ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. มูริญโญ่

    มูริญโญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +583
    โมทนาบุญกับทุกท่านครับ
     
  2. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,117
    โอนเงินเข้าบัญชีทุนนิธิ

    วันนี้ผม คงภัค ตรีสารศรี และ คุณพิชาญ มหาชนก ได้บริจาคทรัพย์บริสุทธิ์จำนวน 1,601 บาท เข้าทุนนิธิฯ ครับ จึงเรียนมาเพื่อทราบและได้โมทนาบุญด้วยกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กุมภาพันธ์ 2012
  3. prapaanpong

    prapaanpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +7,992
    ขอร่วมทำบุญครับ
    โอนเงินเข้าทุนนิธิ 500 บาท
    วันนี้ เวลา 8.36 ครับ
    ขอโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  4. kumlungjai

    kumlungjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2012
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +406
    ร่วมทำบุญกับทุนนิธิ ท่านอ.ประถม อาจสาคร

    เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2555 ได้โอนร่วมทำบุญกับทุนนิธิ ดังนี้ครับ
    1. คุณแม่พรทิพย์ แซ่เตียว จำนวน 100.- บาท
    2. นายธีรภัทร พิสุทธิสกุลชัย จำนวน 150.- บาท
    3. นางสาวศุภจิตรา พิสุทธิสกุลชัย จำนวน 100.- บาท
    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  5. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,117
    มหามุฑิตาโมทนาสาธุกับบุญของทุกท่านในทุกประการด้วยครับ
     
  6. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,117
    มหามุฑิตาโมทนาสาธุกับบุญของทุกท่านในทุกประการด้วยครับ
     
  7. yen-jit

    yen-jit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +709
    ร่วมบุญด้วยค่ะโอนเข้าทุนนิธิ กรุงศรีฯ 348-1-23245-9
    วันนี้(20/02/2555) เวลา 12:52 น.
    จำนวน 533.33 บาท
    ถ้ามีโอกาสจะร่วมบุญ
    อนุโมทนาบุญทุกท่านด้วยค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    908
    ค่าพลัง:
    +4,280
    "ไม่ประมาท"ในธรรมสมาธิ มีอะไรบ้าง????

    http://www.patimakrum.com/wp-content/uploads/2009/09/DSCN1006.jpg

    หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ตลอด 45 พรรษาแล้วทรงเปล่งปัจฉิมวาจาก่อนดับขันธปรินิพพาน ณ เมืองกุสินารา ว่า
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราจักเตือนเธอทั้งหลาย สังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด"
    (มหาปรินิพพานสูตร ฑี.ม. 10/143/180)
    ความหมาย "ความไม่ประมาท"คือการที่สติกำกับตัวอยู่เสมอ ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำสิ่งใดๆ จะไม่ยอมถลำ สู่ทางเสื่อม และไม่ยอมพลาดโอกาสในการสร้างความดี.
    ซึ่ง "ความประมาท"ในธรรมปฏิบัตินั้น แท้จริงแล้ว อาจจำแนกได้ถึง 11 ประการคือ
    1. ไม่ทำกิจโดยเคารพ คือนั่งสมาธิไปอย่างนั้นๆ ไม่ศึกษาว่าทำถูกต้อง ถูกวิธีหรือไม่ ทำผิดก็คิดว่าทำถูก ทำน้อยก็คิดว่าทำมาก จึงได้รับผลไม่เต็มที

    2. ไม่ทำติดต่อกัน คือนั่งสมาธิแบบเดี๋ยวจริงเดี๋ยวหย่อน เหมือนธารน้ำที่ไม่เชื่อมต่อกัน ก็กลายเป็นร่องน้ำเป็นหย่อมๆ ไป

    3. ทำๆ หยุดๆ คือนั่งสมาธิไปช่วง เลิกนั่งไปอีกช่วงเหมือนกระแตที่วิ่งๆ หยุดๆ แม้ช่วงที่ได้นั่งสมาธิจะได้ผลอย่างดี แต่หากทำๆ หยุดๆ แล้วก็ ยากที่จะเอาดีได้ เหมือนนักกีฬาที่มีความสามารถเฉพาะตัวสูง หากซ้อมบ้างไม่ซ้อมบ้าง ก็ยากที่จะก้าวไปสู่ความเป็นเลิศได้

    4. ทำอย่างท้อถอย คือนั่งสมาธิเหมือนคนซังกะตายเหมือนลูกจ้างที่ทำงานไม่เต็มแรง

    5. ทอดฉันทะ คือทำแบบเลื่อนลอย ทำแบบหมดรัก"ความรัก" จะก่อให้เกิดพลังอย่างน่าอัศจรรย์

    6. ทอดธุระ อาการหนักกว่า ทอดฉันทะอีก คือไม่สนใจทำแล้ว

    7. ไม่ติด คือทอดธุระแล้วก็ชะล่าใจ ชักนั่งสมาธิไม่ติดแล้ว ผุดลุกผุดนั่ง

    8. ไม่คุ้น คือพอทิ้งไปมากเข้าบ่อยเข้า ครั้นมานั่งสมาธิอีก ก็เหมือนมาเริ่มต้นใหม่ เหมือนไม่เคยนั่งสมาธิมาก่อน รู้สึกอึดอัดขัดข้องไปหมดก็ต้อง อดทน...อดทน...แล้วก็ อดทน ก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ เอง ไม่ควรท้อถอย หรือหมดกำลังใจ

    9. ไม่ทำจริงๆ จังๆ คือทำแบบเช้าชาม เย็นชาม ทำพอได้ชื่อว่าทำ

    10. ไม่ตั้งใจทำ คือทำแบบถูกบังคับให้นั่ง ทำแบบให้คิดจะเอาดี อันที่จริงจะตั้งใจนั่งสมาธิกับไม่ตั้งใจช่วงเวลานั้นก็ใช้เวลาเท่ากัน ไหนๆ จะต้องเสียเวลาแล้วก็น่าจะทำให้ดีที่สุด

    11. ไม่หมั่นประกอบ คือนานๆ ทำที ทำที่ก็ทำแต่น้อย เช่นนั่งสมาธิปีละ3 ครั้งครั้งละ 10 นาทีเป็นต้น พระพุทธองค์ท่านทรงสอนให้เราสันโดษในปัจจัย 4แต่ไม่ใช่สันโดษในการสร้างความดี ความดีเป็นสิ่งที่ต้องสร้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
    เหมือนทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ บัณฑิตไม่อิ่มด้วยความดี โดยเฉพาะความดีที่เกิดจากการนั่งสมาธิเจริญภาวนา


    จากเว็บไซท์
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,777
    ค่าพลัง:
    +16,086
    กิจกรรมที่ รพ.สงฆ์ ประจำเดือนนี้เป็นวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ คือวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2555 โดยนัดพบเพื่อจัดเตรียมสังฆทานอาหารที่โรงอาหารด้านข้าง รพ.สงฆ์ในเวลา 7.30 น.-8.00 น. เหมือนเช่นเคย

    จึงขอแจ้งให้ผู้ที่สนใจได้ทราบทั่วกัน โดยผมและกรรมการของทุนนิธิฯ ได้เบิกเงินจากบัญชีของทุนนิธิฯ มาและจะได้ทยอยบริจาคไปยัง รพ.ต่างๆ ซึ่งมีรายละเอียดการบริจาคสำหรับเดือนกุมภาพันธ์นี้ตามประมาณการดังนี้


