วิธีแก้... อารมณ์ฟุ้งซ่าน

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย สันโดษ, 21 มิถุนายน 2008.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    อารมณ์ฟุ้งซ่าน

    1. ฟุ้งเพราะใจลอย ขาดสติ

    2. ฟุ้งเพราะบังคับจิตมากเกินไป ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านทางจิต ทำให้จิตไม่ยอมสงบนิ่ง

    3. ฟุ้งเพราะผู้ปฏิบัติหันมาดูจิตและเริ่มรู้จักจิตของตนเอง คือรู้ว่าจิตนั้นคิดอยู่เสมอ

    4. ฟุ้งเพราะเกิดปิติ และมีความยินดี ติดอยู่ในอารมณ์ที่รู้ที่เห็น ไม่ยอมละอารมณ์นั้น เรียกว่ายึดติดอารมณ์

    [​IMG]

    หากผู้ปฏิบัติไม่รู้เท่าทันความฟุ้งบางอย่าง ก็ถึงกับทำให้ผู้ปฏิบัติเลิกปฏิบัติ และอารมณ์ฟุ้งบางอย่างก็จะทำให้ผู้ปฏิบัติหลงผิดไปจนวันตาย

    ดังนั้นผู้ปฏิบัติที่รู้ว่าตนเองฟุ้งซ่าน ก็ควรสังเกตว่า ตนเองนั้นฟุ้งเพราะเหตุใร ฟุ้งลักษณะใด



    อารมณ์ฟุ้งเพราะใจลอย ขาดสติ มี 2 ลักษณะ คือ

    1. ปรุงแต่งอารมณ์ภายใน เรียกว่าธรรมารมณ์

    2. ปรุงแต่อารมณ์ภายนอก เรียกว่าจิตวิ่งไปรับอารมณ์ที่มากระทบ

    ผู้ปฏิบัติจะมีลักษณะชอบคิดถึงคนนั้นคนนี้ อยากเที่ยวที่นั่นที่นี่ อยากรู้อยากเห็น สร้างวิมานในอากาศ

    บางครั้งคิดถึงสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมา อารมณ์ฟุ้งซ่านเหล่านี้เป็นเพราะผู้ปฏิบัติขาดสติ ถ้าหากผู้ปฏิบัติคิดปรุ่งแต่งเรื่องธรรม ก็ไม่เป็นไร

    ดีกว่าง่วงนอนเพราะทำให้เกิดปัญญา แต่ถ้ามากเกินไปก็จะทำให้เสียผลในการปฏิบัติ เพราะถึงแม้ฟุ้งในธรรมจะทำให้เกิดปัญญาก็ตาม

    แต่ก็เป็นปัญญาภายนอก ไม่ใช่ปัญญาดับทุกข์ ส่วนฟุ้งเรื่องที่ไม่ใช่ธรรม หรือสร้างวิมานในอากาศ หรือคิดสร้างนั่นสร้างนี่

    ผู้ปฏิบัติมักจะไม่รู้ตัวว่าตนกำลังฟุ้งซ่าน เพราะขาดสติอย่างมาก บางรายถึงกับเพลินกับอารมณ์ที่เห็นที่ได้ยิน

    ทำให้เสียเวลาปฏิบัติมาก ดังนั้นถ้าผู้ปฏิบัติเมื่อรู้ว่า กำลังคิดสิ่งต่าง ๆ อยู่ จัดว่ากำลังฟุ้งเพราะขาดสติอยู่

    วิธีแก้ไข

    ผู้ปฏิบัติจะต้องหยุดความคิดไว้ด้วยการเรียกสติเข้าหาตัวก่อน คือ ให้หายใจเข้าทรวงอกให้เต็มแล้วพักไว้สักครู่หนึ่ง

    จนรู้สึก ว่าอกอิ่ม และมีความอบอุ่นที่อกแล้ว ให้หายใจออก จะทำให้เกิดความรู้สึกตัวและมีสติดีขึ้น

    ให้ผู้ปฏิบัติหายใจเข้าออกสัก 2-3 ครั้ง หรือมากกว่านั้นจนรู้สึกว่าที่อกนั้นโล่งปลอดโปร่งแล้ว

