" ตำนานโลกหมุนย้อนกลับ "

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Aqua-ma-rine, 10 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ โลกร้อนสุดขั้ววิกฤติอนาคตประเทศไทย (ฉบับเฝ้าระวังภัยพิบัติ คำเตือนสุดท้าย ก่อนภัยธรรมชาติจะคร่าคนไทยให้หายนะ) เขียนโดย ศ.ดร. ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล / ผู้ทรงคุณวุฒิด้านธรณีพิบัติภัย

    มีเรื่องน่าสนใจมากๆ หลายเรื่องเลยนะในหนังสือเล่มนี้

    -----------------------------------------------------------------------

    [​IMG]

    ดร. อิมมานูเอล เวลิคแอฟสกี้ เชื่อว่าถ้าทางซีกโลกหนึ่งมีกลางวันที่ยาวนานผิดปกติ อีกซีกโลกหนึ่งก็ย่อมมีกลางคืนที่ยาวนานผิดปกติเช่นกัน เขาอ้างเทพนิยายปรัมปราทั้งหลายมายืนยันเรื่องนี้ เรื่องที่เขายกมามีเค้าความจริง และมีสิ่งวิปริตบนฟากฟ้าเป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น

    ทางซีกโลกตะวันตกมีเทพนิยายของชาวเปรู มายา และเม็กซิกัน ซึ่งรวบรวมไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในยุคที่สเปนเข้ายึดครองดินแดนนั้น เรื่องราวจะกล่าวถึงกลางคืนอันยาวนานไว้

    เช่น ตามตำนานของเม็กซิกัน ดวงอาทิตย์ไม่ปรากฏขึ้นเลยถึง 4 วัน และ 50 กว่าปีก่อนหน้านั้น ก็มีเรื่องผิดปกติทำนองเดียวกันมาแล้วครั้งหนึ่ง

    ส่วนชาวมายานั้น เชื่อว่าครั้งหนึ่งในอดีตกาลได้มีเหตุวิปริตเกิดขึ้นกับดวงอาทิตย์ และสายน้ำก็กลายเป็นสีแดง คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมายาเรียกว่า โปปูลร์ วูลฟ์ ซึ่งกล่าวว่า

    [​IMG]

    " กาลครั้งหนึ่ง โลกมีแต่ความหายนะ น้ำทะเลไหลขึ้นสูงจนไหลบ่าท่วมท้นฝั่ง เป็นอุทกภัยครั้งร้ายแรง ฝูงชนจมอยู่ในสายน้ำที่เหนียวเหนอะหนะด้วยอะไรบางอย่างบนฟากฟ้า แผ่นดินมืดมิด ฝนกระหน่ำไม่ขาดสายนับเป็นวันๆ คืนๆ ในที่สุดก็บังเกิดเสียงกัมปนาทกึกก้อง และแสงแปลบปลาบจากเบื้องบน ชีวิตทั้งหลายถูกทำลาย "

    ตำนานของกลุ่มชนในอเมริกากลางก็มีเรื่องเล่าบางเรื่อง กล่าวถึงอุทกภัยที่เกิดจากห่าฝนน้ำมันดินที่เหนียวเหนอะหนะ ผู้คนตะเกียกตะกายหลบหนีฝนพิษ บ้างก็เข้าไปหลบอยู่ในถ้ำ น้ำทะเลไหลบ่าขึ้นมาบนฝั่ง

    กล่าวโดยสรุปคือ ตำนานเหล่านี้จะมาจากภัยพิบัติที่มาจากฟากฟ้า ก่อให้เกิดความมืดเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ติดตามด้วยคลื่นยักษ์ที่ทำให้เกิดน้ำท่วมบริเวณชายฝั่ง และฝนที่มีสารละลายบางอย่าง

    ส่วนทางซีกโลกตะวันออกมีตำนานเกี่ยวกับกลางวันที่ยาวนานในพงศาวดารจีน ในยุคของฮ่องเต้เยาตั๋ว กว่าวว่า " พระอาทิตย์ไม่ตกดินเป็นเวลาหลายวัน ป่าลุกเป็นไฟ คลื่นยักษ์ถาโถมกระหน่ำแผ่นดิน ชาวโวกุลแห่งไซบีเรียบอกว่า พระเจ้าส่งทะเลไฟมาล้างโลก "

