ทําไมพระอริยเจ้าท่านไม่อธิฐานจิตให้อยู่ตลอดตลอดกัปอ่าครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 22 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ผมสงสัย พระสาวกนั้นของพระพุทธเจ้าก็มีมากมาย แต่ทําไมผมไม่เคยเห็น (คนอื่นอาจจะเห็น)ที่อยู่ตลอดกัปอ่าครับ จะได้อยู่ช่วยพระพุทธศาสนา

    เท่าที่ผมเข้าใจเค้าไม่อยากเป็นทุกข์ขันธ์ห้าต่อไป เลยอยากนิพพาน แต่เค้าน่าจะเมตตาช่วยเหลือจนกระทั้งถึงห้าพันปี (มีไหมหว่าพระที่ท่านทําแบบนี้คงเหนื่อยแย่เลย)
     
  2. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    ผมเชื่อว่า หากท่านเหล่านั้นคงอยู่โดยเป็นหนุ่มสาวตลอดกัปจะเป็นไปเพื่อการอันตรธานของพระศาสนา เพราะสาวกรุ่นหลังเห็นว่าท่านเหล่านั้นไม่แก่ไม่ตายก็จะไม่บำเพ็ญเพื่อการบรรลุนิพพาน แต่ไปบำเพ็ญเพื่อการอยู่เป็นอมตะแทน

    และใครที่ไหนจะเชื่อว่านิพพานเป็นบรมสุขในเมื่อเลยอายุขัยแล้วท่านเหล่านั้นก็ยังไม่ไปแต่กลับมาอยู่เฝ้าโลกแทน

    ----------------------------------------
    คนเหล่าใด ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งพาลทั้งบัณฑิต ทั้งมั่งมี
    ทั้งขัดสน ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า ภาชนะดินที่นายช่าง
    หม้อกระทำแล้ว ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทั้งสุกทั้งดิบ ทุกชนิด
    มีความแตกเป็นที่สุด ฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้น


    วัยของเรา(พุทธะ) แก่หง่อมแล้ว ชีวิตของเราเป็นของน้อย เราจักละ
    พวกเธอไป เรากระทำที่พึ่งแก่ตน(บรรลุนิพพาน)แล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    พวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท มีสติ มีศีล อันดีเถิด จงเป็นผู้
    มีความดำริตั้งมั่นดีแล้ว ตามรักษาจิตของตนเถิด ผู้ใด จักเป็นผู้
    ไม่ประมาท อยู่ในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นจักละชาติสงสาร
    แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดังนี้ (พุทธะ)

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    กฏแห่งกรรม

    ไม่มีใครช่วยได้ ถ้าไม่คิดจะช่วยตัวเอง ให้พ้นจาก กิเลส ครับ

    อยากจะหลุดพ้น ต้อง ขนขวาย ด้วยตัวเอง เท่านั้นครับ

    บัว 4 เหล่า ใครที่เป็น บัวใต้น้ำ ทำไงก็ช่วยไม่ได้หรอกครับ

    บารมีใคร บารมีมัน ครับ ใครทำ คนนั้นได้

    ก่อ กรรม อะไรไว้ ได้รับ ผลกรรมนั้นตอบแทน ครับ



    นิพพาน ไม่ได้ สูญ นะคับ เกิน 5 พันปี หรือจะ กี่ล้าน กี่แสนกัป

    พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ก็ไม่หายไปไหน


    พระอรหันต์ คือ สิ้นกิเลส แล้วครับ



    พระอรหันต์ ไม่มีทุกข์ใจ อยากนิพพานหรอกครับ

    อยากนิพพาน เพราะ ทุกข์ใจ พระอรหันต์ ไม่มีนะ จขกท

    คงมีแต่ความเห็นของตัวเอง ที่ิคิดไปเองของตัว จขกท ว่า เค้าไม่อยากเป็นทุกข์ขันธ์ห้าต่อไป เลยอยากนิพพาน แต่เค้าน่าจะเมตตาช่วยเหลือจนกระทั้งถึงห้าพันปี