    ให้ทำความรู้สึกไว้ที่ 3 จุด คือ ที่หน้าผาก ที่ทรวงอก ที่สะโพก จิตก็จะนิ่งแต่ถ้าหากผู้ปฏิบัติไม่สามารถตั้งจิตไว้ทั้ง 3 จุดนี้ได้

    ให้เอามือจับที่ปลายจมูกแล้ว ทำความรู้สึกเอาจิตดูที่มือสัมผัสกับจมูกแล้ว หายใจเข้าออกยาว ๆ ดูลมให้ดูอยู่ที่เดียว

    คือที่ปลายจมูก เอามือจับจมูกดูลมหายใจเข้าออกสักครู่หนึ่ง จนรู้สึกว่าจิตเริ่มอยู่ที่ ปลายจมูกแล้วให้เอามือออก

    และดูลมหายใจเข้าออกต่อไป อารมณ์ฟุ้งซ่านก็จะหายไปเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2008
  2. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ฟุ้งเพราะบังคับจิตมากเกินไป ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านทางจิต ทำให้จิตไม่ยอมสงบนิ่ง

    ผู้ที่เป็นเช่นนี้จะมีลักษณะหงุดหงิดง่าย ไม่พอใจ และจิตคิดไม่ยอมหยุด ยิ่งบังคับยิ่งคิดมาก

    เพราะจิตนั้นไม่เคยถูกบังคับ เมื่อผู้ปฏิบัติมาบังคับจิต จึงทำให้เกิดการต่อต้านกันทำให้ผู้ปฏิบัติอารมณ์รุนแรง ตาขวาง

    เห็นอะไรรู้สึกอยากทำลาย และอึดอัดใจ อารมณ์ฟุ้งประเภทนี้มักเกิดกับผู้ที่ชอบบริกรรมและภาวนา


    [​IMG]


    วิธีแก้ไข

    ผู้ปฏิบัติจะต้องปล่อยใจให้สบายไว้ก่อน อย่าบังคับจิต หมั่นมองดูสีเขียวหรือท้องฟ้ามาก ๆ เพื่อให้จิตผ่องใสอยู่กับอากาศ

    หรือรื่นเริงอยู่กับต้นไม้ใบหญ้า ถ้าบริกรรมแล้วฟุ้งหรือเครียด จิตไม่สงบ ก็ควรเลิกบริกรรมเสีย อย่าบังคับจิต

    ถ้าหากยังฟุ้งมากอยู่ก็ปล่อยให้จิตนั้นฟุ้งไปให้พอ ไม่ต้องบังคับจิตให้หยุดคิด ผู้ปฏิบัติเพียงแต่ตามดูตามรู้

    โดยการทำความรู้สึกตัวอยู่ข้างหน้า จิตจะคิดอะไรก็ปล่อยมัน เดี๋ยวมันเหนื่อยก็จะหยุดคิดเอง ข้อสำคัญให้ทำความรู้สึกตัวอยู่เสมอ

    การตั้งสติตามดูนั้นอุปมาเหมือนกับเชือกที่ผูกวัว จิตที่ฟุ้งก็เหมือนกับวัว เมื่อวัวคึกคะนองเราก็ต้องถือเชือกวิ่งตามจนกว่าวัวจะเหนื่อย

    เมื่อมันเหนื่อยเราก็จูงมันกลับบ้านได้ จิตก็เช่นเดียวกัน เมื่อมันคิดจนเหนื่อย มันก็หยุดเอง หลังจากจากหายฟุ้งแล้ว

    ผู้ปฏิบัติควรจะเลิกการปฏิบัติด้วยการบริกรรมชั่วคราว หันมาใช้วิธีทำความรู้สึกตัวด้วยการประคองจิต ไว้ที่รูปกายหยาบ

    หรือที่กาย หมั่นตั้งจิตไว้ที่ผัสสะอยู่เสมอ หรือควรหัดทำความรู้สึกให้เต็มหน้าก่อน หลังจากนั้นเมื่อมีความรู้สึกเต็มหน้าแล้ว

    ก็หัดแผ่ใจให้เต็มกาย การแผ่ใจให้เต็มกายนี้จะช่วยให้จิตที่เหนื่อยเพราะคิดมากหรือฟุ้งมากเกิดพลังขึ้นมาแทน