    ในเทพนิยายหรือเทพปกรณัมเกี่ยวกับเทพเจ้า มักจะกล่าวถึงการต่อสุ่บนฟากฟ้า ระหว่างเทพเจ้าแห่งความสว่างกับอสูรร้าย ที่อาจอยู่ในรูปงูใหญ่หรือมังกร ซึ่งจะถูกสังหารในที่สุด

    และตำนานของชาวมายากล่าวเอาไว้ว่า " ตะวันไม่ยอมปรากฏตลอด 4 วัน โลกปราศจากแสงสว่าง ในที่สุดดาวใหญ่ดวงหนึ่ง ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น ดาวดวงนี้ได้นามว่า เควทซัล โคเทิล " โดยชื่อดาวที่ออกเสียงพิลึกนี้แปลว่า พญางูมีขน ซึ่งเป็นไปได้ว่า อาจจะมาจากลักษณะของดาวหางที่มีส่วนหางแผ่กระจายเป็นทางยาวก็ได้

    [​IMG]

    ตำนานทำนองนี้มีอยู่ทั่วไปจะแตกต่างกันก็แค่ชื่อของเทพเจ้ากับอสูรร้ายเท่านั้น เช่น เรื่องราวการรบระหว่างเทพเบลกับมังกรของชาวสุเมเรี่ยน ระหว่างจอมเทพมาร์ดุคกับอสูรเทียแมทในตำนานบาบิโลเนี่ยน และระหว่างพระวิษณุกับนาคอันเป็นตำนานของอินเดีย

    โดยเฉพาะตำนานของกรีก ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างเทพซีอุสกับอสูรไทฟอน โดยยุทธภูมินั้น อยู่ในทะเลสาบเซนบอน ชายแดนระหว่างปาเลสไตน์กับอียิปต์ ซึ่งก็พอจะโยงเข้าไปเกี่ยวพันกับพระคัมภีร์ได้เหมือนกัน

    ตำนานบางเรื่องบ่งบอกถึงการก่อเกิดของดาวใหม่ ซึ่งก็คือดาวศุกร์อันส่งผลกระทบต่อวงโคจรของโลก และก่อให้เกิดภัยพิบัติทั้งแผ่นดิน พิธากอรัส ปราชญ์ชาวกรีกผู้คิดสูตรคูณและทฤษฎีเรขาคณิต เคยกล่าวไว้ว่า ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งเคยเป็นดาวหางมาก่อน

    ดาวดวงใหม่นี้มีผู้คนมักกล่าวกันถึงว่า เป็นดาวที่มีขนปกคลุม มีหนวดเครา มีเขามีมงกุฏที่มีรัศมีเจิดจ้า หรือมีเปลวไฟแผ่กระจาย ซึ่งก็น่าจะเป็นการถ่ายทอดเหตุการณ์ที่ตรึงตาฝังใจ เมื่อครั้งที่ดาวดวงนี้ยังเป็นดาวหาง และผสมจินตนาการที่โลดโผนดูศักดิ์สิทธิ์เข้าไปด้วย

    [​IMG]

    ดร. เวลิคอฟสกี้ อ้างว่า ในกาลครั้งก่อนกระโน้นไม่มีดาวศุกร์ ตำนานเหล่านี้แหละ คือการกล่าวอ้างถึงต้นกำเนิดของดาวดวงนี้ ในแผนที่ดาวของชาวฮินดุ บาบิโลเนี่ยน และมายา ซึ่งล้วนแล้วแต่สนใจในเรื่องของดาราศาสตร์ และมีผลงานที่โดดเด่นท้าทายวงการวิทยาศาสตร์เป็นที่สุด ซึ่งแสดงถึงตำแหน่งดาวเคราะห์ไว้เพียง 4 ดวงคือ ดาวพุธ ดาวอังคาร ดางพฤหัส และดาวเสาร์

    (3 ดวง ที่เป็นดาวเคราะห์ในรอบนอก มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นและเพิ่งมีการค้นพบกัน)

