวในจิต ผมต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ<O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มกราคม 2012
  4. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,189
    ค่าพลัง:
    +20,861
    ถ้าท่านสมาชิกได้ดูข่าวช่อง 3 คุณสรยุทธิ์สัมภาษณ์ผู้ประสพภัยในจังหวัดนครศรีฯ

    จะทราบว่าชาวบ้านเตรียมตัวตั้งรับภัยตั้งแต่ช่วงเดือนตุลา-ธันวา โดยกักตุนเสบียงอาหารไว้เกือบทุกบ้าน

    แต่น้ำป่าที่มาถล่มกลับยืดเวลาออกไปจนกระทั่งตายใจและไม่ได้เตรียมตัวรับมือ จึงโดนเล่นงานตอนเสบียงหมด เดือดร้อนกันไปทั่ว แม้กระทั่งในตัวจัวหวัดซึ่งไม่เคยเกิดขึ้น

    Nirvana เคยโพสต์ในกระทู้หลายครั้งแล้วว่า ภัยพิบัติมักจะมาทีเผลอ
    ฉะนั้นเหตุการณ์และข่าวดังกล่าวจึงเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างมีนัยยะ ครับ
     
  5. มโหสถผู้เจริญ

    มโหสถผู้เจริญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2006
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +851
    เขาเรียกว่ากรรมจัดสรรค์
     
  6. อนิจฺจํ

    อนิจฺจํ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,374
    ค่าพลัง:
    +2,949
    พี่เกษมเมตตานำความคิดเห็นในกระทู้นี้
    ไปเรียบเรียงใหม่ เพื่ออ่านง่าย เข้าใจง่ายขึ้น
    ผมขออนุญาตที่เกษมนำกลับมาในกระทู้นี้อีกครั้งนะครับ
    ขอบพระคุณอย่างสูง

    <TABLE id=post5537296 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>วันนี้, 02:08 PM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right> #27056 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->เกษม<!-- google_ad_section_end --> [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_5537296", true); </SCRIPT>
    ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิตพิเศษ

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Nov 2004
    ข้อความ: 7,669
    พลังการให้คะแนน: 4879 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_5537296 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->
    ได้โปรดแจ้งเตือนต่อไป...แต่ขอให้ทำด้วยใจบริสุทธิ์

    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->บวรทัต<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_5537030", true); </SCRIPT> สมาชิก

    สวัสดีปีใหม่ 2555 ครับ พี่น้องพ้องพี่ชาวพลังจิตทุกท่านครับ เนื่องจากเห็นเพื่อนสมาชิกบางท่าน ออกมาตั้งกระทู้ขอความเห็นจากสมาชิก ว่าควรเลิกเตือนภัยพิบัติ ในเว็ปพลังจิต เช่น​

    บอร์ดพลังจิตควรเลิกเผยแพร่คำทำนายภัยพิบัติทางไสยศาสตร์ได้หรือยัง

    ใครเห็นด้วยกับการเลิกเตือนภัยพิบัติ

    โดยส่วนตัวผมเอง กลับมองว่า ห้องภัยพิบัติและการเตรียมการ เจตนาของทางเว็ปเอง <O:pน่าจะมีไว้เพื่อการแจ้งเตือนภัย การเตรียมพร้อมรับมือ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ติดตามข่าวสาร<O:pเรืองภัยพิบัติ ทั้งนี้ ท่านทั้งหลายที่เข้ามาติดตามข่าวสาร ต้องใช้สติในการพิจารณาเรื่องที่มีผู้เข้า<O:pมาเตือนให้มาก

    ผมเองเป็นหนึ่งในผู้ติดตามเรื่องการเตือนภัยพิบัติ <O:pจึงไม่อยากให้มีการยกเลิกการเตือนภัยพิบัติ <O:pผมขออนุโมทนาในบุญกุศลของท่านที่ออกมาเตือนภัยพิบัติด้วยเจตนาดี ในเจตนาบริสุทธิ์ และขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ<!-- google_ad_section_end -->ก่อนอื่นผมขอแสดงผังเส้นทางของห้องภัยพิบัติและการเตรียมการก่อนครับ

    พลังจิต- วิทยาศาสตร์ทางจิต - เรื่องลึกลับ - ภัยพิบัติและการเตรียมการ <O:p

    ดังนั้นการเตือนภัยพิบัติ จึงจัดเป็นสาระสำคัญของห้องภัยพิบัติและการเตรียมการ เหลือเพียงเราต้องมาดูแหล่งที่มาของข้อมูลที่มีผู้นำมาเตือนภัยในห้องนี้ ซึ่งพอแยกออกได้ ดังนี้<O:p

    1. พุทธทำนาย ที่ได้รับการถ่ายทอดจากพระอริยะเจ้าหลายท่าน จากครูบาอาจารย์หลายท่าน ซึ่งพุทธศาสนิกชนที่มีความเลื่อมใส และเชื่อในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเชื่อว่าน่าจะเกิดขึ้นจริง เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ และผู้รู้หลายท่านพยายามวิเคราะห์และถอดรหัสมาโดยตลอด<O:p

    2. แปลรหัสจากปริศนาหลาย ๆ อย่าง ที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ถ่ายทอดออกมา ทั้งในรูปพระราชดำรัส , ส.ค.ส พระราชทาน , พระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก ซึ่งผู้รู้หลายท่านพยายามวิเคราะห์และถอดรหัสมาโดยตลอดเช่นกัน ซึ่งตัวผมเองก็เห็นว่าที่ผ่านมาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความแม่นยำเช่นกัน ดังนั้น หากวิเคราะห์ดี ๆ สามารถนำมาเตรียมตัวป้องกันเหตุการณ์ที่เชื่อว่าน่าจะเกิดขึ้นในอนาคตได้​
    <O:p
    3. จากพระอริยเจ้า หรือครูบาอาจารย์ที่ทรงอภิญญา ที่ฝึกสมาธิ ปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน ความแม่นยำอยู่ที่กำลัง ความผ่องใสของจิต ซึ่งผมเองความรู้เท่าหางอึ่ง จึงไม่กล้าอธิบายในส่วนนี้ กลัวพลาด (ผู้รู้โปรดชี้แนะด้วยครับ)​
    <O:p
    4. ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ ทั้งทางด้าน ดาราศาสตร์ การสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ ข้อมูลด้านอุตุนิยมวิทยา รอยเลื่อนของแผ่นดิน ซึ่งทั้งหมดจะเก็บข้อมูลเชิงสถิติแล้วนำมาวิเคราะห์ จึงถือเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้เป็นอย่างดี​
    <O:p
    5. การทำนายโดยใช้วิชาโหราศาสตร์ การเคลื่อนตัวของราศี ดวงดาว ธาตุต่าง ๆ ซึ่งมีเก็บข้อมูลมาตั้งแต่โบราณกาล จนกลายเป็นเป็นวิชาโหราศาสตร์แขนงด่าง ๆ ความแม่นยำน่าจะขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ ทั้งกาย วาจา ใจ ของนักโหราศาสตร์เหล่านั้นด้วย ซึ่งที่ผ่านมาแม่นบ้าง ไม่แม่นบ้าง ผู้รับข่าวสารต้องใช้วิจารณญาณในการพิจารณาให้มาก​
    <O:p
    6. จากผู้มีความเพียรในการปฏิบัติ ที่ฝึกสมาธิ ปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน (ต้องขออภัยที่แยกออกจาก ข้อ 3.) เนื่องจากท่านเหล่านี้ยังถือเป็นบุคคลธรรมดาอาจถือศีล 5 ศีล 8 มีความเชื่อ ความศรัทธาในการปฏิบัติ เนื่องจากยังอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่บริสุทธิ์ จึงอาจมีจิตฟุ้งซ่าน จิตปรุงแต่ง ดังนั้นความแม่นยำจึงขึ้นอยู่กับสภาวะจิตในขณะนั้น จึงแม่นบ้าง ไม่แม่นบ้าง​
    <O:p
    7. กลุ่ม ลัทธิ ต่าง ๆ รวมถึงมนุษย์ต่างดาว ซึ่งจะยอมรับกันเป็นบางกลุ่ม แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากบุคคลทั่วไปมากนัก แต่ก็มีเกร็ดความรู้ สาระดี ๆ ที่เราไม่อาจมองข้ามได้หลายอย่างและผมก็ให้ความสำคัญกับกลุ่มนี้เช่นกัน
    <O:p
    8. กลุ่มก่อกวน ปั่นกระแส อาจด้วยความสะใจ หรือหวังผลสิ่งใดไม่อาจทราบได้

    หากท่านใดคิดเห็นแตกต่าง หรือความคิดเห็นผมผิดพลาด ขอท่านผู้รู้ชี้แนะด้วยครับ และหากกระทู้ของผมไปรบกวนจิตใจท่าน สร้างความขุ่นมัวในจิต ผมต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ<O:p<!-- google_ad_section_end -->

    5-01-2012,12:19 PM

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ได้โปรดแจ้งเตือนต่อไป-แต่ขอให้ทำด้วยใจบริสุทธิ์.320795/
    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เกษม : วันนี้ เมื่อ 02:12 PM
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2>[​IMG] [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("5537296")</SCRIPT> [​IMG] </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt1 align=right>[​IMG] [​IMG] [​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. pkh_yaim

    pkh_yaim สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +6
    ขอนำเสนอบทความดีๆ ที่ได้ช่วยเตือนสติเราก่อนก้าวเข้าสู่ยุคใหม่

