ดาวอะไร เฝ้าดูทุกวัีน ยิ่งสว่าง ยิ่งเหมือนใกล้เข้ามา

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย bebe9, 17 มกราคม 2012.

  1. ตถาตา.

    ตถาตา. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +33
    นิบิรุ อีก1เสียงมันมาแล้ว ตื่นเต้น ๆ
     
  2. bebe9

    bebe9 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2011
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +31
    ยิ่งช่วงประมาณ 1-2 ทุ่ม เวลามองจะรู้สึกว่ามันอยู่่ต่ำใกล้โลกมากมาก คือ ตอนนี้มองดูทุกวันที่แน่แน่ มันสว่างและใหญ่ สีออกเหลืองๆๆส้มๆๆๆ จร้า
     
  3. somsweet

    somsweet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    6,138
    ค่าพลัง:
    +9,874


    เมื่อคืนออกมาสังเกตุเหมือนกันจ้า...สว่างจ้า ดวงใหญ่ ออกสีน้ำเงิน เด่นอยู่ดวงเดียวเลย ไปทางทิศตะวันตก

    เห็นดวงนี้มาได้สักระยะแล้ว ไม่รู้คือดาวอะไรเหมือนกัน :cool::cool:
     
  4. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,652
    เอา Youtube ของ PX มาฝาก ( JAN 2012)


    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/kdLJRXjHJbE?version=3&feature=player_profilepage"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/kdLJRXjHJbE?version=3&feature=player_profilepage" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>

    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/k6xyAYN5Zjo?version=3&feature=player_profilepage"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/k6xyAYN5Zjo?version=3&feature=player_profilepage" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2012
  5. ธีรยุทธ

    ธีรยุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +750
    ผมอยู่ประเทศ ออสเตรเลีย เห็นชัดมาก นึกว่าเป็นดวงดาวปกติทั่วไป ตกลงไม่ใช่เหรอครับ
    งั้นเดี๋ยวจะถ่าบรูปมาให้ดู
    ธีรยุทธ
     
  6. daisy lucy

    daisy lucy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +190
    ตกลงยังไม่มีใครรู้เหรอค่ะ ว่าดาวอะไร สังเกตมาตั้งแต่เดือนที่แล้ว เค้าประกายสวยเหมือนเพชร เด่นมาก ที่เชียงใหม่ชัดมากค่ะ สังเกตทุกคีน ค่ะ
     
  7. chan2

    chan2 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2008
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +23
    แล้วดาวสีส้มดวงเดียวบนฟ้าละครับ
    ณ ตอนนี้อยู่ตรงกลางหัวเลย
     
  8. ANAN JANG

    ANAN JANG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +175
    เดี๋ยวลองดูมั่ง ^^
     
  9. rehacked

    rehacked เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,191
    ค่าพลัง:
    +8,013
    กลางคืนจะเห็นชัดมั้ยอะ จะได้เอากล้องไปตั้ง
     
  10. nickybamby

    nickybamby เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +174
    เมื่อคืนฟ้าครึ้มฝน แต่ละทิศทางมองไม่เห็นดาวเลยซักดวง
    ยกเว้นดวงนี้แหละ แสงจ้าลางๆอยู่ดวงเดียว เห็นได้ชัดเลยว่ามันสว่างมากจริงๆ :cool:
     
  11. chan2

    chan2 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2008
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +23
  12. chan2

    chan2 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2008
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +23
    "เวลาประมาณ 3 ทุ่ม ดาวพฤหัสบดีอยู่สูงบนท้องฟ้าทิศตะวันตก"

    ดวงนั้นหรือเปล่า ?

    ผมก็ดูไม่เป็นแต่เมือคืนมันอยู่ตรงนั้น

    และมีดาวสีส้มสองดวงแปลกๆ เดี๋ยวคืนนี้จะดูใหม่อีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2012
  13. yenpat

    yenpat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +168
    ขออภัยครับ จากการที่ผมได้ ดุจากแผนที่ ดวงดาว นะครับ ตอนนี้ ที่เห็นคือที่มันสว่างๆมากในตอนนี้ แต่ในแผนที่ดาว มันเป็นจุดที่ไม่ค่อยสว่างมากกว่าที่เห็นครับ มันน่าจะเป็นดาว CETUS ซีตุดครับ แต่ไม่รู้ว่าใช่รึป่าว เพราะขนาดของแสงมันสว่างมากกกกก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มกราคม 2012
  14. sotthi

    sotthi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +91
    ...
    ขอบคุณครับสำหรับข้อมูล

    อาจจะเป็นไปได้มาก เป็นดาวที่น่าจะรู้จักกันดี แต่เพราะความสว่างจ้าและขนาดที่ใหญ่ก็รู้สึกแปลกตาไปบ้าง หรือมีขึ้นเป็นปกติอยู่แล้วตามรอบกาลเวลาแต่ไม่เคยได้สังเกตก็เป็นได้
    ผมอีกคนที่ไม่รู้จริงก็ขอไม่ตัดสินคิดปรุงแต่งไปเองดีกว่าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2012
  15. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    หนังเรื่องนี้เข้ากระแสนะ เกี่ยวกับดาวที่กำลังจะพุ่งชนโลก

    Melancholia รักนิรันดร์ วันโลกดับ


    [​IMG]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=x_xsm46s2Gg&feature=player_embedded]Melancholia Trailer - YouTube[/ame]

    จัสติน และไมเคิล กำลังฉลองงานวิวาห์ที่คฤหาสถ์หรูของพี่สาวและพี่เขย ขณะที่ดาวเคราะห์ชื่อ “เมลันโคเลีย” กำลังพุ่งเข้าหาโลก....