    1 รพ.สงฆ์

    - ถวายค่าสังฆทานอาหาร 6,000.- (ประมาณการพระสงฆ์ไว้
    200 รูป โดยจะถวายเป็นอาหารกล่องๆ ละ 30.-) เป็นเงิน 6,000.-
    - ถวายค่าเวชภัณฑ์ส่วนกลาง 5,000.-
    - ถวายค่าโลหิต 5,000.-
    รวม 16,000.-

    2 รพ.ภูมิภาค

    - รพ.แม่สอด จ.ตาก 8,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพราชปัว 5,000.-
    จ.น่าน
    - รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย 8,000.- จ.เลย
    - รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่ 5,000.- (ผ่านบัญชีทุนนิธิสงฆ์)
    - รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 8,000.-(ผ่านบัญชีกองทุนหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
    - รพ.50 พรรษาฯ จ.อุบล 5,000.-
    - รพ.สงขลา จ.สงขลา 8,000.-
    - รพ.ปัตตานี จ.ปัตตานี 5,000.-

    รวม 52,000.-


    รวมเงินบริจาคตามข้อ 1.+2. = 68,000.- (หกหมื่นแปดพันบาทถ้วน)

    จึงขอประชาสัมพันธ์มาให้ทราบล่วงหน้ากัน และหากท่านใดมีเวลาขอเรียนเชิญเข้าร่วมกิจกรรมโดยพร้อมเพรียงกันต่อไป ส่วนรายการพิเศษในวันอาทิตย์นี้จะมีพระพิมพ์หลวงพ่อโตวัดป่ามะม่วง จ.สุโขทัย โดยพี่วุฒิ ศิษย์รุ่นใหญ่ของท่าน อ.ประถม อาจสาคร นำมามอบให้ สำหรับพระกรุพิมพ์นี้ จากการตรวจทางนามกันหลายท่านพบว่าสำเร็จทางจิตโดยบรมครูพระธรรมฑูตโลกอุดร และพระพิมพ์สมเด็จ ซึ่งผ่านการตรวจทางนามแล้วเช่นกัน พบว่าสำเร็จโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี มาให้บูชากัน พอเป็นเครื่องคลายเหงาเพื่อหารายได้เข้าทุนนิธิฯ เพิ่มเติมกันในราคาหลักร้อยกลางๆ โดยมีพระพิมพ์อยู่พิมพ์ละประมาณ 5-6 องค์เท่านั้นครับ



    พันวฤทธิ์
    21/2/55

    บางส่วนของใบอนุโมทนาบัตรที่ได้รับมาเมื่อสัปดาห์ก่อน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2012
  10. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    908
    ค่าพลัง:
    +4,280
    "ธัมมจักกัปปวัตนสูตร"
    ธรรมะบทแรกในพระพุทธศาสนา

    เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเยฯ
    ข้าพเจ้าได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า ในสมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับยับยั้งอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันใกล้เมืองพาราณสี ฯ
    ตัตระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ ฯ
    ในกาลครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเตือนสติเหล่าภิกษุปัญจวัคคีย์ให้ตั้งใจฟัง และพิจารณาตามพระดำรัสของพระองค์อย่างนี้ว่า ฯ
    เทวเม ภิกขะเว อันตา ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรพชิตไม่ควรปฏิบัติให้หนักไปในส่วนที่สุด ๒ อย่าง คือ
    โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค *โน (ถ้ามีการตรวจคำหยาบ..ตรงนี้ให้ออกเสียงว่า ฮีโน..นะครับ) คัมโม โปถุชชะนิโก อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต
    การประพฤติปฏิบัติตนเพื่อแสวงหาความสุขอยู่ใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่น่ารักน่าปรารถนา ซึ่งเป็นธรรมอันเลว เป็นเหตุให้ต้องมีบ้านเรือน เป็นธรรมของคนผุ้ครองเรือนผู้หนาไปด้วยกิเลส ไม่ใธรรมอันจะนำจิตใจออกจากกิเลส ไม่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติเพื่อให้จิตหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องรัดรึงใจทั้งหลาย นี่อย่างหนึ่ง
    โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค ทุกโข อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต ฯ
    และอีกอย่างหนึ่ง คือ การประพฤติปฏิบัติด้วยการทรมานร่างกายให้ได้รับความลำบาก ซึ่งมีแต่ทำให้ใจเป็นทุกข์ทรมานอย่างเดียว ไม่เป็นทางนำจิตใจออกจากกิเลส และไม่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติเพื่อให้จิตหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องรัดรึงใจท้งหลาย ฯ (หรืออีกนัยหนึ่งคือ เร่งหักโหมปฏิบัติธรรมจนเกินกำลัง เพื่อหวังจะได้บรรลุมรรคผลเร็ว ๆ )
    เอเต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนะปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตได้รู้ข้อปฏิบัติอันเป็นทางสายกลาง โดยไม่เข้าไปใกล้ส่วนที่สุด ๒ อย่างนั้นแล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง
    จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติฯ ข้อปฏิบัติอันเป็นทางสายกลางนั้น สามารถทำดวงตาคือ ปัญญา ทำญาณเครื่องรู้ ให้เป็นไปเพื่อใจสงบระงับจากกิเลส เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี และเพื่อทำให้กิเลสดับไปจากจิตคือเข้าสู่พระนิพพาน ฯ
    กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อปฏิบัติอันเป็นทางสายกลาง ซึ่งสามารถทำดวงตาคือ ปัญญา ทำญาณเครื่องรู้ ให้เป็นไปเพื่อใจสงบระงับจากกิเลส เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี และเพื่อให้กิเลสดับไปจากจิตคือเข้าสู่พระนิพพาน ที่ตถาคตรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่งนั้น คือการปฏิบัติอย่างไร?
    อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค ฯ
    ข้อปฏิบัติอันเป็นทางสายกลางนี้ คือ ทางนำไปสู่ความไกลจากกิเลสเครื่องรัดรึงใจทั้งหลาย มี ๘ อย่าง ฯ
    เสยยะถีทัง
    ข้อปฏิบัติเหล่านี้คือ
    - สัมมาทิฏฐิ
    ปัญญาอันเห็นชอบ ( คือ เห็นอริยสัจ )
    - สัมมาสังกัปโป
    ความดำริชอบ ( คิดจะออกจากกาม ไม่คิดอาฆาตพยาบาท ไม่คิดเบียดเบียน )
    - สัมมาวาจา
    วาจาชอบ ( ไม่พูดโกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดคำส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล )
    - สัมมากัมมันโต
    การงานชอบ ( เว้นจากการทุจริต เช่น โกงแรงงานเขาเป็นต้น และทำการงานที่ไม่มีโทษ )
    - สัมมาอาชีโว
    การเลี้ยงชีวิตชอบ ( หากินโดยไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม ไม่ผิดประเพณี )