    สารสาส์น - nuntagawut.co.cc
    สารสาส์น วิญญ์ ชวาทิต (Lyu Seaturtle)
    ระยะนี้ บางคนจะเริ่มเห็นตัวเลข 11:12, 22:23, 18:19 ตัวหลังจะบวกไปหนึ่ง (แต่ใครยังเห็น 11:11, 22:22 ก็ไม่เป็นไร) นั่นหมายความว่า ตอนนี้เราได้ก้าวเข้ามาสู่ยุคใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ..เริ่มนับวินาทีที่หนึ่งได้แล้ว...
    แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป แล้วต้องทำอะไร?
    ๑. รักษาศีลโดยเจตนา จะเป็นศีลกี่ข้อก็ขอให้พิจารณาตามศักยภาพและสถานะของตนเอง ศีลโดยเจตนา หมายถึง ให้รักษาโดยเคร่งครัดภายใต้เจตนา แต่หากมีการพลาดพลั้งผิดศีลขึ้นโดยไม่เจตนา ไม่ต้องโกรธไม่ต้องโทษตัวเอง ให้อธิษฐานขอขมา โดยอาศัยองค์พระพุทธเจ้าและพระศรีอาริยเมตไตรย์เป็นประธานในทันที
    ๒. เมื่อตื่นนอน ก่อนนอน และระหว่างวัน ให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นอบน้อมนมัสการและสักการะพระคุณอันหาประมาณมิได้ของพระองค์ท่าน รวมไปถึงพระศรีอาริยเมตไตรย์ ผู้ทรงมีมหาเมตตา มหากรุณาต่อมวลมนุษยชาติในฤดูกาลนี้อย่างหาที่เปรียบมิได้
    ๓. การเปลี่ยนแปลงของโลกหลังจากวันนี้เป็นต้นไป จะหนักหน่วงมากขึ้น ทั้งทางกายภาพภูมิประเทศ เปลือกโลก ใต้โลก ระบบเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง ค่านิยม รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณ..
    ๔. ผู้ที่เริ่มเห็นแสงสว่าง ให้เดินห่างออกจากกลุ่มชาวมืด คิดชั่ว ทำเลว จิตใจหยาบช้า แล้วให้รวมกลุ่มกับผู้ที่มีแสงสว่างในใจเช่นเดียวกัน ผลจากการกระทำนี้ จะส่งผลให้ท่านยกระดับจิต พัฒนาสภาวธรรมให้บังเกิดในใจได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น อันจะเป็นผลให้ท่านได้รับพลังพิเศษได้ง่ายในโอกาสต่อไป... ส่วนบรรดาสัตว์นรกในร่างคน ในเวลาไม่ช้าไม่นาน จะออกมาประหัตประหารกันเอง ทำสงคราม ทำลายล้างกันเองด้วยอาวุธรุนแรง ... ขอให้เลี่ยงออกมา ไม่ควรเข้าไปยุ่มย่าม หากได้รับผลกระทบออกมาบ้าง ก็จะเพียงเล็กน้อยต่อพวกท่าน
    ๕. ข่าวสารการบ้านการเมืองที่ก่อให้เกิดมลพิษทางจิต ขอให้หลีกเลี่ยง หากการเสพข่าว ส่งผลให้เราเครียด โกรธ อยากฆ่า อยากทำร้ายนักการเมือง ขอให้งดเสพข่าวเหล่านั้น นอกเสียจากว่าสามารถวางใจ
    ให้นิ่งไม่ได้รับผลกระทบจากข่าวต่าง ๆ เหล่านั้น ..(ข่าวการสังหารผู้นำขบวนการ หรือผู้นำชาติใดก็ตาม
    ที่ทางอเมริกายินดี.. ขอให้อย่าร่วมยินดีไปกับพวกเขา ฝ่ายมืด)
    หากการติดตามข่าวของพวกเขาเหล่านั้น เป็นไปเพื่อปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ควรจะเป็นไปโดยที่ท่านไม่ได้มีอารมณ์เกรี้ยวกราดตามกระแสมืด ๆ ของข่าว หากท่านทำไม่ได้ตามนั้น ไม่ควรติดตามด้วยประการทั้งปวง
    ๖. ให้หลีกเลี่ยงการรับชมภาพยนตร์สยองขวัญ แอ็กชั่นทำลายล้าง เข่นฆ่าเลือดสาด สืบสวนสอบสวนระทึกตื่นเต้นเขย่าขวัญทั้งหมด.. นอกเสียจากว่า จะทำใจให้นิ่งในการรับชมภาพในกล่องนั้นได้
    ๗. ให้กระทำกิจวัตรประจำวันตามสัญชาตญาณของร่างกาย เช่น ง่วงหนักๆ ให้นอน หิวจัดๆ ให้รับประทาน ปวดหัวหนักๆ ก็ควรนอนให้เพียงพอ พยายามดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกาย (หากอยู่ภายใต้ผลอุทกภัย
    ให้ดื่มในปริมาณพอประมาณที่ร่างกายไม่รู้สึกขาดจนเกินไป) พยายามทำสมาธิ วิปัสสนา เจริญมรณานุสติ เพื่อปลงอัตตาและปล่อยวางอย่างสม่ำเสมอในแต่ละวัน
    ๘. หมั่นสำรวจจิตใจของตน ว่ายังคงยึดจับอะไรเอาไว้บ้าง ยังคงมีกิเลส ข้อเรียกร้อง ความคาดหวัง อีโก้ ความหยิ่งยโส ศักดิ์ศรี ความทะเยอทะยาน ความดูถูกเหยียดหยาม สมเพช อิจฉาริษยา รังเกียจ หรือความรู้สึกทางด้านลบอื่น ๆ ที่เป็นผลสืบเนื่องจากอัตตาของตนเองอะไรอยู่บ้าง..การค้นพบจะเกิดขึ้น เมื่อท่านยอมรับและซื่อสัตย์ต่อตนเอง และเมื่อค้นพบแล้ว ไม่ต้องโกรธและตำหนิตนเอง แต่ให้รัก รักความคิดร้าย ๆ ทุกแง่มุมที่ท่านได้รับมันมาตั้งแต่ในอดีตกาล
    ให้ส่งพลังแสงสว่างทางจิตเข้าไปในร่างกายและจิตใจของท่าน ให้บอกมารในใจของท่านว่า ท่านรักเขา ท่านอภัยให้เขา และท่านอโหสิกรรมและขอขมากรรมต่อสิ่งใดก็ตามที่ท่านและเขาเคยกระทบกระทั่ง
    และก่อกรรมต่อกันไว้ ...จากนั้น ให้อธิษฐานจิต โดยตั้งองค์พระพุทธเจ้าและพระศรีอาริยเมตไตรย์เป็น
    พระประธาน ให้ท่านขอขมากรรม ต่อความคิด คำพูด และการกระทำในแง่ร้ายทั้งหมดที่ท่านเคยปรามาส
    เคยก่อเอาไว้ และกำลังก่อในขณะนั้น โดยไม่ต้องตำหนิตัวเอง
    ๙. ในทำนองเดียวกัน ให้ขอขมากรรม และอโหสิกรรม ต่อเจ้ากรรมนายเวรของท่าน ไม่ว่าเขาเหล่านั้น
    จะปรากฎกายมาในรูปของ คนหรือสัตว์ ผี เปรต อสุรกาย ไม่ว่าจะในโลกนี้หรือในความฝัน ขอให้ตั้งจิตอธิษฐาน ตามข้อ ๘
    ๑๐. ท่านจงแผ่เมตตา เป็นจำนวนครั้งให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในแต่ละวัน ว่างเมื่อไรจากกิจการงาน
    ขอให้ท่านแผ่เมตตาออกไปกว้าง ๆ โดยไม่จำกัดพื้นที่ ไม่จำกัดว่าศัตรูในอดีตของท่าน หรือคนที่ท่านเคยคิดร้ายด้วยจะอยู่ภายในรัศมีนั้นก็ตาม
    ยังคงมีเวลาอีกระยะหนึ่ง สำหรับท่านที่ยังไม่ได้เตรียมตัว เตรียมกาย เตรียมจิตอะไรเลย
    แต่ทว่า เวลาดังกล่าวนั้น ไม่ได้ยาวอย่างที่ใคร ๆ คิดเลย..
    เจริญในธรรม
    วิญญ์ ชวาทิต

