ผลบุญที่ทำใ้ห้เกิดมาเป็นคนหน้าตาดี

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย deity, 12 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. deity

    deity เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,139
    ค่าพลัง:
    +1,645
    ต้องทำบุญอะไรบ้างครับ

    จึงจะเกิดมาเป็นคนหน้าตาดี
     
  2. คณารัตน์

    คณารัตน์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +17
    มีความเชื่อกันนะครับถ้าเราไปกวาด วัด ดูแลให้วัดสะอาด ก็จะทำให้ ชาติหน้าเกิดมามีหน้าตาสะอาดหน้าตางาม แต่ถ้าชาตินี้ ก็ ดูแลตัวเองเยอะ ๆสมัยนี้ใครอยากหน้าตาดี แค่มีเงินก็พอแล้ว
     
  3. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    ...ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม
    เป็นคนมักโกรธ มากด้วยความแค้นเคือง ถูกเขาว่าเล็กน้อยก็ขัดใจ โกรธเคือง
    พยาบาท มาดร้าย ทำความโกรธ ความร้าย และความขึ้งเคียดให้ปรากฏ เขาตาย
    ไป จะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม
    สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเป็น
    มนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีผิวพรรณทราม ดูกรมาณพ
    ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีผิวพรรณทรามนี้ คือ เป็นคนมักโกรธ มากด้วยความแค้นเคือง
    ถูกเขาว่าเล็กน้อยก็ขัดใจ โกรธเคือง พยาบาท มาดร้าย ทำความโกรธ ความร้าย
    และความขึ้งเคียดให้ปรากฏ


    ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม
    เป็นคนไม่มักโกรธ ไม่มากด้วยความแค้นเคือง ถูกเขาว่ามากก็ไม่ขัดใจ ไม่
    โกรธเคือง ไม่พยาบาท ไม่มาดร้าย ไม่ทำความโกรธ ความร้าย และความ
    ขึ้งเคียดให้ปรากฏ เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อันเขา
    ให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามา
    เป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนน่าเลื่อมใส ดูกรมาณพ
    ปฏิปทาเป็นไปเพื่อเป็นผู้น่าเลื่อมใสนี้ คือ เป็นคนไม่มักโกรธ ไม่มากด้วยความ
    แค้นเคือง ถูกเขาว่ามากก็ไม่ขัดใจ ไม่โกรธเคือง ไม่พยาบาท ไม่มาดร้าย ไม่ทำ
    ความโกรธ ความร้าย ความขึ้งเคียดให้ปรากฏ
    ....
    (จูฬกัมมวิภังคสูตร)

    ---------------------------------------

    ....ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเคยเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ภพก่อน
    กำเนิดก่อน เป็นผู้มีสมาทานมั่นในกุศลธรรม มีสมาทานไม่ถอยหลังในกายสุจริต
    ในวจีสุจริต ในมโนสุจริต ในการบำเพ็ญทาน ในการสมาทานศีล ในการรักษา
    อุโบสถ ในการปฏิบัติดีในมารดา ในการปฏิบัติดีในบิดา ในการปฏิบัติดีในสมณะ
    ในการปฏิบัติดีในพรหม ในความเป็นผู้เคารพต่อผู้ใหญ่ในสกุลและในธรรมเป็น
    อธิกุศลอื่นๆ ตถาคตย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
    เพราะกรรมนั้น อันตนทำสั่งสม พอกพูนไพบูลย์ ตถาคตย่อมครอบงำเทวดา
    ทั้งหลายอื่นในโลกสวรรค์ โดยสถาน ๑๐ คือ อายุทิพย์ วรรณทิพย์ ความสุข
    ทิพย์ ยศทิพย์ ความเป็นอธิบดีทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์
    และโผฏฐัพพทิพย์... (ลักขณสูตร)


    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  4. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ไม่ยากหรอกครับ ลองอ่านดูนะครับ