    [​IMG]
     
  16. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    another earth

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=N8hEwMMDtFY]ANOTHER EARTH Official HD Trailer - YouTube[/ame]

    Another Earth เป็นหนึ่งในหนังที่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากเทศกาลหนังซันแดนซ์ พล็อตของหนังคือ อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดมี 'โลกอีกใบ' เกิดขึ้นในระบบสุริยะ นางเอกของเรื่องเป็นนักศึกษาเอกดาราศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย MIT เธอขับรถออกไปเพื่อมองดูดาวเคราะห์พิศวงดวงนั้น แต่แล้วก็รถของเธอกลับไปชนกับรถของอีกครอบครัวหนึ่ง ส่งผลให้แม่และเด็กในรถเสียชีวิต

    เธอติดคุกอยู่สี่ปี หลังจากพ้นโทษ เธอตามหาผู้ชายที่รอดชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนั้น เขาเป็นนักแต่งเพลงชื่อดัง ทั้งคู่เริ่มก่อสร้างความสัมพันธ์อันแปลกประหลาด ขณะเดียวกัน นางเอกก็พยายามจะเขียนเรียงความประกวด ซึ่งมีรางวัลเป็นตั๋วเดินทางไปยังโลกอีกใบ เธออยากไปที่นั่นเพื่อค้นหาว่า 'ตัวตนของเธออีกคน' จะมีชีวิตอย่างไร
     
  17. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    น่าแปลกนะ ที่หนัง 2 เรื่อง plot เกี่ยวกับดาวเคราะห์ที่เข้าใกล้โลกมากๆ เพราะมีวิถีโคจรเดียวกัน มาฉายตอนช่วงเวลาใกล้กันด้วย แต่ทั้ง 2 เรื่อง ก็เป็นหนังแผ่นไปแล้ว หนุกดี

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  18. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    ถ้านิบิรูมีจริง ไม่น่าเกิน 2 ปี ก็น่าจะเข้าใกล้โลกจนมองด้วยตาเปล่าเห็นชัด แต่ถ้าไม่มี ก็แค่ข่าวปล่อยละนะ

    www.pantown.com/board.php?id=14921&area=&name=board2&topic=617&action=view

    [​IMG]


    Planet X Nibiru

    ดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่นาซาได้ใช้ดาวเทียมอิฟาเรตตรวจพบ ในปี 1982 ว่ามีขนาดใหญ่มาก โดยรูปวงโครจรเป็นวงรี รอบวงโคจรอาจอยู่ที่ มากกว่า 3,600 ปี

    ซึ่งไปตรงกับรอบการเปลี่ยนยุคตามปฏิทินของชาวมายาพอดี และน่าจะเคยผ่านมาเมื่อนานมาแล้วด้วย เพราะนักภูมิศาสตร์บอกว่าถ้าสูบน้ำทะเลออกก็จะเห็นว่า ผิวโลกได้แหว่งหายไปกระบิหนึ่ง

    เรื่องนี้นักดาราศาสตร์ชั้นนำของประเทศต่างๆ ออกมาอธิบายเรื่องทฤษฎีความเป็นไปได้กันอย่างจ้าละหวั่น และเค้าคาดการณ์ไว้แล้วว่า ในปี 2012 เราสามารถจะเห็นดาวนิบิรุใหญ่ขนาดดวงอาทิตย์ได้เลย เพราะมันเข้าใกล้เรามากแล้ว


    [​IMG]

    The Planet X ดาวเคราะห์ดวงที่สิบของชาวสุเมเรียน ท่านที่ติดตามมากจากภาคแรก คงพอจะทราบเนื้อหาอย่างคร่าวๆแล้วนะครับว่า เป็นการค้นคว้าของนักโบราณคดีและนักภาษาศาสตร์ท่านหนึ่ง ชื่อ Zecharia Sitchin ซึ่งได้ศึกษาเรื่องราวแต่ครั้งโบราณของมนุษย์ นับไปตั้งแต่ไบเบิล จารึกต่างๆ ปาริรัส

    และโดยเฉพาะอารยธรรมจากดินแดนเมโสโปเตเมีย

    ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมแรกของโลก Sitchin ได้ให้ทรรศนะว่ามีอะไรแปลกๆอยู่ในบันทึกโบราณพวกนี้ โดยเฉพาะความก้าวหน้าอย่างเหลือเชื่อ ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน Sitchin ได้ตระเวณศึกษาค้นคว้าอย่างหนักจนในที่สุดเขาก็ได้ข้อสรุปที่น่าพิศวงออกมาว่า


    เมื่อครั้งอดีตกาล มีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก ได้เคยลงมาตั้งหลักแหล่งในพื้นพิภพของเรา ได้ทำการเปลี่ยนแปลงโลกเราจนกลายเป็นอาณานิคม สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกับ "พระเจ้า" ที่พูดกันในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า พวกเขาทำเรื่องเซอร์ไพรส์มนุษย์ยุคหลังอย่างเราไว้มากมาย


    โดยเฉพาะ เรื่องราวที่พวกเขากระทำและมีบันทึกไว้ในบทเยเนซิสของไบเบิล ว่าด้วยการสร้างมนุษย์โดยการดัดแปลง DNA ในไบเบิลไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าสรวงสวรรค์ของเอโลฮิม หรือพระเจ้าเหล่านี้ อยู่ที่ไหนกันแน่


    แต่ในจารึกของชาวสุเมเรียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นต้นตอเดียวกัน ระบุเอาไว้อย่างชัดแจ้งแดงแจ๋เลยครับ ว่าพระเจ้า หรือ Anunnaki ของพวกเขานั้น มาจากดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า Nibiru

    [​IMG]

    Sitchin ได้ศึกษาจารึกดินเหนียวโบราณนับพันๆ แผ่น ทั้งขุดค้น ตระเวณไปตามพิพิธภัณฑ์ เพื่อค้นหารอยต่อของสิ่งที่เขาสงสัย สิ่งที่ทำให้ Sitchin รู้สึกพิศวงที่สุดก็คือ ความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์ ที่ซุกซ่อนอยู่ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน จากรึกอักษรคิวนิฟอร์มชิ้นหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัรฑ์ของประเทศเยอรมณี


    มีรายละเอียดทางดาราศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเห็นแล้วต้องกุมขมับ เพราะมันกล่าวถึงตำแหน่งของโลกเอาไว้ว่า โลกของเราเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ด หากนับจากดาวพลูโตเข้ามา


    (ชาวสุเมเรียนรู้จักดาวดวงนี้ก่อนเปอร์วิวาล โลเวล ตั้งสี่พันปีแน่ะ น่าทึ่งไหมครับ โปรดอ่าน The search of Planet X ภาคแรกประกอบ ถ้าท่านยังไม่ได้อ่าน หรือลืมไปแล้ว)


    ทำไม? ทำไมชาวสุเมเรียนโบราณจึงมีความรู้ทางดาราศาสตร์ก้าวไกลขนาดนั้น Sitchin ให้ข้อสรุปจากการศึกษานับสิบปีของเขาว่า นั่นก็เป็นเพราะบรรพบุรุษของชาวสุเมเรียน ไม่ได้มีรกรากเดิมอยู่บนโลกนี้น่ะสิครับ พวกเขามาจากที่อื่น มาจากดวงดาวอันไกลโพ้นซึ่งมีชื่อว่า Nibiru อะไรที่ทำให้ Sitchin ปักใจขนาดนั้น?

    หลักฐานไงครับ Sitchin ได้ศึกษาทั้งดาราศาสตร์และเจาะลึกลงไปในเรื่องราวที่บรรพชนได้ทิ้งเอาไว้ให้พวกเราซึ่งเป็นอนุชนรุ่นหลัง หลักฐานที่อยู่ยงคงกระพันที่สุด และสืบทอดเจตจำนงค์ของผู้ที่ต้องการถ่ายทอดมากที่สุด เห็นจะเป็นบันทึกทางศาสนาครับ


    ก็เพราะว่าความเชื่อศัทรธานั้น เป้นสิ่งที่ทำให้ เรื่องราวที่ถ่ายทอดกันมา ไม่มีขาดตกบกพร่อง ตัวอย่างที่ดีก็ได้แก่ไบเบิลและคัมภีร์พระเวทย์ของอินเดีย ที่มีการถ่ายทอดกันมาปากต่อปากคำต่อคำโดยไม่ตกหล่นเลยมานับพันๆ ปี

    จนกระทั่งมีการคิดค้นตัวหนังสือขึ้นมาได้ การบันทึกจึงได้เริ่มขึ้น อันนี้คงต้องขอบคุณความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับมนุษย์ล่ะครับ เพราะไม่งั้น เราจะไม่มีทางได้รู้เรื่องราวอันน่าทึ่ง

    ซึ่งเป็นกุญแจเพียงดอกเดียว ที่จะไขไปสู่เรื่องราวอันเป็นจุดกำเนิดของมนุษยชาติได้ อย่าลืมนะครับ ว่าแม้ผู้เข้มแข็งจะเขียนหรือบิดเบือนประวัติศาสตร์ได้ แต่ผู้เข้มแข็งทั้งหลายไม่เคยหรอกครับ ที่จะบิดเบือนศัทรธาและจารึกศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาให้เป็นอื่นไป



    --------------------------------------------------------------------------------

    เรื่องของ Sitchin จุดกำเนิดของการศึกษาของเขามีอยู่ว่า Sitchin รู้สึกตะหงิดๆใจเกี่ยวกับเรื่องราวของพระเจ้าและทูตสวรรค์ ที่กล่าวถึงในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า ซึ่งในนั้นใช้คำว่า "Nefilim" อันแปลว่า "those who came down" หรือ "Came down from where" นอกจากนั้นคำอื่นๆเช่นเอโลฮิมซึ่งหมายถึงพระเจ้า


    ในบางครั้งไบเบิลก็กล่าวถึงในรูปของพหูพจน์ ซึ่งค้านกันมากๆ กับหลักความเชื่อของยิวและคริสต์ในแง่ที่ว่า พระเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียว จุดนี้เองที่ทำให้การเริ่มต้นสืบสาวราวเรื่องของ Sitchin เกิดขึ้น


    เขาเสียเวลาไปหลายปีกับโบราณสถานและแหล่งอารยธรรมต่างๆทั่วโลก เขียนลำดับการวิจัยออกมาหนาปึก ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะเอามาเล่าตรงนี้ทั้งหมด ก็จะขอตัดตอนเอาเฉพาะส่วนที่น่าสนใจออกมานะครับ

    Zecharria Sitchin นักภาษาศาสตร์ผู้มีความสนใจในอารยธรรมสุเมเรียนอย่างลึกซึ้ง ได้ทำให้ทั่วโลกต้องหันมาฟังทฤษฎีพิลึกๆของเขา เมื่อเขาเขียนหนังสือชื่อ The Twelfth Planet - Planet 'X' ออกมาเมื่อปี 1976

    ในส่วนของเนื้อหากล่าวถึงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่และวงโคจรที่กว้างมาก มันนับเป็นดาวเคราะห์ยักษ์สีแดงที่ถูกเรียกขานโดยชาวสุเมเรียนโบราณว่า Nibiru


    ( ซึ่งเราจะพบชื่อที่หมายถึงสิ่งเดียวกันนี้ในตำนานของชาวบาบิโลเนี่ยนโบราณ นั่นคือ Marduk )


    จารึกโบราณแห่งลุ่มน้ำไทกริสยูเฟรติสนี้ กล่าวถึงสิ่งที่น่าพิศวงอยู่หลายประการด้วยกัน เช่นว่า ดาว Nibiru ดวงนี้ได้เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญากลุ่มหนึ่ง เรียกตามภาษาสุเมเรียนว่า Anunnaki หรือผู้ที่ติดตามประวัติศาสตร์และศึกษาไบเบิล จะรู้จัก Anunnaki ตามชื่อที่เรียกในไบเบิลว่า Nefilim อันหมายความว่าผู้ลงมาจากเบื้องบน

    จะเรียกยังไงก็ตามแต่เถอะนะครับ Sitchin เชื่อว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีความเจริญทางเทคโนโลยีจนถึงขั้นสามารถท่องเที่ยวไปมาในอวกาศได้ พวกเขาเคยครอบครองโลกของเราในอดีต ถูกยกให้เป็นพระเจ้าของคนโบราณ ด้วยเทคโนโลยีที่สูงส่ง Anunnaki ได้เดินทางมาถึงโลกของเราเมื่อ 450,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว


    [​IMG]


    ทำไมจึงเป็น 12TH Planet?