    ข่าวสารแห่งธรรม ครั้งที่ ๒ /๑๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔
    ช่วงเวลาของยุคพลังงานใหม่ได้ก้าวล่วงเข้ามาระยะหนึ่งแล้ว หลายท่านจะเริ่มสังเกตเห็นตัวเลข 11:11, 11:12, 22:23, 13:13, 13:14, 3:33, 1:33, 1:44, 14:14, 4:44 มากขึ้นหรือไม่ สำหรับบางท่านอาจได้รับสาส์นโดยตรงจากเบื้องบนสู่จิต หรืออาจได้รับโดยอ้อมโดยการผ่านความฝัน ไม่ว่าจะเป็นฝันถึงเหตุการณ์ในอนาคต หรือเป็นการฝันถึงเทพเทวดา พระมหาโพธิสัตว์ หรือท่านผู้เปี่ยมบารมีอื่นๆ
    ..ท่านผู้มีคุณทั้งหลายเหล่านั้นได้ตระเตรียมแผนการมาเนิ่นนานแล้ว ทำนองเดียวกันกับต่างชาติ ต่างศาสนา ล้วนได้รับการติดต่อประสานข้อมูลอย่างทั่วถึงกันแล้วทั่วโลก ในเวลานี้ ได้มีคณะทำงานจับกลุ่มเฝ้ารอการดำเนินงานในภาวะวิกฤตตามจุดต่าง ๆ มากมายหลายแห่ง แต่ละกลุ่มต่างเรียกตนเองว่ากลุ่มแห่งแสงสว่าง กลุ่มธรรมะและอื่น ๆ แต่ทั้งหมดนี้หาได้เป็นกลุ่มแห่งแสงสว่างที่แท้จริงทั้งหมดไม่ .. ทว่าล้วนมีฝ่ายมืด จิตมารแอบแฝงซ่อนตัวปะปนมาด้วยทุกกลุ่ม แล้วท่านควรจะทำเช่นไร?
    ๑. ตั้งจิตถึงองค์พระโคตมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระผู้ปกครองในยุคของท่านเป็นหลัก น้อมจิตนมัสการถึงท่าน พระธรรมคำสอนของท่านและพระอริยสงฆ์ให้ครบองค์พระรัตนตรัย ขอบารมีจากองค์คุณทั้งสามให้ช่วยโปรดเมตตาส่องกระแสแห่งธรรมให้สว่างไสวขึ้นในใจของท่าน เพื่อให้ท่านได้สามารถมีสายตาและจิตใจที่เจิดจ้าชัดเจน ในการที่จะมองเห็นหนทางที่แท้ที่ท่านควรจะเดินไป
    .. ทั้งนี้ ท่านจะได้รับบารมีธรรมจากพระองค์ท่านก็ต่อเมื่อ ท่านได้เริ่มปฏิบัติตามที่ระบุไว้ใน "ข่าวสารแห่งธรรม ครั้งที่ ๑" มาแล้วในระดับหนึ่งเท่านั้น หากท่านยังประมาทในชีวิตในจิตวิญญาณของท่านเอง ท่านจะยังคงมืดบอดต่อข่าวสารและความสว่างดังกล่าวนี้..
    *สำหรับต่าง ชาติต่างศาสนา ขอให้ตั้งจิตถึงพระผู้เป็นเจ้าสูงสุดของท่าน เพราะบารมีของท่านเหล่านั้น สามารถแผ่ไพศาลครอบคลุมถึงดวงจิตดวงวิญญาณในทุกชั้นทุกภูมิเช่นเดียวกัน
    ๒. ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับโลกและระบบสุริยจักรวาลของท่านให้เข้าสู่พลังงานใหม่นั้นได้ถูกจัดวางระบบระเบียบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เอาไว้เป็นที่เรียบร้อยมานานแล้ว สืบเนื่องจากข้อ ๑ การรักษาศีล การปล่อยวางทางจิต การชำระล้างจิตใจฝ่ายมืดของท่านให้เบาบางลงไปมากที่สุด จะมีผลต่อสภาวะวิกฤตของการปรับเปลี่ยนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต กล่าวคือ ได้มีการกำหนดเอาไว้เนิ่นนานแล้วสำหรับผู้มีกรรมหนัก ผู้มีกรรมเบา ผู้ที่ยังคงกำมือยึดติดกิเลสหนา ๆ และบางสิ่งบางอย่างเอาไว้อย่างเหนียวแน่น จะได้รับผลร้ายเช่นไร ..
    และสำหรับผู้ที่สำนึกได้ ตื่นขึ้นแล้วมองเห็นความจริงได้ พร้อมทั้งได้เริ่มต้นก้าวเข้าสู่กระแสธรรมของพระพุทธองค์ จะได้รับผลดี
    เช่นไร
    อนึ่ง ท่านที่สามารถชำระล้างจิตใจของตนเองให้สะอาดได้ในระดับหนึ่ง เมื่อถึงเวลาท่านจะได้รับสาส์น ซึ่งอาจจะออกมาในรูปของการมองเห็นบางอย่างหรือเกิดการดลใจให้เดินทางหรือกระทำบางอย่าง ซึ่งเกื้อหนุนให้ท่านและครอบครัวแคล้วคลาดปลอดภัย แต่หากท่านไม่ได้เริ่มชำระล้างจิตใจของท่านเองตั้งแต่วันนี้ ท่านจะยังคงเป็นคนมืดบอด ..มืดบอดทั้งโลกนี้และโลกหน้าที่ท่านจะเดินทางไป..
    ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงไม่ควรประมาท ด้วยประการทั้งปวง..
    ๓. เมื่อท่านได้ทำการขอขมาและขออโหสิกรรมต่อผู้มีคุณทั้งปวง พร้อมทั้งได้แผ่เมตตาให้กว้างออกไปโดยไร้ข้อจำกัดไปยังบรรดาสรรพสัตว์ ภูตผี สัมภเวสี เปรต อสุรกายและจิตญาณทุกชั้นทุกภูมิ โดยกระทำอยู่เป็นนิจ กระทำโดยปราศจากความคิดอคติข้อยกเว้นในอริหรือผู้ใดที่ท่านไม่ชื่นชอบ และปราศจากความคาดหวังใด ๆ ให้ตัวท่านเอง ..จิตวิญญาณของท่านจะเกิดความสว่างไสวขึ้นโดยอัตโนมัติ
    .. เมื่อความคิด คำพูดและการกระทำทางด้านมืดใหม่ ๆ ไม่เกิดขึ้น ของเก่าที่ตกตะกอนค้างนิ่งมานานก็จะค่อย ๆ เสื่อมสลายไปด้วยกระแสธรรม บรรดาเจ้ากรรมนายเวรที่ท่านจะสร้างขึ้นใหม่ก็มีน้อยลง บรรดาเจ้ากรรมนายเวรเก่า ๆ ที่เคยอาฆาตจะเอาชีวิตท่านก็จะบรรเทาลงเหลือเพียงความโกรธ .. บรรดาเจ้ากรรมนายเวรที่โกรธท่านอยู่ก็จะบรรเทาเบาบางลงไปจนหายเป็นปลิดทิ้ง แล้วก็จากท่านไป ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเหล่านั้น ยังจะอนุโมทนา เคารพท่านและขอบคุณท่านที่ได้มอบพลังบุญจากการปฏิบัติภาวนาในกระแสธรรมของท่านอีกด้วย
    ๔. ในการก้าวเข้าสู่กระแสธรรมจากการปฏิบัติตามข้อ ๓ ในระยะแรก ท่านจะพบความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง โดยทางร่างกาย ท่านอาจท้องเสีย มีผดผื่น เป็นไข้ ปวดหัวหนักๆ ต่อเนื่องหรืออื่น ๆ ..ส่วนทางจิตใจ ท่านจะได้พบกับฝันร้ายถึงปิศาจ ผี มาร เปรตหรืออะไรต่าง ๆ ติดกันหลาย ๆ คืน ..ขอให้อย่าได้ตกใจกลัวหรือตระหนกกับสิ่งเหล่านั้น ทั้งหมดเป็นการผลักดันกระแสมืดออกจากร่างกายและจิตใต้สำนึกของท่านโดยกระแสธรรม
    ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อท่านภาวนาได้มาถึงระดับหนึ่ง ท่านจะค้นพบความมืดในใจของท่านชัดเจนขึ้น ท่านจะพบการดิ้นรนทุรนทุรายและไม่ยอมพ่ายแพ้โดยง่ายของมารหรือกิเลสที่มันฝังตัวอยู่ในนั้น มันมักจะกล่อมท่านด้วยภาพ ด้วยความฝันหรือรูปลักษณ์อื่น ๆ ความคิดอื่น ๆ ซึ่งจะคอยชักจูงท่านให้เดินออกจากกระแสธรรม แล้วหวนกลับไปสู่กิเลสและสิ่งต่าง ๆ ที่ท่านเคยมีเคยเป็นอยู่ในโลกใบเดิมของท่าน ซึ่งท่านเรียกมันว่าความอบอุ่นที่คุ้นเคย แต่หาใช่ความอบอุ่นที่แท้จริงไม่
    ในกาลนี้ ขอให้ท่านย้อนกลับไปปฏิบัติตามข้อ ๑ อีกครั้งด้วยความเพียรที่ท่านมี ด้วยความหนักแน่น และด้วยความมุ่งมั่นของท่าน อาศัยบารมีแห่งองค์พุทธะ ท่านจะสามารถชนะมารในใจท่านได้ด้วยความเมตตาและความรักของท่านได้ในที่สุด
    .. เนื่องจากบารมีแห่งองค์พุทธะนั้นสว่างไสวไปทั่วสากลจักรวาลทุกชั้นทุกภูมิและสามารถ เอาชนะมารได้ทั้งหมดทุกตัว อย่างไม่มีข้อยกเว้น..
    ๕. ในกาลข้างหน้า ท่านจะได้พบเห็นความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโลกมากขึ้น ท่านจะเห็นภัยพิบัติถี่และรุนแรงยิ่งขึ้น แต่ขอให้ท่านเข้าใจว่า กระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นไปเพื่อยกระดับพลังงานและจิตวิญญาณของโลกใบนี้ให้สูงขึ้นสู่ระดับจักรวาล ทั้งหมดเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีกว่า เป็นกระบวนการปรับเปลี่ยนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในอดีตกาล และจะคงยังมีอีกนับไม่ถ้วนครั้ง
    ในอนาคตกาล ท่านจะพบเห็นสงครามกลางเมือง สงครามระดับประเทศ ผู้คนที่มีจิตมืดจะออกมาประหัตประหารกันเอง ด้วยพวกเขาเข้าใจว่า การประหัตประหารนั้นนำมาซึ่งการยึดครอง ถือครอง และครอบครองโลกใบนี้ ผู้คนจำนวนมากจะถูกหลอกใช้ด้วยเข้าใจว่าตนเองกำลังมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงที่ถูกต้อง ทั้งหมดเป็นการกระทำโดยฝ่ายมาร ..ทว่าเป็นความเข้าใจและปล่อยให้เป็นไปเช่นนั้นโดยฝ่ายธรรม ...ท่านที่ "ตื่นแล้ว" ขอให้หลีกเลี่ยงและอย่าได้เดินเข้าไปในเส้นทางนั้นอีก
    ท่านจะได้พบกับสภาพอากาศที่วิปริตแปรปรวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ความเหน็บหนาว หิมะตก ลูกเห็บหล่น แผ่นดินไหวหนักหน่วงถี่ขึ้น ๆ จวบจนกระทั่งเกิดขึ้นหนักที่สุดพร้อมกันทั่วโลก ลมพายุหมุนนับไม่ถ้วนลูก พายุฟ้าผ่า ภูเขาไฟระเบิด ฟ้ามืดมนต่อเนื่อง ดวงอาทิตย์คล้ายกับดับหายไปในช่วงวิกฤต ...ท่านที่ปฏิบัติดีแล้ว ขอให้อยู่ในความสงบ ฟังเสียงในหัวใจของท่าน ฟังสัญชาตญาณที่ได้รับการดลใจจากพระพุทธองค์และพระศรีอาริยเมตไตรย์ ด้วยความปล่อยวางและการคลายจิตของท่านมาก่อนหน้านี้ ไม่มีสิ่งใดที่ท่านจะต้องตื่นกลัวอีกต่อไป
    ท่านจะพบการจากไปของสัตว์และสิ่งมีชีวิตบางสายพันธุ์ ในขณะที่จะได้พบกับการมาเยือนของบางสายพันธุ์ที่ท่านไม่เคยเห็น ไม่ว่าจะเป็นขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก ระดับเชื้อโรคที่จะสามารถมาทำร้ายสุขภาพของหลาย ๆ ชีวิต ในขณะเดียวกัน สัตว์ร่วมโลกจำนวนหนึ่งจะควบคุมตัวเองไม่ได้ พวกเขาจะดุร้ายเกรี้ยวกราดมากขึ้น จะทำร้ายกันเองหรือทำร้ายผู้เลี้ยงอย่างขาดสติ ดังนั้น ท่านที่มีสัตว์เลี้ยงขอให้เฝ้าระวังดูแลและสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงของท่านให้ใกล้ชิด ในภาวะวิกฤต ท่านอาจได้รับอันตรายจากสัตว์เลี้ยงของท่านเอง
    ระบบเศรษฐกิจที่สนับสนุนให้ชาวโลกดื่มด่ำกับการเป็นหนี้เป็นสิน ระบบการเงินต่าง ๆ เหล่านี้จะล่มสลายลงและได้รับการจัดสรรสิ่งใหม่ขึ้นมา สภาวะเสื่อมสลายของระบบที่คิดค้นโดยฝ่ายมืดจะค่อย ๆ เกิดขึ้น มากขึ้น ๆ อย่างต่อเนื่อง ในอนาคตอันใกล้เมื่อท่านได้เห็นสัญญาณบางอย่างในระบบเศรษฐกิจโลก ท่านควรเปลี่ยนกระดาษในมือของท่านเป็นสิ่งของสำหรับค้ำจุนชีวิต ไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็นเพียงเศษกระดาษใช้ก่อไฟเท่านั้น
    ทั้งหมดนี้ บางท่านอาจจะตื่นกลัว หรือตระหนกตกใจกับข่าวเภทภัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้น นั่นหมายความว่า ท่านยังไม่ได้ผ่านการปฎิบัติเพื่อเข้าสู่กระแสธรรมอย่างแท้จริง และท่านยังไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า ทั้งหมดชีวิตและโลกนี้ที่ท่านลืมตามาอาศัยและหายใจรดอยู่ทุกวัน ๆ นั้น คืออะไร..
    ท่านควรเร่งศึกษา สอบถามผู้รู้ ขอรับคำชี้แนะด้วยความนอบน้อม เมื่อท่านเข้าใจและเห็นภาพรวมต่าง ๆ ชัดเจนดีแล้ว ท่านจะอยู่ในอาการที่สว่าง สงบ และยิ้มรับความเปลี่ยนแปลงอย่างเบิกบาน..
    ๖. ท่านที่ยังคงประมาท ไม่ได้เริ่มที่จะเรียนรู้ ไม่คิดที่จะศึกษาและไม่ปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธองค์ท่านได้สอนสั่งไว้ ในช่วงวิกฤตนั้น ท่านอาจจะได้พบกับสภาวะยุ่งยากจากผู้มาเยือนจากภพอื่น ไม่ว่าจะเป็นผี เปรต อสุรกาย สัตว์นรก หรือจิตญาณอื่นใดก็ตามที่ยังคงมีพันธะทางวิญญาณ ติดตามโกรธแค้นต่อท่านจากอดีตชาติ ในกาลเวลานั้น พวกเขาจะมาหาท่านถึงเคหสถานของท่าน หากท่านไม่ทราบว่าจะรับมืออย่างไร จะต้องปฏิบัติอย่างไร ท่านจะประสบปัญหาหนักกว่าที่คิด เพราะฉะนั้น ขอให้เริ่มต้นศึกษาและถามไถ่ผู้รู้จากกรณีดังกล่าวนี้
    ๗. ในบรรดาเส้นทางแห่งกระแสธรรมทั้งหมดนั้น ไม่ว่าจะมาจากทิศใด อ้อมๆ เลี้ยวโค้ง มีหลุมมีบ่อ เป็นเลนตม หรือโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดจะได้มาร่วมอยู่ในเส้นทางเดียวกันทั้งสิ้น ท่านใดถูกจริตในการจะเริ่มที่กลางทางก็ทำไปตามนั้น ท่านใดถูกจริตที่จะเริ่มต้นตั้งแต่การฝึกสมาธิให้เรียบและทรงพลังก็ขอให้ทำไปตามที่ท่านรู้สึก หรือหากท่านใดที่พบว่าท่านผ่านการเรียนรู้มาไกลแล้วตั้งแต่อดีตภพก่อนหน้านี้ ก็ขอให้ท่านเริ่มต้น ณ จุดที่ท่านสัมผัสได้
    .. ทั้งนี้ทั้งนั้น ขออย่าได้ตำหนิติเตียน ดูถูกดูแคลน กล่าวหาว่าร้าย หรือโต้แย้งบาดหมางซึ่งกันและกัน ทว่าขอให้เมตตาต่อกัน ชี้แนะต่อกัน ด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน .. ส่วนฝ่ายที่จะได้รับการชี้แนะสอนสั่งนั้น ก็ขอให้เคารพนบนอบต่อครูบาอาจารย์ แม้ว่าจะยังคงมีบางสิ่งบางอย่างในตัวครูบาเหล่านั้นที่ท่านยังคงไม่ชอบใจอยู่ก็ตามที ทั้งนี้.. เมื่อถึงเวลาอันควร ท่านผู้มีคุณเหล่านั้น ต่างก็จะได้บรรลุหลุดล่วงสู่กระแสธรรมเดิมแท้ด้วยกันทั้งหมด
    ...จากนี้ไป ยังคงมีเวลาให้ท่านได้เริ่มต้นอยู่บ้างสำหรับท่านที่ยังไม่แน่ใจและสับสน สำหรับท่านที่มีการเตรียมพร้อมทั้งทางกายและจิตวิญญาณดีอยู่แล้ว ขอให้ท่านช่วยบอกสอนผู้อื่นต่อไปเท่าที่ท่านจะทำได้ เขาจะรับฟังและปฏิบัติตามหรือไม่ ทั้งหมดเป็นบุญกรรมของเขา ขอให้ทำไปตามหน้าที่ด้วยความปรารถนาดีอย่างไม่มีขอบเขต เท่านั้นพอ..
    ..ขอให้เจริญในธรรม..
    ๑๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔
    วิญญ์ ชวาทิต สื่อสาร..
     
  8. chatmongkon

    chatmongkon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +839
    การแจ้งเตือนภัยพิบัติจะยังคงมีอยู่ต่อไป
    ยกเว้นเสียแต่
    ๑. ผู้ที่ถึงพร้อมด้วยความดี ไม่มีหลงเหลืออยู่อีกแล้ว จะด้วยเหตุใดก็ตาม
    ๒. พลังแห่งความดี เพิ่มมากขึ้นจนเอาชนะเหตุประการหนึ่งแห่งภัยพิบัติ คือความชั่ว

    หากทั้งสองข้อนี้เกิดขึ้น การแจ้งเตือนคงจะไ่ม่มี...

