พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ขออนุโมทนา............................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border:1px inset"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Pinkcivil [​IMG]
    หลาย วันนี้ยุ่งตลอดครับ 26ม.ค. ทำบุญเลี้ยงพระงานวันคล้ายวันเกิดสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดสุทัศน์ฯ และเมื่อวาน2ก.พ. ร่วมออกร้านและโรงทานเลี้ยงงานฉลองสมโพชสุพรรณบัฏสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ วัดพิชัยญาติฯ เลี้ยงอาหารรวมๆกันก็หลายร้อยรูป เฉพาะสมเด็จก็ 4 องค์อ่ะครับ
    ขอส่งบุญนี้ให้คุณเพชรประสบแต่ความสุข ความเจริญ อิ่มอกอิ่มใจ มีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปครับ:cool:
    </td> </tr> </tbody></table>
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border:1px inset"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Pinkcivil [​IMG]
    ขออนุญาตส่งข่าวจากอินเดียครับ
    พี่ใหญ่ Whatsapp มาบอกจากอินเดียว่าได้เห็นหลวงปู่ใหญ่องค์ที่ 1 ด้วยตาเนื้อเรยครับ ท่านมาโปรดคณะที่ไปปฎิบัติภารกิจที่อินเดียอ่ะครับ;aa47

    ผู้สื่อข่าว Pk report ครับ:cool:
    </td> </tr> </tbody></table>


    โมทนาบุญทุกประการครับ


    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    แนะเก็บทอง-ลุยตลาดเกิดใหม่ หนีปัญหาหนี้ยุโรปไม่คืบ-USยังไม่ฟื้น <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr> <td class="body" valign="middle" align="left">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" valign="middle" align="left">3 กุมภาพันธ์ 2555 14:08 น.</td> </tr></tbody></table>


    นักวิเคราะห์กองทุนรวม แนะนักลงทุนลงทุนในทองคำและสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่ เหตุครึ่งปีแรกสินทรัพย์เสี่ยงยังผันผวนหลังปัญหาหนี้ยุโรโซนยังไม่ชัดเจน และเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังไม่ฟื้นตัว

    นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มราคาสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ หลัง FED ยังคงผ่อนคลายนโยบายการเงินไปจนถึงปี 2557 เพื่อให้แน่ใจว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวต่อไปได้ และทำให้สภาพคล่องไหลกลับเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้ำโภคภัณฑ์อย่างทองคำที่ได้รับผลดีไปเต็มๆ ราคาปรับตัวขึ้นทะลุแนวต้านสำคัญมีโอกาสปรับขึ้นทดสอบ 1,750 - 1,800 US$/oz. ได้

    อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในยุโรปยังไม่แน่นอน เรากำลังรอดูบทสรุปการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ที่คาดว่าจะรู้ผลในไม่ช้านี้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ายุโรปจะรอดพ้นจากวิกฤตหนี้ครั้งนี้แล้ว หากเรากลับไปดูอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของโปรตุเกสที่กำลังปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง สะท้อนความกังวลที่ว่ามีความเป็นไปได้ที่โปรตุเกสอาจเลียนแบบกรีซ ในการขอเจรจาลดหนี้กับเจ้าหนี้เอกชน นอกจากนี้ ยิ่งการเจรจาระหว่างกรีซและเจ้าหนี้ยืดเยื้อต่อไปก็จะยิ่งสร้างความกังวล เพิ่มขึ้น ทำให้เรายังคาดว่าครึ่งปีแรกของปี 2555 ราคาสินทรัพย์เสี่ยงมีโอกาสที่จะต้องเผชิญกัลความผันผวนอยู่ ดังนั้นเราจึงแนะนำให้ทยอยลดพอร์ตการลงทุนลงเพื่อรับความผันผวนในระยะกลาง ซึ่งหากนักลงทุนลดพอร์ตแล้วให้รอดูสถานการณ์ไปก่อน สำหรับเงินใหม่ที่จะนำมาลงทุนเราคงคำแนะนำให้ลงทุนพักเงินใน Money Market Fund ก่อน

    โดยกองทุนตลาดเงินที่แนะนำยังเป็นPCASH ของ บลจ. ฟิลลิป และรอจังหวะความผันผวนเพื่อเก็บสะสมกองทุนที่ลงทุนในตลาดเกิดใหม่เป็นหลัก สำหรับการลงทุนระยะยาวโดยกองทุนรวมที่เราแนะนำได้แก่ ABAPAC (Aberdeen Asia Pacific ex Japan), T-Global Bond ของ บลจ. ธนชาต และกองทุนทองคำ T-Gold Bullion-H ของ บลจ. ธนชาต ที่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับนักลงทุนกองทุน LTF สัปดาห์นี้จะเป็นสัปดาห์แรกที่เริ่มงดการซื้อและสับเปลี่ยนเข้ากองทุน KSDLTF แต่การสับเปลี่ยนออกยังคงทำได้ อย่างไรก็ตามเราแนะนำให้นักลงทุนอยู่ใน KSDLTF ไปก่อน และสับเปลี่ยนออกเมื่อมีโอกาส

    ทั้งนี้ เรายังคงต้องเน้นย้ำให้ระมัดระวังความผันผวน ท่ามกลางความไม่แน่นอนของปัญหาหนี้ยุโรป และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยช่วงต้นสัปดาห์ราคาสินทรัพย์เสี่ยงได้รับแรงหนุนจากการขยายเวลาผ่อนคลาย นโยบายการเงิน คงอัตราดอกเบี้ยต่ำใกล้ 0%(0 - 0.25%) ไปจนถึงปี 2557 และตลาดความคาดหวังว่าจะได้เห็นบทสรุปของการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ระหว่าง กรีซ และเจ้าหนี้เอกชน

    อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ออกมาน่าผิดหวัง ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นเป็น 377,000 ราย มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐในไตรมาส 4/54 ออกมา 2.8% ต่ำกว่าที่คาดกันไว้ที่ 3%นอกจากนี้ การเจรจาระหว่างกรีซ และเจ้าหนี้เอกชนยังไม่ได้ข้อสรุป ทำให้นักลงทุนกลับมากังวลอีกครั้ง ขณะที่ Fitch ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศยุโรป (อิตาลี, สเปน, เบลเยียม, สโลวีเนีย และไซปรัส)

    นอกจากนี้ สัปดาห์ที่ผ่านมา FED ได้ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0 - 0.25% ต่อไปอีกจนถึงปี 2557 ซึ่งทำให้แนวโน้มค่าเงินดอลล่าร์ในระยะยาวคาดว่าจะอ่อนค่าลงอีก และมีความคาดหวังว่าจะได้เห็นมาตรการ QE เพิ่มเติม เป็นตัวกระตุ้นให้นักลงทุนกลับมาสนในสินค้าโภคภัณฑ์มากขึ้น ดันราคาทองคำปรับตัวขึ้นแรงอีกสัปดาห์โดยวันศุกร์ราคาทองคำปิดที่ 1,737.20 US$/oz. (+4.25% WoW) อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันยังคงทรงตัวแถวระดับ 100 US$/bbl. ตามเดิม โดยปัจจัยหลักยังคงเป็นความขัดแย้งระหว่างชาติตะวันตก กับอิหร่านภาวะตลาดประจำสัปดาห์

    -http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000015564-

    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    สร้างทั้งพอร์ตให้เป็นกองทุนรวม(ภาค 2) <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" valign="middle" align="left">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" valign="middle" align="left">3 กุมภาพันธ์ 2555 14:04 น.</td></tr></tbody></table>

    โดยโครงการให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม
    ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

    ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้มาเรียนรู้วิธีสร้างความมั่งคั่งด้วยวิธีนี้ได้ ด้วยการประดิษฐ์ “พอร์ตลงทุน” ของตัวเอง โดยใช้กองทุนรวมแต่ละประเภทเป็นเครื่องมือหรือสินทรัพย์ลงทุนกันไปแล้วซึ่ง ในสัปดาห์นี้ เรามาเรียนรู้ 2 ขั้นตอนหลัก การสร้างพอร์ตการลงทุนให้เหมาะกับตัวคุณ ที่จะพาคุณไปสู่ความสำเร็จในการลงทุน กันก่อนนะครับ

    ขั้นที่ 1.สร้างเป้าหมาย สร้างนโยบายตามสไตล์ของคุณเอง
    เพราะคนเราอยากมีเงินออมไว้ใช้ในวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ในเวลาที่ไม่เหมือนกัน ในขณะที่เงินลงทุนก็มีปริมาณแตกต่างกัน ดังนั้น การออกแบบพอร์ต จึงต้องเริ่มจาก “แผนการลงทุน” ของแต่ละคนก่อน เช่น พอร์ตของคนทำงาน พอร์ตของคนโสด พอร์ตของคนสูงวัย ในขั้นตอนนี้ ถือว่าเป็นการสำรวจตัวเอง ว่าเรามีเป้าหมายทางการเงินอย่างไร มีรายได้ ภาระ หรือแผนชีวิตเช่นไร ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ คือเงื่อนไขสำคัญเพื่อการกำหนดรูปแบบพอร์ตลงทุน ที่จะต้องสร้างผลตอบแทน ให้สนองตอบต่อแผนชีวิต เพราะอย่าลืมว่า “แผนชีวิต เป็นจริงได้ ใช้เงินทำ” อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่แล้วพอร์ตลงทุน มักมีรูปแบบนโยบาย ดังต่อไปนี้

