คำสอนหลวงพ่อ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย wancha, 5 มกราคม 2012.

  1. wancha

    wancha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +85
    อย่ามองคนด้วยฐานะ อย่ามองคนด้วยศักดิ์ศรี อย่ามองคนด้วยความรู้ความสามารถ มองคนแต่เพียงว่า สภาพของเขาเป็นวัตถุเหมือนสภาพของเราจิตใจของเราพร้อมในการเมตตาปรานี ไม่ถือตน เขาจะมาในฐานะเช่นใดก็ช่าง ถือ ว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันหมด การกำหนดอารมณ์อย่างนี้ เราก็สามารถจะกำจัดตัว มานะ การถือตัวถือตนเสียได้.

    การที่คิดว่าเราเสมอกับเขา มันเป็นตัวทะเยอทะยาน การทีคิดว่าเราดีกว่าเขา เป็นการข่มขู่ คิดทะนงตนว่าตนเป็นใหญ่ ถ้าคิดว่าเราเสมอเขา มันก็เสียอีก เพราะบางคนเขามีจริยาเลว เราคิดว่าเรากับเขาเสมอกัน ก็ต้องพยายามเลวตามเขา ความเลวมันเป็นปัจจัยของความทุกข์ ไม่ใช่ปัจจัยของความสุขถ้าหากเขาดีกว่าเรา เราดีไม่เท่าเขา แต่เราคิดว่าเราดีเท่าเขา ก็เกิดความประมาท คิดว่าเราดีแล้ว ก็เป็นการทำลายความดีที่เราจะพึงแสวงหาต่อไป ถ้าเราคิดว่าเราเลวกว่าเขา ตอนนี้ก็เป็นการทำลายความดีของตนเอง จิตใจมันก็มีความสุขไม่ได้ เป็นอันว่าการถือตัวถือตน ว่าเราเสมอเขาก็ดี เราดีกว่าเขาก็ดี เป็นปัจจัยของความทุกข์.


    ถ้ารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดาเสียแล้ว ความอาลัยในชีวิตมันก็ไม่มีเราศึกษาพระธรรมวินัยกัน ปฏิบัติวิปัสนาธุระกันก็เพื่อความดับไม่มีเชื้อ คือ การตัดอาลัยในชีวิตเท่านั้น อารมณ์ที่จะตัดอาลัยในชีวิตได้ ก็มีอารมณ์รักธรรมดาคือยอมรับนับถือกฎของธรรมดา อย่าไปสนใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้มากนัก ไอ้เรื่องที่จะทำให้ถูกใจเราทุกอย่างมันไม่มีถ้าใจเราเลว แต่ว่าถ้าใจเราดีเสียอย่างเดียว ทุกอย่างในโลกมัน ไม่มีอะไรผิดใจเรา เพราะว่า เราทราบว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา.


    <O:p</O:p
    ความเป็นพระโสดาบันนี้มีความสำคัญอยู่ที่ศีล ถ้าหากว่าทุกท่านมีศีลบริสุทธิ์ก็ไม่ต้องกล่าวย้อนไปถึงการเคารพในพระรัตนตรัยทั้งนี้เพราะศีลมาจากพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการ การที่เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ก็แสดงว่าเป็นผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยอยู่แล้ว ฉะนั้นศีลของท่านทั้งหลายจึงบริสุทธิ์ ศีลจะบริสุทธิ์ได้ต้องอาศัย เมตตา กับ กรุณา เป็นสำคัญ และยังมีเพื่อนอีกสอง เป็นฝ่ายสนับสนุน นั่นก็คือ มุทิตา กับ อุเบกขา.


    <O:p</O:p
    ถ้าใครสามารถทรงฌานได้ดี เวลาเจริญวิปัสนาญาณนี่มันรู้สึกว่าง่ายบอกไม่ถูก เมื่อถ้าได้ฌานสี่ เต็มอารมณ์แล้ว เราจะใช้วิปัสนาญาณก็ถอยหลังมาถึงอุปจารสมาธิ เราจะต้องตัดตัวไหนล่ะ ตัดราคะ ความรักสวยรักงามเราก็ ยก อสุภกรรมฐาน ขึ้นมาเป็นเครื่องเปรียบ ยก กายคตานุสสติกรรมฐาน ขึ้นมาเป็นเครื่องเปรียบ เปรียบเทียบกันว่าไอ้สิ่งที่เรารักน่ะ มันสะอาดหรือสกปรก กำลังของณาณสี่ นี่เป็นกำลังที่กล้ามาก ปัญญามันเกิดเอง เกิดชัดมีความหลักแหลมมาก ประเดี๋ยวเดียวมันเห็นเหตุผลชัด พอตัดได้แล้วมันไม่โผล่นะ รู้สภาพยอมรับสภาพความเป็นจริงหมด เห็นคนปั๊บไม่ต่างอะไรกับส้วมเดินได้ จะเอาเครื่องห่อหุ้มสีสันวรรณะขนาดไหนก็ตามมันบังปัญญาของพวกท่านพวกนี้ไม่ได้