    - สัมมาวายาโม
    ความเพียรชอบ ( เพียรละชั่ว ประพฤติดีเพื่อให้มีคุณธรรมประจำใจ และเพื่อให้ได้คุณธรรมสูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป )
    - สัมมาสะติ
    การระลึกชอบ ( ระลึกนึกถึง อนุสสติ ๑๐ ประการ มีพระนิพพานเป็นที่สุด และระลึกในมหาสติปัฏฐาน ๔ )
    - สัมมาสะมาธิ ฯ
    การตั้งจิตไว้ชอบ ( การทำสมาธิให้อารมณ์ตั้งมั่นในอนุสสติ ๑๐ ประการนั้น ) ฯ
    ( หรือกล่าวโดยย่อ มรรค ๘ ประการนี้ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา )
    อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางเหล่านี้แล คือ ข้อปฏิบัติอันเป็นทางสายกลาง ซึ่งสามารถทำดวงตาคือ ปัญญา ทำญาณเครื่องรู้ ให้เป็นไปเพื่อใจสงบระงับจากกิเลส เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี และเพื่อทำให้กิเลสดับไปจากจิตคือเข้าสู่พระนิพพาน ที่ตถาคตรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ฯ
    อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สภาวะเหล่านี้แลเป็นตัวทุกข์อย่างแท้จริง คือ
    - ชาติปิ ทุกขา
    ความเกิดก็เป็นทุกข์
    - ชะราปิ ทุกขา
    เมื่อความแก่เข้ามาถึง ก็เป็นทุกข์
    - มะระณัมปิ ทุกขัง
    เมื่อความตายเข้ามาถึง ก็เป็นทุกข์
    - โสกะปริเทวะทุกขะโทมะนัสสุกปายาสาปิ ทุกขา
    เมื่อความเศร้าโศก ความร่ำไรรำพัน ความเสียใจ และความคับแค้นใจเกิดขึ้นมา ก็เป็นทุกข์
    - อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข
    เมื่อประสบพบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจ ก็เป็นทุกข์
    - ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข
    เมื่อพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่ชอบใจก็เป็นทุกข์
    - ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง
    และแม้คิดปรารถนาอยากได้สิ่งใด แต่ไม่ได้สิ่งนั้นสมปรารถนา ก็เป็นทุกข์
    - สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ฯ
    กล่าวโดยย่อแล้วก็คือ การหลงคิดว่าร่างกายเป็นของเราของเขานั่นแล เป็นตัวทำให้ใจเกิดทุกข์อย่างแท้จริง ฯ
    อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ยายัง ตัณหา
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดที่มีอยู่ในใจนี้แลเป็นต้นเหตุทำให้ใจเกิดทุกข์อย่างแท้จริง
    โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา ตัตระ ตัตราภินันทินี เสยยะถีทัง กามะตัณหา
    คือ มีความอยากเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป และมีความกำหนัดยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่น่าปรารถนา ก็เป็นเหตุให้ใจเกิดทุกข์
    ภะวะตัณหา
    สิ่งใดที่ยังไม่มี ก็คิดอยากจะให้มีขึ้นมา อย่างนี้ก็ทำให้ใจเกิดทุกข์
    วิภะวะตัณหา
    และเมื่อมีทุกอย่างสมปรารถนาแล้ว ก็อยากจะให้ทุกอย่างคงทนอยู่ตลอดไป เมื่อมันจะต้องสลายหายไป ก็ร้อนใจไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น อย่างนี้ก็ยิ่งทำให้ใจเกิดทุกข์หนักขึ้นอีก ฯ
    อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย ฯ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การดับตัณหาความอยากให้หมดไปจากใจด้วยการ ละ วาง ปล่อย และไม่คิดยินดีพัวพันอยู่กับตัณหาความอยากนั้นอีกเด็ดขาด คือ การดับทุกข์ให้หมดไปจากใจได้อย่างแท้จริง ฯ
    อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค เสยยะถีทัง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ ฯ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อปฏิบัติเพื่อนำกิเลสให้หมดไปจากใจนี้ มี ๘ อย่าง คือ ปัญญาเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความเพียรชอบ การระลึกชอบ และการตั้งจิตไว้ชอบ คือ ข้อปฏิบัติเพื่อนำใจให้หมดจากกิเลสและดับความทุกข์ได้อย่งแท้จริง ฯ
    อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ดวงตาคือ ปัญญาเห็นธรรม และการกำหนดรู้ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราอย่างนี้ว่า "ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความเศร้าโศก ความร่ำไรรำพัน ความเสียใจ และความคับแค้นใจ เป็นตัวทุกข์อย่างแท้จริง" ฯ
    ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรมและการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วว่า "ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหล่านี้เป็นต้น อันเป็นตัวทุกข์อย่างแท้จริงนั้นแล เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ตลอดเวลา" ฯ
    ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือ ปัญญาเห็นธรรม และการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้งและความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วว่า "ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหล่านี้เป็นต้น อันเป็นตัวทุกข์อย่งแท้จริงนี้นั้นแล เราได้หยั่งรู้ด้วยปัญญาโดยตลอดแล้ว" ฯ
    อิทัง ทุกขะสุมุทะโย อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรม และการกำหนดรู้ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่างในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วอย่างนี้ว่า "ตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดที่มีอยู่ในใจนี้ เป็นเหตุทำให้ใจเกิดทุกข์อย่างแท้จริง" ฯ
    ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรมและการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วว่า "ตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดที่มีอยู่ในใจ อันเป็นเหตุทำให้ใจเกิดทุกข์อย่างแท้จริงนี้นั้นแล เป็นสิ่งที่ต้องละให้ขาด" ฯ
    ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะ*นันติ (ให้อ่านว่า ปะฮีนันติ..Amine) เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรมและการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วว่า "ตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดที่มีอยู่ในใจ อันเป็นเหตุทำให้ใจเกิดทุกข์อย่างแท้จริงนี้นั้นแล เราได้ละขาดไปจากใจแล้ว" ฯ
    อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรมและการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วอย่างนี้ว่า "การดับตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดนี้ให้หมดไปจากใจ คือ การดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง" ฯ
    ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรมและการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วว่า "การดับตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดนี้ให้หมดไปจากใจ คือ การดับทุกข์ได้อย่างแท้จริงนี้นั้นแล เป็นสิ่งที่ต้องทำให้แจ้งในใจตลอดเวลา" ฯ
    ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกะตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรมและการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วว่า "การดับตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดนี้ให้หมดไปจากใจ คือ การดับทุกข์ได้อย่างแท้จริงนี้นั้นแล เราได้ทำให้แจ้งในใจอยู่ตลอดเวลาแล้ว" ฯ
    อิทัง ทุกขะนิโรธคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรมและการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วอย่างนี้ว่า "มรรคคือทาง ๘ ประการ เป็นข้อปฏิบัติให้ทุกข์ดับไปจากใจได้อย่างแท้จริง" ฯ
    ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเวตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรมและการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วอย่างนี้ว่า "มรรคคือทาง ๘ ประการ อันเป็นข้อปฏิบัติให้ทุกข์ดับไปจากใจได้อย่างแท้จริงนี้นั้นแล เป็นธรรมที่ต้องทำให้มีในใจไว้ตลอดเวลา" ฯ
    ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรมและการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วอย่างนี้ว่า "มรรคคือทาง ๘ ประการ อันเป็นข้อปฏิบัติให้ทุกข์ดับไปจากใจได้อย่างแท้จริงนี้นั้นแล เราได้ทำให้มีในใจไว้ตลอดเวลาแล้ว" ฯ
    ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความจริง ๔ อย่าง อันทำให้ใจ*งไกลจากกิเลสนี้ ถ้าหากเรายังไม่รู้เห็นตามความเป็นจริง โดยอาการหมุนเวียนแห่งปัญญาญาณ ครบ ๓ รอบทั้ง ๔ อย่าง รวมเป็นอาการ ๑๒ รอบ