    ความเป็นพระอริยเจ้า ทุกข์ใจ ไม่มีใน พระอรหันต์




    พระอรหันต์ เมื่อยังมีชีวิตอยู่เรียกว่าได้ อุปาทิเสสนิพพาน

    พระอรหันต์ เมื่อไม่มีชีวิต เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน



    ถ้าอยากเห็น พระสาวก ของ พระพุทธเจ้า



    ฝึก มโนยิทิ ครับ

    แล้วจะได้เห็นว่า พระอรหันต์ ทุกพระองค์ ครับ



    สงสัยเรื่องอะไรอีก ก็ ตั้งกระทู้ได้เลยครับ จะจัดให้ไปตอบให้หมดทุกเรื่อง ที่สงสัย

    จนกว่าจะไม่มีอะไรสงสัยใน ศาสนาพุทธ ตั้งในห้องนี้ก็ได้ครับ ไม่อยากไป ตะเวน หา ห้องอื่นๆ เดี่ยวจะหาไม่เจอ

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2012
  4. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ผมฝึกมโนยิทธิแล้วครับไปฝึกกับอาจารย์ไปสอนไปวิมาร ไปกราบไหว้พระพุทธเจ้าและก็ปู่ฤาศีที่แดนพระนิพพาน ผมรู้สึกอย่างงั้นนะครับไม่รู้โดนอุปาทานกินเปล่า เพราะครูฝึกก็สอนอยู่ด้วยตอนนั้น
     
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819


    แล้วทำไม ไม่ถาม พระพุทธเจ้า ละครับ
     
  6. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,964
    ค่าพลัง:
    +359
    ไปถึงตรงนั้นเเล้ว

    ไปถึงตรงนั้นเเล้ว ยัง จะกลับลงมาถาม เอาความกับ มนุษ อีกหรือครับ

    ทําไมไม่ถาม ท่านเหล่านั้นบนสวรรค์ ซะเลยล่ะครับ

    จะกลับลงมาถามเอาปัญญา กับเพื่อนสมาชิกไปทําไมกัน



    ว่าเเต่ว่า เเนะนําครูอาจารย์ ท่านที่พา น้องขึ้นไปให้ผมรู้จักบ้าง สิ อยากโทรถาม ว่า นั่งรถ สายอะไรไป
    หรือว่า ถ้าจะโบกเเท็กซี่ไป นั้น ต้องบอกเขาว่า อะไร จึงจะไปถึงได้ครับ

    รบกวนบอกชื่อเสียงเรียงนาม ให้ ทราบทีครับ สนใจ สนใจ
     
  7. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    จริงๆตอนแรกผมไม่ได้มีเจตนา จะไปฝึกมโนยิทธิไรหรอก ปีก่อนผมกลับเมืองไทย ครอบครัวคิดว่าผมบ้า เพราะตอนนั้นไปวัดแล้วนั่งสมาธิเจอสุขสุดฌาณขั้นแรกหรือที่เกือบฌาณอ่าครับ มันสุขจริง ผมเลยอยากบวช แล้วตอนนั้นก็ทํานายทายทักครอบครัวไปทั่ว ดันถูกอีก ตอนนั้นนะครับ แล้วตอนนั้นผมไม่ได้ช่วยตัวเองเลยสักนิดไม่สนใจใยดีอะไรสักอย่าง
    แล้วไปคุยกับพระที่จังหวัดไรไม่รู้ผมลืม เป็นฌาติกับผมอ่าครับ เลยไปหาอาจารย์ท่านนี้
    ชื่อธวัชชัย พึ่งชัย อ่าครับอยู่จังหวัด สมุทราปราการ หมู่บ้านไทรงาน ตําบลท้ายบ้านใหม่
    ตอนแรกผมเจอหน้าเค้า ตอนนั้นผมมีทิฐิมาก แต่อาจารย์ท่านก็คุยดีคุยไพเราะ แล้วก็ไปๆมามาสอนมโนยิทธิให้ผม ผมเพิ่งมารู้ตอนมาอ่านเวปนี้นี่แหละเพิ่งมารู้ แล้วผมมีปัญหาเค้าก็บอกวิธีแก้ คือให้พระพุทธเจ้ามาเป็นครูมาสอนให้เป็นพุทธนิมิตร (ผมไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าแสดงปรากฎตัวอะไรมาเลย ผมคงเลวเกินไป)