    ซึ่งเท่าที่เห็น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
     
  9. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,276
    ค่าพลัง:
    +82,733
    เห็นด้วยกับการแจ้งเตือนภัยนะคะ อย่างน้อยเราจะได้ไม่ประมาทค่ะ
     
  10. อย่าลืมฉัน

    อย่าลืมฉัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +2,807
    เห็นด้วยครับ

    ส่วนตัวผมก็เชื่อเรื่องภัยพิบัติ เพราะเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์
    มนุษย์เสื่อม โลกก็เสื่อม


    ความจริงเรื่องแบบนี้ขอให้เป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม น่าจะดีที่สุด
    ใครที่ไม่เชื่อก็ขอให้วางอุเบกขา อยู่ให้นิ่ง


    อ่านแล้วก็ผ่านเลยไป ไม่จำเป็นต้องมาตอบกระทู้เพื่อสร้างความขัดแย้งใด ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2012
  11. Whitefaith

    Whitefaith Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +42
    อยากให้เตือนต่อไปนะค่ะ ไม่ประมาทนั้นดีที่สุด เตือนเพื่อระวังให้รู้ เตือนเพื่อจะได้ช่วยเหลือคนอื่น เตือนเพื่อจะให้เราหันหน้าได้อย่างทุกทิศว่าจะทำอะไรกันดีในยุคนี้
     
  12. เทพเมรัย

    เทพเมรัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +81
    หนังจีนเรื่อง ฟงหวิ๋น ขี่พายุทะลุฟ้า มีหมอดูเทวดาคนหนึ่ง ทำนายดวงชะตาได้แม่นยำมาก แต่ทว่า เขาตาบอด เขาให้เหตุผลว่า เพราะล่วงรู้ความลับฟ้า ฟ้าจึงลงโทษเขาให้ตาบอด
    ลิขิตฟ้าควรปล่อยให้เป็นไป เพราะทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไป มีเหตุ มีผล ต่อเนื่องมายาวนาน เกินกำลังของมนุษย์จะเข้าแทรกแซงด้วยประการทั้งปวง ห่วงกังวลไปก็เท่านั้น เตรียมการในสิ่งที่ไม่รู้จริงก็เปล่าประโยชน์ ฟ้าก็ทำงานไป มนุษย์ก็ทำงานของตนไป ไม่อาจแทรกแซงกัน
    พระอริยเจ้าสายพุทธจริงๆ จะไม่ทำนายอะไรที่ไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่หน้าที่ และมันผิดพระวินัย การผิดพระวินัย สำหรับอริยเจ้าแล้ว ไม่อาจทรยศองค์ศาสดาได้
    ที่อ้างตัวว่าเป็นอริยเจ้า ออกมาทำนาย ทายทัก ให้สังคมตระหนก แตกตื่น กับภัยธรรมชาติ ก็วินิจฉัยได้ง่ายๆ ว่า
    เป็นพระทุศีล ละเมิดธรรมวินัยขององค์ศาสดา หมดสิ้นความเป็นพระไปแล้ว แม้จะยังห่มกาสาวพัตรอยู่ก็ตาม
     
  13. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ขอทราบเป็นความรู้ด้วยครับ รบกวนตอบทีละข้อดังนี้

    1. ผิดพระวินัยข้อใด ข้อไหนที่ทำให้หมดสิ้นความเป็นพระตามที่อ้าง

    2. ใครบ้างที่อ้างตัวว่าเป็นพระอริยะเจ้า และหมดสิ้นความเป็นพระตามที่ท่านวิเคราะห์
    โปรดระบุหากท่านมั่นใจว่า นักบวชเหล่านั้นหมดสิ้นความเป็นพระแล้ว
    ท่านคงกล้าระบุ เพราะไม่ถือว่าเป็นการปรามาสพระอริยะเจ้า

     
  14. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    ผมสงสัยในคำของคุณเทพเมรัยที่ว่า พระอริยะเจ้าสายพุทธจริงๆ

    - พระอริยะเจ้าที่คุณเทพเมรัยกล่าวถึงนั้นมีลักษณะอย่างไร
    - พระอริยะเจ้าสายพุทธจริงๆ เป็นอย่างไร

    ขอบคุณครับ
     
  15. อนิจฺจํ

    อนิจฺจํ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,374
    ค่าพลัง:
    +2,949
    แต่ผมเข้าใจว่า ถ้าเป็นพระสายพระโพธิสัตย์หรือสายพุทธภูมิ
    ท่านจะออกมาเตือน เพราะต้องการช่วยชีวิตมนุษย์ และสัตว์
    และเป็นการสะสมบารมี

    แต่สายอรหันต์ สายนิพพาน
    ท่านอาจห่วงเรื่องกรรมของแต่ละคน
    ห่วงการปรามาส
    ท่านจึงจะเตือนเป็นราย เป็นกรณีไปมากกว่าครับ

    ผมเข้าใจประมาณนีครับ แต่ท่านใดชัดเจนก็โปรดชีแนะด้วยครับ
     
  16. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    เห็นด้วยกับการเตือนภัย และหากท่านใดที่มีความเห็นต่างและไม่คิดว่าจะเป็นดังเช่นที่เขาเตือนกันก็น่าจะ เลิกสนใจ ไม่ต้องเชื่อ แบบนี้ดีมั้ย
     
  17. อนิจฺจํ

    อนิจฺจํ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,374
    ค่าพลัง:
    +2,949
    เวลานี้ ผมมีสองคำที่สงสัย
    คือ คำว่าอวดอ้าง และ ปรามาส
    เพราะการออกมาเตือนของหลายท่าน จะมีสองคำนี้ตามมา

    ณ เวลานี้ การแจ้งเตือนมีทั้งผู้ที่ออกมาเตือนด้วยความบริสุทธิ์ใจ
    รู้สิ่งใด เห็นสิ่งใด อาจรู้เอง เห็นเอง
    หรือรับมาจากครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือ
    และอีกจำพวก คือพวกอวดอ้าง ว่ารู้ว่าเห็น
    อวดอ้างว่าตัวเป็น....สิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น
    ออกมาเตือน..มาป่วนกระแสเพื่อหวังผลในสิ่งต่าง ๆ
    ซึ่งโดยส่วนมาก ผู้ที่เข้ามาในเว็ปพลังจิต
    เป็นผู้เลื่อมใสในพระรัตนตรัยก็เยอะ
    เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบก็มาก
    จึงเลือกที่จะเชื่อ..อย่างมีสติไว้ก่อน
    ไม่กล้าปรามาส..ว่าใครอวดอ้าง หรือกล่าวเพ้อเจ้อ

    อยากให้ท่านผู้รู้โปรดช่วยชี้แนะด้วยครับ

    ผลกรรมของการอวดอ้างตน ว่าเป็น..... ผลกรรมจะเป็นเช่นไร
    ผลกรรมที่แต่งเรื่องขึ้น ออกมาปั่นกระแสให้คนอื่นเป็นทุกข์ ผลกรรมจะเป็นเช่นไร
    ผลกรรมของการปรามาส...ด่าทอ เสียดสีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติของ ผลกรรมจะเป็นเช่นไร

    เพื่อที่ว่า บุคคลที่เข้าติดตามกระทู้ จะสบายใจในการบริโภคข่าวสาร
    เพราะกรรมใครก็กรรมเขา ใครทำสิ่งใด ผลจะได้รับจะสนองในสิ่งที่เขาทำเอง
    เพียงแต่ผู้ติดตามข่าวสาร ต้องใช้สติพิจารณาเรื่องราวให้มาก
    หากเข้ามาติดตามแล้วเกิดทุกข์ คงไม่ใช่เรื่องดี


    ผมต้องขออภัย หากสิ่งที่ผมแสดงความคิดเห็นกระทบจิตใจใคร
    ทำให้จิตใจใครขุ่นมัว ผมต้องขออโหสิกรรมด้วยครับ
     
  18. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    เตือนต่อ จะได้ไม่ประมาท เตือนให้ตระหนัก แต่ไม่ตระหนก


    ถาม – โลกกำลังจะมีภัยพิบัติครั้งใหญ่จริงหรือไม่?

    ตอบ - ตั้งแต่เกิดเหตุสึนามิถล่มหลายประเทศ ขบวนการพยากรณ์ก็กลับมาฮิตใหม่อีกครั้ง หลังจากซบเซาไปนาน ทั้งการไม่มาตามนัดของสงครามนิวเคลียร์ในปี ๑๙๙๙ และทั้งการลบแผนที่หลายๆประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีหมู่เกาะซึ่งเสี่ยงต่อการจมน้ำทั้งหลาย

    ผมมองว่าขบวนการพยากรณ์ภัยพิบัติส่วนใหญ่คือการใช้ประโยชน์จากความกลัวของผู้คน คำทำนายมักหนีไม่พ้นแผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟไหม้ พายุซัด เพราะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นบ่อยในระยะหลัง

    แต่เพื่อให้น่าสนใจ คำพยากรณ์ช่วงนี้จะออกแนวหายนะระดับล้างโลกที่น่าขนพองสยองเกล้า เช่นประเทศนั้นประเทศนี้จะหายวับไปกับตา อะไรทำนองนั้น

    นอกจากภัยทางธรรมชาติ ยังมีคำพยากรณ์เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งอันนี้ก็เป็นจริงและควรมองว่าน่าหวั่นวิตกกว่ากันเสียอีก เพราะมีข่าวไวรัสสายพันธุ์ใหม่ให้ได้ยินเป็นรายวัน

    ชนิดที่ต่อไปคนอาจไม่ประหลาดใจถ้ามีข่าวว่าอยู่ดีๆมีคนกลุ่มหนึ่งบนฟุตบาทลงไปชักดิ้นชักงอพราดๆเหมือนในหนังเขย่าขวัญ โดยทีมแพทย์ตรวจเบื้องต้นไม่ทราบว่าโดนเชื้อโรคสายพันธุ์ใดเล่นงาน

    เสียงลือเกี่ยวกับการเอาอาวุธนิวเคลียร์มาเป็นเครื่องมือข่มขู่กันระหว่างประเทศ ก็ทำให้เกิดการพยากรณ์อันน่าเชื่อถือได้อีก

    ว่าวันหนึ่งโลกคงไม่แคล้วต้องประสบกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่สุด คนตายเรือนล้านทันทีจากอาวุธนิวเคลียร์ และอีกหลายล้านต้องตายแบบผ่อนส่งจากพิษกัมมันตภาพรังสี

    สรุปคือ ปัจจัยที่จะทำให้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่นั้น มีอยู่จริง!