    ( อาการ ๑๒ รอบนี้ เรียกว่า ญาณ ๓ คือ

    1. สัจจญาณ : การหยั่งรู้ให้ทราบชัดในความจริงแต่ละอย่างในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ว่าเป็นทุกข์แท้จริง , ตัณหาคือเหตุเกิดทุกข์แท้จริง , การดับตัณหาคือการดับทุกข์ได้แท้จริง , มรรคคือ ทาง ๘ ประการเป็นข้อปฏิบัติให้ทุกข์ดับไปจากใจได้อย่างแท้จริง

    2. กิจจญาณ : การหยั่งรู้ให้ทราบชัดว่า จะต้องทำอย่งไรกับความจริงแต่ละอย่างนั้น ว่า ตัวทุกข์ควรต้องกำหนดรู้ตลอดเวลา , ตัณหาต้องละให้ขาด , การดับตัณหาเป็นสิ่งที่ต้องทำให้แจ้งในใจตลอดเวลา , มรรค ๘ เป็นธรรมที่ต้องทำให้มีในใจไว้ตลอดเวลา และ

    3. กตญาณ : การหยั่งรู้ว่าได้ทำหน้าที่ทุกอย่างในความจริงแต่ละอย่างนั้นได้โดยบริบูรณ์แล้ว คือ ทุกข์รู้ด้วยปัญญาโดยตลอดแล้ว , ตัณหาได้ละขาดไปจากใจแล้ว , การดับตัณหาได้ทำให้แจ้งในใจตลอดเวลาแล้ว , มรรค ๘ ได้ทำให้มีในใจไว้ตลอดเวลาแล้ว )
    เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง ฯ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล้าประกาศยืนยันแก่มนุษยโลก ตลอดถึงเทวโลก มารโลก พรหมโลก รวมทั้งหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ ให้ได้รู้เพียงนั้น ว่าเราได้ตรัสรู้พร้อมยิ่งซึ่งปัญญาเครื่องตรัสรู้โดยชอบอันยอดเยี่ยม ซึ่งไม่มีความตรัสรู้อื่นในโลกใด ๆ หรือ ของใคร ๆ จะเทียบได้ ฯ
    ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแล ความจริง ๔ อย่ง อันทำให้ใจ*งไกลจากกิเลสนี้ เราได้รู้เห็นตามความเป็นจริง โดยอาการหมุนเวียนแห่งปัญญาญาณ ครบ ๓ รอบทั้ง ๔ อย่าง รวมเป็นอาการ ๑๒ รอบ ด้วยปัญญาอันบริสุทธิ์หมดจดแล้ว ฯ
    อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง ฯ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้น เราจึงกล้าประกาศยืนยันแก่มนุษยโลก ตลอดถึงเทวโลก มารโลก พรหมโลก รวมทั้งหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ ให้ได้รู้เฉพาะว่า เราได้ตรัสรู้พร้อมยิ่งซึ่งปัญญาเครื่องตรัสรู้โดยชอบอันยอดเยี่ยม ซึ่งไม่มีความตรัสรู้อื่นในโลกใด ๆ หรือของใคร ๆ จะเทียบได้ ฯ
    ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ อะกุปปา เม วิมุตติ อะยะมันติมา ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ ฯ
    ก็แล ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแก่เราแล้วว่า "กิเลสเครื่องรัดรึงใจทั้งหลายไม่สามารถจะกำเริบขึ้นมาได้อีกแล้ว จิตของเราได้หลุดพ้นจากกิเลสโดยวิเศษแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราแล้ว บัดนี้ไม่มีภพเป็นที่เกิดสำหรับเราอีกแล้ว" ฯ
    อิทะมะโวจะ ภะคะวา ฯ
    ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงความจริง ๔ อย่างอันประเสริฐ อันทำให้ใจ*งไกลจากกิเลสอย่างนี้แล้ว ฯ
    อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง ฯ
    พระภิกษุปัจจวัคคีย์เหล่านั้น ก็มีความเพลิดเพลินยินดีในธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแล้วนั้น ฯ
    อิมัสมิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัสมิง ภัญญะมาเน
    ก็ในเมื่อขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกล่าวแสดงความละเอียดพิศดารแห่งความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการอยู่นั่นแล
    อายัสมะโต โกณทัญญัสสะ วิระชัง วีตะมะลัง ธัมมะจักขุง อุทะปาทิ "ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ" ฯ
    ดวงตาคือ ปัญญาอันเห็นธรรม ซึ่งปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดแล้วแก่ท่านโกณทัญญะ ผู้มีอายุอย่างนี้ว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาแล้ว สิ่งนั้น ๆ ทั้งปวง ก็ต้องดับสลายไปเป็นธรรมดา" ฯ
    ปะวัตติเต จะ ภะคะวะตา ธัมมะจักเก
    ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงประกาศวงล้อแห่งธรรมให้เป็นไปแล้วนั่นแล
    ภุมมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง
    ภูมิเทวดาทั้งหลาย ก็ส่งเสียงให้บันลือลั่นขึ้นว่า
    "เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พราหมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสมินติ" ฯ
    "นั่นคือ วงล้อแห่งธรรมอันยอดเยี่ยม ไม่มีอะไรเทียบได้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงประกาศให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี ซึ่งวงล้อแห่งธรรมอย่างนี้ อันสมณพราหมณ์ ตลอดถึงเทวดา มาร พรหม และใคร ๆ ในโลก ไม่สามารถให้เป็นไปได้"
    ภุมมานัง เทวานัง สัททัง สุตวา จาตุมมะหาราชิกา เทวดา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
    เทพเจ้าเหล่าชั้นจาตุมหาราช ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าภูมิเทวดาแล้ว ก็ส่งเสียงให้บันลือลั่นขึ้น ฯ
    จาตุมมะหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา ตาวะติงสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
    เทพเจ้าเหล่าชั้นดาวดึงส์ ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นจาตุมหาราชแล้ว ก็ส่งเสียงให้บันลือลั่นขึ้น ฯ
    ตาวะติงสานัง เทวานัง สัททัง สุตวา ยามา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
    เทพเจ้าเหล่าชั้นยามา ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นดาวดึงส์แล้ว ก็ส่งเสียงให้บันลือลั่นขึ้น ฯ
    ยามานัง เทวานัง สัททัง สุตวา ตุสิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
    เทพเจ้าเหล่าชั้นดุสิตได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นยามาแล้ว ก็ส่งเสียงให้บันลือลั่นขึ้น ฯ
    ตุสิตานัง เทวานัง สัททัง สุตวา นิมมานะระตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
    เทพเจ้าเหล่าชั้นนิมมานรดี ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นดุสิตแล้ว ก็ส่งเสียงให้บันลือลั่นขึ้น ฯ
    นิมมานะระ*ง เทวานัง สัททัง สุตวา ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
    เทพเจ้าเหล่าชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นนิมมานรดีแล้ว ก็ส่งเสียงให้บันลือลั่นขึ้น ฯ
    ปะระนิมมิตะวะสะวัต*ง เทวานัง สังททัง สุตวา พรัหมะกายิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง
    เทพเจ้าเหล่าที่เกิดในหมู่พรหม ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นปรนิมมิตวสวัตตีแล้ว ก็ส่งเสียงให้บันลือลั่นขึ้นว่า
    "เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พราหมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสมินติ" ฯ
    "นั่นคือ วงล้อแห่งธรรมอันยอดเยี่ยม ไม่มีอะไรเทียบได้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงประกาศให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี ซึ่งวงล้อแห่งธรรมอย่างนี้ อันสมณพราหมณ์ ตลอดถึง เทวดา มาร พรหม และใคร ๆ ในโลก ไม่สามารถให้เป็นไปได้" ฯ
    อิติหะ เตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหุตเตนะ ยาวะ พรัหมะโลกา สัทโท อัพภุคคัจฉิ ฯ
    และโดยขณะเดียวเท่านั้น เสียงก็ดังขึ้นไปถึงพรหมโลกด้วยอาการอย่างนี้ ฯ
    อะยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ สังกัมปิ สัมปะกัมปิ สัมปะเวธิ ฯ
    และเสียงนี้ได้สะท้านสะเทือนหวั่นไหว ดังสนั่นไปตลอดทิศทั้ง ๔ ทั่วทั้งหมื่นโลกธาตุ ฯ
    อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานุภาวัง ฯ
    อีกทั้งแสงสว่างอันใหญ่ยิ่งไม่มีประมาณ ได้ปรากฏแล้วในโลก ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลายเสียหมด ฯ
    อะถะ โข ภะคะวา อุทานัง อุทาเนสิ "อัญญาสิ วะตะ โภ โกณทัญโญ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณทัญโญติ" ฯ
    ในลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเปล่งอุทานขึ้นว่า "โกณทัญญะผู้เจริญได้รู้แล้วหนอ โกณทัญญะผู้เจริญได้รู้แล้วหนอ" ฯ (อัญญาสิ : ได้รู้แล้ว)
    อิติหิทัง อายัสมะโต โกณทัญญัสสะ "อัญญาโกณทัญโญ" เตววะ นามัง อะโหสีติ ฯ
    เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานขึ้นมาอย่างนี้แล นามว่า "อัญญาโกณทัญญะ" นี้นั่นแหละ ได้มีแล้วแก่พระโกณทัญญะผู้มีอายุ ด้วยประการฉะนี้ แลฯ