    อ่าครับ
     
  8. LungKO

    LungKO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    590
    ค่าพลัง:
    +925
    ท่านไม่มีทุกข์ทางจิต ก็จริงอยู่ แต่ท่านไม่อยากอยู่ให้เป็นทุกข์ทางกาย
    ท่านจะใช้อิทธิบาทธรรม อยู่ต่อไปก็ได้ ถ้าท่านต้องการ ฯ
    ถ้าเป็นผม ๆ ก็คงไม่อยู่ เพราะมันทรมานร่างกาย จะต้องบริหารให้อยู่ได้เหนื่อยกาย ก็คงต้องวางให้เป็นอุเบกขาธรรม ปล่อยให้ผู้ยังติดอยู่ในกิเลสรับผลกรรมของตนต่อไป เพราะทุกคนมีกรรมเป็นของตน ต้องไปตามกรรมนั้น ช่วยแล้วเหนื่อยแล้ว ขอพักกายบ้าง เหนื่อยมาหลายล้านๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ชาติแล้ว ฯ ช่วยไม่เหลือแล้ว ช่วยทุกอย่างแล้ว
    เหมือนพระพุทธองค์ ตรัสไว้นั้นแล้ว อานนท์ เธอทั้งหลายจะเอาอะไรจากเราอีก เราก็อยู่มา80 ปีนี้แล้ว แก่หง่อมเหมือนเกวียนผุ แล้ว.....
    เธอทั้งหลาย จงมีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย .....จงอยู่อย่างไม่ประมาท เถิด......

    สังขารร่างกายของคนในยุคนี้ อยู่ได้เพียงเท่านี้ (อย่างมากก็ร้อยปีเศษ ๆ)
    ทุกชีวิตมีกรรมเป็นของตน ได้กำหนดมาเท่านั้น เช่นพระบรมศาสดา พระโมคคัลลลานะ พระสารีบุตร และพระองค์อื่น ๆ ก็มีกรรมเก่า ต่างกันไป ฯ

    ขอให้เป็นพระประสงค์ของท่านทั้งหลายเหล่านั้นเถิด อย่าให้ท่านอยู่เป็นทุกข์ทางกายเลย จะเป็นบาปสำหรับเราเอง เพราะทำในสิ่งที่ท่านไม่ประสงค์ ฯ

    นั่นแหละครับ คือท่านกำลังเทศนาธรรมะ อยู่คือให้รู้ว่าทุกสิ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่คนกิเลสหนาอย่างเราควรรู้ไว้ ฯ
    เพราะอะไร ๆ ที่เป็นมรดกทางธรรม ที่เป็นอมตะนั้น ท่านก็มอบไว้ให้หมดแล้ว
    รีบเอามรดกธรรมนั้นมาสืบสานต่อไว้ อย่าให้เป็นคนสุดท้ายของท่านผู้สุดประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นเลย

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กุมภาพันธ์ 2012
  9. meephoo

    meephoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +2,133
    มึครับ พระอรหันต์โสณะ ท่านยังคงอยู่ตั้งแต่สมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้มาเผยแพร่พระพุทธศาสนา ช่วงหลังนี้ทราบว่าท่านอยู่ทางฝั่งลาว ท่านเป็นอาจารย์ะพระกรรมฐานหลวงพ่อจรัญครับ โมทนาสธุ
    ข้าพเจ้าเกิดมาต้องตาย ชีวิตไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
     
  10. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    958
    ค่าพลัง:
    +3,168
    หมดภาระแล้ว หมดงานแล้ว หมดกิเลสแล้ว
     
  11. thontho

    thontho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    398
    ค่าพลัง:
    +612
    พูดยังกับว่า พระอรหันต์เจอง่ายๆยังกับซื้อขนมกิน ไอ้ที่ลือกันนะ หันซ้ายหรือหันขวา

    เออ.......ขอเล่าบ้าง ไม่ต้องเชื่อนะ.....