    - แบบปกป้องมั่นใจ-Capital Preservation : คือให้พอร์ตมีสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่เน้นให้เงิน
    ต้น หรือเงินลงทุนไม่สูญหาย ซึ่งการลงทุนแบบนี้ จะลดโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนสูงๆ เพราะต้องมีต้นทุนในการปกป้องเงินทุนไม่ให้หดหาย กองทุนรวมที่ตอบโจทย์วัตถุประสงค์แบบนี้ อาทิเช่น กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น เป็นต้น

    - แบบสร้างรายได้ประจำ-Current Income : ด้วยวัตถุประสงค์ที่คุณอยากได้กระแสเงินสดรับ
    หรือรายได้ที่แน่นอน อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นรายได้ประจำกลับมาใช้หมุนเวียน หรือมาลงทุนเพิ่ม กองทุนรวมที่ให้ดอกผลแบบนี้ ก็เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีการจ่ายเงินปันผล กองทุนรวมหุ้นที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล เป็นต้น

    - แบบเพิ่มค่าเงินทุน-Capital Appreciation : เพื่อให้เงินลงทุนมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น มากกว่าเงินเริ่มลงทุนเริ่มต้น หรือเรียกอย่างง่ายๆ ว่า คุณมุ่งหวังให้ได้รับผลตอบแทนจำนวนมาก จากพอร์ตการลงทุน และสามารถยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ โดยกองทุนรวมที่ตอบความต้องการแบบนี้ เช่น กองทุนรวมหุ้นสามัญที่เน้นลงทุนในกิจการที่เติบโต เป็นต้น อย่างไรก็ดี คนที่เลือกนโยบายพอร์ตแบบนี้ ต้องยอมรับว่า มีโอกาสทั้งได้ผลตอบแทนสูงและขาดทุนได้เช่นกัน

    - แบบผลตอบแทนรวม-Total Return : เพื่อ ให้ได้รับผลตอบแทนที่ดี จากการลงทุนในรูปแบบต่างๆ ผสมผสานกันไป เพราะแต่ละรูปแบบกองทุนที่นำเงินไปลงทุน มีหลากหลายสินทรัพย์ ที่มีธรรมชาติของการเพิ่มค่า ความผันผวน ความมั่นคง ที่แตกต่างจากกัน หรืออีกนัยหนึ่ง คือเน้นให้มีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ โดยกองทุนรวมที่อยู่ในพอร์ตของคุณอาจเป็น กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ เป็นต้น

    ขั้นที่ 2.สร้างความรู้ ดูทางเลือก
    เมื่อมีแผนการลงทุนของตัวเอง เลือกวัตถุประสงค์ และนโยบายการลงทุนของตนเองได้แล้ว ในขั้นตอนต่อไป เราต้องเตรียมความรู้ให้กับตัวเองเพิ่มเติม โดยสำรวจและวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมการลงทุน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการสร้างพอร์ตการลงทุนของเรา อาทิเช่น

    สำรวจช่องทาง ตัวเลือกการลงทุน : เพราะสมัยนี้เป็นยุคของผู้บริโภคที่สามารถเลือกการลงทุนได้หลากหลายรูปแบบ คล้ายๆ กับการสั่งตัดเสื้อผ้า เพราะความหลากหลายของสินค้าก็ดี บริการทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การซื้อขายหน่วยลงทุน ทั้งช่องทางปกติที่มีอยู่ตามเคาน์เตอร์ธนาคารพาณิชย์ บริษัหหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ซึ่งมีถึง 21 แห่ง หรือแม้กระทั่งโบรเกอร์ก็ยังให้บริการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวม หรือการให้บริการทางการเงิน ผ่านช่องทางอิเล็คทรอนิคส์ต่างๆ

    ในขณะที่ กองทุนรวมก็มีหลากหลายนโยบาย ทั้งลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ในทองคำ หรือในน้ำมัน ซึ่งมีผลตอบแทนและความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป ขั้นตอนนี้ จึงถือว่าสำคัญมาก เพราะอย่างน้อยเราต้องเข้าใจธรรมชาติพื้นฐานของสินทรัพย์ที่บริษัทหลัก ทรัพย์จัดการลงทุน นำเงินไปลงทุน ว่าให้ผลตอบแทนและมีความเสี่ยงเป็นอย่างไร ซึ่งสามารถศึกษาหาข้อมูลได้ที่ Thai Mutual Fund ::AIMC:: หรือ website ของบริษัทจัดการทั้ง 21 แห่ง รวมถึงหนังสือชี้ชวนลงทุนของแต่ละกองทุนด้วย

    ประเมินภาวะตลาด : อีกปัจจัยที่ต้องลงมือทำความเข้าใจ คือการศึกษาถึงสภาพเศรษฐกิจ ทั้งในระดับใหญ่หรือมหภาค และระดับย่อยคือจุลภาค ที่รายล้อมการลงทุนอยู่ เพื่อให้เราทราบว่าเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมระดับโลกและระดับประเทศเป็นอย่างไรบ้าง รวมถึงคาดการณ์เศรษฐกิจในอนาคตด้วย เพราะตัวแปรทางเศรษฐกิจ บางตัวก็ส่งผลกระทบกับทุกธุรกิจ ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่จะเป็นผลกระทบเชิงบวกหรือเชิงลบ ก็ต้องพิจารณาในรายละเอียดกันต่อไป แต่บางตัวแปรอาจส่งผลกระทบกับบางธุรกิจเท่านั้น เช่น เมื่อเกิดสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่นขึ้น ธุรกิจส่วนมากได้รับผลกระทบในทางลบ เช่นกลุ่มยานยนต์ต้องหยุดผลิตชั่วคราว แต่ขณะเดียวกันอาจเป็นผลดีกับบางธุรกิจเช่น กลุ่มวัสดุก่อสร้าง อาจจะมีคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม สามารถส่งออกอาหารไปยังญี่ปุ่นได้มากขึ้น เป็นต้น ดังนั้น ภาพรวมของเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ที่มีผลกระทบต่อผลประกอบการของหน่วยธุรกิจต่าง ๆ จึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญ ที่เราต้องเรียนรู้และติดตาม เพื่อประเมินความเสี่ยงและพยากรณ์อัตราผลตอบแทนที่น่าจเกิดขึ้นและควรได้รับ โดยอาจอาศัยเครื่องมือต่างๆ ในการประเมินภาวะตลาด เช่น ความเห็นของเสียงข้างมาก หรือ ตัวแปรทางเศรษฐกิจมหภาค (อัตราเงินเฟ้อ, อัตราดอกเบี้ย, การเติบโตของ GDP) เป็นต้น

    ในสัปดาห์หน้ามาพบกับ 2 ขั้นตอนสุดท้าย ในการทำให้พอร์ตการลงทุนของคุณ ก็จะออกดอกออกผลได้ตามแผนที่วางไว้ กันนะครับ


    -http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000015555-

    .
     
  5. faidood

    faidood Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2012
    โพสต์:
    403
    ค่าพลัง:
    +31
    :'( อาจง อาจารย์ ไม่เอาครับ (eek)
    .<!-- google_ad_section_end --> ไม่เป็นแล้ว แต่คากิซักชามนะ ฮึ้ม เอาสเต็กมาแลกละก้อ กินสเต็กก่อนแล้วค่อยตามด้วยคากิ อิอิอิอิ
     
  6. faidood

    faidood Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2012
    โพสต์:
    403
    ค่าพลัง:
    +31
    catt4นี่นะ อ.เพชรครับ ไอ้เจ้าขมิ้นชันนี่นะประโยชน์หรือสรรพคุณ(สรรพมึง)ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายคนเรามันเป็นอย่างไร แล้งลุงๆๆๆทั้งหลายจะรัปทานกันได้ไหม ก็เห็นพูดกันจังเลย ขอถาม ขอถามนะ;aa43
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    “เหล็ก” บำรุงเลือด <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr> <td class="body" valign="middle" align="left">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" valign="middle" align="left">3 กุมภาพันธ์ 2555 00:08 น.</td> </tr></tbody></table>



    [​IMG] <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" align="Center"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="471"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="471" align="center"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td height="5" valign="top" align="center">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> “เลือด” นับว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกาย ฉะนั้นเราก็ควรต้องบำรุงร่างกายเพื่อให้มีเลือดใช้อย่างเพียงพอและมี ประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้ก็คือ “เหล็ก” ที่ไม่ใช่โลหะ แต่เป็นธาตุชนิดหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างเม็ดเลือด

    สำหรับการช่วยนำเหล็กเข้าไปสร้างเม็ดเลือดนั้น สามารถทำได้โดยการบริโภคอาหารที่มีธาตุเหล็กอยู่สูง เช่น อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ และอาหารทะเล อาหารกลุ่มนี้จะมีธาตุเหล็กสูง และดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ดีที่สุด สังเกตได้จากเนื้อที่มีสีแดงยิ่งเข้มขึ้นแสดงว่ามีธาตุเหล็กสูง เมื่อรับประทานร่วมกับอาหารที่มิวิตามินซีสูง เช่น บร็อคโคลี่ พริก มะเขือเทศ ฝรั่ง ส้ม จะยิ่งช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กได้มากขึ้น

    และอาหารพวกไข่ พืช ผักใบเขียวต่างๆ รวมถึงถั่วเมล็ดแห้ง อาหารพวกนี้มีธาตุเหล็กสูง แต่ธาตุเหล็กในกลุ่มนี้จะดูดซึมเข้าร่างกายได้ไม่ดีนัก จึงควรรับประทานร่วมกับอาหารที่มีวิตามิน ซี สูงในมื้อเดียวกัน เพื่อช่วยในการดูดซึม

    วิธีป้องกันการขาดธาตุเหล็กก็คือ ควรกินเนื้อสัตว์สัปดาห์ละ 3 ครั้ง รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เพื่อช่วยการดูดซึมของเหล็ก และควรระวังอาหารที่ไปขัดขวางการดูดซึมของเหล็ก เช่น ชา กาแฟ แต่ถึงเช่นนั้น ก็ไม่ควรได้รับธาตุเหล็กมากเกินไป เพราะร่างกายจะไม่สามารถขจัดออกได้ และอาจเป็นอันตรายต่อตับ


    -http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000015348-

    .
     