    <title>อานิสงส์ของศีล ๕</title><noscript></noscript><link rel="stylesheet" type="text/css" href="../popup-menu.css"><link rel="stylesheet" type="text/css" href="../grant1.css"><script language="JavaScript" src="../popup-menu1.js"></script><script language="JavaScript" src="../popup-menu2.js"></script><style>H1 { PAGE-BREAK-AFTER: avoid; TEXT-INDENT: 36pt; MARGIN: 12pt 0cm 0pt; FONT-FAMILY: "Cordia New"; COLOR: #cc0066; FONT-SIZE: 14pt } </style>
    อานิสงส์ของศีลสิกขาบทที่ ๑
    ผู้รักษาศีลข้อ ๑ คือ เว้นจากฆ่าสัตว์ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยดี ไม่ให้ขาด ไม่ให้ทะลุ ไม่ให้ด่าง ไม่ให้พร้อย จากโลกนี้แล้วไปสู่สุคติ ถ้ากลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะได้อานิสงส์ ๒๓ ประการ คือ มีร่างกายสมประกอบ ไม่พิการ, มีรูปร่างสูงต่ำพอสมส่วน, มีเชาว์ว่องไว, มีเท้าถูกส่วนเหมาะเจาะ, มีท่าทางสง่าราศี, มีองคาพยพสะอาดปราศจากตำหนิแผลไฝ, มีลักษณะอ่อนละมุนละม่อน, มีความสุขสมบูรณ์, มีลักษณะกล้าหาญ, มีกำลังมาก, มีถ้อยคำสละสลวยเพราะพริ้ง, มีบริษัทที่ใครๆ จะทำลายไม่ได้, มีลักษณะไม่สะดุ้งตื่นเต้นตกใจ, ไม่มีศัตรูคิดทำร้ายได้, ไม่ตายด้วยความเพียรของคนอื่น, มีบริวารอยู่ทุกแห่งหน, มีรูปสวยงาม, มีทรวดทรงงาม, มีความเจ็บไข้น้อย, ไม่มีเรื่องเศร้าใจ, เป็นที่รักของชาวโลก, ไม่พลัดพรากจากผู้คนและสิ่งที่รักที่ชอบใจ, มีอายุยืน


    พุทธพจน์ อานิสงส์สร้างพระไตรปิฎก

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ดูกรท่านสารีบุตร ถ้าชนทั้งหลายมีจิตศรัทธาเลื่อมใสเช่นนั้นแล้ว

    เมื่อตายไปแล้วก็จักรได้เสวยราชสมบัติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชถึง ๘ หมื่น ๔ พันกัลป์ ใช่แต่เท่านั้น

    เมื่อเคลื่อนจากความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิแล้ว ก็จะได้เป็นพระราชา มีอนุภาพอีก ๙ อสงไขย

    ต่อจากนั้นก็ได้เสวยสมบัติในตระกูล ต่าง ๆ เป็นลำดับไป คือตระกูลพราหมณ์มหาศาล ตระกูลเศรษฐีคฤหบดี และเป็นภูมิเทวดาอากาศเทวดา อย่างละ ๙ อสงไขย

    ต่อแต่นั้นก็จะได้เสวยในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น เป็นลำดับไปชั้นละ ๘ อสงไขย

    เมื่อจุติจากชั้นเทวโลกแล้ว มาถือกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์ จะได้เป็นคนมีรูปโฉมงดงาม จะมีร่างกายบริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นที่รักใคร่แก่คนทั้งหลายที่ได้พบเห็นทั้งน้ำใจก็บริสุทธิ์
    สุจริต ปราศจากบาปธรรมอกุศลทั้งปวง และเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดรอบรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม

    ทั้งนี้ เพราะอานิสงส์อักขระตัวเดียว ของบุคคลผู้สร้างพระไตรปิฎกไว้ในพระศาสนา การที่จะกำหนดอานิสงส์แห่งการสร้างพระไตรปิฎกนั้น เป็นอาจินไตร
     
  5. เขตปกครอง230

    เขตปกครอง230 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    463
    ค่าพลัง:
    +324
    ว่าแต่คนหน้าตาดีเนี่ย มันหน้าตาดีได้ตลอดเลยใช่มะ มันไม่มีแก่เลยว่างั้น..
     
