ใครซึ้งกับคำว่า ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค บ้างคะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย aombpat, 11 มกราคม 2012.

  1. aombpat

    aombpat สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +0
    ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค กับ สมาธิ สำหรับข้าพเจ้า

    เป็นประสบการณ์เล็กๆ ที่อยากจะเล่า
    สมัยเด็ก ตั้งแต่เริ่มอ่านออกเขียนได้เป็นคนชอบเรื่องศาสนา ความเชื่อ มากๆ ค่ะ อ่านหนังสือธรรมะเป็นกิจวัตร จนกระทั่งเจ็ดหรือแปดขวบก็ขอที่บ้านบวช แต่ที่บ้านไม่ให้บวชค่ะ เพราะว่าเป็นผู้หญิง หลังจากนั้นมาก็ใช้ชีวิตไปเรื่อย พยายามฝึกสมาธิ(ไม่ได้ผล) พยายามฝึกกสิน(ไม่เกิดอะไร) จนกระทั้งอายุยี่สิบกว่าๆ ความเชื่อ ที่ หาคำตอบหรือพิสูจน์ไม่ได้ ก็เริ่มเลือนลางไปเข้าสู่ยุคไอที บ้าเทคโนโลยีเป็นที่สุด แม้ว่าหลังจากอายุ20มาจะเจอเหตุการณ์ประหลาดมากมายกว่าสมัยเด็กก็ไม่เชื่อค่ะ กระทั่งพิสูจน์แล้วเจอบางอย่างก็ยังไม่ยอมรับ จนกระทั่ง วันหนึ่งถูกแฟน(คนที่รักมากที่สุด) ทอดทิ้งไป ตอนนั้นไม่ได้ตีโพยตีพาย เหมือนสภาวะช็อค น้ำตาไม่ไหล พูดไม่ออก ผ่านมาเดือนนึง ทุกคนลงความเห็นว่า เรามีอาการตาลอยๆ คุยไม่รู้เรื่อง ทุกวันนี้คิดว่าอาการนั้นคงใกล้เคียงกับคนที่เป็นโรคประสาท แล้วสิ่งที่ทำหรือชีวิตประจำวันช่วงนั้นก็หายไปจากความทรงจำ เรียกว่าจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ แต่ด้วยเหตุผลใดๆ ไม่ทราบที่ทำให้คนสติหลุดลอยคนนี้หยิบหนังสือสวดมนต์ขึ้นมาสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เช้าสามจบ เย็นสามจบ(ไม่เคยสวดมาก่อน แต่อย่างที่บอกความทรงจำช่วงนั้นหายไป) จากนั้นก็นอน แล้วกำหนดให้ทุกครั้งที่หลับตาจะมองเห็นคล้ายพระอาทิตย์ทรงกลด ดวงกลมๆ แต่ไม่สว่างจ้า แล้ววันหนึ่ง สติก็กลับมา (จำไม่ได้อีกเหมือนกันว่าทำแบบนั้นอยู่นานเท่าไหร่แล้วทำไปทำไม) กลับมาในลักษณะเหมือนจมน้ำแล้วทะลึ่งพรวดขึ้นจากน้ำ หรือเหมือนฝันแล้วสะดุ้งตื่น ก็เลยมาลองเรียบเรียงตามหลักศาสนา(แอบปนวิทยาศาสตร์นิดๆ) ได้ว่า

    ทุกข์ >>>> ตอนนั้นสติหลุดลอย
    สมุทัย>>>>เหตุจากความไม่สมหวัง ถูกทอดทิ้ง
    นิโรธ>>>>พยายามหาทางดับทุกข์ แต่หาผิดวิธี สมองเข้าสู่สภาวะพยายามจะลืมเรื่องที่ทำให้เสียใจให้ได้ ทำให้เดินล่องลอย จำอะไรไม่ได้