    อย่างไรก็ตามสิ่งที่มีอยู่จริงก็ไม่จำเป็นต้องแผลงฤทธิ์เสมอไป ทำนองเดียวกับที่เราเดินผ่านหมามีเขี้ยวเล็บทุกวัน มันมีสิทธิ์กัดเราเนื้อขาดได้ตอนทีเผลอ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่กัด ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราเดินผ่านไปสบายๆโดยไม่คิดอะไร

    จนกว่าจะมีข่าวหมาเป็นพิษสุนัขบ้า หรือได้ยินใครในตลาดเล่าให้ฟังว่าหมู่นี้หมาชอบกัดคนเดินเท้าประจำ คุณถึงค่อยเกิดอาการเหลียวซ้ายแลขวาลอกแลก แตกต่างไปจากเดิม

    ลองหลบมุมจากเสียงลือเสียงเล่าอ้าง แล้วมาดูกันในมุมมองของกรรมวิบากกันบ้างนะครับ ผมจะไม่พูดแบบหมอดู คือไม่ฟันธงลงไปว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ ตอนดาวทำมุมอย่างไร

    แต่จะลองวาดภาพให้คุณเห็นอย่างชัดเจน ว่าตามหลักแล้ววิบากกรรมจะเล่นงานคนเรือนล้านพร้อมกันได้เพราะมีเหตุปัจจัยดังนี้

    ๑) มีสัตว์ต้องตาย ‘พร้อมกัน’ นับอสงไขย คืออย่าไปคิดเฉพาะมนุษย์ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่กำลังเสวยบุญขั้นสูงสุด แต่ต้องคิดถึงสัตว์น้อยใหญ่อีกไม่รู้กี่แสนล้านตัวด้วย

    เพราะสมมุติว่าคนตายเพียงหนึ่งล้าน แปลว่าต้องกินอาณาบริเวณกว้างไกลไม่ใช่เล่นๆ อาจจะทั้งจังหวัดเล็กๆ

    ลองคิดดูสิครับว่าหมาแมว นกหนู มดปลวก และอะไรจิปาถะอื่นๆจะมีอยู่ประมาณไหนในหนึ่งจังหวัด ใช้ตัวเลขมั่วๆว่า ‘นับไม่ถ้วน’ ไปพลางๆดีกว่า

    ๒) วิบากกรรมที่ทำให้ตายกะทันหันนั้น ควรจะเป็นประเภทตัดรอนภาวะดีๆ เปลี่ยนเอาภาวะร้ายๆมาแทนที่แบบปุบปับฉับพลัน ไม่ให้ทันได้ตั้งเนื้อตั้งตัว พูดง่ายๆว่าต้องตกต่ำลงจากสภาพเคยอยู่ดีมีสุขในสภาพเนื้อตัวแห้งสะอาดนุ่มนิ่มแบบมนุษย์ไปเป็นอื่นที่ลำบากกว่ากัน

    ทั้งนี้ก็เพราะคนและสัตว์ส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมใจตายไว้ล่วงหน้า เมื่อไม่ได้เตรียมก็แปลว่าใช้ชีวิตตามสบาย ซึ่งตามสบายของคนส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ถ้าไม่คิดเรื่องเซ็กซ์ก็คิดเรื่องล้างแค้น ถ้าไม่คิดเรื่องล้างแค้นก็คิดเรื่องความสำคัญของตัวตน ล้วนแต่เรื่องปรุงแต่งจิตให้เศร้าหมอง

    เมื่อตายขณะจิตเศร้าหมองย่อมเอียงลงต่ำ เว้นแต่จะสั่งสมบุญใหญ่ไว้ช้อนได้ทัน อีกประการหนึ่ง ภัยพิบัติระดับทำคนตายเป็นล้านนั้น มักมาในรูปแบบของความน่าสะพรึงกลัวไม่มีอะไรเกิน

    ความกลัวเป็นโทสะชนิดแรงกล้า ถ้าครอบงำจิตสุดท้ายไว้ทั้งดวงได้ ก็มักตรึงจิตให้ติดอยู่กับความกลัวนั้นๆ พูดง่ายๆเป็นเปรตที่ต้องวนเวียนอยู่กับภพแห่งความน่ากลัวไปอีกนาน จนกว่าจะมีบุญใดมาเลื่อนชั้นให้

    น้อยคนครับที่เปลี่ยนจากภาวะมนุษย์ด้วยอุบัติเหตุกะทันหันแล้วไปสูงขึ้น ต้องสั่งสม ต้องย้อมจิตย้อมใจเป็นกุศลกันจนอยู่ตัวพอประมาณ

    เอาแค่ปัจจัยที่เอื้อให้เกิดมหาหายนะสองข้อข้างต้น ก็คงพอจะพิจารณาได้ว่าการตายเกลี้ยงฉาดแบบเทกระจาดทิ้งทั้งหมดโลกในคราวเดียวนั้น เกิดขึ้นได้ยากเต็มทีครับ

    เพราะแปลว่าผู้มีบุญถึงขั้นได้เป็นมนุษย์กว่า ๖,๐๐๐ ล้านรายจะต้องตายร้ายพร้อมกันหมด อัตราความเป็นไปได้คงเป็นศูนย์ คือต่อให้มีดาวหางใหญ่เท่าดวงจันทร์จะวิ่งมาชนโลกแตกดับ ก็ต้องได้พระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยเหมือนในหนังจนได้

    อย่างไรก็ตาม แม้โอกาสตายเกลี้ยงพร้อมกันจะเป็นศูนย์ แต่โอกาสทยอยตายเป็นกระจุกๆนั้นชักเริ่มมีมาก ทั้งนี้เพราะมีผู้สมควรตายแบบปัจจุบันทันด่วนเพิ่มขึ้นนั่นเอง

    ผู้สมควรตายแบบปัจจุบันทันด่วนนั้นคือใครบ้าง?

    ๑) ผู้ถึงวาระสุดท้าย อาจถึงเวลาตายด้วยกรรมเก่าจากอดีตชาติ หรือเพราะกรรมใหม่ในชีวิตปัจจุบัน บันดาลให้ต้องตกตาย ณ จุดของเวลานั้นๆ โดยไม่คำนึงถึงว่าจิตกำลังเป็นกุศลหรืออกุศลในขณะเผชิญความตาย

    โดยมากพวกนี้จะมีโอกาสตั้งสติระลึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งสิ่งมนุษย์มักยึดเหนี่ยวกันก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของตน แต่ถ้าระหว่างมีชีวิตไม่ทำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้อยู่ในใจ ก็มักกังวลโน่นนี่สารพัด

    ๒) ผู้ถึงวาระสุดท้ายเช่นเดียวกับข้อแรก แต่กรรมในอดีตชาติหรือในชาติปัจจุบันบังคับไว้เลยว่าต้องตายด้วยจิตที่เป็นกุศลหรืออกุศล เช่นถ้าอดีตชาติเคยฆ่าผู้อื่นด้วยวิธีทำให้กลัวก่อนตาย

    หากชาติปัจจุบันไม่สร้างกระแสกรรมใหม่ไว้แรงพอจะส่งให้จิตมีกำลังและสว่างไสวพอ ก็จะต้องตายด้วยเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความกลัวอย่างท่วมท้น แม้พยายามระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในนาทีสุดท้าย อย่างไรก็แก้ไม่ทัน

    ๓) ผู้มีบาปหนัก ถึงเวลาตายในจังหวะที่จิตกำลังดำมืด ขาดกำลังส่งให้ไปดี เขามีบาปหนักสมควรจะต้องชดใช้ ขนาดที่ว่าถ้ายังมีชีวิตต่อ ก็จะขาดเหตุปัจจัยในโลกนี้มาลงโทษอย่างสาสม อันนี้หาได้ยาก ที่เคยมีเป็นเยี่ยงอย่างแก่มนุษยชาติ

    ก็ได้แก่พระเทวทัตซึ่งทำร้ายพระพุทธองค์สารพัดวิธีแบบกะปลงพระชนม์ อยู่ๆพื้นแผ่นดินที่ยืนอยู่ก็แยกออกแล้วกลืนหายลงไปเฉยๆ

    ไม่ได้สูบฮวบเดียวจมมิด เพราะหลักฐานมีอยู่ว่าพระเทวทัตสำนึกผิดได้ตอนโดนดูดลงไปเหลือแค่ส่วนหัว ตำแหน่งที่พระเทวทัตโดนในปัจจุบันก็ยังมีปักป้ายแสดงที่อินเดีย ใครอยากดูก็ลองไปสัมผัสเอาเองว่ามีความน่าขนลุกอยู่จริงไหม

    ๔) ผู้มีบุญมาก ถึงเวลาตายในจังหวะที่จิตกำลังผ่องใส หรือมีกำลังของกุศลอุ้มชูมากพอจะประกันภพใหม่ว่าต้องดีกว่าที่กำลังเป็นอยู่ เขามีบุญญาธิการที่ควรได้เป็นผู้เสวยสุขมาก ขนาดที่ว่าถ้ายังมีชีวิตต่อ ก็ขาดเหตุปัจจัยที่จะตกรางวัลอย่างสมน้ำสมเนื้อกับบุญญาบารมีเสียแล้ว

    พวกนี้กุศลจะคุ้มตัว ต่อให้เกิดเรื่องน่ากลัวขนาดไหนก็ไม่ตระหนก จิตส่วนลึกมีความเชื่อมั่นกับกระแสกุศล อบอุ่นใจมากพอ ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นคือหญิงชาวนาคนหนึ่ง ตื่นเช้าใส่บาตรพระอรหันต์ซึ่งเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ

    ซึ่งผลกรรมด้านดีจะแรงมาก ต้องเห็นผลใน ๗ วัน แต่ด้วยวิถีชีวิตของนางไม่มีปัจจัยในโลกสนองตอบได้ไหว เลยตายแบบปัจจุบันทันด่วนด้วยสัตว์ร้าย ไปเสวยสวรรค์ระหว่างทางทำบุญนั่นเอง

    ปัจจุบันข่าวทัวร์บุญที่รถเทกระจาดก็มีให้เห็นบ่อยจนบางคนตั้งข้อสังเกตนะครับ อย่าตีความว่าทำบุญแล้วตายหมายถึงทำบุญแล้วได้อัปมงคลเป็นอันขาด

    ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์สึนามิที่ผ่านมา คนมักถามกันว่าผู้เคราะห์ร้ายเคยทำกรรมใดร่วมกันมาจึงร่วมตายเกือบพร้อมเพรียงอย่างนั้นถึงสามแสนคน
    อันนี้ขอให้ทราบนะครับ

    การตายหมู่ไม่ใช่เครื่องหมายบอกเสมอไปว่านั่นเป็นวิบากกรรมที่พวกเขาทำมาร่วมกัน ขอให้สังเกตว่ากรณีสึนามินั้น แต่ละคนกระจายกันรับเคราะห์กรรมซึ่งมีแรงหนักเบาไม่เท่ากัน สถานการณ์ที่ส่งผลให้เจ็บตายไม่เหมือนกัน และที่สำคัญไม่ได้รู้จักมักจี่ ไม่ได้จูงมือไปรวมตัวกันตามข้อตกลงแต่อย่างใด

    นอกจากนั้นขอให้สังเกตอีกประการหนึ่ง คือหลายรายไม่ใช่คนในพื้นที่ แต่เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนภพของพวกเขา ก็มีเหตุให้พวกเขาต้องไปอยู่ที่นั่นพอดี ตำแหน่งที่จะถูกน้ำซัดตายพอดี

    ส่วนคนที่ยังไม่ถึงฆาต แม้ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว ก็กลับรอดและไม่บาดเจ็บเท่าแมวข่วน บางคนถูกน้ำซัดเข้าปะทะผนัง น่าจะตายแน่แล้ว ผนังส่วนนั้นกลับพังราบ เลยรอดจากการถูกอัดก๊อปปี้!

    นี่แหละการแสดงความมหัศจรรย์ในการ ‘คัดคนออก’ ของกฎแห่งกรรมวิบาก ใครยังคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ก็สมควรทบทวนดูใหม่จากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น ว่าทำไมความบังเอิญจึงเล่นตลกได้ขนาดนี้?

    การประสบเคราะห์กรรมร่วมกัน ชนิดที่ส่อถึงอดีตกรรมที่เคยทำมาด้วยกันนั้น จะเป็นประเภทกลุ่มคนที่รู้จักกัน ร่วมทางหรือลงเรือลำเดียวกัน ประสบกับรูปแบบเคราะห์กรรมเดียวร่วมกัน

    เช่นในคัมภีร์มีเรื่องของเหล่าภิกษุไปติดในถ้ำด้วยกัน อดอยากปากแห้งร่วมกันอยู่หลายวัน ก็เพราะกรรมหมู่ในอดีตชาติที่เคยร่วมกันกักขังสัตว์ให้ได้รับความทรมาน เป็นต้น

    โลกนี้แบ่งออกเป็นเขตพื้นที่ปลอดภัยกับเขตพื้นที่สุ่มเสี่ยง และเป็นอย่างนี้มาทุกยุคทุกสมัย ไม่มีสมัยใดที่โลกปูตลอดด้วยพื้นที่ปลอดภัยหรือสุ่มเสี่ยงอย่างเดียว ต้องมีกระจายเขตดีเขตร้ายไว้ให้บริการส่ำสัตว์ผู้มีบุญมีบาปอย่างทั่วหน้าอยู่เสมอ

    ฉะนั้น ขอให้ลืมเรื่องภัยล้างโลกแบบกวาดทีเดียวหายเรียบไปได้ วันหนึ่งโลกอาจถึงกาลแตกดับจริง แต่ป่านนั้นต้องไม่มีสัตว์บุญมากอย่างมนุษย์หลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว

    โลกยังไม่แตกวันนี้ แต่ก็อย่าประมาทเลยครับ เพราะเราอาจยืน เดิน นั่ง นอนอยู่ในเขตประหาร และเราก็ไม่อาจทราบเสียด้วยว่าถึงเวลาของเราหรือยัง ขอให้คำนึงถึงการเตรียมเสบียงไว้เพื่อความไม่ประมาทแหละดีที่สุด

    เราจะได้ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องถามหาคำทำนาย ว่าที่กำลังหายใจได้ กำลังรู้สึกและนึกคิดได้เหมือนอย่างนี้ วาระสุดท้ายจะต้องตายเดี่ยวหรือตายหมู่ ตายดีหรือตายทรมาน ตายในขณะที่จิตเป็นกุศลหรืออกุศล

    เพราะธรรมดาผู้สั่งสมบุญ ตุนเสบียงไว้มากๆ ย่อมอุ่นใจอยู่เสมอว่ากรรมขาวทั้งปวงจะตามไปช่วยอุดหนุนค้ำจุนมิให้หลงตายตกร่วงลงต่ำอย่างแน่นอน

    [​IMG]
    ถาม – เขาว่าเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๓ ขึ้น จะมีนิวเคลียร์ลง ผู้คนจะตายเป็นร้อยล้านพันล้าน ถ้าใครทำดีมากๆแล้วจะรอดได้ อยากถามคุณดังตฤณว่าคำทำนายนี้เป็นจริงหรือไม่?