  6. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,516
    ค่าพลัง:
    +9,769
    ที่น่าสนในมากคือบุรพกรรมที่ทำให้พระพุทธองค์ได้มาซึ่งลักษณะของมหาบุรุษ ดังนี้


    บุรพกรรมของการได้มหาปุริสลักขณะ


    ภิกษุ ท.! พวกฤาษีภายนอก จำมนต์มหาปุริสลักขณะได้ก็จริงแต่หารู้ไม่ว่า การที่มหาบุรุษได้ลักขณะอันนี้ ๆเพราะทำกรรมเช่นนี้ ๆ :
    .ภิกษุ ท.! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ในภพที่อยู่อาศัยก่อน ได้เป็นผู้บากบั่นในกุศล ถือมั่นในการสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต,ในการบริจาคทาน การสมาทานศีล การรักษาอุโบสถการปฏิบัติมารดา บิดา การปฏิบัติสมณพราหมณ์ การอ่อนน้อมต่อผู้เจริญในตระกูล และในอธิกุศลธรรมอื่นเพราะได้กระทำ ได้สร้างสม ได้พอกพูน ได้มั่วสุมกรรมนั้น ๆ ไว้, ภายหลังแต่การตาย เพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ตถาคตนั้นถือเอาในเทพเหล่าอื่นโดย ฐานะ ๑๐ คือ อายุทิพย์ วรรณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิบดีทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ สัมผัสทิพย์;ครั้นจุติจากภพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้ จึงได้มหาปุริสลักขณะข้อนี้คือ มีฝ่าเท้าเสมอ จดลงก็เสมอ ยกขึ้นก็เสมอฝ่าเท้าถูกต้องพื้นพร้อมกัน..ลักขณะที่๑, ย่อมเป็นผู้ไม่หวาดหวั่นต่อข้าศึกทั้งภายในและภายนอก คือราคะ โทสะ โมหะ ก็ตามสมณะ พราหมณ์ เทวดามาร พรหม หรือใคร ๆ ก็ตาม ในโลก ที่เป็นศัตรู.


    .ภิกษุ ท.! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน...ได้เป็นผู้นำสุขมาให้แก่มหาชนเป็นผู้บรรเทาภัยคือความสะดุ้งหวาดเสียว จัดการคุ้มครองรักษาโดยธรรม ได้ถวายทานมีเครื่องบริวาร.เพราะได้กระทำกรรมนั้น ๆ ไว้ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้ จึงได้มหาปุริสลักขณะข้อนี้คือภายใต้ฝ่าเท้ามีจักรทั้งหลายเกิดขึ้น มีซี่ตั้งพัน พร้อมด้วยกงและดุม บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง มีระยะอันจัดไว้ด้วยดี(ลักขณะที่ ๒), ย่อมเป็นผู้มีบริวารมาก, ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกา เทวดามนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ย่อมเป็น บริวารของตถาคต.


    .ภิกษุ ท.! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน..ได้เป็นผู้เว้นจากปาณาติบาต วางแล้วซึ่งศาสตราและอาชญา มีความละอาย เอ็นดู กรุณาเกื้อกูลแก่สัตว์มีชีวิตทั้งปวง. เพราะกรรมนั้น ๆ ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้ จึงได้มหาปุริสลักขณะทั้ง ๓ ข้อนี้ คือ มีส้นยาว มีข้อนิ้วยาว มีกายตรงดุจกายพรหม.... ลักขณะที่ ๓,,๑๕, ย่อมเป็นผู้มีชนมายุยืนยาวตลอดกาลนาน;สมณะหรือพราหมณ์เทวดา มาร พรหม ก็ตาม หรือใคร ๆที่เป็นศัตรู ไม่สามารถปลงชีวิตตถาคตเสียในระหว่างได้.

