กลุ่มชนคนดูดวง

ในห้อง 'ดูดวง และ ทำนายฝัน' ตั้งกระทู้โดย คนดูดวง, 17 มีนาคม 2011.

  1. Akana

    Akana สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +3
    ส่งข้อความส่วนตัวไปให้แล้วค่ะ รบกวนดูให้ด้วย แต่ไม่รู้ส่งถูกไหม เพราะไม่เคยส่งค่ะ
    ถ้าไม่ได้ รบกวนแจ้งนิดนึงได้ไหมคะ จะได้พยายามส่งให้ใหม่

    ได้รับแล้วค่ะ ขอบคุณมาก จะพยายามทำใจ และอดทด ทุกวันนี้ก็พยายามสวดมนต์ พยายามทำบุญตามโอกาสพิเศษต่างๆ ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2012
  2. เสขบุคคล

    เสขบุคคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,280
    ค่าพลัง:
    +5,423
    วัดราชสิทธาราม ราชวรวิหาร

    เป็นวัดที่มีการสอนกัมมัฏฐานแนวมัชฌิมา ที่รักษาแบบดั้งเดิมสมัยสมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน ในยุคต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีพิพิธภัณฑ์เก็บรักษาของเก่าแก่มีค่านับตั้งแต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวราชกาลที่ ๑เป็นต้นมาด้วย
    เสขบุคคลและเพื่อนๆไปปฏิบัติธรรมตามแนวที่ท่านสอน และสวดมนต์ในคืนวันที่ ๓๑ ธ.ค. ๕๔ มา บุญใดกุศลใดที่เกิดขึ้นของผม ก็ขอให้เวปพลังจิต ผู้ดูแลและทีมงาน ตลอดถึงท่านผู้อ่านทุกๆท่านมีความสุขและได้รับบุญนั้นด้วยนะครับ

    และหากท่านใดอยากไปปฏิบัติหรือไปทำบุญก็ขอแนะนำว่าไม่ผิดหวังครับ สถานที่สงบ เงียบ ไม่มีผู้คนพลุกพล่านมากนัก และมีพระผู้ทรงความรู้และความเมตตาคอยให้การแนะนำและสอนวิธีการปฏิบัติให้ด้วย ก็ขอให้ท่านที่สนใจจะหาที่ไปปลีกวิเวกก็ลองไปที่วัดราชสิทธาราม คณะ ๕ ดูนะครับ
    ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ พระครูสิทธิสังวร คณะ ๕ โทร. ๐๘๔-๖๕๑-๗๐๒๓ หรือ Somdechsuk.org

     
  3. เสขบุคคล

    เสขบุคคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,280
    ค่าพลัง:
    +5,423
    จริต ๖

    ขอตอบคำถามขอท่านที่ถามมาเรื่องจริต แบบกลางๆ ตามที่ผมได้ศึกษามานะครับ


    จริตในด้านโหราศาสตร์มี ๘ อย่าง
    ปัญญาจริต(๑) มารยาจริต(๒) โทสจริต(๓) ศรัทธาจริต(๔) พุทธิจริต(๕) ราคจริต(๖) วิตกจริต(๗) โมหจริต(๘)




    จริตในด้านพุทธศาสตร์มี ๖ อย่าง
    ๑. ราคจริต
    ๒.โทสจริต
    ๓. โมหจริต
    ๔. วิตกจริต
    ๕. ศรัทธาจริต
    ๖. พุทธิจริต
    ดูรายละเอียดที่ กลุ่มชนคนดูดวง

    ตามแนวการศึกษาที่ผมได้เรียนมานั้นโมหจริตหรือคนที่มีจิตที่เป็นโมหจิตนั้น ไม่สามารถเกิดร่วมด้วยกับโสภณจิตคือจิตที่เป็นฝ่ายกุศลได้ ดังนั้นอกุศลจิตจะเกิดพร้อมกับจิตที่เป็นกุศลในขณะเดียวกันไม่ได้ (โมหจริตกับปัญญาวิมุติหรือเจโตวิมุติ เกิดร่วมกันไม่ได้)