    เมื่อมีการสวดมนต์และทำสมาธิเกิดขึ้นในระหว่างนั้น

    การที่จิตพยายามจะดิ้นรนหาทางพ้นทุกข์ในตอนนั้น กลายเป็นผลดีในการทำสมาธิอย่างที่สุด เพราะสติจมดิ่งกับความทุกข์ สัมผัสรอบข้างทุกอย่างถูกตัดไปอัตโนมัติ ทำให้เมื่อหลับตาเพ่งไปที่พระอาทิตย์ทรงกลด จิตก็ต่อสู้ไปมาแค่ระหว่างดึงจิตให้มองพระอาทิตย์ กับ หวนคิดเรื่องที่เสียใจ น่าแปลกที่สุด ที่เข้าสู่สมาธิได้อย่างง่ายดาย
    ทั้งที่แม้แต่ตอนนี้สุขบ้างทุกข์บ้างกลับเข้าสมาธิได้อย่างยากลำบากเหลือแสน(เข้าไม่ได้แล้วปัจจุบันนี้) เลยเข้าใจคำว่ายึดติด มากขึ้นอีกหนึ่งคำ ตอนนั้น ทุกข์ พยายามลืมเรื่องทุกข์ พอพบหนทางตัดทุกข์ที่ถูกวิธีคือสมาธิ ทำให้ตัดทุกข์ได้ง่ายกว่าตอนนี้ที่สุขครึ่งๆ กลางๆ เลยยึดติดความสุขนั้น ทำให้ไม่มี นิโรธ คือไม่มีเรื่องที่อยากทำให้ลืม ก็ไม่อยากหาทางดับทุกข์

    จึงเกิดความเข้าใจว่าคนที่เสียใจแล้วจิตล่องลอย(คนบ้า)คือพวกที่หาทางดับทุกข์แบบผิดๆ เขาจึงบ้า

    เริ่มเข้าใจว่าพวกที่ทุกข์ พอบวช แล้วตัดได้ง่าย ปลงได้ง่าย กว่าคนอื่นๆ เพราะอะไร

    กรรมไม่ดีคงเยอะ ชาตินี้คงไม่พ้นทุกข์ ทั้งที่รู้เหตุแห่งทุกข์ พบแล้วหนทางดับทุกข์ ที่คนอื่นๆ คงยากที่จะเข้าใจ แต่กลับ ยึดติด ไม่ยอมเดินไปทางนั้น ทางที่หลายคนเฝ้าแสวงหาแต่ไม่เจอ

    อ่านเองยังงง

    เอาเป็นว่าขอแนะนำพวกที่อาจจะกรรมเยอะเหมือนเรา ขี้เกียจสันหลังยาวเป็นนิจ ว่าอย่าไปยึดติดว่าทำสมาธิแล้วจะต้องได้ผลเหมือนอย่างที่คนนั้นคนนี้บอกว่าเขาได้ผล เพราะพอคุณทำไม่ได้คุณจะรู้สึกว่า มันไม่มีจริง

    สรุปจากประะสบการณ์ส่วนตัวในการทำสมาธิได้ว่า
    ตอนที่ทุกข์มากที่สุด ถ้าชักนำเข้าสมาธิ จะเข้าง่ายและตัดทุกข์ได้ง่ายที่สุด
    ตอนที่ ทุกข์ก็ไม่ทุกข์ สุขก็ไม่สุข จะตัดยากกว่าตอนอื่นและเข้าสมาธิไม่ได้

    ถึงว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
    ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง เริ่มสงสัยว่า จะถึงมั้ย ทางนิพพานที่ว่า
    หรือที่จริงทางนิพพาน ต้องมีทุกข์ก่อน ถึงจะมี สมุทัย นิโรธ และมรรค ตามมา

    ถ้าใครยังทำสมาธิตามวิธีอื่นๆไม่ได้ลองวิธีของเรานะ ได้ผลยังไงช่วยบอก
    จะให้ดีก็ทำตอนที่เบื่อโลกแบบสุดๆ น่าจะดี