    ทั้งๆ ที่ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ที่มีความสุกใส มองเห็นง่ายกว่า แต่ทำไมเล่าจึงไม่มีปรากฏในแผนที่ดาวของคนโบราณชาวบาบิโลเนี่ยนขนานนามให้ดาวศุกร์ว่า " ดาวใหญ่ที่มารวมกับดาวใหญ่ดวงอื่นๆ "

    อีกทั้งยังมีจารึกบนแผ่นดินเผาของชาวอัสซิเรี่ยนที่ขุดพบที่นิเวห์ กล่าวถึงธรรมเนียมเกี่ยวกับดวงดาวดวงหนึ่ง ในสมัยของพระเจ้าอัมมิซาดูซา ซึ่งแสดงถึงวงโคจรของดาวศุกร์ที่แตกต่างจากปัจจุบันโดยสิ้นเชิง ท้ายที่สุดแผนที่ท้องฟ้าดบราณที่ค้นพบในสุสานเก่าๆ ของอียิปตืที่มีอายุย้อนหลังไปถึงรัชสมัยของพระนางอัทเซปชูทผู้ลือลั่น ได้แสดงถึงตำแหน่งดาวที่แตกต่างจากปัจจุบันโดยสิ้นเชิง

    ในหนังสือสเตทแมนของเพลโต ปราชญ์ชาวกรีกกล่าวว่า " ดวงอาทิตย์และดาวอื่นๆ ในฟากฟ้า เปลี่ยนทิศขึ้นและตก มันรุ่งขึ้นในฝั่งฟ้าที่มันเคยดับลง "

    และ " ครั้งหนึ่งจักรวาลเคยหมุนอย่างที่หมุนอยู่นี้ แต่บางคราวจักรวาลก็หมุนย้อนกลับ " เฮโรโดตัส กล่าวว่า " นักบวชแห่งอียิปต์เคยบอกเล่ากับเขาว่า ตั้งแต่ครั้งหนึ่งที่อียิปต์ตั้งเป็นราชอาณาจักรขึ้นมานั้น ดวงอาทิตยืได้เคยเปลี่ยนทิศขึ้นและตกมาแล้ว "

    ชาวจีนก็มีเรื่องเล่าว่า " เมื่อมีการจัดระเบียบสิ่งต่างๆ เสียใหม่ ดวงดาวพลันก็เคลื่อนจากตะวันตกไปทางตะวันออก " ชาวเอสกิโมเชื่อกันว่า " ครั้งหนึ่งโลกของเราเคยพลิกกลับ " ส่วนชาวแอสเท็คในเม็กซิดกได้กล่าวถึงกลางคืนที่ยาวนานพร้อมทั้งสงสัยว่า พระอาทิตย์จะกลับขึ้นมาในทิศใด และต้องประหลาดใจ เมื่อมันมาขึ้นในทิศตะวันออกในปัจจุบัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2012
  2. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    นักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ในปัจจุบัน พากันค้านแนวคิดเรื่องโลกหยุดนิ่ง หรือหมุนย้อนกลับของ ดร. เวลิคอฟสกี้ เพราะว่าไม่มีสิ่งใดนอกจากแรงกระแทกอย่างรุนแรงโดยตรงเท่านั้น ที่จะทำให้โลกหยุดหมุนได้

    [​IMG]

    การที่ดาวหางไม่ว่าจะดวงใหญ่ หรือมีมวลมากมายเพียงใดถ้าเพียงแค่เฉียดเข้ามาใกล้จะไม่สามารถทำให้โลกหยุดหมุน หรือหมุนย้อนกลับได้

    และถ้าหากโลกหมุนช้าลงไม่ต้องมากหรอก แค่พอสังเกตได้เท่านั้น ทุกอย่างบนโลกก็จะเคลื่อนที่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกเหวี่ยงขึ้นไปในอากาศ ไม่เว้นแม้แต่น้ำในมหาสมุทร
     