  8. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ลุงไฟดูดเปิดร้านส้มตำคิดหาเมนูเด็ดๆไปทำเพื่อบริการลูกค้า ด้วยเมนูสมุนไพรต้านหวัดมีขมิ้นชันเป็นส่วนผสม นอกจากลูกค้าจะประทับใจในรสอาหาร แล้วลุงยังได้อานิสงค์ให้การรักษาสุขภาพลูกค้าลุงด้วย...

    สมุนไพรหากรู้จักสรรพคุณ และรสยา เราจะนำไปทำเป็นยา หรือทำอาหาร ล้วนเกิดคุณประโยชน์ และเป็นศิลปะการประกอบอาหารที่เกิดจากความเข้าใจ ทั้งเรื่องส่วนผสม และคุณค่าของอาหารเมนูนั้นๆ...

    ที่ว่าขมิ้นช่วยต้านหวัดช่วยยังไง??
    ขมิ้นเป็นพืชประเภทหัวเหง้าอยู่ใต้ดิน สารอาหารต่างๆเก็บไว้ที่หัวเหง้านั้น เมื่อติดเชื้อหวัด เกิดอาการอักเสบขึ้น ขมิ้น ขิง ข่า กระชาย หอม กระเทียม ตะไคร้ กะเพรา ฟ้าทะลายโจร ช่วยลดการอักเสบ นี่คือประโยชน์ของขมิ้นทางยา..

    ช่วงนี้ตามหลักการวินิจฉัยโรคตามคัมภีร์สมุฎฐานวินิจฉัยเป็นช่วงหนาวต่อร้อน เรียกว่า ศิศิระฤดู เริ่มตั้งแต่ แรม ๑ ค่ำเดือน ๒ ถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๔ นี่คือสมุฏฐานแรก สมุฏฐานต่อมาคือ บุคคลนั้นอายุเท่าไหร่ เกิดที่ไหน และมีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ โดยอยู่ที่จังหวัดนั้นๆ เป็นเวลาต่อเนื่องกันถึง ๑๐ ปีหรือไม่ และบุคคลนั้นเกิดในธาตุเจ้าเรือนใด นำสมุฏฐานทั้งหมดประมวลเข้าด้วยกัน วิเคราะห์แล้วจึงจ่ายยาตามส่วน จะเห็นว่า เป็นหวัดแล้ว ต้องพึ่งการรักษาเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันแผนปัจจุบันคิดค่ารักษาแพงมาก หลักพันขึ้นไป จนถึงพันกลางๆ ขนาดเป็นหวัดนะครับ

    ผมคิดว่า เมื่อยังไม่เป็นหวัด หาวิธีการป้องกันด้วยอาหารสมุนไพรเป็นยากันดีกว่า เล่ามาตั้งนาน ยังไม่เข้าเรื่องของขมิ้นชันเลย หุ..หุ....

    ขมิ้นชัน ใช้หลายส่วน ส่วนที่เป็นเหง้า ส่วนที่เป็นผงขมิ้น ส่วนที่เป็นขมิ้นสด..

    ส่วนที่เป็นเหง้า แก้ไข้เพื่อดี เพ้อคลั่ง ไข้เรื้อรัง แก้โรคผิวหนัง เสมหะ และโลหิต แก้ท้องร่วง สมานแผล แก้ผื่นคัน แก้ธาตุพิการ ขับกลิ่น และสิ่งสกปรกในร่างกาย คุมธาตุ รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ฯลฯ สรรพคุณมากมายจริงๆ

    ส่วนที่เป็นผงขมิ้น เวลาใส่แผลสด ให้ผสมน้ำมันพืช หรือผสมน้ำทาผิว แก้ผื่นคัน ผิวพรรณผุดผ่อง ให้สังเกตว่า เวลาโกนผมพระ เราใช้ผงขมิ้น เพราะต้องการให้ผุดผ่องแล้ว ยังลดการอักเสบจากใบมีดปาดถูกด้วย ภูมิปัญญาโบราณจริงๆ

    ส่วนที่เป็นขมิ้นสด ตำผสมดินประสิวเล็กน้อย ผสมน้ำปูนใส พอกที่บาดแผล และแก้เคล็ดขัดยอก หากจะแก้ท้องร่วง หรือบิด ก็ต้องนำขมิ้นสดโขลกกับน้ำปูนใสรับประทาน..

    ไม่ทราบว่าลุงไฟดูจะนำส่วนไหนไปใช้ ผมก็เลยระบุเอาไว้ทั้งหมด..

    มาว่ากันที่เมนูอาหารที่มีขมิ้นชันเป็นส่วนผสมต้านหวัด ทานป้องกันสะสมวันนิดวันละหน่อย หน้าหนาวต่อร้อนมีโอกาสติดเชื้อหวัดน้อยมากครับ

    เมนูแนะนำคือ ไก่บ้านต้มขมิ้น ลุงลองทำเป็นเมนูที่ร้านนะ ลูกค้าตรึม แล้วอย่ามาสงสัยว่า ลูกค้าติดใจอะไร เก็บตังค์เอาไว้หาพระปูนสอมากำนัลผมซะดีๆ ขอแบบ ๗-๘ เด้ง ปูนสอ อัสนี ๒ เกศ ซุ้มขนาน เนื้อน้ำตาล ฯลฯ ...

    เมนูไก่บ้านต้มขมิ้น สรรพคุณต้านหวัด บำรุงธาตุ ช่วยย่อย ขับเสมหะ เพิ่มภูมิคุ้มกัน ต้านการอักเสบ และสุดท้าย..อร่อยถูกปากลูกค้า เอาไว้จะหาโอกาสทำบ้าง..

    -ไก่บ้าน ๑ ตัว
    -ตะไคร้ ๒ ต้น
    -ขมิ้น ๒
    -กระเทียม ๓ หัว
    -หอมแดง ๕ หัว
    -ข่า ๗ แว่น
    -เกลือป่น ๒ ช้อนชา
    -ส้มแขก ๕ ชิ้น(ไม่มีใช้มะขามแขกแทน)

    วิธีทำ
    ๑)ล้างไก่ให้สะอาดสับเป็นชิ้นพอคำเตรียมไว้ในตู้เย็นก่อน
    ๒)ใส่น้ำ ๔ ถ้วยในหม้อ แล้วตั้งไฟ จนน้ำใกล้เดือด
    ๓)ทุบตะไคร้ให้แตก หั่นเป็นท่อน ๒-๓ นิ้ว
    ๔)ทุบข่า ขมิ้น และบุบหอมแดง กระเทียม
    ๕)ใส่เครื่องปรุงข้อ ๒ และ ๓ ลงไปก่อน ต้มจนได้กลิ่นหอมเครื่องปรุง
    ๖)ใส่ส้มแขก หรือมะขามแขก ตามด้วยไก่บ้านสับพอคำที่เตรียมไว้
    ๗)ใส่เกลือ และน้ำตาล ปรุงรสตามชอบ เน้นให้เปรี้ยวนำ ยกลงจากเตาไฟเสริฟ

    ใช้ไก่บ้าน เพราะน้ำซุปไก่บ้านมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย..

    ผม post ไป น้ำลายไหลไป ลุงมีฝีมือทำครัวดี ลองดูนะ ดังแล้วอย่าสงสัยเพราะเมนูอะไร หุ..หุ..