    "ธัมมจักกัปปวัตนสูตร"นี้ พระเดชพระคุณพระญาณสิทธาจารย์ (สิม พุทฺธาจาโร) สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่สรรเสริญว่า "สวดได้ เป็นมงคลอย่างยิ่ง" ซึ่งท่านจะนิยมสวดธรรมจักรนี้ในการมงคลต่างๆเป็นประจำ ควรที่ผู้ปรารถนาบุญและสิริมงคลในชีวิตจะพึงสาธยายตามศรัทธาและโอกาสโดยทั่วกันเทอญฯ







    ขอบพระคุณเว็บพุทธวงศ์ ที่เอื้อเฟื้อข้อมูลครับ

    �ط�ǧ��
     
  11. คีตา

    คีตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +4,309
    กราบเรียน พี่พันวฤทธิ์ พี่ปุ๊ และพี่ๆทุกท่านที่เคารพอย่างสูงครับผม

    ผมมีความจำเป็นอย่างนึงครับ พี่ๆที่เคารพ คือเมื่อ สองสามปีก่อนได้ร่วมบุญสร้างวัด หอสมุดในวัดที่ศรีษะเกษ โดยได้รับพระวังหน้าจากพี่ๆมาครับ จวบจนกระทั่ง.......

    เมื่อปีก่อนมีลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์(ตอนนี้เป็นหลวงตา ครับ) ได้มาอยู่วัดสีหะลำดวน อ.ศีรขรภูมิ
    จ.สุรินทร์ ท่านตั้งใจว่าอยากจะสร้างโบสถ์ตามที่พระลูกศิษย์ท่นขอมา จึงต้องย้ายจากอีกอำเภอมาอยู่ที่ศรีขรภูมิ ตรงข้ามกับ โรงพยาบาลประจำอำเภอพอดีเลยครับ

    ขณะนี้ลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่นหลวงปู่โต หากไม่นับฆารวาส เหลือน้อยมากแล้ว

    ด้วยเหตุนี้ ผมจึงนำ วัตถุมงคล ไม่ว่าพระเครื่อง พระบูชา สิ่งที่เรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ นำออกมาให้บูชา จนหมดตัว เอาเงินส่งบัญชีทางวัด โดยตรง ผมมีหน้าที่ ออกค่ากล่องและไปรษณีย์ให้กับผู้ที่ร่วมบุญครับผม

    ผมอยากรบกวนพี่ๆได้เข้าไปอ่านสองกระทู้ นี้ ซักพักนึงครับผม



    - http://palungjit.org/threads/โคตรเหล็กไหลเจ็ดสี-1-องค์ครับ-ต้องการเงินนำไปทำบุญครับ.310802/

    - http://palungjit.org/threads/สร้างอุโบสถด่วนเลยครับ-เอาของรัก-เหล็กไหล7สีสวยที่สุด-ออกมาครับ.311149/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2012
  12. คีตา

    คีตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +4,309
    พี่ๆที่เคารพครับ

    ผมเรียนมาเพื่อ อยากจะขอพระ พระอะไรก็ได้ครับผม
    จุดประสงค์คือสร้างอุโบสถ

    ในการขอพี่ๆครั้งนี้ ผมขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวครับ


    ผมตั้งเอาไว้หน้าที่ สี่ ของกระทู้ที่สองว่า

    เพื่อความสะดวกและไม่เบียดเบียนตัวเองและผู้ใด
    ท่านสามารถส่งวัตถุมงคลมาตามที่อยู่ข้างล่าง
    และโครงการนี้ไม่เกี่ยวข้องกับทางวัดใดๆทั้งสิ้น
    -ราคาวัตถุมงคลบางชิ้นมีราคาขั้นต่ำ แล้วแต่เจ้าของ
    -ราคาวัตถุมงคลบางชิ้นไม่กำหนดราคาขั้นต่ำแล้วแต่เจ้าของ
    การโอนเงินร่วมสร้างอุโบสถโอนเข้าวัดไม่ผ่านใครทั้งสิ้น
    ต้องการหลักฐานการโอนครับ คือเข็ดแล้วในกรณีสร้างห้องสมุด มีท่านที่โอนมา แต่ไม่พบเงินทำบุญ
    ท่านที่ต้องการร่วมบุญโดยส่งวัตถุมงคลมานั้นหากครบเดือนแล้วยังไม่มีการร่วมบุญ
    ขออนุญาติส่งกลับครับ

    นายพิศะนุนาจ โรจน์จรัสไพศาล 404-406 ถ.หลักเมือง
    อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
    / 085 775 4763


    หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความเมตตาจากพี่ๆครับ
    ด้วยความเคารพอย่างสูง
    เอก

     
  13. SilentSoar

    SilentSoar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    481
    ค่าพลัง:
    +2,384
    แจ้งโอนเงินทำบุญครับ ^_^ 100 บาท

    <table border="0" cellpadding="5" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td colspan="2">โอนเงินต่างธนาคาร - สถานะการทำรายการ

    </td> </tr> <tr> <td colspan="2">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td valign="top" width="34%">สถานะการทำรายการ</td> <td width="66%"> ธนาคารได้ทำรายการของท่านเรียบร้อยแล้ว </td> </tr> <tr> <td width="34%">หมายเลขอ้างอิง</td> <td width="66%">KBKR120224009633886</td> </tr> <tr> <td colspan="2">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td colspan="2">รายละเอียดการทำรายการ