    หลายๆ ท่านอาจจะสงสัย ว่าทั้งๆที่ Nibiru เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ถัดจากดาวพลูโตแท้ๆ ถ้าเรียงลำดับมันก็ควรจะอยู่อันดับสิบ ทำไมชาวสุเมเรียนโบราณจึงเรียกดาวดวงนี้ว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 กัน เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันมานานในวงการดาราศาสตร์


    เพราะว่านับตั้งแต่เริ่มแรกที่มีการศึกษาอารยธรรมสุเมเรียน ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ของคนโบราณกลุ่มนี้ ทำให้นักวิชาการหลายคนอ้าปากค้างไปเลย พวกเขารู้จักดาวเคราะห์วงนอก ซึ่งอยู่ถัดจากดาวพฤหัสออกไปทุกดวง เรียกได้ว่ารู้จักดาวยูเรนัส เนปจูน พลูโต ก่อนนักดาราศาสตร์สมัยใหม่ตั้งแปดพันปีว่างั้นเถอะครับ

    ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ ชาวสุเมเรียนโบราณ ดันไปรู้จักดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ซึ่งตำแหน่งของมันอยู่ถัดจากดาวพลูโตออกไป เป็นดาวที่นักวิทยาศาสตร์พากันสงสัยว่ามันจะมีอยู่จริงหรือไม่ มีหลายคนเคยส่องกล้องพบและคำนวณตำแหน่งได้โดยอาศัยวงโคจรของดาวพลูโตเป็นพื้นฐาน

    แต่ด้วยความผลุบโผล่ๆ ของมัน หลายๆ คนในวงการจึงเรียกมันว่า Planet X ซึ่งมีความหมายสองนัย หนึ่งหมายถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ และสองหมายถึงดาวปริศนาที่ไม่ทราบว่า จริงๆแล้วมีมันอยู่ในตำแหน่งที่สงสัยกันหรือไม่

    เหตุที่ชาวสุเมเรียนเรียก Nibiru ว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 นั้น เขาเรียกขานตามที่พระเจ้าของพวกเขาสอนเอาไว้ครับ Annunnaki พระเจ้าของชาวสุเมเรียน ได้นับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นสมาชิกของระบบสุริยะด้วย เมื่อเป็นอย่างนั้น Nibiru จึงกลายเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ไปโดยปริยาย


    ระบบการจำแนกดาวของชาวสุเมเรียนนี่ก็นับว่าแปลกเอามากๆ ว่างๆจะมาเล่าให้ฟังว่า แนวคิดด้านนี้ของพวกเขา ก้าวไกลและน่าพิศวงเพียงไร

    มาพูดถึง Nibiru กันต่อ แม้ว่าดาวดาวงนี้จะเป็นสมาชิกของระบบสุริยะ แต่พฤติกรรมของมันก็แหวกแนววออกไปจากสมาชิกดวงอื่นๆโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะด้านวงโคจรที่เป็นปริศนาของมัน ซึ่งน้องจากจะกว้างกินระยะทางมากว่าเพื่อนแล้ว วงโคจรของ Nibiru ยังเป็นวงโคจรแบบคู่ ไม่ได้เป็นดาวเคราะห์วงโคจรเดี่ยวเหมือนดาวเคราะห์ดวงอื่นในระบบสุริยะ

    นั่นหมายถึง Nibiru เป็นดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์สองดวง ตามจารึกโบราณนั้นกล่าวว่า ดาวฤกษ์สองดวงดังกล่าว ดวงหนึ่งคือ The Sun ดวงอาทิตย์ของเรา ส่วนอีกดวงเป็นดาวฤกษ์ที่เย็นกว่าดวงอาทิตย์

    ตรงนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่า คำว่าเย็นกว่าอาจจะหมายถึงส่องแสงสว่างน้อยกว่า ดาวดวงดังกล่าวปัจจุบันยังไม่มีนักดาราศาสตร์คนใดรับรองมันอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีหลายคนปิ๊งไอเดียขึ้นมาล่ะครับว่า เจ้าดาวดวงที่เย็นกว่าดังกล่าว อาจจะเป็น Nemesis ดาวฤกษ์คู่แฝดของดวงอาทิตย์ ที่นักดาราศาสตร์หลายท่านได้ตั้งทฤษฎีเอาไว้ ว่ามันน่าจะมีอยู่จริง


    [​IMG]


    จะมีอยู่หรือไม่ก็คงต้องใช้เวลาค้นกันหน่อยล่ะครับ เพราะดาวฤกษ์ดวงดังกล่าว อยู่ไกลออกไปจากระบบสุริยะของเรามาก คิดดูง่ายๆว่า Nibiru ต้องใช้เวลามากกว่า 3600 ปี ในการโคจรกลับมายังโลกของเราอีกครั้ง เกิดหรือตายกันกี่รุ่นล่ะครับมนุษย์เรา ถึงจะมีบุญได้เห็นดาวเคราะห์ยักษ์ Nibiru ดวงนี้