    <O:p</O:pไอ้ตัวสงบนี่ต้องระวังให้ดีนะ มันไม่ใช่ว่าง คำว่าสงบนี่ไม่ใช่ว่าง จิตของคนนี่ มันไม่ว่าง คือว่ามันต้องเกาะส่วนใดส่วนหนึ่ง ถ้ามันละอกุศลมันก็ไป เกาะกุศลไอ้จิตตัวที่เรียกว่าสงบก็เพราะว่า สงบจากกรรมที่เป็นอกุศล คือ อารมณ์ที่เป็นอกุศล อารมณ์ชั่ว สงบความปรารถนาในการเกิด อารมณ์สงบคือไม่คิดว่า เราต้องการความเกิดอีก และจิตก็มีความสงบ เห็นว่า สภาพร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ไอ้ตัวคิดว่าเรา ว่าของเรานี่สงบไป สงบตัวยึดถือวัตถุก็ตาม สิ่งมีชีวิตก็ตาม ว่าเป็นเรา เป็นของเรา นี่สงบตัวนี้นะ มีอารมณ์เป็นปกติอยู่เสมอ คิดว่าอัตภาพร่างกายนี้ไม่มีเรา ไม่มีของเรา และมันก็ไม่มีอะไรเป็นเราอีกหาตัวเราในนั้นไม่ได้.


    <O:p</O:p
    มาพิจารณาเห็นว่า สภาพร่างกายที่เรียกกันว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ เอาร่างกายก็แล้วกัน เห็นว่าร่างกายนี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เท่านี้พอ พยายามมองเห็นมันให้ได้ ถ้าใจมันกระสับกระส่ายไม่มั่นคง จิตจับกสิณ พอมีกสิณ มีทรงตัวดีแล้วก็กลับมาคิดกันใหม่ จนกระทั่งกำลังใจเห็นร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี วัตถุธาตุทั้งหลายก็ดี ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่นสาร จิตใจมีความรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ไม่สงสัยในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีศีลบริสุทธิ์ จิตหมดจากความกำหนัดยินดีในเพศตรงข้ามอารมณ์จะโกรธ ชาวบ้านจะเมิน คิดฆ่าใครไม่มี อารมณ์ที่จะหลงในรูปฌาน และอรูปฌานก็ไม่มี การถือเนื้อถือตัวว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขาเราเลวกว่าเขาก็ไม่มี อารมณ์จิตเป็นสุข อารมณ์ที่ซ่านคิดว่าการเป็นเทวดาหรือพรหมยังดีอยู่ไม่มี จิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์.


    <O:p</O:p
    เราตั้งใจไว้เฉพาะว่า เราต้องการพระนิพพานในชาตินี้ มานั่งใคร่ครวญว่า มนุษยโลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี เป็นดินแดนที่ไม่พ้นความทุกข์ ความทุกข์มันมีกับเราได้ทุกขณะจิต เราเป็นมนุษย์เต็มไปด้วยความร้อนความหนาว ความหิว ความกระหาย ความปวด ความเมื่อย ป่วยไข้ มีความไม่สบาย มีความตายไปในที่สุด มีกระทบกระทั่งกับอารมณ์ของชาวโลกเรื่องโลกมนุษย์ไม่ดี เทวโลกกับพรหมโลกก็พักความดีอยู่ชั่วคราว ไม่มีความหมาย ใจเราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน .


    <O:p</O:p
    การที่จะได้ดีหรือไม่ได้ดี มันอยู่ที่ความจริงใจของเราเท่านั้น การเจริญพระกรรมฐานที่บอกว่าทำแล้วไม่ได้ดี ก็เพราะคนเราหาความจริงไม่ได้นั่นเอง ไม่ใช่มีอะไรยากลำบากที่ไหน เป็นของธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงหาอะไรมาสอนเรา นอกจากนำกฏธรรมดาที่เรามีอยู่ ให้เรามาใช้ปฏิบัติให้ถูกทางเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาธิจิต เราก็ใช้กันอยู่เป็นปกติ แต่ว่าองค์สมเด็จพระชินศรีเห็นว่า สมาธิแบบนั้นเป็นโลกียสมาธิ ไม่เป็นทางหมดทุกข์ องค์สมเด็จพระบรมครูต้องการให้เรามีความสุข จึงให้ใช้สมาธิด้านกุศลจิตคิดหากุศลเข้าใส่ใจไว้เป็นประจำ ให้จิตมันจำไว้เฉพาะด้านกุศลอย่างเดียวจนเป็นเอกัคตารมณ์ เมื่อจิตทรงสมาธิได้ดีแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็สอนวิปัสนาญาน มีอริยสัจ เป็นต้น ให้พิจารณาเห็นทุกข์เหตุแห่งความทุกข์ที่มันจะมีขึ้นมาได้ก็เพราะอาศัยตัณหา มีความผูกพันในร่างกาย ซึ่งมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราก็วางร่างกายเสีย เพื่อพระนิพพาน.


    <O:p</O:p<O:p</O:p
    จงอย่าลืมว่าเราฝึกกันที่ใจ เรื่องกายนี้ไม่มีความหมาย กายมันเป็นที่อาศัยของใจ ความบริสุทธิ์ผุดผ่องจะมีขึ้นมาได้ หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ใจเป็นสำคัญ ถ้าใจดีเสียอย่างเดียว ปากก็พูดดี กายก็ทำดี ถ้าใจเลว ปากก็พูดเลว กายก็ทำเลว ฉะนั้น เวลาที่เราฝึก จะต้องใช้ มัชฌิมาปฏิปทา คือ ทำปานกลาง หมายถึงว่าทำแบบสบายๆ อารมณ์ฝืนทางกายอย่าให้มี ปล่อยกายมันไปตามปกติ มันอยากจะนอนก็ให้มันนอน มันอยากจะนั่งก็ให้มันนั่ง มันอยากจะเดินก็ให้มันเดินมันอยากจะยืนก็ให้มันยืน.


    <O:p</O:p
    การเป็นพระอรหันต์ไม่เห็นยาก คือตัดความพอใจในโลกทั้งสาม มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก ตัดราคะ ความเห็นว่ามนุษยโลกสวย เทวโลกสวย พรหมโลกสวย โลกทั้งสามไม่มีความหมายสำหรับเราเรา ไม่ต้องการ สิ่งที่เราต้องการคือพระนิพพาน มีความเยือกเย็นเป็นปกติ ไม่เห็นอะไรเป็นเราเป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทบถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีขนตกอยู่เป็นปกติคือว่าไม่มีการสะดุ้งหวาดหวั่นอันใด.


    <O:p</O:p
    จิตของเราที่ยุ่ง วาจาของเราที่เสีย กายของเราที่ไม่สำรวม ก็เพราะอาศัยจิตไม่ดี ไม่ใช้ปัญญา ไม่ใช้สัญญา สัญญาจำไว้แค่นี้ ทำจิตให้เป็นสมาธิ ปัญญามันก็เกิด ปัญญาก็พิจารณา เห็นคนเมื่อไร เห็นสัตว์เมื่อไร มีความรู้สึกทันที ว่าร่างกายของคนและสัตว์ทั้งหมดเต็มไปด้วยความสกปรก ความผูกพันกระสันอยากได้ปรารถนาจะสัมผัสไม่มีในจิต ให้จิตมันทรงสภาพเช่นนี้เห็นคนเหมือนกับเห็นซากศพ เห็นคนเหมือนกับเห็นของเน่าเปื่อย เห็นคนเหมือนกับว่า เห็นสิ่งที่เขาบรรจุอุจจาระปัสสาวะไว้เต็ม เท่านี้จิตก็จะไม่ยึดมั่นไม่ผูกพันในรูปกายใดๆทั้งหมด.