  3. prachas

    prachas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +1,208
    "Good morning krab"
    จากความรู้ส่วนตัวผมว่าเป็นไปได้นะครับ ธรรมชาติทั้งหลายร่วนเกื่ยวเนื่องกันครับ ผมกับคุณก็อยู่ใกล้กั้นแต่เรามีสสารหลายอย่างกันเราอยู่ ทำให้เราดูแล้วห่างกันถ้าเวลานี้ผมเรียกคุณด้วยกำลังขยายที่มากพอที่เสียงจะเดินทางถึงคุณซึ้งอาจจะใช้เวลาเป็นวัน แต่คุณก็จะได้ยินเสียงผมในไม่ช้า ถูกต้องมั็ยครับ หรือ เราขี่จักรยายส่วนลดผ่วงจะเป็นยังงัยครับ แทบปลิวหรือหยุดได้เลย เช่นกันครับ
    รู้ไหมครับ ว่าควงดาวทั้งหลายหมุนได้อย่างไร? นักวิทย์หลายท่านก็มีทฤฎีมากมาย แต่ผม
    เองก็ไม่รู้แน่ชัดนะครับ แต่ในสมาธิ บอกมาว่า โลกเราหมุนได้เพราะเกิดความแตกต่างของวัตถุในการซับหรือดูดความร้อนความเย็นที่ถูกส่งมาจากจักรวาล ด้วยเหตุแ่ห่งความร้อนและ
    ความเย็นนี่แหละครับเมื่อเขาแตกต่างกันมากขึ้นๆ จึงเริ่มมีการผลักดันกับวัตถุหรือสสารในทิศทางตรงกันข้ามครับ หากอุณหภูมิยังไม่เปลี่ยนความเร็วก็ยังคงตัวอยู่ได้ หากค่าความร้อนที่ถูกส่งมาหายไปหรือถูกบดบัง ทำให้เหลือเพียงค่าความเฉือยและก็จะหยุดลงในไม่ช้า
    เพราะค่าแรงต้านของสิ่งต่างๆในจักรวาลเองครับ (อย่าด่าผมเลย อย่าว่าผมเลย ผมพูดเพราะผมคนโง่ แค่อยากเล่าสู่กันฟังครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2012
  4. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    [​IMG]

    (ต่อนะ)

    [​IMG]

    ข้อตอบโต้เหล่านี้ไม่สามารถทำให้ความเชื่อของ ดร. เวลิคอฟสกี้ คลอนแคลนลงได้ เขายังคงยืนยันว่าหลายครั้งในอดีตกาลเคยเกิดเหตุวิปริตขึ้นในโลกของเรา โดยที่ต้นเหตุคือดวงดาวในห้วงอวกาศ ซึ่งครั้งหลังสุดนี้ต้นเหตุสำคัญก็คือดาวศุกร์ เขากล่าวว่าแนวคิดของเขาซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง

    หากว่าพื้นผิวของดาวศุกร์ยังร้อนอยู่ อันเป็นผลมาจากสภาพที่เพิ่งเป็นดาวเคราะห์มาเมื่อไม่นานมานี้

    หากว่าดาวศุกร์มีเมฆไฮโดรคาร์บอนอันเป็นเศษที่เหลือจากส่วนหางของดาวหางปกคลุมอยู่

    และหากว่าดาวศุกรืมีลักษณะการหมุนรอบตัวเองที่ไม่สม่ำเสมอ อันแสดงให้เห็นว่าเกิดเหตุผิดปกติอย่างรุนแรงขึ้นกับมัน ก่อนที่จะเข้าสู่วงโคจรในสภาพดาวเคราะห์ของระบบสุริยะนี้

    [​IMG]

    สิ่งนี้จะเป็นความจริงหรือไม่คำตอบก็คือ ในปี พศ. 2506 ยานอวกาศมาริเนอร์ 2 ซึ่งทำหน้าที่ตรวจการณ์ในห้วงอวกาศพบว่า อุณหภูมิพื้นผิวของดาวศุกร์สูงถึง 500 องศาเซลเซียส

    มีบรรยากาศห่อหุ้มหนาถึง 24 กิโลเมตร บรรยากาศนั้นประกอบไปด้วยไฮโโรคาร์บอนโมเลกุลหนัก มิใช่คาร์บอนไดออกไซด์หรือน้ำ อย่างที่สันนิษฐานกัน

    และสถานีสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา ที่วอชิงตัน กับสถานีที่โกลด์สโตน แคลิฟอร์เนีย แจ้งผลการติดตามการเคลื่อนที่ของดาวศุกร์ว่า ดาวเคราะห์ดวงนี้มีการเคลื่อนไหวถอยหลังอย่างช้าๆ ซึ่งเป็นลักษณะที่แปลกไปกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ

    [​IMG]
     
  5. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    ข้อสันนิษบานของ ดร. เวลิคอฟสกี้ ดูจะถูกต้องอยู่หลายประการในเรื่องที่เขาอ้างว่า การกำนหดศักราชในประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณตามที่ยึดถือกันในปัจจุบันนั้นนานเกินไป ก็ปรากฏว่า จากการตรวจอายุไม้ 3 ชิ้น จากสุสานตุตันคาเมน ด้วยวิธีตรวจคาร์บอน 14 ได้ผลว่า อายุไม้นั้นอยู่ในช่วง 1,030 ปี ถึง 1,120 ปี ก่อนคริสต์ศักราช โดยอาจคลาดเคลื่อนล่วงหน้า หรือถอยหลังได้อีกประมาณ 50 ปี

    ดังนั้นจึงหมายความว่า ศักราชที่นักประวัติศาสตร์ยึดถือกันในปัจจุบัน มันย้อนเลยไปจากอดีตจากที่ควรจะเป็น ประมาณ 200 - 300 ปี ข้อนี้เป็นผลดีต่อ ดร. เวลิคอฟสกี้ ในการใช้หลักฐานปาปิรัสอิปูเวอร์ มาเทียบเคียงกับเอ็กโซดัส ทำให้ปาปิรัสถอยเวลาลงมาใกล้เคียงกับเวลาที่ชาวอิสราเอลทำการอพยพ มากขึ้นไปอีก

    แต่ก็นั่นแหละ เป็นจุดอ่อนสำคัญในการเทียบศักราชของเอ็กโซดัสเหมือนกัน เพราะว่าเหตุการณ์ในเอ็กโซดัสก็ต้องเลื่อนขึ้นไปอีก นี่เป็นจุดบอดจุดใหญ่ของ ดร. เวลิคอฟสกี้ แต่นักวิชการบางคนก็พยักหน้าหงึกหงัก แสดงความเห็นด้วยว่า จริงๆ แล้วการนับศักราชของนักประวัติศาสตรืปัจจุบัน อาจจะคลาดเคลื่อนจริงๆ อย่างที่ ดร. เวลิคอฟสกี้ว่าก็ได้

    ทฤษฎีของ ดร. เวลิคอฟสกี้ จะถูกหรือผิด เป็นเรื่องที่ตอบได้ยาก อย่างไรก็ตาม นับว่าเขาได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจไว้หลายประการ ในเรื่องประวัติศาสตร์และโบราณคดี ทั้งแสดงให้เห็นความสำคัญของตำนาน นิทาน ที่ควรได้รับการศึกษา วิเคราะห์ประกอบการค้นคว้าด้านประวัติศาสตร์ด้วย ในฐานะเป็นประสบการณ์ของมนุษยชาติ ที่ได้รับการสืบทอดต่อๆ กันมา

    [​IMG]

    ---------------------------------------------------------------------------------

    สรุปว่า อย่ามองข้ามตำนานของคนทั่วโลกสินะ เพราะอาจจะไม่ใช่แค่เรื่องเล่าปรัมปรา แต่อาจจะมีความจริงบางอย่างซ่อนอยู่ก็ได้
     
  6. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    [​IMG]

    Magnetic Pole Reversal ขั้วแม่เหล็กโลกจะพลิกด้าน ในปี คศ. 2012 ?