    .ภิกษุ ท.! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ได้เป็นผู้ให้ทานของควรเคี้ยวควรบริโภค ควรลิ้ม ควรจิบ ควรดื่ม มีรสอันประณีตเพราะกรรมนั้น ๆครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้แล้ว จึงได้มหาปุริสลักขณะข้อนี้คือ มีเนื้อนูนหนาในที่ ๗ แห่ง คือที่มือทั้งสอง ที่เท้าทั้งสอง ที่บ่าทั้งสองและที่คอลักขณะที่ ๑๖, ย่อมได้ของควรเคี้ยว ควรบริโภค ควรลิ้มควรจิบ ควรดื่ม อันมีรสประณีต.

    .ภิกษุ ท.! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน.ได้สงเคราะห์ผู้อื่นด้วย สังคหวัตถุทั้งสี่ คือ การให้สิ่งของ วาจาที่ไพเราะ การประพฤติประโยชน์ผู้อื่น และความมีตนเสอมกัน.เพราะ..กรรม นั้น ๆครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้แล้ว จึงได้มหาปุริสลักขณะ ๒ ข้อนี้คือ มีมือและเท้าอ่อนนุ่ม มีลายฝ่ามือฝ่าเท้าดุจตาข่าย.(ลักขณะที่ ๕,), ย่อมเป็นผู้สงเคราะห์บริษัท คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาคคนธรรพ์ ย่อมได้รับความสงเคราะห์จากตถาคต

    .ภิกษุ ท.! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน..ได้เป็นผู้กล่าววาจาประกอบด้วยอรรถด้วยธรรม แนะนำชนเป็นอันมาก เป็นผู้นำประโยชน์สุขมาให้แก่ชนทั้งหลาย ตนเองก็เป็นผู้บูชาธรรมเพราะ.กรรมนั้น ๆครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้ จึงได้มหาปุริสลักขณะ ๒ ข้อนี้ คือ มีข้อเท้าสูงมีปลายขนช้อนขึ้นลักขณะที่ ๗,๑๔, ย่อมเป็นผู้เลิศประเสริฐเยี่ยมสูงกว่าสัตว์ทั้งหลาย

    .ภิกษุ ท.! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน..ได้เป็นผู้บอกศิลปวิทยา ข้อประพฤติ ด้วยความเคาพร ด้วยหวังว่าสัตว์เหล่านั้นพึงรู้ได้รวดเร็วพึงปฏิบัติได้รวดเร็ว ไม่พึงเศร้าหมองสิ้นกาลนานเพราะ.กรรมนั้น ๆครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้ จึงได้มหาปุริสลักขณะข้อนี้คือ มีแข้งดังแข้งเนื้อลักขณะที่ ๘, ย่อมได้วัตถุอันควรแก่สมณะ เป็นองค์แห่งสมณะเป็นเครื่องอุปโภคแก่สมณะ โดยเร็ว


    .ภิกษุ ท.! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน.ได้เป็นผู้เข้าไปหาสมณพราหมณ์แล้วสอบถามว่าท่านผู้เจริญ ! อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ ทำอะไรไม่มีประโยชน์ เป็นทุกข์ไปนาน ทำอะไรมีประโยชน์ เป็นสุขไปนาน
    เพราะกรรมนั้น ๆครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้ จึงได้มหาปุริสลักขณะข้อนี้คือมีผิวละเอียดอ่อน ธุลีไม่ติดอยู่ได้.ลักขณะที่ ๑๒, ย่อมเป็นผู้มีปัญญาใหญ่ มีปัญญาหนาแน่น มีปัญญาเครื่องปลื้มใจ ปัญญาแล่นปัญญาแหลม ปัญญาแทงตลอด,ไม่มีสัตว์อื่นเสมอ หรือยิ่งไปกว่า.