    สมเด็จโตเคยเทศน์ไว้ที่สำนักปู่สวรรค์ บางแค ว่า มีพระอรหันต์องค์หนึ่งชื่อ พระมหากัสปะ จากสมัยพระพุทธเจ้ายังอยู่ในป่าลึกเทือกเขาหิมาลัย โดยกินหญ้าอายุวัฒนะชนิดหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ไม่มีทางพบท่านได้ ท่านรอพบพระศรีอริยเมตตรัยมาจุติอีก หลัง พ.ศ.5000 ปีเพื่อขอขมากรรมบางอย่างด้วยกายเนื้อ......ฟังไว้เป็นนิยายนะ อย่าคิดมาก
     
  12. din555

    din555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2010
    โพสต์:
    520
    ค่าพลัง:
    +544
    เป็นไปตาม สภาวะเหตุ และปัจจัย ท่านจะพิจารณาของท่านเอง
     
  13. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ..................พระธรรม ไง ตัวแทนพระพุทธองค์ สมดังคำที่ว่า"ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา"....แต่การเห็นพระพุทธองค์หรือเห็นธรรมก็ไม่ใช่ง่าย...ทั้งทั้งที่มีให้ศึกษาอยู่.............พระอริยะไม่ว่าสมัยใหน ก็จะสอนพระธรรมเดียวกันนี้..จขกท เรา อยู่ในยุคที่พระธรรมเจริญเฟื่องฟู สามารถหาแหล่งศึกษาได้มากมาย...หาสิ่งที่เป็นพระธรรมที่พระพุทธองค์สอนให้เจอ...ในนั้นมีทุกอย่าง...และไม่มีสิ่งอื่นใดที่ต้องหานอกจากนี้อีก..:cool: และพระอริยะ ก็มีอยู่ทุกยุคสมัย...ถ้าไปหาท่านท่านก็จะสอนเรื่องเดียวกัน...แต่ท่านไม่สามารถเสกให้ใครบรรลุธรรมได้ ต้องทำเองเท่านั้น:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2012
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    การประกาศ ศาสนา นั้นเป็น กิจของ พระพุทธองค์ เป็นกิจของ พระสัพพัญญู

    ผู้หมุนธรรมจักรได้นั้น มีแต่ พระสัพพัญญูผู้ประกาศศาสนา เพียงผู้เดียว ผู้อื่นไม่
    สามารถกระทำได้

    ดังนั้น

    พระศาสนาของพระ สมณณะโคดม มีอายุ 5000 วษา ตรงนี้เป็นสิ่งที่
    พระพุทธองค์ได้หมุนธรรมจักรนั้นไว้แล้ว การจะมีอายุศาสนาไปมากกว่า
    นั้น เป็นเรื่องของ คนที่มี มิจฉาวิมุตติเจืออยู่ จะดำริถึง

    พระพุทธองค์ ทรงปรินิพพานไปแล้ว ไม่ได้ทรงห่วงใยอะไรว่า พระพุทธ
    ศาสนาจะยืนยาวน้อยกว่า 5000 วษา หรือไม่ อีกทั้งไม่ทรงอาลัยต้อง
    การให้ยินยาวไปมากกว่า 5000 วษา อีกด้วย

    การที่มีใครคนใดคนหนึ่ง "โง่" พอที่จะปรากาศว่า หากสัตว์ตัวสุดท้าย
    ไม่เข้าพระนิพพาน ก็จะไม่ขอ เข้าถึงกระแสพระนิพพาน มันเป็นเรื่อง
    ของคน "โง่" ที่ไม่รู้จักวิมุตติเลยแม่แต่นิดเดียว จะปรารภ

    ลองตรองดูสิ ก็ตนเองยังถึงความเป็น โสดาบันไม่ได้ แล้วจะเอาอะไรไป
    สอนเขาให้เข้า พระนิพพาน ได้หละ มันจึงเป็นการประกาศของคนที่ไม่
    รู้รสนิพพาน แต่พูดไปพล่อยๆว่า สอนคน ขนคนเข้านิพพาน ได้เพราะ
    การดำรงค์อยู่ของตนอย่างปุถุชน