    ลุงๆทั้งหลาย ก็ลองไปอุดหนุนที่ร้านลุงไฟดูด ไปส่องดูพระกันได้ทั้งวัน ส่องแล้วหิว ก็นั่งทาน ทานอิ่มแล้ว นั่งส่องต่อ โอย..ความสุขนะนั่น...
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    คิดได้ไงเนี่ย ปัญญาอ่อนมากจริงๆ

    คิดแบบทุเรศมาก

    อย่านำคำว่า นักวิชาการ ไปใช้กับคนพวกนี้เลย


    -------------------------------------------
    -------------------------------------------

    นักวิชาการแนะเก็บภาษี วัง-วัด-สถานที่ราชการ


    ดันภาษีที่ดินให้ขี้ขาดอีกรอบ นิด้าแนะเก็บหมดวัง-วัด-ราชการ ธนารักษ์เมินยืดใช้ราคาประเมิน (ไทยโพสต์)

    คลัง เตรียมดันอีกรอบ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ด้านนักวิชาการแนะเก็บภาษี วัง-วัด-สถานที่ราชการ เพื่อรายได้ภาษีเพิ่มขึ้น ธนารักษ์เมินยืดเวลาใช้ราคาที่ดินใหม่

    นางจรูญศรี ชายหาด ผู้อำนวยการส่วนนโยบายภาษีท้องถิ่นและรายได้อื่น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวในงานเสวนาหัวข้อ "ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง" ซึ่งจัดโดยสถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการทบทวนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อเตรียมเสนอให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง พิจารณาเห็นชอบ ก่อนนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีความพยายามผลักดันกฎหมายดังกล่าวในสมัยนายธีระ ชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.การคลัง แต่ก็ไม่ผ่านความเห็นชอบของ ครม.

    ทั้ง นี้ รายละเอียดของร่างกฎหมายดังกล่าวจะยังคงเหมือนเดิม คือ การคำนวณภาษีจากมูลค่าทั้งหมดของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยเป็นการคำนวณจากราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง หรือห้องชุด ส่วนกรณีภาคอุตสาหกรรมการคำนวณจะไม่รวมมูลค่าของเครื่องจักร ขณะที่อัตราภาษีจะแบ่งเป็นที่ดินทั่วไปที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ อัตราภาษีอยู่ที่ไม่เกิน 0.5% โดยเกณฑ์การเสียภาษีจะเพิ่มเติม 1 เท่าทุก 3 ปี แต่รวมแล้วต้องไม่เกิน 2% ส่วนที่ดินที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย อยู่ที่ไม่เกิน 0.1% และที่ดินที่ใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม อยู่ที่ไม่เกิน 0.05% โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีอำนาจในการออกข้อบัญญัติจัดเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าได้ แต่ต้องไม่เกินเพดานอัตราภาษีที่กฎหมายกำหนด และรายได้จากการจัด เก็บภาษีดังกล่าวจะตกเป็นของ อปท.

    นายอิทธิพล ศรีเสาวลักษณ์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ขณะนี้มีความเป็นห่วงว่าการประเมินภาษีของ อปท. จะมีความเป็นธรรมหรือไม่ แต่ในอีกมุม เชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงไม่ค่อยเห็นด้วยกับร่างกฎหมายนี้ และออกมาคัดค้านอย่างแน่นอน ดังนั้นคงเป็นไปได้ยากที่กฎหมายฉบับดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้

    นายดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ อาจารย์คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า เห็น ว่าควรมีการใช้อัตราการจัดเก็บภาษีใน พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในระดับสูงสุด เพื่อให้สอดคล้องกับหลายประเทศ โดยยังไม่มีความจำเป็นต้องจัดเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า รวมถึงควรให้มีการจัดเก็บภาษีในที่ดินที่ได้รับการยกเว้นด้วย อาทิ พระบรมมหาราชวัง วัด และสถานที่ในส่วนราชการอื่นๆ โดยอาจจัดเก็บในอัตราที่ลดหย่อนลง เช่น ภาษี 100% อาจลดหย่อนให้ 50-80% เนื่องจากตามหลักการของกฎหมายฉบับดังกล่าว ที่ให้มีการจัดเก็บภาษีตามการใช้ประโยชน์ของที่ดิน

    ด้านนายนริศ ชัยสูตร อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า การขยายเวลาการใช้ราคาประเมินที่ดินเดิมยังเป็นตามกำหนดเดิมคือ 6 เดือน ยังไม่มีแผนหรือแนวคิดที่จะขยายออกไปเป็น 1 ปี ตามที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เสนอ เพราะยังไม่มีเหตุผลใหม่เพียงพอที่จะต้องให้ขยายเวลาออกไปอีก

    ทั้ง นี้ ที่ผ่านมาการขยายเวลาการใช้ราคาประเมินเดิมออกไป เพราะเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวลดลงเหลือ 1% กว่า จากที่คาดไว้จะขยายตัว 4-5% มีประชาชนที่เป็นเจ้าของบ้านและที่ดินได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมจำนวนมาก ทำให้ต้องขยายเวลาราคาประเมินออกไป เพื่อลดภาระของประชาชนในการทำธุรกรรมเกี่ยวกับที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่ เกิดขึ้น


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยโพสต์

    [​IMG]


    -http://hilight.kapook.com/view/67276-

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    เจาะใจ สุชนา หญิงไทยคนแรก กับภารกิจสำรวจแอนตาร์กติกา

    -http://hilight.kapook.com/view/67288-




    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก [ame="http://www.youtube.com/watch?v=QnB7U11u7W4&feature=related"]youtube.com โพสต์โดย Darkvongola1[/ame]

    ช่วงนี้เวลาจะออกไปไหนมาไหนข้างนอกบ้าน หลายคนคงเจอกับสภาวะอากาศแปรปรวน บางวันร้อน บางวันหนาว บางวันฝนตก จนต้องพกร่มติดกระเป๋าไว้ตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่าฝนหลงฤดูจะตกลงมาอีกเมื่อไหร่ โดยส่วนใหญ่ทุกคนต่างก็รู้ว่าที่อากาศเป็นเช่นนี้เกิดจากภาวะโลกร้อน และสำหรับใครหลายคนที่เป็นกังวลกับเรื่องนี้ ในรายการเจาะใจที่ออกอากาศไปเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ก็ได้นำเรื่องภูมิอากาศของโลกในปัจจุบันมาขยายอีกครั้งผ่านการพูด คุยกับนักวิทยาศาสตร์หญิงคนแรกของไทย ที่เดินทางไปทวีปแอนตาร์กติกอย่าง รศ.ดร.สุชนา ชวนิตย์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเคยเดินทางสำรวจพื้นที่แอนตาร์กติกา ร่วมกับทีมสำรวจของชาวญี่ปุ่นในปี 2552 เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกด้วย

    สำหรับ ทวีปแอนตาร์กติกาที่ รศ.ดร.สุชนา ได้เดินทางไปทำการวิจัยนั้น เป็นทวีปที่หนาวเย็นที่สุดในโลก ไม่มีผู้คนตั้งรกรากอาศัยอย่างถาวร มีพื้นที่มากกว่า 14 ล้านตารางกิโลเมตร และปกคลุมด้วยน้ำแข็งเฉลี่ยเกือบ 3 กิโลเมตร ซึ่งดินแดนน้ำแข็งแห่งนี้เองที่เป็นเหมือนกระจกสะท้อนให้เห็นถึงภูมิอากาศ ของโลกในอนาคต มีความแรงของพายุหิมะสูงสุด 96 เมตรต่อวินาที และอุณหภูมิที่หนาวที่สุดอยู่ที่ -89.2 องศาเซลเซียส ปัจจุบันมีศูนย์วิจัยของประเทศต่าง ๆ เข้าไปศึกษาในดินแดนนี้กว่า 20 ประเทศทั่วโลก

    ดร.สุชนา ได้ เล่าให้ฟังถึงความสำคัญของนักวิทยาศาสตร์ต้องไปที่ทวีปแอนตาร์กติกนั้นมี อยู่ 2 ประการ อย่างแรกนั้นเพราะที่นี่เป็นปราการด่านแรก เป็นหน้าต่างบานแรกของโลกที่จะบอกให้ทราบว่า ถ้าโลกของเรามีสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปจะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเวลาที่เราปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ออกมาจากทวีป ต่าง ๆ ก๊าซเหล่านั้นจะไม่อยู่ในภูมิภาคของเรา แต่มันจะปลิวไปตามการหมุนของโลก และมาตกค้างอยู่ที่ขั้วโลกใต้หรือทวีปแอนตาร์กติก จึงถือว่าที่นี่เป็นสถานที่รองรับของเสียของโลกเลยทีเดียว

    "ภาวะ เรือนกระจกจะเกิดรุนแรงที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ มันจะบินไปอัดอยู่ตรงนั้น เพราะฉะนั้นถ้ามีผลกระทบอะไรกับโลกที่นั่นก็จะเกิดขึ้นก่อน เพราะเป็นแหล่งที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงกว่าที่อื่น เราก็จะได้เรียนรู้จากตรงนั้น เพื่อใช้ป้องกันผลที่เกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ "

    ส่วนประการที่สองนั้น ดร.สุชนา กล่าวว่า ถ้าเราจะทำนายสภาพภูมิอากาศของโลกในอนาคตได้อย่างแม่นยำ เราจะต้องมีข้อมูลของโลกในอดีตให้มาก ที่ขั้วโลกเหนือหรืออาร์กติกที่ข้างบนเป็นแผ่นน้ำแข็งส่วนข้างล่างเป็นทะเล แต่ที่แอนตาร์กติกจะเป็นแผ่นดินทวีปที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ซึ่งสะสมกันมาเป็นเวลานานจนปัจจุบันหนาถึง 3 กิโลเมตร เมื่อเราขุดเจาะน้ำแข็งลงไปจะทำให้เราย้อนอดีตไปได้ถึงเจ็ดแสนปี และจะทำให้เรารู้ว่าในแต่ละช่วงอายุมีอะไรฝังอยู่เพื่อให้เรานำมาศึกษาในที ละช่วงได้ ซึ่งการเข้าไปศึกษาวิจัยที่นี่ไม่ใช่อยู่ ๆ ดีจะไปได้ ประเทศเราต้องอยู่ภายใต้สันธิสัญญาแอนตาร์กติกก่อนจึงจะสามารถส่งนักวิจัยไป ได้ เพราะทวีปนี้ไม่มีเจ้าของ หลายประเทศมาจับมือกันทำสนธิสัญญาว่า ห้ามทำการทหาร ห้ามทำการพาณิชย์ ห้ามหาทรัพยากรธรรมชาติ ห้ามขุดเจาะน้ำมันหรือนำอะไรออกมาขาย เราไปก็เพื่อศึกษาวิจัยเท่านั้น โดยนักวิทยาศาสตร์เคยทำนายไว้ว่า ถ้าน้ำแข็งที่แอนตาร์กติกละลายหมด น้ำทะเลจะสูงขึ้น 50 ถึง 60 เมตร เมื่อไหร่ที่น้ำแข็งในแอนตาร์กติกละลาย จะทำให้เกิดผลกระทบอะไรต่อสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งมีชีวิต ประเทศที่อยู่ห่างออกไปจะได้รับผลกระทบในทางอ้อม ในส่วนของห่วงโซ่อาหาร ทำให้ทุกอย่างในทะเลเปลี่ยนไปส่งผลต่อมนุษย์ที่ใช้ประโยชน์จากในทะเล


    [​IMG]


    ซึ่ง ดร.สุชนา ยังเล่าให้ฟังอีกว่า การเข้าไปเป็นหนึ่งในคณะสำรวจของญี่ปุ่นได้ ต้องผ่านการส่งประวัติ ผลงาน ตรวจร่างกายและสภาพจิตใจอย่างละเอียด เมื่อได้เดินทางไปที่แอนตาร์กติกได้จะต้องใช้เรือตัดน้ำแข็งเท่านั้น เรือตัดน้ำแข็งที่พูดถึงคือการใช้หัวเรือชนน้ำแข็งดันวิ่งฝ่าน้ำแข็งเข้าไป ถ้าชนต่อไปไม่ไหว เรือก็จะถอยหลังแล้วเดินหน้าเข้าไปใหม่ แต่เรือลำใหม่ที่ได้เดินทางจะมีการปล่อยน้ำธรรมดาด้วย ฉีดน้ำไปที่น้ำแข็งให้น้ำมันละลายง่ายขึ้น โดยต้องบินไปที่ออสเตรเลียแล้วขึ้นเรือที่ฟรีแมนเทิล ใช้เวลาขาไป 3 อาทิตย์ ขากลับ 5 อาทิตย์ อยู่บนเรือก็ 2 เดือน รวมแล้วก็ไปที่นั่นประมาณ 4 เดือน และจุดประสงค์หลักที่ตั้งใจไปศึกษาที่นั้น คือเรื่องของสภาพภูมิอากาศที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตที่ประ เทศแอนตาร์กติก ศึกษาชีวิตของปลาทะเลว่า ถ้าสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป มันจะมีผลต่ออาหารของปลาหรือไม่ เก็บตัวอย่างดินมาวิเคราะห์ อีกทั้งยังต้องช่วยนักวิทยาศาสตร์ท่านอื่นในกลุ่มชีววิทยา และกลุ่มสมุทรศาสตร์ ช่วยเก็บตัวอย่างน้ำทะเล แพลงตอน เพราะเขาเป็นห่วงกันว่าทะเลจะเป็นกรด เพราะที่แอนตาร์กติกก๊าซเรือนกระจกสูงกว่าที่อื่น

    ส่วนอันตรายหรืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้น ดร.สุชนา กล่าวว่า งานที่ทำอยู่บนทะเลน้ำแข็ง บนชั้นน้ำแข็งที่ข้างใต้มีทะเลก็ค่อนข้างอันตราย ขนาดระวังแล้วก็ยังมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น อย่างตอนที่ไปเก็บไม้ไผ่ที่ปักอยู่ใกล้กับรอยแยกของช่องน้ำแข็ง เท้าของตนตกลงไปในรอยแยกข้างหนึ่ง

    "จริง ๆ แล้วเนี่ยเขาก็มีการเทรนมาก่อนนะว่า ถ้าเวลาเรามีอุบัติเหตุเราต้องเป่านกหวีด แต่ว่าตอนที่ตกลงไปตอนนั้นเราตกใจ ร้องตะโกนให้เพื่อนช่วย แต่ที่นั่นลมแรงมาก เวลาเขาทำงานเขาจะปิดหมดเขาก็จะไม่ได้ยิน ตอนนั้นเราก็ลืมไป เราก็ไม่ได้เป่านกหวีด เรียกตั้งนานเพื่อนก็ไม่หันมามองเราก็เลย ต้องพยายามปีนขึ้นมาเอง"

    และเมื่อถูกถามต่อว่าไปอยู่ที่ศูนย์วิจัยถึงสองเดือนได้อะไรมาบ้าง ดร.สุชนา ก็บอกว่า งาน วิจัยที่ไปทำเขาจะแบ่งกันเป็นหลายกลุ่ม ของญี่ปุ่นจะมีการวิเคราะห์ะด้านชั้นบรรยากาศระดับสูง ดูพวกแสงออโรล่า หรือสนามแม่เหล็ก แล้วอีกกลุ่มหนึ่งจะดูบนชั้นบรรยากาศเกี่ยวกับอากาศ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซเรือนกระจกต่าง ๆ ส่วนกลุ่มของตนเองที่ทำงานทางด้านชีวะก็ไปทำเกี่ยวกับสัตว์ทะเล มีไปสำรวจเพนกวิน แล้วก็มีอีกกลุ่มหนึ่งกลุ่มธรณีคอยเก็บน้ำแข็ง ซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่ามาก ทำให้ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การทำวิจัยและเราก็ได้มีการเผยแพร่ให้นักวิทยาศาสตร์ไทยทราบแล้วว่า เขามีการทำงานอย่างไร เพื่อว่าที่เราจะได้สามารถนำวิธีการอย่างนั้นมาใช้ในบ้านเราได้

    นอกจากนั้น ดร.สุชนา ยังได้นำปลาหินจากแอนตาร์กติกที่เก็บได้ ตัวเคยนำมาแสดงในรายการ ก่อนจะกล่าวถึงประโยชน์ที่ได้จากการไปทวีปแอนตาร์กติกที่สามารถใช้ในประเทศ ไทย ดร.สุชนา ก็ให้คำตอบว่า การไปเก็บตัวอย่างของปลามา พบว่าปลามีพยาธิมากขึ้น ประเภทอาหารของปลาที่กินแตกต่างจากเมื่อก่อน แม้แต่เพนกวินก็เริ่มได้รับผลกระทบจากการที่น้ำแข็งหนาขึ้น ทำให้เพนกวินนำอาหารมาให้ลูกไม่ทัน ลูกเพนกวินก็จะรอดชีวิตน้อย อันนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่ใช่แค่อากาศที่เปลี่ยนไป แต่สิ่งมีชีวิตก็กำลังได้รับผลกระทบด้วย

    " สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอาจจะทำให้โลกร้อนหรือโลกเย็นก็ได้ การที่โลกเปลี่ยนไปอุณหภมินั้นอาจจะสูงขึ้นหรือต่ำลงก็ได้ เราจะเห็นได้จากบ้างประเทศที่มีหิมะตกหนักมาก อันนี้ก็จะเป็นอีกเคสที่ตรงกันข้ามกับโลกร้อน "

    และหลังจากที่กลับมาประเทศไทยแล้ว ดร.สุชนา ได้เข้าไปทำงานเกี่ยวกับปะการังในทะเล เนื่องจากในช่วงสองปีที่ผ่านมาหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์ ปะการังฟอกขาว ซึ่งมีกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ มีปะการังตายถึง 70 เปอรเซ็นต์ สาเหตุก็มาจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นซึ่งส่วนนี้เราทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเราช่วยกันในทางอ้อมไม่ปล่อยมลภาวะ หรือไม่เข้าไปทำให้ปะการังเครียดก็จะลดการฟอกขาวได้

    " ถ้าเกิดเวลาที่ปะการังมันเครียด กำลังฟอกขาวอยู่ถ้าเราไปลดกิจกรรมต่าง ๆ ของเรา อย่าไปดูไปชมปะการัง เพราะช่วงที่ปะการังฟอกขาวคนคิดว่ามันสวย สีขาวอยากจะไปดูมันก็เหมือนปะการังป่วย ถ้าปะการังป่วยเราให้เขาพักฟื้น เขาก็สามารถที่จะฟื้นตัวมาได้ "

    นอกจากนี้ ดร.สุชนา ยังกล่าวถึงหน้าที่ของตัวเองให้ฟังว่า การทำงานของตนคือการฟื้นฟูปะการังแบบอาศัยเพศ ปกติปะการังจะมีการสืบพันธุ์ 2 แบบ ทั้งอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ ที่ผ่านมาจะมีการฟื้นฟูปะการังแบบไม่อาศัยเพศ คือการนำปะการังกิ่งหนึ่งมาชำเหมือนต้นไม้ แต่ที่ตนทำคือการเข้าไปเก็บไข่และสเปิร์มของปะการังมา ซึ่งลูกปะการังที่ได้จากการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศจะมีพันธุกรรมที่หลาก หลายกว่าจะเพิ่มโอกาสให้อยู่รอดได้ ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่ทำระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิยาลัย ร่วมสนองพระราชดำริในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมมือกับหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษกองทัพเรือ และในขณะนี้เราก็ได้ร่วมมือกับทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง

    ส่วนเรื่องสุดท้ายที่อยากฝากให้ผู้ชมรู้เกี่ยวกับธรรมชาตินั้น ดร.สุชนา ก็กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า

    "อยาก ให้ทุกคนคิดว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่ใช่ธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของเรา หลายคนจะคิดว่าธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของเรา เราจะทำอะไรก็ได้แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เราเป็นส่วนเล็ก ๆ ของธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้นถ้าธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปหรือได้รับผลกระทบ มนุษย์เราเองก็จะได้รับผลกระทบด้วย เพราะฉะนั้นมันคงยังไม่สายเกินไป เราอาจจะหยุดโลกร้อนไม่ได้ แต่ถ้าเราช่วยกันคนละไม้คนละมือในสิ่งที่ทำง่ายๆอย่างเช่น ประหยัดพลังงาน หรือการลดการใช้ถุงพลาสติก กล่องโฟม บางคนบอกว่าลดเฉพาะตัวเราแล้วได้หรือเปล่า ความจริงได้ ลองคิดดูว่าถ้าลดการใช้กล่องโฟมหรือถึงพลาสติกวันละกล่องหรือวันละถุง ทุกวันก็สามร้อยหกสิบห้าวัน สามร้อยหกสิบห้ากล่อง สามร้อยหกสิบห้าถุง "

    มาถึงตอนนี้แล้วหลายคนที่เคยคิดกังวล หรือละเลยกับเรื่องสภาวะโลกร้อนคงจะเห็นแล้วว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปก็เป็นผลจากการกระทำของ มนุษย์แทบทั้งสิ้น หากเรามีจิตสำนึกคิดถึงธรรมชาติให้มากกว่าตัวเรา และช่วยกันลดโลกร้อนโดยเริ่มที่ตัวเองแล้วล่ะก็ โลกใบนี้ก็จะคงอยู่เป็นปกติได้จนรุ่นลูกรุ่นหลานแน่นอนค่ะ


    -http://www.youtube.com/watch?v=QnB7U11u7W4&feature=player_embedded-

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=QnB7U11u7W4&feature=player_embedded"]เจาะใจ วันที่ 2 ก.พ. 2555(1-4)Tee-pak.net - YouTube[/ame]

    คลิปรายการเจาะใจ ตอนที่ 1


    -http://www.youtube.com/watch?v=jMz8sRAXMbc&feature=player_embedded-

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=jMz8sRAXMbc&feature=player_embedded"]เจาะใจ วันที่ 2 ก.พ. 2555(2-4)Tee-pak.net - YouTube[/ame]

    คลิปรายการเจาะใจ ตอนที่ 2


    -http://www.youtube.com/watch?v=JInuVeuIw2k&feature=player_embedded-

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=JInuVeuIw2k&feature=player_embedded"]เจาะใจ วันที่ 2 ก.พ. 2555(3-4)Tee-pak.net - YouTube[/ame]

    คลิปรายการเจาะใจ ตอนที่ 3



    -http://www.youtube.com/watch?v=tPdPUENikKI&feature=related-

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=tPdPUENikKI&feature=related"]?????? ?????? 2 ?.?. 2555(4-4)Tee-pak.net - YouTube[/ame]



    -http://hilight.kapook.com/view/67288-

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2012
  11. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ดร.อาจอง ชี้น้ำมากขึ้นทุกปี แนะย้ายเมืองหลวง



    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

    ดร.อาจอง ชี้น้ำมากขึ้นทุกปี แนะควรย้ายเมืองหลวง เนื่องจากทำเลของกรุงเทพฯ สามารถรับน้ำได้แค่อีก 7-8 ปีเท่านั้น

    วันนี้ (4 กุมภาพันธ์) ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา อดีตนักวิทยาศาสตร์องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซ่า) กล่าวว่า ตามคำทำนายของฏิทินมายันที่ระบุว่า ในปี ค.ศ. 2012 หรือปี พ.ศ. 2555 เป็นปีสิ้นโลกนั้น ตนไม่มีความคิดเห็นในเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็ดี ในปีนี้จะเป็นปีครบรอบ 11 ปี ที่ดวงอาทิตย์จะมีปฏิกิริยากับโลก ซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว โลกของเราขณะนี้มีอายุได้ครึ่งหนึ่งของอายุขัยนั้นก็คือ 4,500 ล้านปี และต่อจากนี้อีก 4,500 ล้านปี อายุขัยของโลกเราถึงจะหมด

    ดร. อาจอง กล่าวต่อว่า แต่จากเหตุการณ์ที่ผ่าน เช่น ปรากฏการณ์พายุสุริยะ หรือออโรล่า ในซีกโลกเหนือ นั่นก็คือเป็นอีกหนึ่งผลกระทบจากดวงอาทิตย์กับโลก ที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์ และจะส่งผลให้การสื่อสารชั้นบรรยากาศอาจล่ม เช่น วิทยุการบิน เป็นต้น นอก จากนี้ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ จะทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ถึงช่วงต้นปี ค.ศ. 2013 จากนั้นเหตุการณ์จะค่อย ๆ เบาลงตามลำดับ

    ดร.อางจอง กล่าวถึงผลกระทบจากเหตุการณ์ของโลกที่มีผลต่อประเทศไทยว่า ในปีนี้น้ำของไทยจะมากขึ้นทุกปี ตนอยากให้ผู้บริหารประเทศควรมองการณ์ไกล และควรจะย้ายเมืองหลวงเพื่อแก้ปัญหาในระยะยาวด้วย ทั้งนี้ตนเห็นว่า 16 จังหวัด ในพื้นที่ภาคอีสานนั้น เป็นที่ราบสูง ซึ่งมีทำเลดีเหมาะสมที่จะตั้งเมืองหลวงแห่งใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม การย้ายเมืองหลวง อาจจะใช้เวลาย้ายนานถึง 20 ปีเลยทีเดียว ซึ่งก็คงไม่ทันการณ์ เพราะว่า กรุงเทพฯ เมืองหลวงของเราในตอนนี้ มีแนวโน้มว่าจะต้านทานระดับน้ำได้เพียงอีกแค่ 7-8 ปีเท่านั้น

    ท้ายนี้ นายอาจอง กล่าวว่า นอกจากนี้ตนอยากให้หาวิธีระบายน้ำลงทะเลโดยเร็ว และควรเวนคืนเพื่อทำฟลัดเวย์ เพราะมีแนวโน้มว่าในปีนี้ ปริมาณน้ำจะเกินความจุจากแหล่งน้ำทุกชนิด


    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
    [​IMG] [​IMG]

    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1328339804&grpid=03&catid=&subcatid=-

    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1328334952&grpid=03&catid=&subcatid=-

    -http://hilight.kapook.com/view/67291-

    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ความรู้เบื้องต้นที่ช่างภาพควรรู้ เกี่ยวกับ Memory Card



    [​IMG]

    ABOUT MEMORY (FOTOINFO)
    บทความโดย คุณ พัลลภ/

    แน่ นอนว่าอุปกรณ์อย่างหนึ่งของการถ่ายภาพ สำหรับช่างภาพที่ขาดไม่ได้ นั่นก็คือ Memory Card หรือการ์ดบันทึกภาพ เพราะถ้าหากขาดเจ้าการ์ดบันทึกภาพนี้แล้ว ก็เหมือนกับกล้องถ่ายรูปแบบฟิล์มที่ไม่ได้ใส่ฟิล์ม การถ่ายภาพก็คงจะถ่ายไม่ได้ แม้ว่าจะมีกล้องราคาหรูเลิศขนาดไหนก็ตาม

    ด้วยความที่มันสำคัญ ดังนั้นวันนี้จึงขอนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องน่ารู้ที่คนมักเข้าใจผิด เกี่ยวกับเจ้าการ์ดบันทึกความจำตัวนี้ มานำเสนอกัน

    [​IMG] ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการ์ดบันทึกภาพ

    การ์ดบันทึกภาพ มีชื่อรุ่นของมันที่เรียกกันว่า การ์ด SD ซึ่งมี 3 รูปแบบด้วยกัน คือ การ์ด SD ความจุมาตรฐาน , SDHC หรือ High-Capacity, SDXC หรือ eXtended-capacity ซึ่งการ์ดแต่ละตัวจะมีการบ่งบอกความเร็วของการ์ด คือ Class ซึ่งความเร็วเหล่านี้จะมีประโยชน์ในการอ่านข้อมูลในการ์ด เป็นจำนวน MB ต่อวินาที สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระดับด้วยกัน ดังนี้

    Class 2 มีความเร็วในการอ่านข้อมูล 2MB/วินาที

    Class 4 มีความเร็วในการอ่านข้อมูล 4MB/วินาที

    Class 6 มีความเร็วในการอ่านข้อมูล 6MB/วินาที

    Class 10 มีความเร็วในการอ่านข้อมูล 10MB/วินาที

    อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการ์ด SD คุณภาพดีแค่ไหนก็ตาม หากคุณภาพของกล้องกับคอมพิวเตอร์ไม่สามารถรองรับการ์ด SD ได้ ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร

    [​IMG]

    ส่วนของกล้องบันทึกภาพ การที่มีคุณภาพการ์ด SD เร็วมาก ๆ ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ความเร็วในการถ่ายภาพต่อ 1 ชัตเตอร์เพิ่มขึ้น แต่อาจจะทำให้การโอนภาพจากกล้อง สู่ การ์ด SD ไวขึ้นต่างหาก ซึ่งถ้าอยากให้การถ่ายภาพต่อเนื่องเร็วขึ้น จะเป็นที่คุณภาพกล้องที่ต้องล้ำสมัยมากกว่า

    ส่วนของคอมพิวเตอร์ การที่มีการ์ด SD ความเร็วสูง จะช่วยให้ถ่ายข้อมูลภาพลงคอมพิวเตอร์ได้เร็วขึ้น ทว่าก็ต้องดูที่ คอมพิวเตอร์ที่ใช้ด้วย หากเป็น USB 1.0 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่ล้าหลัง การที่ส่งข้อมูลจากการ์ด SD ได้อย่างรวดเร็ว แต่ฝ่ายรับอย่าง USB มีศักยภาพรับได้ช้า ก็ถือว่าถ่ายโอนภาพได้ช้าอยู่ดี

    [​IMG] คำแนะนำในการใช้การ์ดบันทึกภาพ

    [​IMG]

    1. ฟอร์แม็ตการ์ดด้วยกล้อง ฟอร์แม็ตการ์ดด้วยกล้องถ่ายภาพ ดีกว่าการฟอร์แม็ตโดยใช้คอมพิวเตอร์ เนื่องจากจะทำให้การ์ดทำความรู้จักการทำงานของกล้องโดยอัตโนมัติ

    2. รู้ความจุของการ์ด การรู้ความจุของการ์ด จะทำให้สามารถคำนวนได้ว่า การ์ดอันหนึ่ง สามารถถ่ายภาพได้ประมาณกี่ภาพ แม้ว่าในกล้องจะมีการบอกอยู่แล้วว่า สามารถถ่ายภาพที่เหลือได้กี่ภาพ

    3. สามารถกู้ไฟล์ภาพจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ หลายคนอาจจะตกใจ เมื่อเผลอลบภาพในกล้องไปโดยบังเอิญ โดยคิดว่า ภาพนั้นคงหายไปแล้ว แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า ในคอมพิวเตอร์ก็มีโปรแกรมกู้ภาพเช่นกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อทราบว่าเผลอลบภาพ ก็ควรแกะการ์ดออกมาทันที ห้ามถ่ายภาพเพิ่ม เพื่อไม่ให้ข้อมูลใหม่ มีโอกาสทับข้อมูลเดิมที่หายไปแล้ว

    4. หากมีการ์ดหลายอัน ก็ควรทำตำหนิด้วย หากคุณมีการ์ดหลายอัน ก็ควรจะทำตำหนิเล็กน้อยให้รู้ว่า การ์ดไหนใช้ไปแล้ว การ์ดไหนยังไม่ได้ใช้ เพราะถ้าหากเผลอหยิบการ์ดที่ใช้ไปแล้วมาใช้ ก็อาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพที่ถูกบันทึกไปก่อนหน้านี้ได้

    5. ควรใช้ Card Reader โอนภาพลงคอมพิวเตอร์ การใช้ Card Reader ถ่ายโอนข้อมูลลงคอมพิวเตอร์ จะเป็นวิธีที่รวดเร็วและปลอดภัยมากกว่าการใช้สาย USB ในการถ่ายโอนข้อมูล เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองแบ็ตเตอรี่ของกล้องได้ และอาจส่งผลต่อความเสียหายของภาพ

    6. อย่าลบภาพในกล้อง ขณะที่บันทึกภาพ การลบภาพในกล้อง ขณะที่บันทึกภาพ อาจจะทำให้เสียเวลาในการลบ และอาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ทางที่ดีควรซื้อการ์ดในความจุที่สูงจะดีกว่า และควรลบภาพทิ้งได้ หลังจากที่นำภาพลงเข้าคอมพิวเตอร์ไปแล้ว

    7. ไม่ควรนำการ์ดบันทึกภาพออกจากตัวกล้องเร็ว ก่อนที่จะนำการ์ดบันทึกภาพออกจากกล้อง ควรตรวจไฟสัญญาณสีแดงหลังกล้องก่อนว่าหยุดการกระพริบแล้ว ถ้าหากดึงออกมาเร็ว อาจจะทำให้ข้อมูลหายได้

    8. อย่าตกใจหากการ์ดเสียหาย บางครั้งคุณอาจจะทำการ์ดบันทึกภาพเสียหาย แบบไม่ได้ตั้งใจก็เป็นได้ เช่น ทำการ์ดเปียกน้ำ ซึ่งความจริงการ์ดเหล่านี้มีความทนพอสมควร เพียงแค่คุณรอให้การ์ดแห้งสนิทจริง ๆ ก็สามารถนำกลับไปใช้งานได้แล้ว

    9. ควรแบ็กอัพไฟล์สม่ำเสมอ เวลาถ่ายภาพอะไรที่สำคัญ ๆ ข้อแนะนำอีกอย่างหนึ่งคือ ควรสำรองไฟล์ภาพไว้ที่อื่นด้วย เพื่อป้องกันเวลาที่การ์ดบันทึกเสียหาย ก็ยังมีแหล่งสำรองของข้อมูลอยู่

    10. ติดรายละเอียดไว้ที่การ์ดบันทึกภาพ เพื่อให้ทราบว่า การ์ดแต่ละอัน บันทึกข้อมูลภาพจากงานอะไร

    [​IMG] เกร็ดน่ารู้อื่น ๆ

    หรือเครื่องตรวจโลหะ จะไม่ส่งผลต่อการสูญหายของข้อมูลในการ์ดความจำแต่อย่างใด


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]


    -http://www.fotoinfomag.com/-

    -http://hilight.kapook.com/view/66659-

    .
     
  14. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ผมขอเพิ่มให้อีกหนึ่งอ.นะครับ อ.กูรู
     
  15. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขอให้มีความสุขและสุขภาพดีตลอดปีนะครับพี่ท่าน
     
  16. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    โมทนาสาธุครับผม
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border:1px inset"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo [​IMG]
    ก็ ลุง หนุ่มเป็น อาจารย์จริงๆนี่ครับ ไม่ว่าจะอดีต น้องๆ ไม่ว่า แผงจำหน่าย อื่นๆอีก ก็เรียกทั้งนั้นอะครับ งั้นผมเจอ 2อ.แล้วครับ ลุง อ.เพชร กับ ลุง อ.หนุ่มครับ หุ หุ
    </td> </tr> </tbody></table>



    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border:1px inset"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม [​IMG]
    ผมขอเพิ่มให้อีกหนึ่งอ.นะครับ อ.กูรู
    </td> </tr> </tbody></table>

    อ่า อ.กูรู ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ

    :cool: :cool: :cool: :cool: :cool:

    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ระวัง!ยุงลายแพร่ไข้เลือดออกหนัก ช่วงฝนตกประปรายฤดูหนาว <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" valign="middle" align="left">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" valign="middle" align="left">5 กุมภาพันธ์ 2555 11:04 น.</td></tr></tbody></table>

    สธ.เตือน ฝนตกประปรายฤดูหนาว เอื้อยุงลายแพร่ไข้เลือดออก ปีนี้พบป่วยแล้วกว่า 300 ราย ขณะที่ตลอดปี 2554 ที่ผ่านมาทั่วประเทศมีผู้ป่วย 65,961 ราย เสียชีวิต 59 ราย

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" align="Left"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="245"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="245" align="center"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table></td> <td width="5">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td height="5" valign="top" align="center">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้หลายพื้นที่ของประเทศมีฝนตกประปรายแม้สภาพอากาศจะอยู่ในช่วงฤดูหนาวก็ ตาม ทำให้มีแอ่งน้ำขังหรือมีน้ำขังอยู่ตามเศษวัสดุ เศษภาชนะต่างๆ จานรองกระถางต้นไม้ และกาบใบไม้ กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์อย่างดีของยุงลาย อาจทำให้ประชาชนป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกในฤดูหนาวได้ ซึ่งโรคนี้พบผู้ป่วยได้ตลอดปี แต่จะพบมากในช่วงฤดูฝน ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัด รณรงค์ให้ประชาชนทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทุกสัปดาห์อย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนให้ชุมชนทุกแห่ง จัดการสิ่งแวดล้อมให้ปลอดยุงลายเพื่อลดปริมาณยุงลายให้มากที่สุด และหากมีรายงานพบผู้ป่วยแม้เพียงรายเดียว ให้ส่งทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่เพื่อควบคุมโรคภายใน 24 ชั่วโมง และทำลายลูกน้ำยุงลาย พ่นสารเคมีฆ่ายุงตัวแก่ภายในบ้านและรอบบ้านผู้ป่วย ในรัศมี 100 เมตร และพ่นซ้ำอีก 7 วัน