    โมหจิตมีอยู่แค่ ๒ ดวงแต่โมหะ ๒ ตัวนี้เป็นตัวการทำให้จิตของเราเกิดความโลภ ความอยากได้ ทำให้เกิดความปฏิฆะ ขุ่นข้องหมองใจ มีความโกรธได้ สรุปคือ เจ้าโมหะเป็นตัวร้ายทำให้ราคะเกิด โทสะเกิด ความมืดสามารถบดบังสรรพสิ่งได้ทั้งสิ้น อวิชชาคือความไม่รู้ ทำให้ปัญญามืดบอด หากไม่ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ไม่อาจพ้นจากอำนาจโมหะนี้ไปได้

    การไม่ศึกษาพระวินัย ทำให้เราทำผิดกับพระได้ ของเพียงเล็กๆน้อยๆก็ทำให้พระท่านต้องอาบัติแล้ว ดังนั้นการศึกษาพระวินัยก็จะทำให้เราไม่ไปทำให้พระท่านลำบาก

    การศึกษาพระสูตรทำให้เรามีบุคคลที่ทำความดีและความชั่วเป็นตัวอย่าง ทำให้เรารู้ถึงบุญ บาปต่างๆ

    ดังนั้นพระไตรปิฏกหรือเรื่องศาสนาไม่ใช่แค่ให้พระท่านศึกษาและปฏิบัติเท่านั้น เป็นหน้าที่ของพุทธบริษัท ๔ ที่ควรศึกษา มากบ้างน้อยบ้างก็ค่อยๆเรียนรู้กันไป ศาสนาจะได้ยืนยาว อย่างน้อยก็เป็นประโชน์แก่ผู้ศึกษาหรือผู้ปฏิบัติเอง ดังที่พระองค์ทรงชี้ทางไว้ ท่านเป็นเพียงแต่ผู้สอน ผู้บอกทาง ใครเดินตามก็จะได้รับความสุขดังท่านสอน
     
  4. เสขบุคคล

    เสขบุคคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,280
    ค่าพลัง:
    +5,423
    พฤติกรรมแรงดึงดูด

    จากคำถามเรื่องเนื้อคู่เสียในดวงมีวิธีแก้ดวงอย่างไร

    วิธีแก้ตามหลักพุทธฯ คือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตนเอง หากเรารู้ว่าดวงเนื้อคู่ของเรามันไม่ดี มีโอกาสที่จะเกิดปัญหาในการดำเนินชีวิตคู่ บางคนปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากแฟนหรือคู่ชีวิตของตนเลยก็มี แต่เป็นตัวเองนั้นแหละที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความยุ่งยาก ไม่สงบ และเกิดปัญหาจุกจิก ขึ้นเพราะอุปนิสัยและพฤติกรรมของตัวเราเองนี่ละ บางคนอาจจะเกิดความหงุดหงิด รำคาญใจบ่อยๆ ไม่มีเหตุมีผล เป็นอันว่าโดยรวมก็คือ เรานั่นเองเป็นผู้ที่กระทำตนเองให้เหมือนเป็นแรงผลักดัน ด้วยเหตุที่ความคุ้นเคย เพราะอยู่ร่วมกันมาเป็นระยะเวลานานๆ ความเกรงใจกันมันก็เลยลดน้อยลงบ้าง อุปนิสัยที่เคยทนกันได้ก็เลยค่อยๆหมดไปและไม่มี จากที่เคยเป็นคนเงียบๆอะไรๆก็ได้ นานวันไปก็แปลงร่าง กลายเป็นพวกขี้บ่น ขี้โมโห โววาย ทำอะไรมักตามใจตัวเอง ก็เลยทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน จนเป็นเหตุทำให้เกิดความห่างเหินกันไปทีละน้อย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปเจอคนที่เขาเอาอกเอาใจกว่า ก็แย่เลยละครับ ดังนั้นหากเราต้องการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืนของชีวิตคู่ ก็ต้องหมั่นดูแลและทำตนเองให้เกิดแรงดึงดูดไว้เสมอๆ อะไรที่ดีๆที่เคยทำ ก็รักษามันไว้ เวลาโกรธก็ทำความรู้สึกตัวให้ได้เร็วๆและรีบแก้ไขเสีย ดังนั้นการจะแก้ดวงนั้นไม่ต้องไปเสียเงินเสียทองอะไร ไม่ต้องไปทำพิธีตัดเคราะห์ตัดกรรมอะไรที่ไหนนะครับ ทำที่ตัวเรานี่ละครับ
     