    </td> </tr> <tr> <td width="34%">วิธีโอนเงิน</td> <td width="66%"> ออนไลน์ (ตลอด 24 ชั่วโมง) </td> </tr> <tr> <td width="34%">
    </td> <td width="66%">
    </td> </tr> <tr> <td width="34%">ธนาคารเจ้าของบัญชี</td> <td width="66%">ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)</td> </tr> <tr> </tr><tr> <td width="34%">เพื่อเข้าบัญชี</td> <td width="66%">348-1-23245-9 ศ. ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร</td> </tr> <tr> <td width="34%">ชื่อเจ้าของบัญชีในฐานข้อมูล</td> <td width="66%">PRATOM F.</td> </tr> <tr> <td width="34%">จำนวนเงิน (บาท)</td> <td width="66%">100.00</td> </tr> <tr> <td width="34%">ค่าธรรมเนียม (บาท)</td> <td width="66%">25.00</td> </tr> <tr> <td width="34%">วันที่โอนเงิน</td> <td width="66%">24/02/2012 [00:27:45]</td> </tr> <tr> <td width="34%">บันทึกช่วยจำ</td> <td width="66%">ร่วมทำบุญและร่วมเป็นเจ้าภาพทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ รวมถึงร่วมทำบุญทุกอย่าง รวมร่วมบุญจำนวน 100 บาท </td> </tr> <tr> <td class="note_align" width="35%">
    </td> <td width="65%">
    </td></tr></tbody></table>




    แจ้งโอนเงินทำบุญครับ ^_^ 100 บาท

    ร่วมทำบุญและร่วมเป็นเจ้าภาพทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ
    รวมถึงร่วมทำบุญทุกอย่าง
    รวมร่วมบุญจำนวน 100 บาท

    ขออนุโมทนาบุญ ทั้งหลายทั้งปวงให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทพ เทวดา สิ่งศักดิ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่มีตั้งแต่ต้น บิดามารดาของข้าพเจ้าทั้งชาตินี้และทุกๆชาติ
    พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
    พระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ พระยายมราช เจ้าการบัญชี ลุงพุฒิ
    พระศรีอารียเมตไตรย และสมเด็จองค์ปฐมอันเป็นที่สุด

    ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุขสมหวังในเรื่องความรักทุกประการ นับตั้งแต่บัดนี้ตลอดเท่าเข้าสู่พระนิพพาน
    ขอให้ข้าพเจ้ามีดวงตาเห็นธรรม และเป็นคนดีนับตั้งแต่บัดนี้ตลอดเท่าเข้าสู่พระนิพพาน
    ขอให้ ความไม่มี ความไม่รู้ และความไม่ได้ จงอย่าได้บังเกิดกับข้าพเจ้านับตั้งแต่บัดนี้ตลอดเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ ...

    ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับผู้ร่วมทำบุญทุกท่านด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ...
    อนุโมทนาบุญครับ,
    SilentSoar
     
  14. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,117
    พระธรรมเทศนาโดยพระครูอดิสัยคุณาธาร (หลวงปู่สีทน สีลธโน)

    [FONT=&quot]พระธรรมเทศนาโดยพระครูอดิสัยคุณาธาร [FONT=&quot](หลวงปู่สีทน สีลธโน)[/FONT][FONT=&quot]
    วัดถ้ำผาปู่ ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย
    แสดง ณ อุโบสถวัดอริยวงศาราม อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เมื่อ ๒๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๒

    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ในระหว่างครอบครัวก็ดี ในระหว่างสังคมก็ดี ในระหว่างประเทศชาติก็ดี[FONT=&quot]หากมีศีลธรรมประจำใจแล้ว จะไม่มีสิ่งที่ยุ่งยากยุ่งเหยิงเลยจะอยู่ด้วยความผาสุกอยู่ด้วยความสบาย
    ให้เข้าใจเสียว่าคุณค่าของธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้ามีประโยชน์แก่โลกมาก
    หากว่าไม่มีธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องบำรุงเกื้อกูลแล้วโลกมันจะ ร้อน ความโลภมันจะมาเผาใจ ความโกรธมันจะเผาใจ ความหลงมันจะเผาใจ ราคะตัณหามันจะเผาใจให้เหือดแห้งนะ

    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ทุกวันนี้ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าเจือปนอยู่ แต่ก็ยังเผาอย่างรุนแรงนะ[FONT=&quot]
    ไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง ไฟราคะ ไฟตัณหา ไฟมานะ ไฟทิฏฐิ
    อันนี้มันเผาใจมนุษย์ สัตว์ อยู่ทุกอิริยาบถ ทุกโอกาส ทุกเวลา ไม่มีระยะว่างเลย
    นี่แหละคนที่บ่นกันว่าทุกอย่างมันวุ่นวาย นี่เพราะอะไร
    ก็เพราะไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง ไฟราคะ ไฟมานะ ไฟทิฏฐิ มันเผาหัวใจ

    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]แต่หมู่อริยเจ้าทั้งหลาย เช่นครูบาอาจารย์ ท่านดับได้แล้ว ท่านสบาย[FONT=&quot] ท่านไม่เคยบ่นว่าท่านทุกข์ท่านร้อน อยู่ที่ไหนท่านก็สะดวกท่านก็สบายไม่ได้รับความทุกข์ความร้อนใจ ก็เพราะท่านดับไฟของท่านได้แล้ว ดับไฟคือความโลภ ความโกรธ ความหลง ดับไฟคือราคะ ดับไฟคือตัณหา หมดสิ้นจากหัวใจแล้ว ท่านก็อยู่อย่างสบาย แต่พวกเราท่านทั้งหลายที่บ่นกันวุ่นวายกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะสิ่งเหล่านี้ มันรบกวน

    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ฉะนั้นหากเราต้องการความสุข ความสบาย ความเจริญแล้ว[FONT=&quot]
    ควรที่พยายามดับ แก้ไขความโลภของตัว ความโกรธของตัว
    ความหลงของตัว ราคะตัณหาของตัว ให้มันเบาบางลงไป
    หากว่าเราดับไม่ได้จริงจัง ก็ให้มันเบาบางลงไป
    ถ้าหากเราปล่อยไว้อย่างนี้ มันจะทำพิษเรา ให้เราเกิดความทุกข์
    ถ้าปล่อยไว้นานๆ จะทำให้เราตกนรกก็เป็นได้
    อย่างคนที่ตกนรก ได้รับความทุกข์ความยากลำบากตรากตรำต่างๆ นานา
    เราอย่าไปโทษของอื่น กิเลสของเราเองนี่แหละทำลายจิตใจของตัวเรา
    กิเลสมันกินจิตกินใจเหมือนสนิมกินเหล็ก
    เหล็กของคนเราที่ดีๆ เป็นประโยชน์ได้เป็นมีดพร้า
    ขวานของเราอันที่มันหมดคมเพราะสนิมกิน สนิมจับคมมีดคมขวานนั้น
    กินเหล็กจนกระทั่งหมดคุณค่าใช้ประโยชน์ไม่ได้ ทิ้งไว้เฉยๆ
    นั่นเพราะอะไร เพราะขี้สนิมกินเหล็กที่ดีๆ หมดไป เหลือแต่ที่หยาบๆ
    นี่พูดเฉพาะสนิมกินเหล็ก