    และเป็นสมาธิง่าย ๆ ไม่ฟุ้งง่าย เหมือนการบังคับจิต หรือการบริกรรม



    ฟุ้งเพราะผู้ปฏิบัติหันมาดูจิตและเริ่มรู้จักจิตของตนเอง คือรู้ว่าจิตนั้นคิดอยู่เสมอ

    แต่อำนาจสติยังน้อยอยู่ ทำให้ผู้ปฏิบัติมีความรู้สึกว่า เป็นทุกข์มากเพราะจิตคิดไม่ยอมหยุด ผู้ปฏิบัติที่ตกอยู่ในอารมณ์ฟุ้ง

    ประเภทนี้มักจะชอบคิดแต่เรื่องในอดีตที่ผ่านมาแล้ว เพราะว่าเมื่อหันมาดูจิตก็จะเลิกสนใจเรื่องภายนอก ทำให้เห็นแต่อารมณ์ภายใน

    แล้วรู้ว่าจิตชอบคิด เมื่อไม่มีอารมณ์ใหม่เข้ามาจิตจึงปรุงแต่งนึกคิดแต่อารมณ์เก่าที่ผ่านมา บางคนเคยโกรธกับผู้อื่น มาถึง 10 ปี

    และลืมไปแล้ว เมื่อมาทำความเพียรดูจิต ก็จะกลับเกิดอารมณ์โกรธขึ้นมาอีกได้ บางคราวรู้สึกเสียใจ บางคราวรู้สึกดีใจ

    บางคนระลึกถึงความหลังได้มากถึงขนาดระลึกชาติได้ก็มี ทำให้เข้าใจผิดว่าได้สำเร็จธรรม ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่

    แต่เกิดจากการหันมาดูจิตและรู้จักจิตของตนมากขึ้น คือทำให้ระลึกความหลังได้

    อารมณ์ฟุ้งประเภทนี้บางท่านไม่รู้เท่าทันอารมณ์คิดว่าธรรมเสื่อม สมาธิเสื่อม เลิกปฏิบัติก็มี

    ดังนั้น ถ้าผู้ปฏิบัติเห็นจิตตนเองคิดมาก คิดแต่เรื่องอดีต และไม่ยอมหยุด ก็ควรรู้ว่าเป็นการเริ่มรู้จักจิตแล้วว่าจิตนั้นมีลักษณะชอบคิด

    อุปมาเหมือนกับน้ำที่นิ่ง ย่อมมองเห็นเงาในน้ำ

    วิธีแก้ไข

    ให้เลิกดูจิต หันมาดูกายแทน ถ้าจิตคิดมากให้อัดลมหายใจ เหมือนฟุ้งเพราะขาดสติ

    หันมาปฏิบัติด้วยการทำความรู้สึกไว้ให้เต็มหน้าอยู่เสมอ อารมณ์ฟุ้งแบบนี้เมื่อเลิกดูจิตหันมาดูกาย ไม่นานก็จะหายเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2008
  3. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    [​IMG]




    ฟุ้งเพราะเกิดปิติ และมีความยินดี ติดอยู่ในอารมณ์ที่รู้ที่เห็น ไม่ยอมละอารมณ์นั้น เรียกว่ายึดติดอารมณ์

    ความฟุ้งประเภทนี้มักจะทำให้ผู้ปฏิบัติอยากสอนคนทั่วไป อยากบอกคนนั้นคนนี้ให้มาปฏิบัติเหมือนกับตนเอง

    บางท่านพบกับความสงบ หรือพบกับอารมณ์บางอย่างที่ไม่เคยพบ และติดใจอยากให้เกิดอีก

    แต่ไม่สามารถทำได้อีกเพราะเกิดตัณหา คือความอยาก ทำให้นึกคิดไปต่าง ๆ นานา

    อารมณ์ฟุ้งประเภทนี้นับว่าเป็นอันตรายมาก เพราะจะทำให้เลิกปฏิบัติหรือไม่ก็เป็นมิจฉาทิฐิ คือคิดว่าตนสำเร็จ

    บางท่านปฏิบัติจนจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิ จิตอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น

    และเข้าติดต่อกับแดนวิญญาณได้ คือบางครั้งได้ยินเสียงกระซิบที่หู บางครั้งเห็นรูปละเอียด

    ผู้ปฏิบัติที่ตกอยู่ในช่วงนี้นับว่ามีอันตรายมาก เพราะส่วนมากมักจะเข้าใจผิดกันเสมอ คิดว่า