  5. ปรมัตถธรรม

    ปรมัตถธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2012
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +43
    ยินดีที่ได้รู้จัก เจริญธรรม สาธุ สาธุ อนุโมทนาบุญด้วยคน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2012
  6. เสขบุคคล

    เสขบุคคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,280
    ค่าพลัง:
    +5,423
    ผลของการทำบาป(อกุศลกรรมบท ๑๐)

    ผลที่อกุสลกรรมบถ ๑๐ ส่งให้ในปวัตติกาล(ขณะที่ยังดำรงชีวิตอยู่)


    ผลในปวัตติกาลของปาณาติบาต(มีการฆ่าสัตว์เป็นต้น) มี ๙ ประการ คือ


    ๑. ทุพพลภาพ
    ๒. รูปไม่งาม
    ๓. กำลังกายอ่อนแอ
    ๔. กำลังกายเฉื่อยชา
    ๕. เป็นคนขลาด
    ๖. ฆ่าตนเอง หรือถูกฆ่า
    ๗. โรคภัยเบียดเบียน
    ๘. ความพินาศของบริวาร กำลังปัญญาไม่ว่องไว
    ๙. อายุสั้น





    ผลในปวัตติกาลของอทินนาทาน(ลักขโมยเป็นต้น) มี ๖ ประการ คือ


    ๑. ด้อยทรัพย์
    ๒. ยากจน
    ๓. อดอยาก
    ๔. ไม่ได้สิ่งที่ตนปรารถนา
    ๕. พินาศในการค้า
    ๖. ทรัพย์พินาศเพราะอัคคีภัย อุทกภัย ราชภัย โจรภัยเป็นต้น



    ผลในปวัตติกาลของกาเมสุมิจฉาจาร(ผิดในกาม) มี ๑๑ ประการ คือ


    ๑. มีผู้เกลียดชังมาก
    ๒. มีผู้ปองร้ายมาก
    ๓. ขัดสนทรัพย์
    ๔. ยากจนอดอยาก
    ๕. เป็นหญิง
    ๖. เป็นกระเทย
    ๗. เป็นชายในตระกูลต่ำ
    ๘. ได้รับความอับอายเป็นอาจิณ
    ๙. ร่างกายไม่สมประกอบ
    ๑๐. มากไปด้วยความวิตกห่วงใย
    ๑๑. พลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก



    ผลในปวัตติกาลของมุสาวาท (กล่าววาจาเท็จ)มี ๘ ประการ คือ


    ๑. พูดไม่ชัด
    ๒. ฟันไม่เป็นระเบียบ
    ๓. ปากเหม็นมาก
    ๔. ไอตัวร้อนจัด
    ๕. ตาไม่อยู่ในระดับปกติ
    ๖. กล่าววาจาด้วยปลายลิ้น และปลายปาก
    ๗. ท่าทางไม่สง่าผ่าเผย
    ๘. จิตไม่เที่ยงคล้ายวิกลจริต


    ผลในปวัตติกาลของปิสุณาวาท (สอดเสียด ทำให้แตกแยก)มี ๔ ประการ คือ

    ๑. ตำหนิตนเอง
    ๒. มักจะถูกลือโดยไม่มีความจริง
    ๓. ถูกบัณฑิตตำหนิติเตียน
    ๔. แตกมิตรสหาย


    ผลในปวัตติกาลของ ผรุสวาท(หยาบคาย) มี ๔ ประการ คือ

    ๑. พินาศในทรัพย์
    ๒. ได้ยินเสียง เกิดไม่พอใจ
    ๓. มีกายและวาจาหยาบ
    ๔. ตายด้วยอาการงงงวย