    เมื่อปี 2007 องค์การ NASA ได้เคยทำให้สาธารณะชนเกิดความหวาดหวั่นด้วยการออกมาเปิดเผยว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลกจะทำให้ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และไร้ความมั่นคงแต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์
    แต่จากการศึกษาร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่งกับกลุ่มนักธรณีฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์พบว่า ทั้งโลกและดวงอาทิตย์จะสิ้นสุดระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก (Magnetic Pole Reversal) ในปี ค.ศ. 2012


    โดยครั้งล่าสุดกระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาจนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์จนหมดสิ้น จากการค้นคว้าวิจัยและการวิเคราะห์ร่วมกันใน Hyderabad ได้คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี้จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2012

    คำถาม......? โลกจะเป็นอย่างไรเมื่อขั้วแม่เหล็กโลกกำลังพลิกด้าน

    การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก คือ กระบวนการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือและขั้วแม่เหล็กใต้สลับตำแหน่งกัน เมื่อการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กนี้เกิดขึ้น ณ ขณะเวลาใดเวลาหนึ่ง


    (ซึ่งไม่สามารถทำนายได้ว่าจะกินเวลานานเท่าใด อาจกินเวลาแค่ 1 ช.ม. หรืออาจเป็นเดือนก็ได้)

    มันหมายถึงว่าค่าการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กโลกจะลดลงจนมีค่าเป็นศูนย์หน่วยกาซ และโลก ณ ขณะเวลานั้นจะสูญเสียอำนาจแห่งสนามแม่เหล็กโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    คำถาม.......? จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลก

    โดยปกติสนามแม่เหล็กโลก จะเป็นเสมือนโล่กำบังที่ช่วยปกป้องโลกไว้อีกชั้นหนึ่งโดยเฉพาะ การช่วยกำบังโลกจากพายุสุริยะที่เกิดจากดวงอาทิตย์ แต่เมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลกในเวลาที่ว่านั้น สิ่งมีชีวิตบนโลกจะต้องเจอกับหายนะ นั่นก็คือ พายุสุริยะ (บางคนเรียกลมสุริยะ มันเหมือนกันนะเดี๋ยวจะสับสน)


    พายุสุริยะ คือ พลังงานที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดจากธาตุไฮโดรเจนบนพื้นผิวดวงอาทิตย์ ซึ่งจะถูกปล่อยออกมาสู่อวกาศด้วยแรงระเบิดมหาศาล ซึ่งพายุสุริยะนั้นประกอบด้วย รังสีคอสมิก (และอีกมากมาย) และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอันมหาศาล

    คำถาม........? เราจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับพายุสุริยะ

    "ฮารัลด์ เลสช์" ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย "มิวนิค" ได้สร้างแบบจำลองสนามแม่เหล็กโลกขึ้นมาศึกษาในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ เพื่อหาคำตอบว่าโลกเราจะเป็นอย่างไรหากไม่มีสนามแม่เหล็ก แบบจำลองที่ "ฮารัลด์ เลสช์" สร้างขึ้นพบว่า ถ้าโลกเราถูกพายุสุริยะกระหน่ำ ผลที่ได้สร้างความประหลาดใจอย่างยิ่ง จากภาพจำลองที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นแสดงให้เห็นว่า


    เมื่อ มวลอนุภาคคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุสุริยะมาถึงโลก จะทำปฏิกิริยากับชั้นบรรยากาศ เกิดเป็นสนามแม่เหล็กชุดใหม่มาแทนที่และทรงพลัง พอที่จะทานแรงปะทะของรังสีคอสมิก ทำให้รังสีคอสมิกที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์เบนออกสู่อวกาศ แต่ทว่า โลกเรานั้นสามารถรอดพ้นจากอันตรายจากรังสีคอสมิกไปได้

    แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากกระบวนการนี้ไม่ได้เป็นผลดีต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกเลย ตามหลักแล้วกระแสไฟฟ้าจะไหลไปสู่ที่ๆมีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า และสนามแม่เหล็กชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้นจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้นไม่ได้เสถียรเหมือนแม่เหล็กโลกเดิม

    ฉะนั้น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทำปฏิกิริยากับบรรยากาศโลกย่อมไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น สิ่งที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะกระทำต่อไปนั้นก็คือ การปลดปล่อยพลังงานไฟฟ้าอันมหาศาลสู่ที่ๆมีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า นั่นก็คือพื้นผิวโลก เหตุการณ์ที่ว่านี้คือ พายุฟ้าผ่านั้นเอง