    เริ่มจากสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกเช้าสามจบเย็นสามจบ
    หัดทำสมาธิก่อนจะนอนโดยวิธีหลับตาแล้วกำหนดจิตให้มองเห็นอะไรก็แล้วแต่จะสะดวก กำหนดให้สิ่งที่มองเห็นอยู่ให้นานที่สุด ทำจนกว่าจะหลับ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบร้อน ทำทุกคืน ทุกคืน ทุกคืน จนเคยชิน กระทั่งหลับตาปุ๊บก็จะพบภาพที่กำหนดให้มองเห็นปั๊บ โดยไม่ต้องสร้างหรือพยายามสร้าง นอกจากทำตอนนอนแล้วก็ทำตอนพักสายตาจากงานบ้างก็ดี

    พอทำได้แล้วหลังจากนั้นก็อย่างที่หลายๆ สำนักบอก กำหนดให้ใหญ่ขึ้น เล็กลง ตามสะดวก
    แต่เรา ทำได้แค่นั้นแหละ ครั้งสุดท้ายที่ทำได้คือเห็นเทวดา สององค์มาพูดว่า "เรามาอวยพรให้เจ้า" แค่เนี้ย สวมชุดแบบชุดเทวดาในพิธีแรกนาขวัญเด๊ะเลย

    ส่วนเมื่อไหร่ถึงจะเรียกว่าทำได้ ก็ อืม ถ้าเอาแบบพิสูจน์ได้ก็ ตอนนั้นเราบอกเลขได้ตรงกับหวยที่ออกทุกงวด หลับตาแล้วเห็น(หรือแค่ฝันไป)ว่าคนนั้นคนนี้มาหา แบบว่ามองปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าเจ้าที่ ภูต ผี วิญญาณ แต่ส่วนใหญ่ที่พิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่แค่ฝันเพราะมักจะมาบอกโชคร่วมด้วย

    ก็เป็นเหตุอีกเรื่องที่ทำให้ไม่ค่อยกล้าสวดมนต์ทำสมาธิ เพราะกลัวอนาคต กลัวฝัน กลัวเห็นภาพที่ไม่อยากเห็น กลัวว่าเห็นแล้วจะฟั่นเฟือน เพราะยังตัดไม่ขาดอยู่มากอีกทั้งมีกรรมอยู่มาก ตรงที่ชอบเล่าให้คนโน้นคนนี้ฟังว่าสวดมนต์แล้วถูกหวย ทำให้เขาพากันสวดตามจนถูกบ้าง แล้วก็เล่าต่อๆๆๆ กันไป แม้จะชักชวนให้สวดมนต์ได้สำเร็จ แต่ก็เข้าขั้นชักชวนให้มัวเมากับหวยด้วยเหมือนกัน กรรมหนักเลยเรา
     
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ..เป็นเรื่องเล่าที่ดีครับ...ผมว่าอย่างน้อยคุณคงได้ความ "รู้" บางอย่างจากประสพการณ์ตรงครั้งนั้นของคุณ อย่างน้อยผมก็เห็น อนิจจัง จาก หลายหลายอย่างในเรื่องเล่าของคุณ.การเห็น..โทษ หรือ(อาทีนวะ)ความไม่เที่ยงของขันธ์5 อาจจะนำไปสู่ความเบื่อหน่ายต่อการพยายามยึดว่ามันต้องเที่ยง เพื่อ นำไปสู่อุบาย การนำออกจากทุกข์ที่แท้นั้นได้ ในวันหนึ่ง:cool:
     
  3. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ที่ใดมีรัก ที่นั่นย่อมมีทุกข์

    แต่อกหัก ก็ยังดีกว่า รักไม่เป็น

    ขอแนะนำว่าให้หาแฟนที่เป็นพระโสดาบันครับ แล้วจะไม่ผิดหวัง เพราะท่านรักเดียวใจเดียว และมั่นคงในศีล 5 ครับ