    ผลในปวัตติกาลของสัมผัปปลาป(พูดเพ้อเจ้อ) มี ๔ ประการ คือ

    ๑. เป็นอธัมมวาทบุคคล
    ๒. ไม่มีผู้เลื่อมใสในคำพูดของตน
    ๓. ไม่มีอำนาจ
    ๔. จิตไม่เที่ยง คือ วิกลจริต


    ผลในปวัตติกาลของอภิชฌา(ความเพ่งเล็ง อยากได้) มี ๔ ประการ คือ


    ๑. เสื่อมในทรัพย์และคุณงามความดี
    ๒. ปฏิสนธิในตระกูลต่ำ
    ๓. มักได้รับคำติเตียน
    ๔. ขัดสนในลาภสักการะ


    ผลในปวัตติกาลของพยาบาท มี ๔ ประการ คือ

    ๑. มีรูปทราม
    ๒. มีโรคภัยเบียดเบียน
    ๓. อายุสั้น
    ๔. ตายโดยถูกประทุษร้าย


    ผลในปวัตติกาลของมิจฉาทิฏฐิ(มีความเห็นผิด) มี ๔ ประการ คือ

    ๑. ห่างไกลรัศมีแห่งพระธรรม
    ๒. มีปัญญาทราม
    ๓. ปฏิสนธิในพวกคนป่าที่ไม่รู้อะไร
    ๔. เป็นผู้มีฐานะไม่เทียมคน



    ผลในปวัตติกาลของการเสพสุราเมรัย มี ๖ ประการ คือ
    ๑. ทรัพย์ถูกทำลาย
    ๒. เกิดวิวาทบาดหมาง
    ๓. เป็นบ่อเกิดของโรค
    ๔. เสื่อมเกียรติ
    ๕. หมดยางอาย
    ๖. ปัญญาเสื่อมถอย


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2012
  7. เสขบุคคล

    เสขบุคคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,280
    ค่าพลัง:
    +5,423
    ปลิโพธ

    ปลิโพธ

    ผู้ปรารถนาที่จะเจริญกัมมัฏฐาน จะเป็น สมถกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน ก็ตาม เบื้องต้นจะต้องตัด ปลิโพธ คือเครื่องกังวลใจต่าง ๆ อันเป็นสิ่งที่ทำให้ ห่วงใย เป็นกังวล ไม่สงบระงับ ไม่สามารถที่จะตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์กัมมัฏฐานนั้น ๆ ได้ ปลิโพธ มี ๑๐ ประการ คือ


    . อาวาสปลิโพธ ห่วงที่อยู่ที่อาศัย เช่น เป็นภิกษุก็ห่วงไปว่า ถ้าไปเจริญกัมมัฏฐานเสีย ก็จะมีภิกษุอื่นมาอยู่กุฏิแทน เมื่อกลับไปก็จะไม่มีที่อยู่ มิฉะนั้นก็เกรงไปว่า ฝนจะรั่ว ปลวกจะขึ้น

    . กุลปลิโพธ ห่วงบริวารว่านเครือ ตลอดจนผู้อุปถัมภ์ ผู้อุปัฏฐาก เกรงว่าจะห่างเหินขาดตอนกันไปเสีย

    . ลาภปลิโพธ ห่วงรายได้ เกรงว่าลาภผลที่ตนเคยได้อยู่ จะลดน้อยหรือเลื่อนลอยไปเลย

    . คณปลิโพธ ห่วงพวกพ้อง ลูกน้อง ลูกศิษย์ และมิตรสหายที่เคยสั่งสอน ช่วยเหลือ พึ่งพาอาศัยกันอยู่

    . กัมมปลิโพธ ห่วงการงานที่กำลังทำค้างอยู่ หรือที่จะลงมือทำในเร็ววันนี้ เช่น ปลูกบ้าน ปลูกเรือน ขุดบ่อ ก่อศาลา สร้างโบสถ์ วิหาร การเปรียญ เป็นต้น