    ตอบ - สิบกว่าปีก่อนผมเคยอ่านคำทำนายที่ว่าในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือ ค.ศ. ๑๙๙๙ จะมีมหาสงครามนิวเคลียร์ ผู้คนล้มตายกันทั่วโลก แต่คนดีๆจะมีสิทธิ์อยู่ต่อ

    บางแหล่งถึงกับระบุทีเดียวว่าจะมีกรวยสีรุ้งพุ่งจากฟากฟ้าลงมาปกป้องอภิบาลคนดีมีศีลสัตย์ให้อยู่รอดปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายจากระเบิดล้างโลก

    ครั้งนั้นผมก็ขมวดคิ้วสงสัยแล้วว่าเอ๊! คนเลวตายหมด แต่คนดีผีคุ้ม ไม่ตายง่ายๆ มิแปลว่าผลของการเป็นคนดีคืออยู่ทรมานต่อจากพิษกัมมันตภาพรังสีหรอกหรือ?

    คิดดูซิครับ โลกหลังมหาสงครามนิวเคลียร์น่ะมันจะไปเหลืออะไรนอกจากฝุ่นพิษ อาหารการกิน น้ำไฟและความเป็นอยู่ต่างๆคงย่ำแย่เหลือรับประทาน

    คำทำนายทำนองนี้เหมือนจะเอาใจคนทั่วไปที่ไม่อยากตาย หรือเป็นกุศโลบายให้คนเร่งขวนขวายทำความดีกัน ส่วนดีก็ดีแหละครับ

    แต่ส่วนไม่ดี ที่เป็นผลกระทบข้างเคียง คือความเข้าใจผิด สำคัญผิด และเชื่อมโยงเรื่องกรรมวิบากกันผิดๆ เป็นเหตุให้เสื่อมศรัทธาได้ง่ายๆถ้าผลออกมาไม่ตรงกับคำทำนาย

    ยกตัวอย่างเช่นยังไม่ทันเกิดสงครามนิวเคลียร์ คนดีมีศีลสัตย์ถูกไฟดูดตายโดยไม่มีปาฏิหาริย์ที่ไหนช่วย คนรู้ข่าวก็จะมองกันว่าไหนบอกคนดีผีคุ้มไง ทำไมงอก่องอขิง ไหม้เกรียมเป็นที่น่าสลดสังเวชขนาดนี้?

    ถ้ามองแบบคนกลัวตาย ยังยึดติดกับสุขขี้ปะติ๋วในโลก คุณก็ต้องอยากฟังคำทำนายประเภทตัวเองดีพอ มีบุญพอจะอยู่ต่อ แต่หากคุณมีศรัทธาในบุญอย่างแท้จริง และตระหนักว่าบุญจะเป็นที่พึ่งให้คุณสบายกว่านี้

    ก็คงคิดไปอีกอย่างหนึ่งครับ คือถึงตายโหงก็ตายโหงอย่างคนมีบุญ ร้องจ๊ากใหญ่ๆสักนาทีหนึ่งแล้วได้ไปหัวเราะร่าหรรษาบนสวรรค์อีกครึ่งกัปครึ่งกัลป์ อย่างนี้จะต้องไปกลัวอะไร?

    ทำดีมากๆในชาตินี้ ไม่เกี่ยวกับตายเร็วหรือตายช้าหรอกครับ ไม่เกี่ยวกับตายสงบหรือตายน่าสังเวชด้วย แต่จะเกี่ยวกับตายแล้วไปไหนมากกว่า อย่างไรทุกคนก็ต้องทยอยจากกันไปหมดอยู่แล้ว ถ้าคุณกำลังอ่านบรรทัดนี้อยู่

    ก็แปลว่าเหลือเวลาให้ทำใจเชื่อเรื่องบุญกรรมกันอย่างถูกต้องพอสมควร ก่อนตายไม่ควรหวาดผวา แต่ควรเตรียมเนื้อเตรียมตัว เตรียมใจใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อความไปสู่สุคติ หรือเพื่อความสิ้นสุดทุกข์ร้อนถาวรต่อไป

    อีกประการหนึ่ง เรื่องตื่นข่าวหายนะระดับประเทศหรือระดับโลกนั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องงมงายเสียทีเดียว เพราะช่วงที่ผ่านมาเกิดเรื่องเลวร้ายมากมายเสียจนคนหายประมาทกันเยอะ

    แต่อย่างไรก็ตาม ขอให้พิจารณาตามจริงด้วยว่าคำทำนายเกี่ยวกับหายนะระดับช้างนั้น ผิดมากกว่าถูก ถ้าเหมารวมได้ทั้งหมดคุณอาจตาค้างด้วยความประหลาดใจ

    คือร้อยคำทำนายจะมีสักหนึ่งหรือน้อยกว่านั้นที่เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นจริงๆ ชนิดตรงเผงทั้งเวลา สถานที่ และบุคคลผู้ก่อการ

    เมื่อข้อเท็จจริงตามสถิติคือ ‘เป็นไปได้ต่ำที่จะทายถูก’ พวกเราก็ควรกำหนดใจเชื่อไว้น้อยๆด้วยเหมือนกัน เหตุการณ์ระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับวิบากกรรมของคนเรือนล้านนั้น ไม่ใช่รู้กันง่ายๆหรอกครับ

    บางคนฟังคำทำนายแล้วก็วิ่งเต้นเข้าพิธีไสยศาสตร์บ้าง ตระหนกตกตื่นจนท้อแท้ไม่อยากทำอะไรเลยบ้าง หรือกระทั่งสิ้นหวังขนาดอยากฆ่าตัวตายไปล่วงหน้าบ้าง เพราะคิดๆอยู่ก่อนหน้าแล้วจากเรื่องรันทดในชีวิตตน

    เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ใช้ชีวิตที่เหลือไม่คุ้มค่า เป็นไปเพื่อถูกอุปาทานครอบงำให้จิตเป็นอกุศลเปล่าโดยแท้

    ผมว่าเรามาเตรียมตัวกันแบบชาวพุทธจริงๆกันดีกว่าครับ ชาวพุทธเป็นอย่างไร?

    เป็นคนที่พยายาม ‘รู้ตามจริง’ ด้วยเหตุผล ไม่ใช่ ‘เชื่อตามกัน’ โดยปราศจากการพิจารณา

    และด้วยท่าทีของชาวพุทธ ผมอยากตั้งข้อสังเกตดังนี้

    ๑) ยอมรับตามจริงว่าปัจจุบันโลกตกอยู่ในเงื้อมเงาของอันตรายหลายประเภท อย่าดึงดันปฏิเสธแบบหัวดื้อตาใส ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ พวกเชื่อเรื่องภัยพิบัติคือกลุ่มคนที่งมงายเท่านั้น

    ๒) เมื่อเกิดคำทำนายใดๆ ทั้งจากฝั่งหมอดูและจากฝั่งนักวิทยาศาสตร์ ขอให้ตั้งสติฟังอย่างรอบคอบว่าจะเกิดอะไรขึ้น

    เช่นเร็วๆนี้มีข่าวว่าอุกกาบาตจะตกในอ่าวไทย ลือกันแพร่สะพัดต่างๆนานา ถือเอาจังหวะที่ผู้คนกำลังขวัญเสียจากสึนามิ โดยไม่คำนึงถึงหลักความจริงทางวิทยาศาสตร์ประกอบ

    หากพิจารณาคำทำนายดีๆแล้ว จะเห็นได้ตั้งแต่เมื่ออ่านหรือรับฟังในครั้งแรกนั่นเองว่าเป็นของเก๊ เป็นเรื่องของคนชอบเล่นสนุกกับความกลัวของมวลชน

    ๓) เมื่อใจกลัวก็อย่าทำปากแข็งว่ากล้า ขอให้ถือเป็นโอกาสศึกษาพุทธพจน์ ว่าท่าทีเกี่ยวกับการเตรียมตัวตายเป็นเช่นใด ตายด้วยจิตแบบไหนถึงจะคุ้ม

    ซึ่งขอสรุปรวบรัดโดยง่าย คือพระพุทธเจ้าท่านให้ระลึกถึงความตายเสมอๆ และความตายแบบมนุษย์สามัญก็ปราศจากร่องรอยนิมิตบอกเหตุเหมือนเทวดา

    เพราะฉะนั้นอย่าได้ประมาท ชะล้างสิ่งโสโครกใดได้ก็ชะล้างเสีย เตรียมเสบียงไว้เดินทางต่ออย่างใดได้ก็เตรียมเสีย

    ซึ่งเสบียงที่ดีที่สุดก็คงหนีไม่พ้นการมีปัญญาเห็นชอบ เรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และสิ่งทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นว่าเป็นสมบัติถาวรของเราหรือของใคร

    เมื่อใจไม่เปื้อนมลทินบาป สะอาดเอี่ยมด้วยบุญกุศล และเลิกห่วงหวงดิน น้ำ ไฟ ลมทั้งหลายในโลกหล้าที่ต้องมีอันแปรปรวนไปเป็นธรรมดา เห็นอิสระทางใจอันเกิดจากความปล่อยวางเป็นสิ่งมีค่าสูงสุด นั่นแหละครับ ท่าทีการเตรียมตัวตายแบบพุทธของแท้

    หากจำที่กล่าวมาข้างต้นไม่ได้ ก็ขอให้ระลึกสั้นๆว่า อย่ากลัวตายร้าย แต่ขอให้กลัวจะอยู่อย่างไม่ได้เตรียมตัวไปดี ก็แล้วกัน

    ถ้าเปลี่ยนค่านิยมใหม่เสียได้ ไม่เอาแต่กลัวตายโหง ไม่เจาะจงอยากแก่ตายอย่างสงบ คุณจะไม่ตื่นเต้นกับคำทำนายหายนะโลกเก๊ๆอีกต่อไปครับ

    [​IMG]
    ถาม - ข่าวว่าน้ำจะท่วมโลกแน่ ไม่มีใครรู้ว่าอีกเมื่อไร อาจจะ ๕ ปีหรือ ๑๐ ปีก็ได้ทั้งนั้น

    ตอบ - ข่าวโลกแตกมีมานานครับ ผู้คนฟังแล้วก็ตื่นกลัวบ้าง หัวเราะเยาะบ้าง สุดแท้แต่ว่าใครเป็นคนประกาศข่าวโลกแตก

    ช่วงนี้เสียงหัวเราะเยาะอาจจะแผ่วลงหน่อย แล้วความตื่นกลัวก็เกิดขึ้นอย่างยาวนานกระทั่งด้านชาและกลายเป็นความชินไปเสียแล้ว เพราะดินฟ้าวิปริตปรวนแปรเหลือเกิน ในวันเดียวกันธรรมชาติอาจมี ‘อารมณ์แปรปรวน’ ได้สารพัด

    เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก เดี๋ยวร้อนแสบผิว เดี๋ยวหนาวถึงไขกระดูก นี่เป็นเรื่องใกล้ตัว ไม่ต้องไปดูภูเขาน้ำแข็งถล่มที่ไหนก็รู้สึกได้ว่าโลกทำตัวเกเรขึ้นทุกวัน
    แถมข่าวโลกแตกรอบนี้ ก็ไม่ใช่เด็กเลี้ยงแกะในหมู่บ้านเล็กๆเสียด้วย

    แต่เป็นถึงนักวิทยาศาสตร์ผู้มีหน้าที่สอดส่องดูแลความเป็นไปของประเทศและของโลกโดยตรง!