    เจริญในธรรมครับ
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    มันก็จริงอยู่ ที่บอกว่า ทุกข์นั้นจะทำให้เราทำสมาธิได้ง่ายขึ้น

    แต่โดยความเป็นจริงแล้ว ทุกข์ นั้นจะผลักดันให้เกิดการกระทำสองสิ่ง
    เท่านั้นคือ 1.หาที่พึ่ง และ 2.หาอุบายนำออก

    จะเห็นว่า ทุกข์ทำให้ทำสมาธิง่ายขึ้นๆ แท้จริงแล้ว ไม่ตรงนัก แต่หากปรารภ
    ว่า "ทุกข์ ทำให้เรา หาอุบายนำออก" นี้พอใช้ แต่ เคสของคุณเป็นเพียงแค่ ทุกข์
    ทำให้ หาที่พึ่ง(ที่อาศัย) ซึ่งถือว่า ยังห่างไกลจากการพ้น เพราะ ยังไม่ทราบ
    เรื่อง อุบายนำออกเลย ยังไม่เคยนำทุกข์ออก มันก็เลยไม่รู้ นิโรธ

    แต่...ผลสรุปดังกล่าวให้นำมาต่อยอดเสีย

    ต่อยอดตรงไหน ตรง "รู้ทุกข์" คุณต้องฝึกการู้ทุกข์ให้ถูกต้อง คนที่รู้ทุกข์
    ไม่ถูกต้อง จะรอให้ทุกข์เข้าปะทะก่อน แล้วจึงดู แต่จริงๆแล้ว ทุกข์สามารถ
    กำหนดรู้ได้ทุกลมหายใจ ทุกขณะจิต ( จิตในชั่วเวลากระพริบตา1ที จะเกิด
    ขณะจิตจำนวน แสนโกฏิ ก็ประมาณ แสนล้านรอบต่อการกระพริบตา ) ดังนั้น
    หากเราต่อยอด ตรงรู้ทุกข์ ให้ถูกต้อง โอ้ย มันส์เลย ในชั่วพริบตาเดียว เราจะ
    สามารถรู้ทุกข์ได้ตั้ง แสนโกฏิ แต่ถ้าดูไม่เป็นนะ นู้นรอให้สิ้นวันเข้าห้องน้ำ
    ที หรือ ป่วยไข้ขึ้นมาที ก็ถึงจะดูเป็นได้สักครั้ง

    ทีนี้ หากสนใจจะฝึกหัดการเห็น ทุกข์แสนโกฏิ ให้ ถูกต้อง ก็ต้องลองตามแบบ
    แผนก่อน ซึ่งจะเหมือน หัวเชื้อน้ำมันเครื่อง ให้หมั่นเติมลงไปผสมด้วยกับการ
    รู้ทุกข์ที่เคยทำอยู่ เพื่อเร่งการเผาไหม้(กิเลส)

    ก็ขอเสนอ

    ซึ่งเป็น วิธีการ 1 ใน "สัญญา 10" ซึ่งเป็นหัวเชื้อน้ำมันเผากิเลสได้เป็นอย่างดี

    อีกอันที่อยากแนะนำ แต่ ยังไม่ชัด แต่มีแววจะเห็นได้ คือ "สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา"

    ทำไมแนะนำตัวนี้ ก็ ตอนที่คุณรู้ทุกข์แล้วเกาะลมหายใจจนหายไป แล้วก็สะดุ้ง
    นั่นแหละ จิตมันสะดุ้งเพราะว่า จิตมันรู้ว่า คุณไปตัดช่องภพเล็กๆเท่าฟองอากาศ
    แล้วเอาตัวเองฝังลงไปในฟองอากาศนั้น แล้วปล่อยมันลอยไป ทีนี้ ภพใดๆเนียะ
    เขาไม่เที่ยง พอมันแตก หมดความสุข หมดความสงบปั๊ป มันก็ต้องออกหละ ต่อง
    ออกมาเผชิญโลกหละ มันก็ สะดุ้งอะสิ จิตมันประจักษ์ว่า หลอกตัวเองเต็มเปา
    เข้าแล้ว เดี๋ยวมีเข้า เดี๋ยวมีออก หากลืมกำหนดรู้ทุกข์สัจจ ตรงนี้ รับรอง ไม่พ้น
    การสะดุ้ง กระเพื่อม สั่นไหว แน่ๆ ไม่พบ นิโรธ แท้ๆ แน่ๆ จิตเขาเลยสะดุ้งไง