    . อัทธานปลิโพธ ห่วงการเดินทางไกล กะไว้ว่าจะไปโน่นไปนี่ ต้องมีเวลาเตรียมตัว เตรียมข้าวของ ทองเงินต่าง ๆ

    . ญาติปลิโพธ ห่วงพ่อแม่ ลูกเมีย พี่น้อง ครูบาอาจาารย์ จะขาดผู้ปรนนิบัติ หรือผู้ปกครองดูแลอุ้มชู

    . อาพาธปลิโพธ ห่วงว่ากำลังไม่สบายอยู่ หรือฤดูนี้เคยไม่สบาย เกรงว่าจะเกิดเจ็บป่วยขึ้น กลัวจะเป็นลมเป็นไข้ต่าง ๆ นานา

    . คันถปลิโพธ ห่วงการศึกษาเล่าเรียน ถ้าไปเจริญกัมมัฏฐานเสียเกรงว่าจะเรียนไม่ทันเขา สู้เขาไม่ได้ ถ้าเป็นครูอาจารย์ ก็ห่วงการสอนศิษย์

    ๑๐. อิทธิปลิโพธ ห่วงการแสดงอิทธิฤทธิต่าง ๆ อันการแสดงฤทธิหรืออภินิหารต่าง ๆ นั้นจำเป็นต้องบริหารอยู่เนือง ๆ ต้องหมั่นอบรมสมาธิให้มั่นคงอยู่เสมอ ถ้าละทิ้งไปนานนัก อาจเสื่อมไปจนไม่สามารถแสดงฤทธิ์ได้เฉพาะอิทธิปลิโพธนี้ เป็นเครื่องกังวลแก่การวิปัสสนาแต่ฝ่ายเดียวเท่านั้น หาได้เป็นเครื่องกีดขวางทางสมถะไม่ เพราะการทำสมาธิยิ่งมากเท่าใดก็ยิ่งเป็นประโยชน์แก่สมถะมากเท่านั้น ส่วนการเจริญวิปัสสนา ถ้าสมาธิแก่กล้าเกินไป ก็ทำให้อินทรียไม่เสมอกัน วิปัสสนาไม่สามารถจะเกิดได้ เมื่อมีความตั้งใจเจริญภาวนา คือ เจริญกัมมัฏฐาน จนถึงกับตัดเครื่องกังวลใจดังที่ได้กล่าวนี้ได้แล้ว ยังจะต้องพิจารณาธรรมอีกหลายประการที่เรียกว่า สปายะ เสียก่อน ดังจะกล่าวต่อไปนี้
     
  8. เสขบุคคล

    เสขบุคคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,280
    ค่าพลัง:
    +5,423
    สัปปายะ

    สัปปายะ แผลงมาเป็น สปายะ คือ สบาย นั่นเอง หมายถึงธรรมอันเป็นที่สบายที่เหมาะสมแก่การเจริญกัมมัฏฐาน อันเป็นส่วนหนึ่งซึ่งอุปการะให้มีความสงบระงับ ทำให้เกิดสมาธิได้ง่าย สปายธรรมมีหลายประการ จำแนกเป็น ๔ บ้าง เป็น ๕ บ้าง ในที่นี้ขอกล่าวว่ามี ๗ ประการ คือ

    . ที่อยู่อันเป็นที่สบาย ไม่ใกล้ทางสัญจรไปมา ไม่ใกล้บ่อน้ำ อันจะเกิดความรำคาญจากผู้คนไปมาจอแจพูดจากันจ้อกแจ้กไม่ขาดสาย แต่ควรเป็นสถานที่ที่วิเวก สงัดจากสิ่งที่รบกวนความสงบ และมีรั้วรอบขอบชิด ไม่ต้องห่วงเรื่องคนร้าย

    . ทางเดินอันเป็นที่สบาย หมายถึงทางที่จะเดินจงกรม ก็สะดวกสบาย ไม่ถูกแดดมากนัก ทางไปบิณฑบาตทั้งเที่ยวไปและเที่ยวกลับ ก็ไม่ต้องเดินทวนตะวันให้แดดส่องหน้าแสงเข้าตา เพราะการถูกแดดมาก ก็จะทำให้เกิดทุกขเวทนา อันเป็นปฏิปักษ์กับสมาธิ