    เอาล่ะ! สมมุติว่าคราวนี้โลกจะแตกจริงๆเสียที ด้วยการมีน้ำท่วมไปทุกหนทุกแห่ง แล้วเป็นยังไง เราจะทำอะไรได้?

    มาตั้งต้นกันแบบที่ทำให้ไม่ตื่นกลัวและไม่ประมาทดีกว่า วิธีก็ง่ายๆคือถ้ายังไม่มีโจทย์ให้ชีวิตในอนาคต ก็ตั้งโจทย์สมมุติให้กับวันนี้แล้วกัน

    ถามตัวเองหรือยังว่าถ้าต้องพลัดพรากกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ไม่มีเครื่องมือสื่อสารที่ดีที่สุดในโลกอย่างมือถือและอินเตอร์เน็ตดังเช่นปัจจุบัน คุณจะเลือกไปอยู่กับใคร?

    แน่นอนว่าคุณคงเลือกอยู่กับคนที่รักไม่ได้ครบทุกคน เพราะในวันน้ำท่วมฉับพลัน คนที่คุณรักอาจอยู่ไกลสุดขอบฟ้า คุณจะรู้สึกว่าเขาอยู่ไกลคุณจริงๆก็ตอนไม่มีมือถือและอินเตอร์เน็ตนี่แหละ

    สรุปคือในที่สุดอันเป็นสุดท้ายแล้ว คุณเลือกอยู่กับใครไม่ได้ตามปรารถนาหรอก ซึ่งนั่นก็ไม่แตกต่างจากที่กำลังเป็นอยู่สักเท่าไรเลย

    แม้คุณสมใจได้อยู่กับบุคคลอันเป็นที่รักในวันนี้ คุณก็ไม่รู้เลยว่าวันไหนจะมีเงื่อนไขหรือปัจจัยใดมาพรากเขาไป

    และวันใดบุคคลอันเป็นที่รักถูกพรากไปโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง วันนั้นเองที่ต้องตระหนักด้วยความตระหนกว่าคุณไม่เคยมีสิทธิ์อยู่กับใครจริง

    คุณต้องอยู่กับตัวเองตลอดไป ตราบเท่าที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ฉะนั้นถ้าเตรียมสร้างตัวเองให้น่ารัก น่าอบอุ่น และน่าอยู่ด้วย คุณก็จะมีความสุขอยู่กับตัวเองในทุกวาระสุดท้าย ไม่ว่าจะต้องตายโหงในชาตินี้หรือตายดีในชาติไหน

    อีกสักคำถามหนึ่ง คุณถามตัวเองหรือยังว่าถ้าจะต้องเป็นหนึ่งในผู้จมน้ำตาย หรือกระหายน้ำจนขาดใจเพราะหนีขึ้นที่สูงเกินไป คุณจะเอาอะไรเป็นทุนรอนสำหรับเกิดใหม่ ให้ดีกว่าต้องมาอยู่ในโลกที่จมน้ำได้?

    แน่นอนว่าตอนยังดีๆทุกคนจะบอกว่าช่างเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ทำวันนี้ให้ดีที่สุด... แต่ขอโทษที คนพูดอย่างนี้ส่วนใหญ่จำๆเขามานะครับ

    ดีที่สุดที่จะทำวันนี้ของคนพูด ก็มักไม่ต่างจากเมื่อวานและวันก่อนๆ นั่นคือขอให้ผ่านไปอีกวัน กินให้อร่อยที่สุด นอนให้นานที่สุด และขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะให้โล่งที่สุด!

    พอถึงคราวหายนะขึ้นมาจริงๆ มีสักกี่คนทำใจได้

    เราต้องการความมั่นคงทางใจในวาระสุดท้ายเป็นสำคัญ ความมั่นคงทางใจเท่านั้น ที่จะทำให้เราพร้อมตายโดยไม่ต้องทำใจใดๆ ทุกอย่างจะสบายในตัวเอง

    ความมั่นคงทางใจเกิดขึ้นจาก ๒ สิ่ง

    ๑) กรรมดีที่สั่งสมมา ไม่ใช่กรรมดีที่รีบตาลีตาเหลือกนึกถึงพระอรหันต์ก่อนตายนะครับ ผมหมายถึงความดีที่บำเพ็ญมาทั้งชีวิต ความดีจะปรากฏเป็นความขาว ความสว่าง และความรู้สึกงดงามทางใจ ก่อให้เกิดความสุข ความตั้งมั่น โดยไม่ต้องวิงวอนขอการคุ้มครองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ

    ๒) ความเข้าใจ คนเราจะกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังความตาย นั่นเพราะความไม่รู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไรแน่ ต่อเมื่อทำความเข้าใจว่าอนาคตก็คือผลของปัจจุบัน คุณก็จะเห็นอนาคตจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบันนั่นเอง

    หากใจคุณสว่าง อนาคตก็ย่อมสว่าง หากใจคุณมืด อนาคตก็ย่อมมืด!

    ความสว่างคือธรรมะ ความมืดคืออธรรม ยิ่งใจคุณผูกอยู่กับธรรมะมากขึ้นเท่าไร ใจคุณก็ยิ่งสว่างขึ้นเท่านั้น ตรงข้าม หากใจคุณเอาแต่ผูกอยู่กับอธรรม พอทำความรู้สึกเข้ามาในใจ ก็จะเห็นแต่ความมืดคลุ้มไม่มีดี

    ธรรมะที่ดีที่สุดคือการมีสติระลึกถึงความจริงเฉพาะหน้า เช่น เห็นให้ได้ว่าประโยชน์สูงสุดยามตาย ก็คือความเข้าใจว่าร่างที่จะตายไม่ใช่เรา เป็นเลือดเนื้ออันเกิดจากข้าวปลาที่เอามาจากโลก และต้องคืนให้กับโลก

    นอกจากนั้นก็ทำความเข้าใจเตรียมไว้ว่า แม้ดวงจิตที่จะดับก็ไม่ใช่เรา เป็นแค่ธรรมชาติที่เกิดด้วยเหตุ และดับไปเรื่อยๆอยู่แล้ว

    เอาแค่ตื่นนอนตอนเช้าก็ถือว่าจิตเกิดใหม่แล้ว และแค่หลับไปก็ถือว่าจิตดับไปแล้ว จะต่างอะไรจากจิตดับยามตาย และเกิดอีกในยามปฏิสนธิในภพใหม่เล่า?

    [​IMG]

    สรุปคือ ถ้าเข้าใจถูกและดีพอ คุณก็จะยิ้มรอโลกแตกได้ ไม่ต่างจากที่เคยรอวันพรุ่งนี้ ที่แสนธรรมดาจริงๆครับ

    [​IMG]

    www.dungtrin.com/index.php?option=com_content&view=article&id=784:-4-&catid=82:sabiangnew&Itemid=278<!-- google_ad_section_end -->


    [​IMG]<!-- google_ad_section_end -->
     
  19. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    [​IMG]

    ในช่วงเวลาที่คนไทยจิตตก ตระหนกไปกับทุกกระแสข่าว ตกใจไปกับข่าวสารทุกๆช่องทางที่เผยแพร่ออกมา ไทยรัฐออนไลน์มีโอกาสพูดคุยกับ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี ผู้ก่อตั้งสถาบันวิมุตตยาลัย สถาบันที่ศึกษา วิจัย ภาวนา และเผยแพร่ภูมิปัญญาทางพุทธศาสนาสู่ประชาคมโลก เพื่อมาให้ไขรหัสเอาชนะความทุกข์จากน้ำท่วม โดยใช้ “ธรรมะ” เข้าใจ “ธรรมชาติ” !!

    Q : ตามคำภีร์ไบเบิ้ลมีกล่าวถึงวันสิ้นโลก นอสตราดามุส ชนเผ่ามายัน ต่างก็กล่าวถึงวันสิ้นโลกเช่นกัน ในพระไตรปิฎกหรือพุทธทำนายของศาสนาพุทธ มีกล่าวถึงเรื่องวันสิ้นโลกหรือเปล่า…?

    A : มี แต่ไม่ได้บอกเวลา บอกแต่ว่า “ในอนาคตกาลนานไกลโพ้น โลกจะวิบัติเพราะน้ำ เพราะลม เพราะไฟ” ฉะนั้น ถือว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาโลก สิ่งไหนก็ตามที่มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น ก็จะมีการแตกดับไปในที่สุด อย่าตื่นตกใจกับธรรมดาของโลก เราต้องพร้อมที่จะอยู่ในโลกอย่างคนที่เป็นนักเรียน พร้อมที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนเราเป็นนักกีฬาที่วิ่งลงไปในสนามแล้ว เราก็ต้องยอมรับกฎกติกาของสนามนั้น เราถึงจะเป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จ

    เช่นเดียวกัน เราเกิดมาในโลก เราก็เป็นนักกีฬาของโลก เราก็ต้องพร้อมที่โลกจะมอบบทเรียนต่างๆให้กับเรา มองทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นบทเรียน แล้วเราก็จะเข้มแข็ง ยิ่งโจทย์ยากๆ ถ้าหากเราแก้โจทย์ได้ เราก็จะกลายเป็นคนที่เก่งมากขึ้นๆ ยิ่งขึ้นไป

    ดังนั้น มองอีกนัยหนึ่งก็คือความทุกข์มากปลุกให้เราตื่น เมื่อเราตื่นแล้วปีต่อๆไป เมื่อน้ำไหลมา เราก็จะกลายเป็นผู้ที่รับมือกับน้ำได้อย่างเชี่ยวชาญ

    Q : ควรจะใช้ชุดความคิดแบบไหนดีที่จะจัดการความทุกข์ เพราะไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหนก็มีแต่ข่าว มีแต่คนเครียดๆ เพราะน้ำท่วมบ้าน คนที่ยังไม่โดนน้ำท่วมก็กลัว กลัวจนนอนไม่หลับ ไม่เป็นอันทำอะไร?

    A : อาตมาอยากจะให้ทุกคนคิดว่า อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน ณ เวลานี้ เรามาอยู่ตรงนี้แล้ว เราก็คงต้องยอมรับว่า สิ่งเหล่านี้มีสิทธิ์ที่จะเกิด เพราะว่านี่คือธรรมชาติ เรามาอยู่ในโลก เราต้องพร้อมจะรับมือกับทุกวิกฤติ เพราะว่าโลกมาอยู่ก่อนเรา แล้วเรามาทีหลัง ฉะนั้นก็ต้องพร้อมที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเกิดขึ้นในโลกนี้

    วิธีที่ดีที่สุด “ให้มองปรากฏการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ว่าเป็นครูที่มาเตือนเราให้เราตื่น” เราอาจจะพากันหลับใหลอยู่ในความประมาท พอน้ำไหลบ่ามาปลุกให้เราให้ตื่น มองวิกฤติเป็นครูแล้วอยู่ด้วยกันแบบไม่ประมาท เพราะว่าน้ำมาแต่ละปี ก็จะทำให้เรามีความเชี่ยวชาญในการรับมือมากยิ่งขึ้น

    นั่นหมายความว่า ในอนาคตเมื่อเราเรียนรู้วิธีที่จะรับน้ำในแต่ละปี แต่ละปี ในอนาคตประเทศเราอาจจะเป็นประเทศที่บริหารจัดการน้ำที่ดีที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้

    นี่คือมองให้บวก มองวิกฤติเป็นครูอยู่ด้วยความไม่ประมาท เติบโตจากความผิดพลาดเฉลียวฉลาดขึ้นมาจากความทุกข์ ในอนาคตเมื่อเราเรียนรู้จากการรับมือน้ำอย่างดีที่สุดและอย่างต่อเนื่อง ชนไทยอาจจะเป็นชนชาติที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการจัดการน้ำมากเป็นอันดับหนึ่งก็เป็นได้

    Q : คนที่สูญเสียบ้านและทรัพย์สินจากน้ำท่วม?