    ด้านนพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานการณ์โรคไข้เลือดออก ตั้งแต่วันที่ 1 - 19 มกราคม 2555 พบผู้ป่วยทั่วประเทศ 332 ราย เสียชีวิต 1 ราย แนวโน้มสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2554 ซึ่งมีผู้ป่วย 291 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต โดยผู้ป่วยร้อยละ 56 อยู่ในภาคกลาง จำนวน 185 ราย เสียชีวิต 1 ราย รองลงมาคือภาคใต้ 69 ราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 42 ราย และภาคเหนือ 36 ราย และตลอดปี 2554 ที่ผ่านมาทั่วประเทศมีผู้ป่วย 65,961 ราย เสียชีวิต 59 ราย

    นพ.ไพจิตร์กล่าวต่อว่า โรคไข้เลือดออกขณะนี้พบได้ทุกวัย จะมีอาการป่วยหลังถูกยุงลายที่มีเชื้อไข้เลือดออกกัดประมาณ 5-8 วัน ลักษณะอาการเริ่มจากมีไข้สูงกะทันหัน ไข้จะสูงติดต่อกัน 2-7 วัน ผิวหน้าแดง ปวดกระบอกตา ปวดศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและกระดูก คลื่นไส้ อาเจียน แต่จะไม่มีอาการไอ ไม่มีน้ำมูกไหล เหมือนไข้หวัด นอกจากนี้อาจมีผื่นหรือจุดแดงๆ ขึ้นที่ใต้ผิวหนัง หลังจากนั้นไข้จะลง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะฟื้นตัว สดชื่น แจ่มใสขึ้น และหายเป็นปกติ แต่จะมีผู้ป่วยประมาณร้อยละ 2-5 ที่มีอาการช็อค เนื่องจากมีเลือดออกในอวัยวะภายใน เป็นอันตรายมาก มักจะเกิดหลังไข้ลง อาการที่สังเกตได้คือผู้ป่วยจะซึมลง เบื่ออาหาร มีอาการเพลียมาก ปวดท้อง อาเจียน กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ถ่ายปัสสาวะน้อยลง ขอให้รีบพาไปโรงพยาบาลทันที

    กลุ่มผู้ป่วยที่ต้องระวังเป็นพิเศษ คือกลุ่มเด็กเล็ก เพราะเด็กยังไม่สามารถบอกอาการตัวเองได้ ดังนั้นจึงขอให้ผู้ปกครองใช้วิธีสังเกตอาการของเด็กอย่างใกล้ชิด หากหลังให้กินยาลดไข้ คือยาพาราเซตามอล หรือเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นแล้วไข้ไม่ลดภายใน 2 วัน หรือเด็กร้องกวนมาก ไม่กินนม ขอให้ผู้ปกครองคิดถึงว่าเด็กอาจป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก ให้รีบพาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อการตรวจวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องและรักษา อย่างทันท่วงที

    “ประการสำคัญที่สุดในการให้ยาลดไข้ ขอให้ใช้ยาพาราเซตามอล ห้ามใช้ยาแอสไพริน อย่างเด็ดขาด เนื่องจากหากป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก ซึ่งมีเลือดออกในอวัยวะภายในอยู่แล้ว ยาแอสไพรินจะทำให้มีเลือดออกมากขึ้น เพราะคุณสมบัติของแอสไพรินจะต้านการแข็งตัวของเกร็ดเลือด ทำให้เลือดหยุดยากและเสียชีวิตได้” นพ.ไพจิตร์กล่าว

    นพ.ไพจิตร์กล่าวอีกว่า วิธีป้องกันโรคไข้เลือดออกคืออย่าให้ยุงกัดและต้องลดปริมาณยุงลาย ขอให้ประชาชนยึดหลัก 3 เก็บ คือ 1.เก็บขยะ ทั้งเศษภาชนะขังน้ำ พลาสติกเหลือใช้ 2.เก็บบ้าน ให้ปลอดโปร่งไม่ให้ยุงลายเกาะพักอาศัย เก็บล้างคว่ำภาชนะใส่น้ำให้เป็นระเบียบ และ3.เก็บน้ำ เก็บน้ำกินน้ำใช้ให้สะอาด มิดชิด โดยปิดฝาภาชนะ โอ่ง ไม่ให้ยุงลายลงไปวางไข่ หากทุกคนร่วมมือกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในบ้านตนเองอย่างต่อเนื่องแล้ว เชื่อว่าในปีนี้โรคไข้เลือดออกจะไม่เกิดการระบาดอย่างแน่นอน


    -http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9550000016135-

    .
     
  19. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ยังโหวงอยู่ ปล่าวอ่ะครับ ตาลุงข้างบ้านฝากมาโชว์ ลุง อ.เพชร โดยเฉพาะครับ ปีละ่ไม่ถึง 20ตังค์ มือผีปล่าวครับ ดีปล่าวแรง ปล่าวครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2012
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    [FONT=Tahoma,]เจดีย์ทรงพระปรางค์

    คอลัมน์ คติ-สัญลักษณ์
    ชวพงศ์ ชำนิประศาสน์
    [/FONT]

    [​IMG]

    [FONT=Tahoma,]เจดีย์ รูปทรงนี้พัฒนาการมาจากสถูปศิลปะขอมที่พวกเราพบเห็นกันมากมายทั้งในพื้นที่ ประเทศไทย และสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา ตามรูปภาพรูปถ่ายที่ปรากฏอยู่มากมาย

    ความแตกต่างระหว่างเจดีย์ทรงปรางค์กับสถูปทรงปรางค์เป็นเรื่องสิ่งของที่บรรจุอยู่ในที่นั้น

    ถ้าสิ่งของที่บรรจุอยู่ในที่นั้นเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า ในศาสนาพุทธจะเรียกว่า พระเจดีย์ทรงปรางค์

    หาก สิ่งของที่บรรจุอยู่ในที่นั้นเป็นเรื่องของกษัตริย์ ของบุคคลต่างๆ ก็เรียกว่าสถูปทรงปรางค์ หรือเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า ปราสาท เช่น ปราสาทนครวัด ที่เชื่อกันว่าเก็บพระอัฐิของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ของเขมร เป็นต้น

    ความแตกต่างที่น่าสังเกตอีกแนวทางหนึ่งก็คือ

    เชื่อ ว่าพระปรางค์หรือเจดีย์ทรงปรางค์แบบไทยซึ่งมักมีคติทางพุทธศาสนาแฝงอยู่นั้น ส่วนใหญ่จะก่อสร้างด้วยอิฐ แต่ถ้าเป็นปรางค์ของขอมแล้วมักจะสร้างด้วยหินเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีบ้างที่ก่อสร้างด้วยอิฐ ซึ่งมักจะมีอายุอยู่ในยุคตอนต้นๆ ของการสร้างปรางค์ของขอม

    ในกรณีที่เป็นพระปรางค์หรือเจดีย์ทรงปรางค์ แบบของไทย หรือคติทางพุทธศาสนาก็จะมีคติหรือสัญลักษณ์ในบางส่วนของเจดีย์ในทางพุทธมาน แต่ถ้าเป็นพระปรางค์แบบของขอมก็จะมีคติสัญลักษณ์ในทางพราหมณ์ และบางเจดีย์ทรงปรางค์ เช่น พระปรางค์วัดอรุณราชวรารามฝั่งธนบุรี คติสัญลักษณ์ของทั้งสองศาสนาประสานกันอยู่

    ตัวอย่างที่เรียกกันว่า ซุ้มจรนำในส่วนกลางของเจดีย์ที่เรียกกันว่าเรือนธาตุ หมายถึงโลก หรือเขาพระสุเมรุ อันเป็นศูนย์ กลางของจักรวาล นั่นจะปรากฏซุ้มสำหรับเทวดารักษาโลกที่เรียกกันว่า จาตุรชิกมหาราช เป็นต้น

    หรือ บริเวณตัวเรือนยอดของพระปรางค์ ถ้าเป็นทางพุทธศาสนาจะมีลำดับชั้นอยู่ 6 ชั้น ที่หมายถึงเทวโลก ทั้ง 6 ชั้น แต่ถ้าเป็นทางศาสนาพราหมณ์ เรือนยอดก็จะมี 7 ชั้น อันหมายถึงเขาสัตตะบริภัณฑ์ 7 แนวเขาที่ล้อมรอบเขาพระ สุเมรุเท่านั้น

    ข้อสังเกตในปลายยอดสุดของพระ ปรางค์วัดอรุณฯ ก็คือ มีนภศูล อันหมายถึงศูนย์กลางของจักรวาลเป็นที่อยู่ของพระอิศวรนั้น เหนือขึ้นไปกลับปรากฏมงกุฎ อันเป็นเครื่องหมายของนิพพานอันแสดงถึงการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

    อย่างไรก็ตาม อดีตอธิบดีกรมศิลปากรท่านหนึ่งได้ให้คำแนะนำอย่างหนักแน่นว่า

    "พระปรางค์นั้นจะสร้างได้ก็เพราะการอุทิศให้แก่พระมหากษัตริย์เท่านั้น"
    [/FONT]



    -http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROb1lYQXdOakExTURJMU5RPT0=&sectionid=TURNeE53PT0=&day=TWpBeE1pMHdNaTB3TlE9PQ==-

    .

     

แชร์หน้านี้

Loading...