    . การฟังการพูดอันเป็นที่สบาย หมายความว่า ควรฟังหรือควรพูดในเรื่องที่จะโน้มน้าวจิตใจให้เกิด สัทธา วิริยะ และความสงบระงับ อันจะเป็นคุณแก่การเจริญกัมมัฏฐาน ให้เว้นการฟังการพูดที่ไม่เป็นสปายะนั้นเสีย

    . บุคคลเป็นผู้ที่สบาย หมายถึงบุคคลที่จะติดต่อคบหา ควรเป็นผู้ที่มั่นในสีลธรรมชักจูงแนะนำไปในทางที่ให้เกิดความมักน้อย ความเพียร ความสงบระงับ ยิ่งเป็นผู้ที่เคยเจริญกัมมัฏฐานมาแล้ว ก็ยิ่งจะ
    เป็นคุณมาก ให้เว้นจากบุคคลที่ฟุ้งซ่านและมากไปในทางกามารมณ์ ในทางโลกียสุข

    . ฤดูอันเป็นที่สบาย หมายถึง ความร้อนความเย็นของอากาศตามฤดูกาล เช่น บางฤดูก็ร้อนจัดมาก บางฤดูก็หนาวเสียเหลือเกิน หรือ กลางวันร้อนจัด แต่กลางคืนก็เย็นมากจนถึงกับหนาว อย่างนี้คงไม่สบายแน่ อาจเกิดเจ็บป่วยได้ง่าย จำต้องเลือกให้เหมาะสมแก่ความเคยชินของตนที่พอจะทนได้

    . อาหารอันเป็นที่สบาย หมายถึงว่า ควรบริโภคแต่อาหารที่จะเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ร่างกายเป็นประมาณโดยไม่ต้องคำนึงถึงรสของอาหาร แม้รสจะดีแต่ว่าเสาะท้องหรือทำให้ท้องขึ้นท้องเฟ้อ ก็ควรงดเสีย เฉพาะภิกษุควรพิจารณาด้วยว่าตำบลนั้น อัตคัดขาดแคลนจนถึงกับบิณฑบาตได้ไม่พอขบฉันหรือไม่ด้วย ส่วนผู้ที่มีผู้ส่งเสียอาหาร ก็ให้ทำความเข้าใจว่าอาหาร ที่เป็นชิ้นใหญ่ก็ให้หั่นให้เล็กพอควร ที่เป็นผักก็ตัดหรือม้วนให้พอดีคำที่มีกระดูกหรือก้างก็ให้จัดการเอาออกเสียให้หมดด้วย

    . อิริยาบถอันเป็นที่สบาย หมายถึง อิริยาบถ ๔ เดิน ยืน นั่ง นอน อิริยาบถใดทำให้จิตคิดพล่านไป ไม่สงบ ก็แสดงว่าอิริยาบถนั้นไม่เป็นที่สบาย จึงไม่ควรใช้อิริยาบถนั้น แต่เมื่อจำเป็นก็ให้ใช้แต่น้อย มีข้อที่ควรระวังในอิริยาบถนอนอยู่ว่า นอนเพื่อกำหนด หรือเพราะร่างกายต้องการพักผ่อนอย่างแท้จริง ไม่ใช่นอนด้วยอำนาจแห่งโกสัชชะ เพราะหน่ายจากความเพียร
     
  9. เสขบุคคล

    เสขบุคคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,280
    ค่าพลัง:
    +5,423
    ศึกษาพระอภิธรรม ออนไลน์