    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ทีนี้พูดถึงกิเลสกินใจ ความโลภมันกินใจ ความโกรธความหลงมันกินใจ[FONT=&quot]
    ราคะตัณหากินใจของมนุษย์ สัตว์ก็เหมือนกัน
    คือหากว่าเราปล่อยให้มันกินมากๆ เข้าแล้ว
    มันจะทำลายคุณสมบัติของจิตใจของเรา
    ให้เสื่อมจากคุณงามความดี เสื่อมจากบุญจากกุศล
    หากว่าใจของเราเสื่อมจากคุณงามความดีแล้ว
    มันจะไปเกิดในภพที่ต่ำ เกิดในที่ลำบากตรากตรำ
    หากว่าไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์จะเกิดเป็นเดรัจฉาน
    ถ้าหากเกิดเป็นผู้ดีมีลาภยศมีสมบัติก็ดี
    หากว่าเราไม่ระมัดระวังความโลภความโกรธความหลง มันจะกินจิตใจของตนแล้ว
    มันอาจสามารถทำลายตัวของเราให้ไปเกิดในภพที่ต่ำได้ มันรุนแรงขนาดนั้น

    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะฉะนั้นเราอย่าไปกลัวของอื่น [FONT=&quot]
    กลัวช้าง กลัวเสือ กลัวเปรต กลัวผี อย่าไปกลัวเลย
    สิ่งนั้นไม่สามารถทำให้เราตกนรกได้หรอก แต่กิเลสของเราทำให้เราตกนรกได้
    เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก คือความโลภ ความโกรธ ความหลง ของเรา
    ราคะตัณหาของเรานี่เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก
    อย่างพวกเราเกิดมาเป็นทุกข์
    เป็นคนยากจนอับเฉาเบาปัญญาอย่างที่เราเห็นอยู่ทุกวัน
    คนจนๆ นะ อันนี้ก็ไม่ใช่อะไร เขาปล่อยให้กิเลสกินใจของเขา
    ปล่อยให้ความโลภ ความโกรธ ความหลง กินจิตกินใจของเขา
    จนกระทั่งจิตใจของเขาหมดคุณภาพ หมดคุณงามความดี
    เลยมีบุญเพียงแค่มาเกิดเป็นมนุษย์กับเขา เกิดมาแล้วก็เร่าร้อน[/FONT]
    [/FONT]

    [FONT=&quot]เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนควรกลัวกิเลสมากกว่ากลัวสิ่งอื่น[FONT=&quot]เพราะกิเลสสามารถทำให้ไปตกนรกก็ได้ สามารถทำให้ได้รับความทุกข์ความลำบากตรากตรำต่างๆ นานา ก็เพราะกิเลสของเรานี่เอง กิเลสทำลายจิตใจของคนเรา หากว่าจิตใจของคนเราไม่ดี ใจไม่มีบุญมีกุศลแล้ว เราไปเกิดที่ใดแห่งไหนก็ดี เราจะได้ความทุกข์ความร้อน ไม่ได้รับความอยู่เย็นเป็นสุข เนื่องจากว่าจิตใจของเราไม่ดี หากว่าจิตใจดีแล้ว ก็ไปเกิดในฐานะที่ดีในสกุลที่ดี ได้อะไรมาทุกอย่างก็เป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจ อย่างนั้นก็เพราะใจดี ที่พระพุทธเจ้าสอนให้พวกเราทำคุณงามความดี เพื่อประดับจิตใจของเราทุกวันนี้ ก็เพราะอย่างนี้นี่เอง[/FONT][/FONT]
     
  15. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,117
    อย่าได้นำพระเข้าประกวด

    พระพิมพ์ พระเครื่องทุกองค์ ไม่เพียงแต่พ่อแม่ครูอาจารย์ได้อธิษฐานจิตประจุพลังจิตของท่านลงไปแล้ว ท่าน ยังอาราธนาอัญเชิญ เทพยดา องค์พรหม เทวดา เทวนารี ทุกชั้นฟ้ามาสถิตย์ในองค์พระพิมพ์ พระเครื่องเพื่อให้เกิดผลในทางปกปักรักษาผู้ครอบครองที่อยู่ในศีลธรรม แต่เมื่อผู้ครอบครองหลงอยู่ในกามกิเลสจนพอกจับหนา เหล่าเทพฯต่างๆ ที่สถิตย์รักษาองค์พระอยู่นั้น ก็มิอาจจะอยู่ลดองค์ลงเกลือกกลั้วกับบุคคลที่หนาไปด้วยกามกิเลสนั้น จึงต้องสละละจากวัตถุมงคลนั้นกลับขึ้นไปยังสรวงสวรรค์ดังเดิม และวัตถุมงคลที่ว่านั้นก็จะกลายเป็นสสารวัตถุธาตุธรรมดาทั่วไป ไม่มีพลังอำนาจใดๆ เหลืออยู่ และนี่คือ "คำตอบ" ที่ว่า พระแท้ๆ รับจากมือพ่อแม่ครูอาจารย์ เหตุใดจึงไม่สามารถปกปักรักษาผู้ครอบครองนั้นได้เลย ผมชอบเดินสนามพระ เข้าชมงานประกวดพระ และได้เห็นว่า ผู้ที่คนอื่นหรือเรียกตนเองว่า "เซียนพระ" กว่า 90 เปอร์เซ็นต์มีการปรามาสทั้งด้วยวาจา กิริยาการกระทำต่างๆ จึงไม่แปลกใจว่าทำไม "เซียนพระ" ที่ดูพระแท้ๆ เก่งชมัดกลับมีการเป็นไปดังตัวอย่างที่ยกมาจากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ และสื่ออื่นๆ ข้างล่างนี้ โปรดอ่านและวิเคราะห์กันเองว่า ท่านเหล่านั้นมีพระแท้ๆ วงการสากลนิยมยอมรับ ราคาเป็นแสนเป็นล้าน แต่ต้องมามีอันเป็นไปอย่างน่าเวทนา น่าเศร้าครับ
    คุณปู่ประถมย้ำหนักหนาว่า อย่าได้นำพระเข้าประกวด เพราะเทพยดาทั้งหลายท่านจะไม่อยู่ด้วย เพราะท่านไม่ใช่ชายงามหรือนางงามที่ต้องมาส่งประกวดแข่งขันเพื่อเอาตำแหน่ง ความงามกัน ถ้านำเข้าประกวดแล้ว พระแท้ๆ อิทธิคุณสูง ก็จะกลายเป็นวัตถุธาตุธรรมดา ท่านก็จะได้มีชื่อว่าได้ครอบครอง "ชิ้นดินแพงที่สุดในโลก" "ชิ้นทองแดงแพงที่สุดในโลก" "ชิ้นสัมฤทธิ์แพงที่สุดในโลก"
    สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ ผู้ที่ได้ครอบครองพระหลังการประกวด ด้วยความปลื้มปิติว่าได้รับพระแท้ๆ ที่ผ่านการรับรอง (โดยปุถุชนธรรมดา.... หุหุ...หึหึ....) แล้วห้อยคอติดตัว นำออกอวดด้วยความภูมิใจ ครั้นเมื่อผ่านความคับขันในชีวิตไปได้กลับเชื่อว่าเป็นเพราะพระที่ตนเองรับ มาจากงานประกวด โดยลืมนึกถึง เทวดาประจำตัว กับบุญบารมีที่ตนเองเคยสร้าง ได้มาเป็นเกราะคุ้มตัวไว้ หลงได้ปลื้มกับวัตถุธาตุธรรมดาที่ติดตัวอยู่ หากไม่มีบุญเก่า ไม่ได้เติมบุญใหม่ บุคคลเหล่านั้นถึงแม้จะมีพระแท้ๆ ก็มีอันเป็นไปตามตัวอย่างต่อไป........ พระวังหน้า พระวังหลวง พระพญาเหล็ก มณีนาคราช: เวรกรรมตามทันกันในชาตินี้