    A : ตอนที่เราเกิดมา เราทุกคนนั้นเปล่าเปลือยมาทั้งหมดเลย คุณมีแต่ตัวล้วนๆ คุณยังหาบ้านหารถหาเรือกสวนไร่นาได้อย่างมากมาย วัตถุเงินทองเสียไปแล้วถ้าหากวันหนึ่งคุณยังมีชีวิต ก็สร้างขึ้นมาใหม่ได้ทั้งหมด

    ดังนั้น เสียวัตถุเสียไป แต่จงรักษากำลังใจและชีวิตเอาไว้ ให้กำลังใจให้ชีวิตนี้เป็นสมบัติติดตัวเราไปตลอด ถ้าชีวิตนี้ยังมีชีวิตอยู่กำลังใจก็ยังมีอยู่ คุณสามารถสร้างวัตถุขึ้นมาใหม่ได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่ควรเสียใจ เมื่อถึงเวลาพักที่นาคาที่อยู่

    ที่สำคัญให้รู้จักเสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เพราะชีวิตสำคัญมากกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าคุณไม่มีทรัพย์คุณสามารถหาใหม่ได้ แต่ถ้าคุณไม่มีชีวิตทุกอย่างทุกสิ่งก็จบตรงนั้นแล้ว ให้ยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ ให้ยอมสละทรัพย์

    เช่น บ้าน รถ วัตถุข้าวของทั้งหลายอย่าไปยึดติดถือมั่น มาเวลานี้ต้องเอาชีวิตให้รอดเสียก่อน ถ้าคุณยังมีชีวิตทุกสิ่งทุกอย่างที่มันสูญเสียไป หามาได้ใหม่ทั้งหมดไม่ต้องกังวล

    Q : คนที่เพิ่งสูญเสียคนรักจากน้ำท่วม?

    A : ก็ให้ทำใจยอมรับ อย่าโกหกตัวเอง เพราะว่ามันเป็นธรรมดาของมนุษย์ทุกคน พอเราเกิดมาแล้วก็ต้องมีอันต้องพลัดพรากจากบุคคลและสิ่งของอันเป็นที่รักเป็นเรื่องธรรมดา

    “พระพุทธเจ้าใช้คำว่าเป็นธรรมดา ท่านไม่ได้มองว่ามันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เมื่อเราเกิดมาแล้วเราก็ต้องจากพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักเป็นของธรรมดา เพียงแต่ว่ามันจะเกิดช้าเกิดเร็วเท่านั้น” เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วเราก็ต้องยอมรับเพราะว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา

    “เมื่อสุดมือสอยก็ต้องปล่อยมันไป” คนที่เหลือก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาใช้ชีวิตกันไปโดยไม่ประมาท เติบโตจากความผิดพลาด เฉลียวฉลาดขึ้นมาจากความทุกข์ สูญเสียอะไรก็สูญเสียไป แต่ต้องรักษากำลังใจเอาไว้ให้ดีที่สุด เพราะถ้าคุณสูญกำลังใจคุณสูญทุกอย่าง แต่หากคุณยังมีกำลังใจ คุณยังสามารถหาทุกสิ่งทุกอย่างได้ใหม่อย่างแน่นอน

    Q : น้ำท่วมจนธุรกิจล้มละลาย?

    A : อาตมาอยากให้เขาคิดเหมือน “สตีฟ จ็อบส์” เพราะจ็อบส์เคยถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองก่อตั้ง

    แต่เขาบอกว่า “เขาแค่สูญเสียบริษัทไปเท่านั้น แต่ฉันไม่ได้สูญเสียความสามารถ ภูมิสติปัญญาที่อยู่ในหัวซะหน่อย”

    ดังนั้น เขาจึงก่อตั้งบริษัทใหม่แล้วกลายเป็นซีอีโอแห่งศตวรรษ คือในรอบ 100 ปีจะมีคนอย่างเขาคนหนึ่ง

    ฉะนั้น ก็ขอให้นักธุรกิจทั้งหลายที่ประสบกับความล้มละลายในระหว่างนี้ ให้บอกตัวเองว่าเราแค่สูญเสียข้าวของเงินทองเท่านั้น แต่เราไม่ได้สูญเสียชีวิต แล้วเราก็ไม่ได้สูญเสียความสามารถของการก่อร่างสร้างตัวของเราแต่อย่างใด

    ฉะนั้น เราสามารถเริ่มต้นกันใหม่ได้ คิดแบบนี้ก็ไม่ต้องห่วงว่าเราจะไม่กลับมา “หลายคนเมื่อล้มเหลวแล้วกลับมาได้ดียิ่งกว่าเดิม เพราะว่าเขาได้เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญผ่านไปแล้ว”

    ถ้ามองแบบนี้ความล้มเหลวไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว มันกลายเป็นว่ามันทำให้เราระมัดระวังในการใช้ชีวิต ระมัดระวังในการทำธุรกิจยิ่งขึ้น ความล้มเหลวมันจะทำให้เราได้รับบทเรียนที่ดี คุณอาจจะสูญเสียธุรกิจ เงินทุน แต่ตราบใดที่คุณยังมีความสามารถนั้นอยู่ในหัว คุณเริ่มต้นได้ใหม่ทั้งหมด

    Q : กล่าวโทษหน่วยงาน รัฐบาล ข้าราชการ คนอื่นๆ เพราะไม่มีคนมาช่วยเหลือตนเองซะที

    A : สิ่งที่เราต้องเข้าใจก็คือ เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้คราวนี้มันกินพื้นที่กว้างเหลือเกินกว่า 50 จังหวัด ไม่อยากให้กล่าวโทษใคร

    ในตอนนี้อยากจะให้เราช่วยซึ่งกันและกันไปก่อน รัฐบาลคือคนไทยเหมือนกับเรา มีความปรารถนาดีที่อยากจะช่วยเหลือเกื้อกูลเหมือนกัน แต่ต้องยอมรับว่าเราต่างเดือดร้อนด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จะให้ไปกระจุกอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นการยาก ให้มองด้วยความเข้าใจดีกว่าการกล่าวโทษ

    ดังนั้น อาตมาอยากให้คิดว่าจงพึ่งตัวเองก่อนที่จะพึ่งรัฐบาล เพราะว่าเวลาน้ำไหลมามันไม่รอรัฐบาลหรือรอใครทั้งสิ้น ธรรมชาติไม่มีการเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม

    สิ่งที่เราควรจะทำก็คือ “อัตาหิ อัตตาโน นาโถ พึ่งตนก่อนพึ่งคนอื่น” ทำได้อย่างนี้แล้ว เราจะสามารถเอาตัวรอดได้ก่อนที่ความช่วยเหลือคนอื่นจะมาถึง ในส่วนของประชาชนคนไทยก็ขอโอกาสนี้เป็นการแสดงออกแห่งวัฒนธรรมแห่งน้ำใจ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทอดกฐินน้ำใจช่วยภัยน้ำท่วม

    ท่ามกลางวิกฤติ เราก็จะเห็นได้ว่าความงดงามแฝงอยู่ เราจะเห็นได้ว่าเมืองไทยเป็นเมืองแห่งการให้ เราอยู่กันมาด้วยการให้ และนี่คือวันเวลาที่จะทำให้เราให้ซึ่งกันและกัน ท่ามกลางความทุกข์ก็ยังมีความงดงามแห่งการให้ เป็นดั่งดวงดอกไม้ที่โดดเด่นอยู่ เพราะฉะนั้นเราต้องรักษาเสน่ห์น้ำใจของคนไทยตรงนี้เข้าไว้

    Q : โกรธ โมโห ด่าทอ ธรรมชาติ…?

    A : การด่าทอธรรมชาติ มันไม่ใช่อะไรหรอก เราเกิดมาเราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ มองในมุมกลับกัน เช่น ต้นไม้อาจจะด่ามนุษย์ว่าเธอตัดฉัน เธอปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ จนทำให้เกิดภาวะโลกร้อนในขณะที่เราด่าธรรมชาติ

    คุณรู้ไหมว่าธรรมชาติอาจจะด่าเรา มันไม่ช่วยอะไร แนะนำให้เราเรียนรู้จากธรรมชาติ เพราะว่าธรรมชาติคือมารดาบิดาของมนุษยชาติ มนุษย์ทุกคนคือลูกหลานของธรรมชาติ คุณไม่ควรไปด่ามารดาบิดาของคุณ ควรจะเรียนรู้จากมารดาบิดาของคุณว่าเขามีธรรมชาติอย่างไร

    พอเราเรียนรู้จากธรรมชาติได้เป็นอย่างดี เราก็จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างปลอดภัย การด่าจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา การเรียนรู้ธรรมชาติเท่านั้นถึงจะทำให้เราอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างปลอดภัย

    Q : ถ้าจะต้องมีคนผิดกับเหตุการณ์วิปโยคน้ำท่วมในครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดความเสียหาย ทั้งเศรษฐกิจ ชีวิต และสิ่งมีค่ามากมาย สุดท้ายเราควรจะกล่าวโทษโกรธใคร

    A : จงโทษตัวเองว่าทำไมไม่เรียนรู้ น้ำไม่ได้ท่วมเป็นปีแรก มันท่วมเกือบทุกปี ถ้าจะโทษก็ต้องโทษคนไทยว่าไม่ยอมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ประเทศที่ประชาชนที่ไม่ยอมเรียนรู้ประวัติศาสตร์นั้น ก็เป็นประเทศที่จะต้องมีชะตาร่วมกัน ในการเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นแหละ

    ฉะนั้น เราคนไทยจะต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์เรื่องน้ำให้ดี แล้วมาหาวิธีจัดการเสียให้ถูกต้อง วิถีนี้เท่านั้นที่จะทำให้น้ำไม่ท่วมซ้ำซาก จงอย่าหลงลืมประวัติศาสตร์

    ลุกขึ้นมาศึกษาว่า เราถูกน้ำท่วมมาแล้วกี่ครั้ง แล้วก็หาทางรับมือให้ดีที่สุด ดังนั้นพวกเราทุกคนมีส่วนร่วมทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ การกล่าวโทษไม่ช่วยอะไร มีแต่ตั้งใจเรียนรู้เท่านั้นที่จะรับมือภัยธรรมชาติได้


    ข้อมูลจาก ไทยรัฐ 25 ตุลาคม 2554

    www.tawanth.wordpress.com/2011/10/25/%e0%b8%98%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%97%e0%b8%b8%e0%b8%81%e0%b8%82%e0%b9%8c-%e0%b9%82%e0%b8%94%e0%b8%a2-%e0%b8%a7-%e0%b8%a7%e0%b8%8a%e0%b8%b4%e0%b8%a3%e0%b9%80/<!-- google_ad_section_end -->
     
  20. จันทิพา

    จันทิพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +460
    เห็นด้วยกับคุณบวรทัต

    เห็นด้วยนะคะ..ดิฉันเองก็ติดตามข้อมูลข่าวสารในเว็บพลังจิตอย่างต่อเนื่อง..
    ได้นำไปเตือนตนเอง..เตือนเด็กๆ..เตือนคนรอบข้างให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ...คนที่ไม่เชื่อก็ช่างเขา..สำหรับคนที่เชื่ออย่างดิฉันได้นำเรื่องภัยพิบัติมาเตือนตนเองอยู่เสมอ ..เตือนลูกๆ ..เตือนนักเรียนและได้โอกาสสอนพวกเขาในเรื่องไตรลักษณ์อยู่เสมอทุกครั้งที่พูดเรื่องนี้...ที่สอนยากคือ ..พวกผู้ใหญ่ค่ะ.ว่าแหนบแหนม..ว่าดิฉันหมกมุ่นกับเรื่องภัยพิบัติมากเกินไป อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด...ก็ได้แต่ปลงค่ะ...ถึงใครเขาจะว่าแต่ดิฉันยังจะเตือนคนรอบข้างต่อไป...กะว่าใกล้ๆ ปีใหม่ 2556 ดิฉันจะพิมพ์เอกสารไปแจกคนทั่วไป...ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก...ให้เขาเตรียมตัว...เขาจะเชื่อไม่เชื่อก็เรื่องของเขา...แต่ดิฉันจะพยายามทำให้ได้เท่าที่กำลังของตัวเองจะทำได้...ถ้าไม่เกิดขึ้นดิฉันก็จะขอน้อมรับความผิดไว้..แต่ถ้าเกิดขึ้นจริงแล้วดิฉันไม่ได้เตือนคนอื่นๆ ดิฉันคงเสียใจไปตลอดชีวิต...
     

แชร์หน้านี้

Loading...