    การศึกษาพระอภิธรรมก่อให้เกิดประโยชน์เป็นอันมากแก่ผู้ศึกษาเอง ทำให้เราสามารถรับรู้ถึงพระปัญญาธิคุณอันยิ่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราจะรู้ว่าจิตของเรานั้นเป็นไปตามกระแสใดๆ ทำให้เห็นโลกอย่างกว้างใหญ่ไพศาล และเป็นเหตุให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา หากท่านใดสนใจการศึกษาลองไปดูที่ เรียนอภิธรรมเบื้องต้น ครั้งที่ ๑ วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๔
    หากท่านมีปัญญากุศลมาแล้วจะมากหรือน้อยก็ตาม อาจได้รับประโยชน์อย่างใดตามสมควรแก่ตน
    พระอาจารย์ ทวี เกตุธมฺโม ท่านสอนพระอภิธรรมมา ๑๔ ปี แล้วครับ(ขณะนี้บวชได้พรรษา ๑๘)ท่านมีความเชี่ยวชาญและสอนให้เข้าใจเนื้อหาพระอภิธรรมแบบง่ายๆในลักษณะของท่าน ผมขอเเนะนำดูนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2012
  10. เสขบุคคล

    เสขบุคคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,280
    ค่าพลัง:
    +5,423
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=4YPHNpzf3-4]เรียนอภิธรรม38(541212).wmv - YouTube[/ame]
    พระอาจารย์ สอนพระอภิธรรม ครับ
     
  11. เสขบุคคล

    เสขบุคคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,280
    ค่าพลัง:
    +5,423
    สนใจเรื่องการปฏิบัติกัมมัฏฐานอย่างถูกวิธิคลิ๊ก
    กัมมัฏฐานสังคหวิภาค

    ถ้าสนใจเรื่องกรรม และภพภูมิของสัตว์ ที่จะไปเกิดตามแต่ผลของกรรมคลิ๊ก

     
  12. ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2008
    โพสต์:
    3,278
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,494
    ทางเว็บจะลบและแบนสมาชิกที่ก่อกวนกระทู้เหมือนอย่างเคย ๆ มา มีอะไรขัดแย้งกันควรพูดคุยตกลงกันด้วยดี ดีกว่าก่อกวนกัน

    พบเห็นสมาชิกวางลิ้งค์ก่อกวน กดปุ่มแจ้ง ทางเว็บจะแบนสมาชิกที่ทำซ้ำ ๆ เช่นนั้น เพราะเตือนไปหลายครั้งแล้ว
     
  13. amino66

    amino66 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2012
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    pm ไปแล้วนะครับชี้ชัดให้ความสว่างด้วยนะครับ
     
  14. เสขบุคคล

    เสขบุคคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,280
    ค่าพลัง:
    +5,423
    จากการดูดวงมาหลายปี หากพิจารณาแล้วจะเห็นว่า ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วไม่มีปัญหา หรือไม่มีความทุกข์ ไม่มีอุปสรรคใด นั้นหาไม่มีเลยสักคน
    ปัญหาหรืออุปสรรคของชีวิตเป็นเครื่องพิสูจน์คน ว่าบุคคลนั้นจะเกิดปัญญาในการแก้ไขปัญหาหรือตัวทุกข์นั้นได้อย่างไร หากชีวิตเราเต็มไปด้วยความราบรื่น ไม่มีความทุกข์ ไม่มีสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางเลย ชีวิตมันก็จะไม่เกิดการกระตือรือร้น ดิ้นรน ขวนขวาย หรือใช้ปัญญา
    ดังนั้นอุปสรรคของชีวิต หรือปัญหาใดๆที่เกิดแก่ตัวเรา บางครั้งเราคิดว่ามันทนได้ยากและหนักหนาเหลือเกินนั้น ตามจริงแล้วหากเรามองย้อนอดีตกลับไปถึงเรื่องต่างๆที่เกิดกับเราในทางที่ไม่ดี จะเห็นว่านั่นก็คือเรื่องเล็กๆน้อยๆ เราผ่านมาได้ ไม่ว่าปัญหาจะมากหรือน้อย มันก็ผ่านพ้นมาได้ แล้วทำไมเราจะเอาชนะมันอีกไม่ได้
    การใช้เหตุผลมากกว่าการใช้อารมณ์ จะแก้ปัญหาต่างๆได้ หากปัญหาเกิดแล้วเราใช้ความเป็นสมาธิ กำหนดจิตให้สงบ เมื่อจิตสงบย่อมเกิดปัญญา ฉะนั้นเราจึงควรรู้จักใฝ่หาความสงบด้วยการฝึกสมาธิไว้เสมอๆ ไม่ควรรอให้ทุกข์ก่อนแล้วจึงมาทำสมาธิ การทำสมาธิจะให้ได้ผลดีหรือจะทำบุญใดๆก็ตาม หากเราทำในขณะที่เรายังไม่เป็นทุกข์ คือในยามปกติสุข ผลย่อมเจริญและมีกำลังมากกว่า ดังนั้นหากเราท่านทั้งหลายหมั่นสร้างความดี และมีความรู้ในทางพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้ท่านมีกำลังใจและสามารถยืนหยัดด้วยตนเอง ไม่ต้องไปหาที่พึ่งอื่นภายนอกเลย ที่พึ่งที่ดีคือตนเอง ไม่มีใครที่เป็นที่พึ่งของเราได้ดีเท่ากับตัวเรา
    ลองค้นหาตัวเองให้เจอและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง โดยการฟังธรรมะบ้าง ศึกษาธรรมะบ้าง และทำบุญกริยาวัตถุตามควรแก่ตน หมั่นศึกษาเรียนรู้ ปัญญาในทั้งทางโลกและทางธรรมของเราท่านทั้งหลายก็จะเจริญขึ้นได้ หากเราขาดความรู้โดยการศึกษาแล้ว มรรคใดผลใดก็ไม่อาจเกิดได้ ประโยชน์ทั้งทางโลกก็ไม่เจริญ ทางธรรมก็ไม่เจริญ
     