    <O:p</O:p
    เราเกิดมาเพื่อประสบกับความทุกข์ คนที่เกิดมาแล้วทุกคนจะไม่มีทุกข์ เป็นไม่มี ถ้าหากว่าเรายังยึดถือว่าร่างกายเป็นของเรา ทรัพย์สินเป็นของเรา ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเป็นของเรา อารมณ์ทุกข์มันก็เกิด เกิดเพราะว่า เราเกาะ ที่เรียกว่า อุปาทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โลกธรรมแปดประการ คือ มีลาภ ดีใจ ลาภสลายตัวไปเสียใจ มียศดีใจ ยศสลายตัวไปเสียใจ มีความสุขใน กามดีใจ ความสุขหมดไปร้อนใจ ได้รับคำนินทาเดือดร้อน ได้รับคำสรรเสริญ มีสุข องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำให้พวกเราใช้อารมณ์คิดอยู่เสมอว่า ทุกข์นี้เป็นกฏธรรมดาของโลก ทุกอย่างเราทำงานตามหน้าที่.


    <O:p</O:p
    พระโสดาบัน ไม่สงสัยในคำสั่งและคำสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำสั่งก็ได้แก่ ศีล คำสอนก็ได้แก่ จริยาอันหนึ่งที่เราเรียกกันว่า ธรรมะ เป็นความประพฤติดีประพฤติชอบ ศีล พระพุทธเจ้าสั่งให้ละตามสิกขาบทที่กำหนด ธรรมะคำสอนทรงแนะนำว่า จงอย่าทำอย่างนี้จะมีความสุขทั้งคำสั่งก็ดี ทั้งทำสอนก็ดี พระโสดาบัน มีความเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย.
    <O:p</O:p


    ให้พยายามใคร่ครวญเสมอๆว่า สังขารนี้มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้ว ต่อไปก็แตกสลายทำลายไปหมด ไม่มีสังขารประเภทใดเหลืออยู่ พยายามหาเหตุผลในคำสอนนี้ให้ชัด ดูตัวอย่างคนที่เกิดแล้วตายของที่มีขึ้นแล้วแตกทำลาย ดูแล้วคิดทบทวนมาหาตน และคนที่รักและไม่รักของที่มีชิวิต และไม่มี คิดว่านี่ไม่ช้า ก็ต้องตายทำลายอย่างนี้ และพร้อมเสมอที่จะไม่หวั่นไหว ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างนั้น พิจารณาทบทวนอยู่อย่างนี้จนอารมณ์เห็นเป็นปกติ ได้อะไรมา เห็นอะไรก็ตามแม้แต่เห็นเด็กเกิดใหม่ อารมณ์ใจ ก็คิดว่านี่ไม่ช้ามันก็พัง ไม่ช้ามันก็ทำลาย แม้แต่ร่างกายเรา ไม่ช้ามันก็สิ้นลมปราณ อะไรที่ไหนที่เราคิดว่ามันจะยั่งยืนถาวรตลอดกาลไม่มี รักษาอารมณ์ให้เป็นอย่างนี้.


    <O:p</O:p
    องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า แนะนำให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ทรงกำลังใจไว้เพื่อพระนิพพาน ว่าการเกิดในคราวนี้ ถือว่าเป็นการเกิดในวาระสุดท้ายที่สุดในชีวิตของเรา ว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็ดีเป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี ไม่เป็นแดนพ้นความทุกข์ ไม่สามารถจะทรงความสุขได้อย่างจริงจัง ในเมื่อความสุขมันทรงไม่ได้อย่างจริงจัง เราก็ไม่ต้องการมัน แดนที่มีความสุข มีความสำราญอย่างยิ่ง ที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงนั่นก็คือ แดนของพระนิพพาน.


    <O:p</O:p
    ท่านทั้งหลายจงอย่าประมาทกับชีวิต เพราะว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยงแต่ความตายเป็นของเที่ยง ขอทุกท่านจงคิดไว้เสมอว่า อย่างไรก็ดี เราต้องตายแน่ สำหรับเวลาการตายของเราไม่มีแน่นอน เพราะความตายไม่มีนิมิตเครื่องหมาย ท่านทั้งหลายจงประกอบแต่กรรมดีเข้าไว้ถ้าใครสร้างความชั่ว ตายแล้วจะไปสู่อบายภูมิ มีนรกเป็นต้นเกิดมาเป็นคนก็จะมีแต่ความเร่าร้อน มีแต่ความลำบาก แต่ถ้าคนใดสร้างความดี คิดถึงความตาย ไม่ประมาทในชีวิต คิดไว้เสมอว่าเราจะต้องตายแน่ จงอย่าคิดว่าวันพรุ่งนี้ หรือ เดือนหน้า ปีหน้า เดือนโน้น เราจึงจะตายคิดไว้เสมอว่า วันนี้เราอาจจะตาย แล้วก็สร้างความดีเข้าไว้ความดีจะส่งผลให้ท่านมีความสุขทั้งในปัจจุบันและสัมปรายภพ.