    ตนสำเร็จแล้ว แต่ความจริงไม่ใช่ แต่แค่ตกอยู่ในอุปจารสมาธิ เป็นอารมณ์ที่ผู้ปฏิบัติต้องผ่านเท่านั้น

    วิธีแก้ไข

    เมื่อปฏิบัติไปแล้วเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความว่าง ความสงบ หรือความสุขกายสุขใจก็ตาม ไม่ควรยินดีติดใจในอารมณ์เหล่านี้

    เพราะเมื่อเกิดความยินดีขึ้นเมื่อใดจิตก็จะเคลื่อนออกจากสมาธิ ผู้ปฏิบัติจะต้องเข้าใจว่า สภาวธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง

    เมื่อมีการเกิดก็ต้องมีการดับเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรยินดีกับอารมณ์ที่ดี ยินร้ายกับอารมณ์ที่ไม่ดี

    การยินดีในอารมณ์ดีนั้นเมื่ออารมณ์ดี คือปิติดับหมด จะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความท้อแท้ ทุกข์เจียนตายเลยที่เดียว

    จึงไม่ควรยินดียินร้ายในอารมณ์ทั้งปวงที่เกิดขึ้น

    ส่วนการได้ยินเสียงมากระซิบที่หูนั้น ผู้ปฏิบัติจะต้องเลิกฟังเลิกสนใจ เพราะถ้าสนใจฟัง เมื่อนานเข้าก็จะไม่สามารถแก้ไขได้

    และกลายเป็นคนวิกลจริตไปในที่สุด ผู้ปฏิบัติจะต้องรีบละอารมณ์นี้ให้ได้ ถ้าหากเลิกสนใจแล้ว แต่ยังเห็นรูปละเอียดและได้ยินเสียงอยู่

    ผู้ปฏิบัติจะต้องเลิกทำสมาธิหันมากำหนดทุกข์ที่กาย เพื่อให้จิตเกาะอยู่กับทุกข์ เมื่อจิตเกาะอยู่กับทุกข์

    จะละเสียงและรูปละเอียดที่ได้ยินได้เห็นเอง ดังนั้นการกำหนดทุกข์ด้วยการกำหนดที่ผัสสะ

    จึงมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่อยู่ระหว่างแดนต่อแดน เมื่อละเสียงกระซิบที่หูได้แล้ว ก็ควรเลิกกำหนดทุกข์ด้วย

    เพราะทุกข์มากจะทำให้เครียดอีกได้ ให้หันมาดูจิตต่อไป ซึ่งแล้วแต่ความแยบคายของผู้ปฏิบัติเองว่าจะใช้วิธีใดในเคล็ดลับดับทุกข์ที่กล่าวมา



    ขอขอบคุณ http://www.bloggang.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2008
  4. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    กุศลผลบุญใด ๆ ก็ตามที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศให้<O:p</O:p


     
  5. แก้วเจียระไน

    แก้วเจียระไน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +57
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ

    จะพยายามนำไปแก้ไขค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
     
  6. ด.ญ.รวิวรรณ วัฒนวิไ

    ด.ญ.รวิวรรณ วัฒนวิไ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    หนูชอบฟังเรื่องกฎแห่งกรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2008
  7. ptt2345

    ptt2345 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +40
    กุศลผลบุญใด ๆ ก็ตามที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศให้<O:p</O:p


    สมาชิกเว็บพลังจิตทุกท่าน<O:p</O:p


    จงได้รับ หรืออนุโมทนากุศลผลบุญนี้ด้วย เทอญ.<O:p</O:p

    <O:p</O:p


    บุญสำเร็จได้ด้วยการ อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ<O:p</O:p

    <O:p</O:p


    ขอให้ทุกท่านมีความเจริญยิ่งขึ้นในพระพุทธศาสนา<O:p</O:p

    <!-- / message -->
     
  8. overmage

    overmage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +128
    สาธุ สาธุ โมทนาในธรรมครับ ผมกำลังโดนมันเล่นงานอยู่พอดีเลย

    อยู่กับลม แต่ลืมลม คือคนที่ตายจากความดี
     
  9. phasusorn

    phasusorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +133
    โมทนาสาูธุครับ จะลองนำไปปฏิบัติเพื่อความสงบของจิตครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...