    พายุฟ้าผ่านี้ อาจกินเนื้อที่ทั้งทวีปหรือทั่วโลก สายฟ้าที่กระหน่ำลงมาจากก้อนเมฆอิเล็กตรอนนั้น จะกระหน่ำผ่าลงมาทุกๆที่โดยไม่หยุดจนกว่าพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุสุริยะจะหมดลง และจะเกิดขึ้นอีกถ้าพายุสุริยะลูกต่อไปมาถึง หรือจนกว่าการกลับขั้วของแม่เหล็กโลกจะเสร็จสมบูรณ์จนทำให้กระบวนการสร้างสนามแม่เหล็กโลกจะทำงานได้อีก

    สิ่งมีชีวิตบนโลกมากมายจะต้องตาย และเทคโนโลยีต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้นจะถูกทำลายลงในครั้งนี้ แต่ถ้ารังสีคอสมิกสามารถหลุดรอดมากจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ สิ่งมีชีวิตที่รอดจากการถูกฟ้าผ่า ก็อาจจะต้องตายจากโรคมะเล็งและความร้อน

    คำถาม........? เมื่อสนามแม่เหล็กโลกเกิดการพลิกตัวอย่างสมบูรณ์จะเกิดอะไรขึ้นกับโลก

    สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้อาจะเหลือเชื่อแต่ตามหลักการแล้วย่อมเป็นไปได้ การพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนี้ไม่ได้ทำให้เกิดความหายนะจากพายุสุริยะแค่เพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดหายนะจากการหมุนกลับทางของโลกที่จะเกิดตามมาอีก ยกตัวอย่าง


    เช่น การหมุนของมอเตอร์ มอเตอร์แบบธรรมดามี 2 ขั้ว โดยให้สัญลักษณ์ A และ B ก่อนที่ขั้วแม่เหล็กโลกจะพลิกตัว ให้เปรียบโดยการใช้ ไฟฟ้าขั้ว + ต่อเข้ากับ A และไฟฟ้าขั้ว - ต่อเข้ากับ B มอเตอร์จะหมุนไปทางใดทางหนึ่ง

    แต่เมื่อเราต่อขั้วไฟฟ้ากลับด้านกัน ย่อมทำให้มอเตอร์เกิดการหมุนทิศทางตรงกันข้ามกับครั้งแรก และนี่ก็เปรียบกับการพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนั่นเอง

    คำถาม........? แล้วสิ่งมีชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป

    เมื่อโลกหมุนกลับทาง สิ่งมีชีวิตที่เหลืออาจจะต้องเจอกับภัยธรรมชาติมากมาย โลกหมุนกลับทางย่อมทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยน ทั้งกระแสน้ำทะเล กระแสลม รวมถึงแผ่นดิน จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นย่อมไม่มีใครรู้ได้ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตรอด จะปรับตัวอย่างไรเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก มนุษย์ที่เหลือจะทำอย่างไรเมื่อวันนั้นมาถึง...........................


    หายนะที่ได้กล่าวมานี้ อาจจะไม่ร้ายแรงถึงขนาดที่กล่าวมา (หรืออาจร้ายแรงกว่า) ขึ้นอยู่กับว่า การที่ขั้วแม่เหล็กโลกพลิกตัวนั้นจะใช้เวลานานขนาดใหน ขอให้ทุกคนโชคดี


    [​IMG]


    บทความ : BeverNetwork

     
  7. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    [​IMG]

    http://palungjit.org/threads/2012-ฟ้าถล่ม-ดินทลาย.325673/<!-- google_ad_section_end -->

    สำหรับชาวโลกยุคโบราณ เวลาเกิดเหตุการณ์ภัยธรรมชาติอย่างแรง เค้าก็คงคิดว่าเป็นเพราะเทพเจ้าพิโรธ ทำให้ฟ้าถล่ม ดินทลาย แล้วเลยกลายเป็นตำนานปรัมปราเล่าต่อกันมา
     
  8. karain

    karain เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    639
    ค่าพลัง:
    +707
    ธรรมชาติจะซับซ้อนเท่าที่มันจำเป็น จะไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...