    จริงๆ แล้ว คนที่เขาเข้านิพพานไป ก่อนหน้าตนเนี่นะ ก็เป็น ผลงานของ
    พระสัพพัญญูในแต่ละสมัย ทั้งนั้น แต่ความโง่ ดักดานของ "พุทธภูมิ" ที่
    ไม่เอาอ่าว จะสำคัญว่า ผู้ที่พระสัพพัญญูสอนจนบรรลุนิพพานไปมากต่อมาก
    นั้นเป็นเพราะ ผลงานของตนที่ดำรงค์ตนเป็นปุถุชนคนโง่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2012
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ในกรณีของ พระอริยะเจ้า ตั้งแต่ โสดาบัน ขึ้นไป จะรู้ชัดในเรื่อง

    กรรม หรือ กฏแห่งกรรม

    คือ เวลาเจอคน สนทนาธรรมกันแล้ว หากผู้นั้นมี จริตนิสัยตอบโต้
    ธรรมไม่ว่าจะด้วยดี หรือ จะด้วยเลว ท่านก็จะทราบชัดถึง การเป็น
    เช่นนั้นเพราะ กฏแห่งกรรม

    ดังนั้น คนที่มีวาสนาถูกต้อง มีศรัทธาถูกต้อง มีทิฏฐิถูกต้อง เท่านั้น
    พึงจะเห็นธรรมได้

    หาก คนๆนั้นปิดทาง ขุดตัวเอง เอาตัวเองเข้าสู่ตาข่ายทิฏฐิ62 อันเลว
    ไว้แล้ว และ ไม่ดำริออก คนเหล่านี้ไม่สามารถเห็นธรรมได้ง่าย วาสนา
    ไม่มี

    วาสนาต่อกันระหว่าง ผู้สอน(พระพุทธองค์) กับ ผู้รับธรรม(สาวก) ก็ไม่มี

    เมื่อนั้น ต่อให้ คนสอนได้จะเป็น อรหันต์สาวกมาจากไหน เลิศสักเพียงใด
    ก็ไม่สามารถ หมุนธรรมจักรให้เคลื่อนเพิ่มขึ้นได้

    แล้ว จะอยู่ไปทำไม วาสนาตนก็ไม่มี จะดำรงค์ตนไปเรื่อยๆ ก็เป็นเพียง
    ขอนไม้ผุๆ ที่ล่องลอยไปมา ไม่ต่างกับสิ่งต่างๆที่ลอยในน้ำ เท่านั้น

    สู้ จากไปให้โลกเขาเห็น ธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่ว่า

    "สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ดับไปเป็นธรรมดา"

    ประเสริฐกว่าหลายเท่าพันเท่าหมื่นเท่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2012
  16. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819



    หลวงปู่ดู่เทศน์สอนคณะศิษย์วัดท่าซุงผู้ได้มโนมยิทธิ


    .
     
  17. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    ที่ผมรู้ที่ท่านยังอธิษฐานอยู่ต่อก็มีอยู่ สององค์ หลวงปู่เทพโลกอุดร กับ พระอุปคุตมหาเถระ....

    นอกนั้นไปหมดแล้วครับ.....ไม่มีหน้าที่ต้องอยู่ต่อ....อยู่ไปทำไม ให้รำคาญกายครับ....
     
  18. saturday_rainy

    saturday_rainy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +957
    ขึ้นอยู่กับภูมิจิตน่ะครับ น้องลองค่อยๆตัดอารมณ์ผูกพันง่ายๆดูสิครับว่าวันนี้เราเคยชอบของอย่างนี้ เราจะไม่เอามันเด็ดขาดอีกต่อไป ถึงวันนั้นแล้วก็จะไม่อาลัยอาวรณ์สิ่งที่ไปยึดถือมันอีก ส่วนผู้ที่ยังอยู่ตามคำเล่าขานอาจจะไม่เหลือกายแล้วก็ได้นะครับ
     
  19. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    อดีตที่ผ่านพ้นตอนที่ ๗๔ : ลาพุทธภูมิ
    ๗๔. ลาพุทธภูมิ

    ?ห้าพรรษาเท่านั้นแหละ ท่านต้องใช้รถสิบล้อมาขน...? หลวง พี่วัชรชัย (พระครูสังฆรักษ์วัชรชัย อินทวงฺโส) เอ่ย เมื่อเห็นของกินของใช้กองเต็มโต๊ะทำงานของอาตมา บนศาลานวราชบพิตร เนื่องจากญาติโยมเอามาถวายคนละเล็กคนละน้อย...