  15. amino66

    amino66 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2012
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งครับ
     
  16. เชาว์วัชร์

    เชาว์วัชร์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    PM ไปแล้วนะครับบ
     
  17. Nanpri

    Nanpri Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +48
    อ่านข้อความของคุณเสขบุคคลแล้วขนลุกเลยค่ะ

    เจอปัญหาหนักแค่ไหน ขอเพียงใจเราเข้มแข็ง วันเวลาจะช่วยคลี่คลาย และเยียวยาได้

    ขออนุโมทนาด้วยศรัทธาอย่างสุดซึ้งค่ะ
     
  18. เสขบุคคล

    เสขบุคคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,280
    ค่าพลัง:
    +5,423
    เทวธรรม

    เทวธรรม


    หิริโอตตัปปะสัมปันนา สุกกะธัมมะสะมาหิตา


    สันโต สัปปุริสา โลเก เทวะธัมมาติ วุจจะเรฯ



    สัปบุรุษ (คนที่มีสัมมาทิฐิ) ผู้สงบระงับ ย่อมประกอบด้วยหิริ (ความละอายต่อการทำบาป) และโอตตัปปะ(ความเกรงกลัว ต่อการทำบาป) ตั้งมั่นอยู่ ในธรรมะอันขาว ซึ่งเรียกว่า ผู้มีธรรมะ ของเทวดา ผู้มีจิตใจสูงในโลก



    บุคคลผู้มีศีลอันตนรักษาได้ด้วยดีแล้ว ประกอบตนอยู่ใน เทวธรรม คือหิริและโอตตัปปะ หมั่นท่องหรือสวดคาถาบท เทวธรรม นี้อยู่เป็นนิตย์ ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ย่อมปลอดภัยในกาลทุกเมื่อ ย่อมพ้นจากอันตรายจากอมนุษย์ และสิ่งร้ายทั้งหลาย ไม่มีใครๆคิดที่จะมุ่งร้าย ให้โทษ ผู้นั้นจะประสบกับความสุข เคราะห์กรรมหนักจะทุเลา หายไป ด้วยอำนาจแห่งศีลและเทวธรรมนั้น
     
  19. namfon kongaiban

    namfon kongaiban สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2012
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +2
    pm ไปที่คนดูดวงแล้วนะคะ ขอบคุณคะ
     
  20. Jsan

    Jsan สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +9
    รบกวนขอดูดวงด้วยคนค่ะ

    pm ไปแล้วนะคะขอบพระคุณมากค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...