    คือ เขาพยายามบอกว่า ท่านคร้าบ ช่วยฝึกฝนอุบายนำออกที่ถูกต้องโหน่ยยยย !!

    อย่ารู้ทุกข์เพียงแค่ หาที่อยู่ ที่อาศัย หรือ ที่พึ่งเท่านั้นสิคร้าบ แบบนี้ มันแสบตา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2012
  5. sazaki

    sazaki เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +284
    ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นอริยสัจ ผู้ใดเห็นอริสัจผู้นั้นเห็นนิพพาน
     
  6. Dhamma Osoth

    Dhamma Osoth Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2012
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +78
    [​IMG]


    พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า..


    ให้มันรู้จักทุกข์ ให้มันรู้จักพิจารณาแต่ทุกข์ พิจารณาให้มันเห็นชัด มันอยู่ที่ใจ


    แล้วมันจึงจะค้นหาเหตุ ทุกข์เป็นผล แล้วความทะเยอทะยานนั้นเป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์
    ค้นไปให้เห็นเหตุเกิดทุกข์ จะปล่อยวางความทะเยอทะยานความหลง


    อันสมุทัยนั่นแหละเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ สมุทัยสมมุติ สมมุติว่าผู้หญิง ผู้ชาย ว่าคน ว่าสัตว์ นั่นไปหลงสมมุติ
    พอใจเพราะความหลง สมุทัยก็มาจากความหลง พอมันขี้หลงเข้า หลงอยากเป็นอยากมี หลงสิ่งที่ไม่ชอบ
    รู้เหตุอันนี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นเหตุให้ท่องเที่ยวในสังสารวัฏจักร ไม่มีที่สิ้นสุด.... ให้ปล่อยวางอันนี้


    ปล่อยวางคือ.. ไม่ยึดไม่ถือ รู้เท่ามัน เมื่อปล่อยวางแล้วนั่นแหละ จิตมันถึงจะสงบ
    จิตมันถึงจะมีความสุข ความสบาย จิตไม่ดิ้นรน จิตสงบนั่นแหละให้รู้ว่าจิตเราสงบ
    จิตเราไม่เพลิดเพลินกับอารมณ์ ดีก็ตาม ไม่ดีก็ตาม ไม่เพลิดเพลิน เฉย เป็นกลาง เรียกว่า นิโรธะ


    ปล่อยวางอันนี้.."ความทะเยอทะยานหรือสมุทัย วางอันนี้ได้ชื่อว่าปล่อยเหตุ วางเหตุแล้วจิตสงบ จิตเป็นกลาง"




    ( หลวงปู่ขาว อนาลโย )
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_4194.JPG
      IMG_4194.JPG
      ขนาดไฟล์:
      105.1 KB
      เปิดดู:
      226
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2012
  7. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    ถ้าไม่มีอุปปาทาน ก็ไม่เจอทุกข์
    ถ้าเจอทุกข์ไม่พอ ก็ไม่เห็นทุกข์
    ถ้าไม่เห็นทุกข์จนทนไม่ไหว ก็ไม่เต็มใจที่จะหนีทุกข์
    ถ้าไม่เต็มใจหนีทุกข์ ก็ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติเพื่อละเหตุแห่งทุกข์
    ถ้าไม่เต็มใจปฏิบัติเพื่อละเหตุแห่งทุกข์ ก็ไม่มีวันดับทุกข์ได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...