    อาตมาเองก็งงเหมือนกัน นี่มันอะไรกันนักหนา...? บวชมายังไม่ทันครบพรรษาเลย ทำไมผู้คนเมตตาสงเคราะห์ขนาดนี้...? คิดไปคิดมาสรุปได้ว่า เกิดจากการที่อาตมาปรารถนาพุทธภูมิมาก่อนนั่นเอง บริวารถึงได้มากนัก... ไม่ว่ามาจากอีสาน กลาง เหนือ ใต้ ความตั้งใจของท่านทั้งหลายเหล่านั้นคือ มากราบ ?หลวงพ่อ? แต่มันให้มีเหตุที่เขาต้องมาพบกับอาตมา แล้วก็ชอบอกชอบใจเกาะหนับเป็นตุ๊กแกเลย... ขืนเป็นแบบนี้ ไม่ทันครบพรรษาคงถูกไล่ออกจากวัดแน่ ๆ เพราะคณะสงฆ์ท่านจะตั้งข้อหาว่า แข่งบารมีกับ ?หลวงพ่อ? นะซิ...ไอ้เรารึก็ไล่แล้วไล่อีก ให้เขาไปกราบ ?หลวงพ่อ? สมกับที่ตั้งใจมา แต่เขาก็อิดเอื้อนโยกโย้ จนบางทีอยากซัดสักฉาด...!

    เคยกราบเรียนถาม ?หลวงพ่อ? ว่า ทำไมศิษย์สายครูบาอาจารย์อื่น ๆ เขาไม่ค่อยมีพระโพธิสัตว์เอาซะเลย แต่ของวัดท่าซุงพระโพธิสัตว์แทบจะเดินชนกันตาย...? ?หลวงพ่อ? เมตตาตอบว่า ท่านเองก็เคยกราบเรียนถาม ?พระ? ท่านเช่นกัน...

    ?พระท่านบอกว่า งานของเธอเป็นงานใหญ่ ต้องสั่งสอนคนหมู่มากเพื่อมรรคผลอย่างแท้จริง แทบจะเป็นการประกาศศาสนาใหม่เลย ถ้าไม่ได้กำลังของพระโพธิสัตว์มาช่วย ลำพังกำลังของเธอเองจะรับมือไม่ไหว...?

    ที่สำคัญคือ หลวงพ่อท่านปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน ถ้ายังไม่ละความปรารถนานั้นเสียก่อน เมื่ออายุครบ ๖๐ ปีในชาตินี้ จะบำเพ็ญบารมีของวิริยาธิกะโพธิสัตว์เต็ม ครบ ๑๖ อสงไขย กับ ๑ แสนมหากัปพอดี... หลวงพ่อเล่าว่า ?คนของฉันที่อธิษฐานตามกันมา เลยทำงานพุทธภูมิไปโดยปริยาย ยิ่งพวกที่ตามกันมาแต่ต้น ๆ บำเพ็ญบารมีมาเกิน ๑๐ อสงไขยกัปทั้งนั้น ถ้าเป็นสาวกภูมิก็บรรลุไปนานแล้ว...?

    การบำเพ็ญบารมี เพื่อความเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น แบ่งออกเป็น ๓ ประเภทด้วยกัน คือ

    ๑. ปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขย กับ ๑ แสนมหากัป
    ๒. ศรัทธาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๘ อสงไขย กับ ๑ แสนมหากัป
    ๓. วิริยาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขย กับ ๑ แสนมหากัป

    การจะเป็นพระพุทธเจ้าแบบใด ก็ขึ้นอยู่กับว่าพระโพธิสัตว์ท่านนั้น จะตั้งความปรารถนาว่าต้องการบริวารแบบใด แบบปัญญาธิกะนั้น บริวารของท่านจะคละเคล้ากันไป ทั้งยากดีมีจน ขี้เหร่สวยงาม แบบยำใหญ่ใส่สารพัดเลยล่ะ... แบบศรัทธาธิกะ บริวารของท่านจะสวยรวยดี ตั้งอยู่ในศีลธรรมเสมอกัน คนชั่วจะเข้ามาในเขตประกาศศาสนาของท่านไม่ได้ แบบวิริยาธิกะ นอกจากสวยรวยดีเสมอกันหมดแล้ว ช่วงนั้นคนชั่วไม่มีโอกาสมาเกิดในโลกได้เลย...!