    ที่แน่ๆ ก็คือ คนโบราณที่เป็นบรรพบุรุษของเราได้เคยเห็น Nibiru มาแล้ว เพราะมีบันทึกเกี่ยวกับดาวหางสีแดงขนาดใหญ่ในหลายๆชนชาติ ระยะเวลาที่บันทึกไว้ก็ใกล้เคียงกันมาก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะเป็นคนละดวงกัน

    Sitchin ได้อธิบายไว้ในหนังสือของเขาว่า รอบ 3600 ปี หรือวงโคจรของ Nibiru นี้ ชาวสุเมมเรียนโบราณเรียกมันว่า Shar หรือ Sar ซึ่งจะมากกว่า 3600 ปีโลกเล็กน้อย Anunnaki ผู้มาจาก Nibiru ได้มาเยือน พัฒนา และครอบครองโลกของเราเป็นระยะเวลามากกว่า 124 Shar

    มีการจัดตั้งรัฐบาล อาณานิคม การทำเหมืองเพื่อขุดค้นทรัพยากร จนกระทั่งวาระสุดท้ายของอารยธรรมนี้ ที่ถูกกลืนหายไปในไฟสงคราม สงครามขนาดใหญ่ซึ่งทำลายอารยธรรมของเมโสโปเตเมีย อียิปต์ และลุ่มน้ำสินธุบางส่วนไป เหตุการณ์ตรงนี้เกิดขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ค.ศ. หรือว่าประมาณห้าพันปีมาแล้ว

    Why the Anunnaki Came Down?

    ยังจำวิชาประวัติศาสตร์ที่เราเรียนกันในสมัยมัธยมได้ไหมครับ? จำเรื่องของการแสวงหาอาณานิคมและการล่าเมืองขึ้นของชาวตะวันตกได้หรือไม่ และพอจะตอบได้ไหม ว่าการที่ชาวตะวันตกในยุโรปทำเช่นนั้น ด้วยวัตถุประสงค์อันใดกัน

    ครับ ผมเชื่อว่าทุกท่านคงตอบได้ดี ว่า เพื่อค้นหาดินแดนใหม่ๆ เผยแพร่อำนาจ ศาสนา ล่าเมืองขึ้น ขุดค้นทรัพยากรและแสวงหาความมั่งคั่ง พระเจ้าโบราณของชาวสุเมเรียนก็ไม่ต่างกันเลยครับ พวกเขาเดินทางมายังโลกของเรา ในช่วงที่ Nibiru โคจรเข้ามาเฉียดกับโลก เพื่อหาทรัพยากรธรรมชาติบางประการกลับไปใช้ที่ดาวแม่ของพวกเขา main

    หลักที่ Anunnaki ต้องการก็คือทองคำครับ เพราะสำหรับพวกเขาดูเหมือนว่าทองคำจะมีคุณสมบัติพิเศษบางประการ ที่เป็นประโยชน์กับการรักษาอุณหภูมิของบรรยากาศใน Nibiru เอาไว้

    (ก็คงสำคัญมากจริงๆนั่นแหละ เพราะว่า 99 เปอร์เซ็นต์ของวงโคจรนั้น Nibiru อยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์ จนเกินที่จะได้ความร้อนที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต)

    Anunnaki ได้ตั้งอาณานิคม และทำการขุดทองเป็นการใหญ่บนโลกของเรา ตรงนี้เป็นไปได้ไหมครับว่า เป็นจุดกำเนิดแรกสุด ที่มนุษยชาติให้ความสำคัญกับทองคำ เนื่องจากมันเป็นธาตุที่มีความสำคัญเป็นพิเศษกับ "พระเจ้า" จากอวกาศ

    ดังนั้นการทำรูปจำลองที่แสดงถึงความเคารพอย่างสูงสุด จึงมักจะทำด้วยทองคำเป็นส่วนใหญ่ และกลายเป็นประเพณีตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้ และบริเวณแรกที่ Anunnaki ได้ตั้งเหมืองขนาดใหญ่ก็คือบริเวณอ่าวเปอร์เซีย แล้วค่อยๆขยายวงไปตามส่วนต่างๆของโลกในเวลาต่อมา

    ในสมัยโบราณ Anunnaki มักปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์ในรูปแบบของเทพครึ่งสัตว์ เช่น มนุษย์ครึ่งปลาบ้าง ครึ่งนก และครึ่งสิงโต ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการแต่งกายหรือเครื่องแบบของพวกเขา ที่ไปคลับคล้ายกับสัตว์ต่างๆ

    (หันมาดูชุดอวกาศหรือชุดแฟนซีของหนัง Sci-fi บ้างสิครับ ถ้าเอาไปให้เงาะป่าซาไก หรือปิ๊กมี่ในอาฟริกาพิศดูเสียบ้าง ถ้าไม่โดนเรียกเป็นมนุษย์นั่นมนุษย์นี่ผมให้เตะเลยล่ะ)

    และอีกส่วนก็อาจจะเพื่อสร้างภาพลักษณ์แห่งความยำเกรงให้กับมนุษย์ที่อยู่ใต้ปกครอง ดังจะเห็นได้ว่า ตำนานเทพเจ้าของชาติต่างๆที่เจริญผิดยุคในสมัยโบราณ ล้วนมีที่มาและรูปร่างที่คลับคล้ายกันทั้งนั้น ในความเป็นจริงเทพหลายๆองค์ของอียิปต์ก็มีต้นแบบมาจากเหล่า Anunnaki นี่แหละครับ

    แม้ว่าเทพเหล่านี้ จะมีบันทึกเอาไว้ในตำนานของคนโบราณในรูปของคนครึ่งสัตว์เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เรายังมีหลักฐานยืนยันจากในจารึกของชาวสุเมเรียนและในไบเบิลครับว่า จริงๆแล้วลักษณะของพวกเขาไม่ต่างไปจากมนุษย์มากเท่าไหร่เลย