    ภาพพุทธประวัติ

    [​IMG]

    "ดูกรภิกษุทั้งหลายไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบ
    ความสุขชนิดนี้สามารถหาได้ด้วยตัวเรานี้เอง
    ตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่น
    เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลย
    มนุษย์ได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นไว้เพื่อให้ตัวเองวิ่งตามแต่ก็ตามไม่เคยทันการแสวงหาความสุขโดยปล่อยใจให้ไหลเลื่อนไปตามอารมณ์ที่ปรารถนานั้น
    เป็นการลงทุนที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อยเหมือนบุคคลลงทุนวิดน้ำในบึงใหญ่เพื่อต้องการปลาเล็กๆเพียงตัวเดียว
    มนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกามเรื่องกินและเรื่องเกียรติ
    จนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่ง
    ซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลาสิ่งนั้นคือดวงจิตที่ผ่องแผ่ว
    เรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรน
    เรื่องกินเป็นเรื่องที่ต้องแสวงหาเรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกไว้
    ภาระที่ต้องแบกเกียรติเป็นเรื่องที่ใหญ่ยิ่งของมนุษย์ผู้หลงตนว่าเจริญแล้ว
    ในหมู่ชนที่เพ่งแต่ความเจริญทางด้านวัตถุนั้นจิตใจของเขาเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา
    ไม่เคยประสบความสงบเย็นเลย
    เขายินดีที่จะมอบตัวให้จมอยู่ในคาวของโลกอย่างหลับหูหลับตา
    เขาพากันบ่นว่าหนักและเหน็ดเหนื่อย
    พร้อมๆกันนั้นเขาได้แบกก้อนหินวิ่งไปบนถนนแห่งชีวิตอย่างไม่รู้จักวาง"

    “ดูกร ภิกษุทั้งหลาย!บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายของเราแล้ว
    เราขอเตือนเธอทั้งหลายให้จำมั่นไว้ว่า
    สิ่งทั้งปวงมีความเสื่อมและสิ้นไปเป็นธรรมดา
    เธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มกราคม 2012
  2. เกิดมานาน

    เกิดมานาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2009
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +2,547
    สาธุ ที่สุดแล้ว นี่คือที่สุดเห่งธรรมที่ชี้ให้ทุกๆท่านไปพระนิพพาน ลูกขอกราบ กราบ กราบ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  3. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260

    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ

    เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่
    เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา
    และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่านเพื่อเป็นธรรมทาน

    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่www.tangnipparn.com<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    <O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา

    [​IMG]</O:p>
     
  4. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    สาธุ สาธุ คำสอนนี้มาได้จังหวะเวลาพอดี
    เหมือนได้รับคำตอบที่ค้างคาในใจ ขอขอบพระคุณค่ะ
     
  5. bcbig_beam

    bcbig_beam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,821
    ค่าพลัง:
    +3,247
    ขอกราบโมทนาในธรรมทานด้วยครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  6. Santajitto

    Santajitto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2010
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +455
    อนุโมทนา สาธุ
    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
     
  7. auychaiqc

    auychaiqc เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +135
    ธรรมใดที่พระองค์ได้รู้แจ้งแล้วเพื่อความหลุดพ้นทั้งปวงลูกขอให้ลูกรู้แจ้งเพื่อความหลุดพ้นเฉกเช่นเดียวกับกับพระองค์ในชาตินี้ด้วยเทิอญ กราบ กราบ กราบ,สาธุ สาธุ สาธุ.
     
  8. srtumsrtum

    srtumsrtum Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2009
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +44
    สาธุ สาธุ สาธุ ขอกราบอนุโมทนาบุญเป็นอย่างสูงครับ
    ธรรมใดที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อทรงเข้าถึง ลูกขอเข้าถึงซึ่งธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้เทอญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...