    ถ้าหลวงพ่อไม่ลาพุทธภูมิเสียก่อน ท่านจะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒๒ ถัดจากพระศรีอาริยเมตไตรย ?...ขี้ เกียจนั่งแกร่วรอคิวอีกไม่รู้กี่กัป ฉันเลยเลิกเป็นซะอย่างนั้นแหละ...? หลวงพ่อเล่า นั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง ความจริงคือหลวงพ่อท่านเกรงว่าจะต้องฆ่าคน ด้วยว่าวิสัยของพุทธภูมิ นั้น หากการกระทำของตนเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของคนหมู่มากแล้ว ท่านยอมแม้จะต้องตกนรกหมกไหม้ขนาดไหนก็ตาม...!

    ยุคนั้นนักบวชเลวที่เป็นใหญ่เป็นโต ข่มเหงรังแกพระดี ๆ ทั่วไป จับสึกซะบ้าง ถอดออกจากตำแหน่งบ้าง ข่มขู่เรียกร้องลาภผลจากท่านบ้าง เรียกว่าชั่วกันอย่างบริสุทธิ์ หาความดีไม่เจอเลยทีเดียว ขืนอยู่ก็ฆ่ากันแน่ หลวงพ่อจึงลาพุทธภูมิ...!

    กำลังใจของผู้ปรารถนาพุทธภูมินั้น เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวกว่าคนทั่วไปมากนัก ทำอะไรเด็ดขาดจริงจัง เสียสละความสุขของตนเพื่อผู้อื่นเสมอ แม้ตัวเองต้องอด ก็ขอให้คนอื่นอิ่มก็แล้วกัน ที่สังเกตอีกประการคือ บริวารจะมากเป็นพิเศษ... แต่ที่เสียอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ไม่ว่าจะฝึกหัดอะไร จะได้ช้ากว่าเขามากนัก ต้องทวนแล้วทวนอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ช่ำชองชำนาญทุกจุดจริง ๆ จะไม่ยอมปล่อยผ่านอย่างเด็ดขาด ถ้ารู้ไม่ครบถ้วนเจนจบ จะไปเป็นครูสอนคนอื่นเขาอย่างไร...?

    อาตมาเองก็เช่นกัน กว่าจะผ่านได้แต่ละจุดแทบรากเลือด อย่างที่เคยเล่าไว้แต่ต้นว่า เพียงปฐมฌานอย่างเดียว เคี่ยวซะสามปี...! จนเหตุจูงใจสำคัญมาถึงคือ หลวงพ่อก็ลาพุทธภูมิแล้ว อาตมาจะอยู่ไปทำเกลืออะไรล่ะ...? กราบทูลลาต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง ๓ วาระ พระองค์จึงประทานอนุญาต แต่ก็มีข้อแม้ว่า ?จะลาก็ได้ แต่งานเก่าต้องทำต่อไป...? เฮ้อ...ตกลงว่าถ้าดีก็ไปนิพพานได้ ถ้าเลวก็ลงอเวจีต่อไป งานเก่าก็ไม่ยกเลิก...เก๊กซิม..! ขนาดลาแล้วนะนี่ บริวารยังไหลมาเทมา แล้วข้อยสิเฮ็ดหยังหว่า...? ฆ่าก็ไม่ตาย ขายก็ไม่ออก หนักอกหนักใจเรื่องบริวารอยู่นาน จนเกือบจะโดนไล่ออกจากวัดหลายวาระ ก็พอดีคนดีศรีอยุธยาขี่ม้าขาวโผล่มาช่วยไว้ทัน...