    .ภิกษุ ท.! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน.ได้เป็นผู้ไม่มักโกรธ ไม่มากไปด้วยความแค้น แม้ชนเป็นอันมาก ว่ากล่าวเอา ก็ไม่เอาใจใส่ไม่โกรธ ไม่พยาบาท ไม่คุมแค้น ไม่แสดงความโกรธ ความร้ายกาจ ความเสียใจให้ปรากฏทั้งเป็นผู้ให้ทานผ้าเปลือกไม้ ผ้าด้าย ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ สำหรับลาดและนุ่งห่ม อันมีเนื้อละเอียดอ่อนเพราะ.กรรมนั้น ๆ..ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้ จึงได้มหาปุริสลักขณะข้อนี้คือ มีกายดุจทอง มีผิวดุจทอง

    ลักขณะที่ ๑๑,ย่อมเป็นผู้ได้ผ้าเปลือกไม้ ผ้าด้าย ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์สำหรับลาดและห่ม มีเนื้อละเอียดอ่อน

    . ภิกษุ ท.! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อนได้เป็นผู้สมานญาติมิตร สหายชาวเกลอ ผู้เหินห่างแยกกันไปนาน,ได้สมานไมตรีมารดากับบุตร บุตรกับมารดา บิดากับบุตร บุตรกับบิดา พี่น้องชายกับพี่น้องหญิงพี่น้องหญิงกับพี่น้องชาย,ครั้นทำความสามัคคีแล้ว พลอยชื่นชมยินดีด้วยเพราะ.กรรมนั้น ๆ..ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้ จึงได้มหาปุริสลักขณะข้อนี้คือ มีคุยหฐาน(อวัยวะที่ลับ)ซ่อนอยู่ในฝัก.(ลักขณะที่ ๑๐), ย่อมเป็นผู้มีบุตร(สาวก)มากมีบุตรกล้าหาญ มีแววแห่งคนกล้าอันเสนาแห่งบุคคลอื่นจะย่ำยีมิได้หลายพัน

    .ภิกษุ ท.! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ได้เป็นผู้สังเกตชั้นเชิงของมหาชน รู้ได้สม่ำเสมอ รู้ได้เอง รู้จักบุรุษธรรมดาและบุรุษพิเศษว่าผู้นี้ควรแก่สิ่งนี้ ๆ,ได้เป็นผู้ทำประโยชน์อย่างวิเศษในชนชั้นนั้นเพราะกรรมนั้น ๆครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้ จึงได้มหาปุริสลักขณะ ๒ ข้อนี้คือมีทรวดทรงดุจต้นไทร ยืนตรงไม่ย่อกาย ลูบถึงเข่าได้ด้วยมือทั้งสองลักขณะที่ ๑๙-,ย่อมมั่งคั่งมีทรัพย์มาก มีโภคะมากทรัพย์ของตถาคต เหล่านี้คือ ทรัพย์คือศรัทธา ทรัพย์คือศีล ทรัพย์คือหิริทรัพย์คือโอตตัปปะ ทรัพย์คือการศึกษา(สุตะ)ทรัพย์คือจาคะ ทรัพย์คือปัญญา.

    .ภิกษุ ท.! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อนได้เป็นผู้ใคร่ต่อประโยชน์ ใคร่ต่อความเกื้อกูล ใคร่ต่อความผาสุข ใคร่ต่อความเกษมจากโยคะแก่ชนเป็นอันมากว่าไฉนชนเหล่านี้พึงเป็นผู้เจริญด้วยศรัทธา ด้วยศีล ด้วยการศึกษา ด้วยความรู้ ด้วยการเผื่อแผ่ ด้วยธรรม ด้วยปัญญา ด้วยทรัพย์ และข้าวเปลือก ด้วยนาและสวน ด้วยสัตว์สองเท้าสี่เท้า ด้วยบุตรภรรยา ด้วยทาสกรรมกรและบุรุษ ด้วยญาติมิตรและพวกพ้องเพราะ....กรรมนั้น ๆ....ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้ จึงได้มหาปุริสลักขณะ ๓ ข้อนี้ คือมีกึ่งกายเบื้องหน้าดุจสีหะ,มีหลังเต็ม, มีคอกลม.. ลักขณะที่ ๑๗-๑๘-๒๐, ย่อมเป็นผู้ไม่เสื่อมเป็นธรรมดาคือไม่เสื่อมจากศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา,ไม่เสื่อมจากสมบัติทั้งปวง