    และที่สำคัญ หลักฐานใหม่ที่เพิ่งค้นพบในทวีปอเมริกาคือ Olmec Stone Heads สามารถช่วยยืนยันตรงนี้ได้เป็นอย่างดีว่า ในอดีต เคยมีสิ่งมีชีวิตต่างโลกเหล่านี้ เข้ามาตั้งอาณานิคมและขุดหาทรัพยากรอยู่จริงๆ


    [​IMG]


    เรื่องที่น่าสังเกตอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับพระเจ้าของคนโบราณก็คือ เกือบทุกชาติทุกภาษา จะมีการกล่าวถึงต้นไม้แห่งพิภพหรือต้นไม้ที่เป็นรากของโลกเอาไว้ ในตำนานของชาวสุเมเรียนก็เช่นเดียวกัน พวกเขากล่าวถึงต้นไม้พิเศษที่เติบโตในดาว Nibiru ซึ่งจะมีเฉพาะชนชั้นปกครองของ Anunnaki เท่านั้นที่จะมีสิทธิเข้าไปด้านในได้

    [​IMG]

    พวกเขาเรียกมันว่าต้นไม้แห่งชีวิตหรือ Tree of Life ครับ ซึ่งต้นไม้ต้นนี้ก็มีการกล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิลเช่นเดียวกัน รวมไปถึงต้น Ambrosiac ของกรีกและต้น Ygdrasil ของทางยุโรปเหนืออีกด้วย แน่นอนครับ นี่เป็นต้นไม้แห่งความรู้ที่มีผลทำให้อาดัมกับอีฟถูกขับไล่ออกจากสวนเอเดนในภายหลัง

    [​IMG]

    จากการค้นคว้าพบว่า ช่วงเวลาล่าสุดที่ Nibiru โคจรเข้ามาใกล้กับโลกนั้น เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิล นั่นคือ Exodus อันเป็นช่วงเวลาที่ชาวยิวหนีออกมาจากอียิปต์นั่นเอง เรื่องของเอ็กซ์โซดัสนี้นายโซนิคคงไม่ต้องกล่าวมากความแล้วนะครับ เพราะเคยเล่าไปหลายครั้งมากเลย

    ล่าสุดก็ทฤษฎีพิลึกของ ดร.เวลิคอฟสกี้ นี่แหละ ที่กล่าวถึงภัยพิบัติและผลกระทบของแรงดึงดูดระหว่างดวงดาวเหมือนกัน เพียงแต่เวลิคอฟสกี้จะมุ่งประเด็นไปที่ดาวศุกร์ ส่วน Sitchin จะใช้หลักฐานของสุเมเรียนอ้างไปถึง Nibiru เอง ท่านผู้อ่านก็ใช้วิจารณญาณเอาละกันนะครับ ว่าเหตุผลของใครน่าเชื่อถือมากกว่ากัน

    ภัยพิบัติที่เกิดจากการโคจรเข้ามาเฉียดโลกของ Nibiru นั้นมหาศาลนัก น่าสังเกตว่าทั้งเวลิคอฟสกี้และ Sitchin ต่างก็มุ่งประเด็นไปในทิศทางเดียวกัน ทิศทางดังกล่าวนั้นคือดาวหางขนาดยักษ์สีแดง ซึ่งก็มีข้อสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์มาประกอบ อันว่าสีแดงของเจ้าดาวดวงดังกล่าวนั้น อาจจะมาจากผงฝุ่นสีแดงของ Iron oxide ที่เกิดจากเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงของ Nibiru (หรืออาจจะเป็นดาวหางตามทัศนของเวลิคอฟสกี้)

    เมื่อมันโคจรเข้ามาเฉียดในระยะที่พอเหมาะ ผงฝุ่งและอนุภาคเหล่านั้นก็จะถูกแรงดึงดูของโลกดูดเข้ามา จนปกคลุมทั่วทั้งบรรยากาศ มีบางส่วนตกลงไปในแหล่งน้ำกลายเป็นต้นกำเนิดของเรื่องเล่า แม่น้ำและทะเลกลายเป็นสีเลือดอย่างในพระคัมภีร์ไงครับ

    ทว่า ทฤษฎีผงฝุ่นเหล่านี้ยังฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ในสายตาของนักวิทยาศาสตร์ มีหลายท่านกล่าวว่า ถ้าบรรยากาศของโลกผิดปกติ ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน แม่น้ำลำธารเปลี่ยนเป็นสีเลือดจริง

    มันก็น่าจะเกิดจากปฏิกิริยาทางแม่เหล็กไฟฟ้าอันเป็นผลจากแรงดึงดูดระหว่างดวงดาวมากกว่า ซึ่งผลจากการนี้จะทำให้มีแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ควันและลาวาจากภูเขาไฟที่พุ่งขึ้นสูงๆปกคลุมชั้นบรรยากาศ ก็อาจจะเป็นต้นเหตุอีกอย่างของบรรยากาศสีเลือดดังกล่าวได้เหมือนกัน

    มนุษย์เกิดมาจากวิวัฒนาการทางธรรมชาติ หรือเกิดขึ้นด้วยฝีมือของพระเจ้า?

    เป็นที่ถกเถียงกันมานานระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา และเป็นหัวข้อที่ใช้เยาะหยันไยไพกันได้เป็นอย่างดี ระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับศาสนิกชนผู้เคร่งครัด ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้เอง ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน ได้ทำให้ศาสนิกชนและโบสถ์ต้องแค้นแทบกระอัก

    เพราะดันไปอ้างถึงความเป็นไปได้ที่มนุษย์วิวัฒนาการมาจากสัตว์ประเภทลิง แถมยังลบล้างความเชื่อเรื่องของพระเจ้าสร้างโลก สิ่งมีชิวิต และมนุษย์เสียอีกแน่ะ

    แต่ก็ใช่ว่านักวิทยาศาสตร์จะหัวเราะได้เต็มปากนัก เพราะทฤษฎีวิวัฒนาการยังมีช่องโหว่อยู่มากมาย ห่วงโซ่ที่หายไปที่นักมานุษยวิทยาพากันตามหามานานแสนนาน ปัจจุบัก็ยังไม่ส่อแววว่าจะเจอแบบจังๆ ทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่า จริงๆ แล้ว มนุษย์เรา อาจจะถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าจริงๆ อย่างที่คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาต่างๆ กล่าวกันก็เป็นได้

    เพราะทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ ใช้ได้กับสัตว์เกือบทั้งหมด ยกเว้นมนุษย์ โอเคครับ... ไม่มีใครเถียงว่าทฤษฎีของดาร์วินเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพียงแต่ท่านเชื่อหรือไม่ครับว่า ถ้าการวิวัฒน์ตามทฤษฎีนี้มีอยู่จริง มันอาจจะเกิดขึ้นที่ดาวดวงอื่น แต่ไม่ใช่โลกของเราอย่างเด็ดขาด ทำไมน่ะหรือครับ

    ก็เพราะว่า ปัจจุบันเราพิสูจน์ได้แล้วว่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นบรรพบุรุษของเรานั้น แท้ที่จริงแล้วโครงสร้างและอื่นๆของพวกนั้นไม่ได้ส่อแววเลยว่า จะสามารถวิวัฒนาการมาเป็นโฮโม เซเปี้ยน มนุษย์ปัจจุบันอย่างพวกเราเลยแม้แต่น้อย

    และล่าสุดกรณีของการศึกษา DNA ของโฮมินอยด์ประเภท ออสตรัลโลพิทธิคัส และโฮโม อิเร็คตัส ปรากฏว่าไม่มีวี่แววของความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ปัจจุบนเลย ซึ่งถ้าทฤษฎีวิวัฒนาการนั้นเป็นจริงบนโลกเราแล้วไซร้ เจ้าห่วงโซ่ที่หายไปมันจะไปอยู่ส่วนไหนของโลกกันครับ

    ถ้าอย่างนั้นคำตอบของนักการศาสนาที่ว่า มนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าจึงเหลือเป็นคำตอบสุดท้ายสำหรับพวกเรา ซึ่งนักวิชาการบางกลุ่มที่ศึกษาเรื่องเหล่านี้อย่างหัวร้างข้างแตกก็ยอมรับอย่างกลายๆแล้วว่า มนุษย์เรานั้นไซร้ถูกสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้าจริงๆ เพียงแต่ พระเจ้าที่สร้างพวกเราขึ้นมานั้น หาได้เสด็จมาจากสวรรค์ชั้นฟ้าตามตำนานหรือในคัมภีร์ไม่

    พระเจ้าที่สร้างพวกเรานั้นเป็นเพียงนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาจากดวงดาวอันไกลโพ้นด้วยยานอวกาศที่เปล่งลำแสงเจิดจ้าต่างหากเล่า สำหรับท่านที่เพิ่งมาใหม่และยังตามไม่ทัน โปรดอ่านปฐมบทและแนวคิดในทฤษฎีนี้ จากเรื่องไบเบิลกับพระเจ้าจากอวกาศนะครับ

    สำหรับตรงนี้ผมขอสรุปเพียงสั้นๆว่า นักท่องอวกาศกลุ่มนั้นแม้ไม่ใช่พระเจ้าแต่ก็มีความสามารถที่ใกล้เคียงมาก ใกล้เคียงจนสามารถสมอ้างเป็นพระเจ้าของคนโบราณบนโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ

    หลักฐานที่ผมจะใช้อ้างในเรื่องต่อไปนี้ จะมาจากสองแหล่งคือไบเบิลในบทเยเนซิส และจารึกของชาวสุเมเรียนโบราณอยู่เช่นเดิมเพราะหลักฐานจากสองแหล่งดังกล่าว ดูจะเด่นชัดกว่าแหล่งอื่นๆ มาก


    [​IMG]


    หลักฐานอะไรเรอะ?

    ก็หลักฐานที่ว่าพระเจ้าได้ปั้นแต่งสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติ ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์อย่างเราๆท่านๆน่ะซีครับ ซึ่งจริงๆ แล้ว บทบาทของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์นั้ คงจะยังเป็นนิทานไปอีกนานแสนนานถ้าวิทยาศาสตร์ของเราไม่ก้าวหน้าไปถึงขั้นมีวิชาพันธุวิศวกรรม

    ซึ่งเจ้าศาสตร์แขนงนี้นี้แหละครับ ที่ทำให้วงการวิทยาศาสตร์เริ่มตระหนักว่า กิจกรรมของพระเจ้าในสิ่งที่พวกเขาเคยเรียกว่านิทานหรือตำนานนั้น แท้ที่จริงมันคือบันทึกทางประวัติศาสตร์หน้าสำคัญที่สุดหน้าหนึ่งของมนุษยชาติเลยทีเดียว

    หลายท่านคงพอจะนึกออกอย่างเลาๆว่าผมกำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร ถ้าเอ่ยถึงพันธุวิศวกรรม สิ่งที่ผุดขึ้นมาสำหรับพวกเราก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการดัดแปลง DNA ที่กำลังเป็นที่ตื่นตัวไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ ซึ่งตรงนี้แหละครับที่ Zecharia Sitchin เอามาอ้างว่า พระเจ้าจากดาว Nibiru ได้ทำการสร้างสิ่งมีชีวิตกลุ่มโฮโม เซเปี้ยนขึ้นมาจากเหล่าโฮโม อิเร็คตัส ด้วยการดัดแปลง DNA

    โดยมีจุดประสงค์หลักคือใช้แรงงานมนุษย์ในการขุดค้นทรัพยากรของพวกเขา และรองลงมาก็คือสร้างอารยธรรมที่เจริญขึ้นมาบนโลก โดยมีพวกเขาเป็นพระเจ้าปกครองเหล่ามนุษย์


    [​IMG]


    Planet X and Genesis: Genetic Engineering Sapiens II.

    ฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ปนศาสนานะครับ เพราะในไบเบิลบทเยเนซิสนั้น มีการกล่าวถึงรายละเอียดในการสร้างมนุษย์ด้วยวิธีการที่คล้ายกันกับการโคลนนิ่งอย่างชัดเจน หันมาดูจารึกของชาวสุเมเรียนกันบ้าง นี่ยิ่งชัดกว่า เพราะมีการบอกเล่ากันเป็นบทเป็นตอน แถมแน่กว่าไบเบิลของชาวยิวเพราะมีภาพประกอบหลายภาพ

    รูปที่นักคิดนักเขียนฝรั่งชอบเอามาอ้างก็คือ รูปของเทพีกำลังอุ้มเด็กอ่อนโดยมีเทพองค์อื่นๆ ซึ่งกำลังสาละวนอยู่กับหลอดทดลองอยู่รอบข้าง

    แถมมีสัญลักษณ์ซึ่งชาวสุเมเรียนโบราณบอกว่า มันคือความลับในการสร้างมนุษย์ของพระเจ้าอยู่อย่างชัดเจนด้วยซะสิ เป็นไงครับ เห็นแล้วท่านจะนึกถึงอย่างอื่นไปได้อีกไหมนอกจากสัญลักษณ์ของ... DNA

    ความลับของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์ การดัดแปลง DNA !!??

    แม้ว่า Anunnaki จะมีวิทยาการที่ก้าวหน้า แต่การสร้างมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขานัก จารึกของชาวสุเมเรียนกล่าวถึง Anunnaki พี่น้องคู่หนึ่ง (ซึ่งน่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับสูง) คือ Enki กับ Ninharsag ที่ทำการลองผิดลองถูกในการ "ปั้นแต่งมนุษย์" ซึ่งก็นับว่านานพอดูกว่าจะประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ

    ผู้เชี่ยวชาญที่แปลและตีความเรื่องนี้ได้ให้รายละเอียดที่ยืดยาวจนผมเอามาเล่าไม่ไหว แต่ก็พอจะสรุปให้ฟังได้ว่า Anunnaki ได้ดัดแปลง DNA ของลิง Ape อาฟริกันจนได้ผลเป็นที่พอใจของพวกเขาในสถานีงาน (และเหมืองทองขนาดใหญ่) ที่อาฟริกา แต่นั่นยังไม่ใช่มนุษย์ที่พวกเขาต้องการ

    ผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามจริงๆ มาเกิดขึ้นที่ดินแดนเมโสโปเตเมียครับ เป็นบริเวณที่ชาวสุเมเรียนโบราณเรียกกันว่า E.DIN (นี่ก็ตรงกับสวนเอเดนในไบเบิล ที่พระเจ้าของชาวยิวสร้างมนุษย์ขึ้นมาอีกเหมือนกัน)

    ณ ที่นี้เอง ที่อาดัมและอีฟ ถือกำเนิดขึ้นมาในฐานะโฮโม เซเปี้ยน รุ่นแรกของโลก

    ดาว Nibiru ดวงนี้น่าจะมีขนาดใหญ่และสว่างเจิดจ้ากว่าที่พวกเราคิดเอาไว้มาก เนื่องจากในบันทึกของดินแดนเมโสโปเตเมีย ได้กล่าวถึงความเจิดจ้าของมันเอาไว้ว่า สามารถมองเห็นได้แม้เวลากลางวัน

    ภาพโบราณที่ขุดพบที่เมือง Nippur พิสูจน์ได้ถึงความจริงในข้อนี้ครับ จากภาพด้านล่างจะเห็นได้ว่า เกษตรกรที่กำลังทำกสิกรรมอยู่นั้น มองไปยังดาว Nibiru ซึ่งแทนด้วยสัญลักษณ์กากบาท

    จารึกยังกล่าวต่อไปถึงคำทำนายล่วงหน้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อดาวดวงนี้โคจรมาอยู่ใกล้โลก ภัยพิบัติเช่นแผ่นดินไหวและน้ำท่วมก็จะตามมา มันก็แหงสิครับ... ออกจะดวงเบ้อเริ่มขนาดนั้น แรงดึงดูดที่ส่งผลต่อโลกย่อมทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ชาวฮีบรูว์ก็รู้จักดาวดวงนี้ดี พวกเขาถือว่าการปรากฏของ Nibiru บนท้องฟ้านับเป็นนิมิตแห่งการเริ่มต้นยุคใหม่ของโลก ที่มาของภัยพิบัติทั้งหลายในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า ก็น่าจะมีสาเหตุมาจาก Nibiru นี่แหละครับ

    เมื่อไรก็ตามที่ดาวเคราะห์ยักษ์ดวงนี้โคจรเข้ามาเฉียดโลกอีกวาระ เมื่อนั้นคำกล่าวของเอไสยะในพระคัมภีร์ก็จะไม่มีใครกังขาอีกต่อไปว่า คำกล่าวนี้กล่าวถึงกองทัพของพระเจ้าหรือพลานุภาพจากแรงดึงดูดกันแน่


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2012
  19. Spammer

    Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    977
    ค่าพลัง:
    +3,498
    ถ้าเป็นสีน้ำเงินน่ากลัว แต่สีแดงหรือขาวไม่น่ากลัว / มั่งมีศรีสุขทุกคนนะครับ :VO
     
  20. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    หน้าตาของ elohim ที่คนสมัยโบราณเชื่อว่า มาจากดาว nibiru แล้วเคยมาเที่ยวที่โลกนี้แล้วนะ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...