    ที่น่าตกใจ สำหรับผมก็คือ เซียนพระบางคน นำพระตนเองไว้ขายเข้าโรงแรมม่านรูดด้วย (ดูจากข่าวตามลิ้งค์ข้างบน) ซึ่งเป็นสถานที่อโคจร เชื่อมั่นได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า พระท่าน เทพยดาทั้งหลายไม่สถิตย์ในองค์พระแน่นอน ใครที่หลงเช่าหาบูชาของรายนี้ไป ผมไม่อยากคิด...... หรือบางทีพระเปลี่ยนมือไปอยู่กับพ่อค้าคนอื่น ผมก็ไม่อยากคิด......

    อีกราย หนึ่งยิ่งน่าตกใจและสลดใจที่สุด พ่อเป็นเซียนพระ แต่มีสัมพันธ์กับลูกสาวตัวเองแล้วดับคาม่านรูด (คาอก) ใครที่เคยเช่าพระจากรายนี้ไป ผมก็ไม่อยากคิด........ หรือบางทีพระเปลี่ยนมือไปอยู่กับพ่อค้ารายอื่น ผมก็ไม่อยากคิด.....หุหุ


     
  16. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,117
    วันนี้คุณครูนันทวัน และคุณครูพนิตา (เพชรบุรี) มีจิตศรัทธาสละทรัพย์บริสุทธิ์เพื่อสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ ขอมหามุฑิตาโมทนาสาธุกับบุญของท่านทั้งสองในทุกประการด้วยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • img019.jpg
      img019.jpg
      ขนาดไฟล์:
      116.8 KB
      เปิดดู:
      40
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,777
    ค่าพลัง:
    +16,086
    ขอขอบคุณทุกๆ ท่าน ที่ได้บริจาคปัจจัยเพื่อรักษาสงฆ์อาพาธโดยผ่านทุนนิธิฯ นี้มา โดยในเดือนนี้ผมได้ดำเนินการโอนเงินโดยผ่านธนาคารและไปรษณีย์ธนาณัติไปเรียบร้อยหมดแล้ว ตามสำเนาสลิปตามข้างล่างนี้ ส่วนในวันพรุ่งนี้ มีจำนวนพระที่ทุนนิธิฯ จะถวายสังฆทานภัตตาหารเช้าเท่าที่เช็คครั้งสุดท้ายเมื่อวานนี้ จำนวน 150 รูป และหากใครมีเวลา เผอิญได้เข้ามาอ่านในกระทู้นี้ ผมขอเชิญท่านไปร่วมกิจกรรมประจำเดือนนี้ร่วมกับคณะของทุนนิธิฯ ของเรา ที่ รพ.สงฆ์ด้วยกันในวันพรุ่งนี้ด้วยครับ โดยพบกันที่โรงอาหารของ รพ.ด้านข้างกำแพงรั้วที่ติดกับแยกศรีอยุธยาในเวลา 7.00 น.แค่เพียงนำนมกล่อง หรือผลไม้สักหน่อยไปใส่ในถุงร่วมกัน แล้วถึงเวลาค่อยขึ้นไปถวายท่านบนตึกพร้อมกันทุกๆ คน เพียงแค่เวลา 9.30 น.ก็เสร็จสิ้นพิธีการทั้งหมดแล้วครับ


    พันวฤทธิ์
    25/2/55

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. wee99

    wee99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    653
    ค่าพลัง:
    +1,897
    โอนเงินร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ ครับ

    วันที่ทำรายการ : 25/02/2012 06:14:12 PM.
    หมายเลขอ้างอิง : KBKR120225010867063
    โอนเงินจากบัญชี : xxx-x-06xxx-x
    ธนาคารของบัญชีผู้รับโอน : BANK OF AYUDHAYA
    เพื่อเข้าบัญชี : 348-1-23245-9 ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร
    ชื่อเจ้าของบัญชีในฐานข้อมูล : PRATOM F.
    จำนวนเงิน (บาท) : 300.0
    ค่าธรรมเนียม (บาท) : 25.0
    บันทึกช่วยจำ : ร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์<wbr>อาพาธ
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,777
    ค่าพลัง:
    +16,086
    จะจัดส่งไปให้ 20 องค์ เป็นพระพิมพ์สมเด็จขนาดเล็กสูง 1 ซม. อาจารย์ประถมฯ บอกว่า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านทำไว้แจกเด็กๆ และเหมาะสำหรับผู้หญิงแขวน เป็นพระที่ทาชาดแล้วปิดทองทับ จากการตรวจสอบทางจิต ทันท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต)ท่านเสกไว้ เป็นพระที่ดีมาก เพิ่งได้มาเพิ่ม หลังจากที่แจกให้สมาชิกของทุนนิธิฯ จนเกลี้ยงแล้ว พระชุดนี้จะมีการทำในสมัยท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ และมีรุ่นหลังที่ทำหลังจากท่านได้ละสังขารแล้ว ต้องระวังให้ดี แยกออกได้เฉพาะท่านที่ได้ระดับฌาณสูงมากเท่านั้น ผมยังพลาดเลย หากให้บูชา อย่าให้ต่ำกว่า สองร้อยบาทก็แล้วกันเพราะอิทธิคุณท่านนับว่าสุดยอดมาก ครบเครื่องอย่างที่พระโพธิ์สัตว์พึงมี ม่ายงั้นจะมีเดชฤทธิ์เหมาะสำหรับที่จะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ ดังนั้นผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านจึงต้องครบเครื่องและ "ขอได้" สำหรับผู้ที่ศรัทธาท่านจริงๆ


    [​IMG]

    ในภาพเป็นขนาดพระพิมพ์ของจริงที่ทุนนิธิฯ โดยผมเคยแจกไว้ ได้มาใหม่ก็เท่านี้ มีทั้งทันและไม่ทันท่านเจ้าประคุณสมเด็จเสก ส่วนที่ให้ก็คือส่วนที่คัดแล้วว่าทันท่าน ไม่งั้นไม่กล้าแจก ไม่กล้าให้เช่า กลัวลงนรกเพราะเอาของปลอมมาเที่ยวให้ชาวบ้านเค้าบูชา เกิดกี่ชาติก็ใช้กันไม่หมดครับ จำไว้ให้ดีครับ เพราะเกิดมาก็ต้องชดใช้ กลัวแต่ว่าจะไม่ได้เกิดนี่ซิ ยุ่งแน่ๆ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2012
  20. คีตา

    คีตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +4,309
    รับทราบครับพี่ พันวฤทธิ์ กราบขอบพระคุณอย่างสูงและขออนุโมทนาด้วยครับ
    เอกจะทำตามที่พี่บอกทุกประการครับผม

    ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
    เอก
    พิศะนุนาจ โรจน์จรัสไพศาล
    085 775 4763
     

แชร์หน้านี้

Loading...