    ท่านนันทชัย (พระนันทชัย สุธมฺมเทวธมฺโม) บวชเข้ามาพอดี อาตมาเห็นปั๊บก็ทราบเลยว่าพระโพธิสัตว์แหงแซะ... วันหนึ่งมีโอกาสนั่งผลิตลูกประคำอยู่ด้วย อาตมาจึงถามท่านว่า ?คุณคิด จะลาพุทธภูมิบ้างมั้ย...?? ท่านตอบว่า ?มันเหมือนกับผมทำงาน ชิ้นหนึ่ง เห็นอยู่ว่าผลงานนั้นจวนจะเสร็จอยู่แล้ว จะให้ผมทิ้งไปกลางคัน ผมทำไม่ได้ครับ...? เห็นความเข้มแข็งของกำลังใจของท่านหรือยัง...? ไอ้ใจไม่ถึงอย่างเราดันไปชักใบให้เรือเสียซะนี่...!

    ?ผมเองน่ะลาแล้ว แต่บริวารของผมมากเหลือเกิน คุณจะรังเกียจมั้ย...? ถ้าผมจะฝากให้คุณช่วยรับภาระแทนด้วย...? อาตมายื่นภูเขาพระสุเมรุให้หน้าตาเฉย ท่านก้มหน้าคิดไม่ถึงสามวินาที ก็ตอบว่า... ?ได้ครับ...แต่เมื่อหลวงพี่ไปสบายแล้ว ขอให้กลับมาช่วยผมบ้าง...? ไชโย...! ทันทีเลยน้องเอ๋ย...ขอให้หมดภาระเฉพาะหน้าเท่านั้นแหละ เรื่องย้อนกลับมาช่วยภายหลังนั้นเรื่องเล็ก ถึงตอนนั้นทำอะไรก็ได้อยู่แล้ว... น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กระแสคนมันขาดลงไปเฉย ๆ คล้ายกับน้ำที่ถูกปิดเขื่อนอย่างนั้นแหละ แต่ก็นั่นแหละ... ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว อยากฝากเขาดีนัก ตอนนี้เลยถูกฝากบ้าง แต่ละท่านนี่เราไม่มีโอกาสปฏิเสธเลย...โธ่ ๆ ๆ ๆ ...!

    ๑ ตุลาคม ๒๕๓๕
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    หมายเหตุ : ?หลวงพ่อ? บอกกับอาตมาว่า ?ระวัง นะคุณ...ลาพุทธภูมิแล้วกำลังมันจะตก..? ทีแรกอาตมาเองยังนึกค้านท่านในใจว่า ไม่เห็นมันจะตกตรงไหนเลย ความบ้าก็ยังเท่าเดิม สมาธิสมาบัติก็ยังเหมือนเดิม...

    มาตอนนี้ต้องเชื่อหลวงพ่อโดยไม่มีข้อแม้ เพราะเพิ่งสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ถ้าเห็นใครลำบากอยู่ ถึงเขาไม่ออกปากก็รีบแถเข้าไปช่วย มาตอนนี้ถ้ามันไม่ล้มทับตีนอยู่ตรงหน้า อย่าหวังเลยว่าจะยื่นมือไปช่วย...! ที่แท้กำลังใจมันลดลง เอาแต่เรื่องเฉพาะหน้าจริง ๆ เท่านั้น...

    ๑๓ สิงหาคม ๒๕๔๙
    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    เวบบอร์ดวัดป่าโนนวิเวก - แสดงกระทู้ - เรื่องเล่าต่าง ๆ โดยพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  20. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,862
    ค่าพลัง:
    +1,818
    มีอยู่ 2 ประการขอรับ
    ประการแรก
    เพราะท่านทั้งหลายเหล่านั้น รู้เห็นแล้วว่า การเป็นมนุษย์นั้น หาได้มีประโยชนอันใดไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์มีอยุ่นั้น เป็นเพียงความว่างเปล่า นั่นหมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ทำ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์มี เป็นเพียงอารมณ์ ความรู้สึก และความคิด ที่มนุษย์ได้รับจากสิ่งที่ทำ สิ่งที่มีเท่านั้นขอรับ


    ประการที่สอง
    ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ไม่มีความรู้ดีพอในการที่จะออกจากวัฎจักร หรือการเวียนว่ายตายเกิด ตามกฏเกณฑ์ หรือตามกลไกธรรมชาติของโลก อีกทั้งท่านทั้งหลายเหล่านั้น ยอมรับในกลไกหรือกฎเกณฑฺ์ แห่งธรรมชาของโลก คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ขอรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2012

แชร์หน้านี้

Loading...