    .ภิกษุ ท.! เมื่อตถาคตเป็นมนุษย์ในชาติก่อน.ได้เป็นผู้ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายด้วยฝ่ามือก็ตาม ก้อนดินก็ตาม ท่อนไม้ก็ตาม ศาสตราก็ตามเพราะกรรมนั้น ๆครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้ จึงได้มหาปุริสลักขณะข้อนี้คือมีประสาทรับรสอันเลิศ มีปลายขึ้นเบื้องบน เกิดแล้วที่คอรับรสโดยสม่ำเสมอ ลักขณะที่ ๒๑, ย่อมเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคน้อยมีวิบากอันสม่ำเสมอ ไม่เย็นเกินร้อนเกิน พอควรแก่ความเพียร

    .ภิกษุ ท.! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อนได้เป็นผู้ไม่ถลึงตา ไม่ค้อนควักไม่จ้องลับหลัง,เป็นผู้แช่มชื่นมองดูตรง ๆ มองดูผู้อื่นด้วยสายตาอันแสดงความรักเพราะกรรมนั้น ๆครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์ อย่างนี้ จึงได้มหาปุริสลักขณะ ๒ ข้อนี้ คือมีตาเขียวสนิท, มีตาดุจตาโค.จึงได้มหาปุริสลักขณะ ๒ อย่างนี้ คือมีฟันครบ ๔๐ ซี่ มีฟันสนิท ไม่ห่างกัน
    ลักขณะที่ ๒๓-๒๕, ย่อมเป็นผู้มีบริษัทไม่กระจัดกระจาย คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์

    .ภิกษุ ท.! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อนได้เป็นผู้ละเว้นการกล่าวคำหยาบ,กล่าวแต่วาจาที่ไม่มีโทษเป็นสุขแก่หู เป็นที่ตั้งแห่งความรักซึมซาบถึงใจ เป็นคำ พูดของชาวเมือง เป็นที่พอใจและชอบใจของชนเป็นอันมากเพราะกรรมนั้น ๆครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้ ย่อมได้มหาปุริสลักขณะ๒ ข้อนี้ คือมีลิ้นอันเพียงพอ,มีเสียงเหมือนพรหมพูดเหมือนนกการวิก ลักขณะที่ ๒๗-๒๘, ย่อมเป็นผู้มีวาจาที่ผู้อื่นเอื้อเฟื้อเชื่อฟัง, คือ ภิกษุ ภิกษุณีอุบาสกอุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ เอื้อเฟื้อเชื่อฟัง

    .ภิกษุ ท.! เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อนได้เป็นผู้ละเว้นการพูดเพ้อเจ้อ,เป็นผู้กล่าวควรแก่เวลา กล่าวคำ จริง กล่าวเป็นธรรมกล่าวมีอรรถ กล่าวเป็นวินัย กล่าวมีที่ตั้ง มีหลักฐาน มีที่สุด ประกอบด้วยประโยชน์เพราะกรรมนั้น ๆครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้แล้ว ย่อมได้มหาปุริสลักขณะข้อนี้ คือมีคางดุจคางราชสีห์ลักขณะที่ ๒๒, ย่อมเป็นผู้ที่ ศัตรูทั้งภายในและภายนอกกำจัดไม่ได้:ศัตรู คือ ราคะ โทสะ โมหะ หรือ สมณะ พราหมณ์เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆในโลก กำจัดไม่ได้

    .ภิกษุ ท.!เมื่อตถาคตเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อนได้เป็นผู้ละมิจฉาชีพ มีการเลี้ยงชีพชอบ เว้นจากการฉ้อโกงด้วยตาชั่ง ด้วยของปลอม ด้วยเครื่องตวงเครื่องวัด จากการโกงการลวง เว้นจากการตัด การฆ่า การผูกมัด การร่วมทำร้าย การปล้น การกรรโชกเพราะ กรรมนั้น ๆครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้ จึงได้มหาปุริสลักขณะ ๒ ข้อนั้น คือมีฟันอันเรียบเสมอ,มีเขี้ยวขาวงามลักขณะที่ ๒๔-๒๖, ย่อมเป็นผู้มีบริวารเป็นคนสะอาด คือมีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ เป็นบริวารอันสะอาด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2012

แชร์หน้านี้

Loading...