ถามครับนิพพานคืออะไรกันแน่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 26 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ผมอ่านมานะครับเกี่ยวกับแดนพระนิพพาน
    ก่อนอื่นคนที่อ่านต้องใช้หลักกาลามสูตรด้วยนะครับ ไม่ใช่อ่านแล้วเชื่อ ผมให้อ่านแล้วคิดว่าจริงหรือไม่จริง ถ้าคิดแล้วจริง ก็คิดอีกที เพราะผมยังไม่เชื่อตัวเองตราบใดยังไม่สู่เป็นพระอริยเจ้า ก็ยังไม่เชื่อตัวเองอยู่ดี

    ผมฝึกมโนยิทธิแต่ผมไม่เก่งนะครับ ฝึกไม่เก่ง ยังเลวอยู่มาก มีคนอื่นเก่งกว่าผมเยอะ แล้วขึ้นไปบนแดนพระนิพพาน ผมรู้สึกนะครับ(อาจจะโดนอุปทานก็ได้หรือไม่ก็ไม่ได้ขึ้นไปนิพพาน ไปมั่วซั่วเดาเอา)

    วิมารของผมนั้นมีเตียงนอน เป็นวิมารที่ใหญ่มาก ดีกว่าบ้านที่ผมอยู่หลายเท่าเลย มีสระน้ำ มีต้นไม้

    แล้วความหมายของนิพพานที่ผมเข้าใจ ก็คือ หมดการเกิดแก่เจ็บตาย อวิชชาและตัณหา หายไป เป็นสุขอย่างยิ่ง สุขเพราะอะไร เพราะไม่มี ราคะ โทสะ และ โมหะ คอยทําให้เกิดตลอด ทุกข์ตลอด

    แล้วผมอ่านมา นิพพานนี่ถ้าจะเปรียบเหมือน ไฟ พอเวลาเราดับไฟแล้ว ไฟมันไปไหน ไม่มีใครรู้

    พระบางท่านก็บอกว่า นิพพานก็คือนิพพาน ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจตอบไม่แน่ชัด ต้องขยายความ

    บางคนก็บอกว่านิพพานมีสภาพสูญดับจิตอะไรประมาณนี้ แต่ผมคิดว่าสูญจากกิเลศมากกว่า ว่าง เพราะไม่มีกิเลศ

    ผมลองมาคิดดู สมมุติมีห้องหนึ่ง ห้องเปล่า แล้วมีของมากมาย ก็ดูไม่สบายตา ถ้ากําจัดให้หมด เหลือแต่ห้องก็คงจะดีกว่า ก็เหมือนจิต ถ้าจิตยังมีอวิชชา กิเลศ ตัณหา อุปทาน อยู่ มันก็ไม่สบายจิต แน่นอน เมื่อทําลาย อวิชชา กิเลศ ตัณหา และอุปทาน ได้ จิตย่อมสบายอย่างแน่นอน


    ถ้าผมเจอพระอรหันต์ที่สามารถเห็นนรก สวรรค์ นิพพาน ได้ หรือสามารถไปได้ ผมก็อยากจะถามท่าน ว่านิพพานเป็นยังไงกันแน่ จริงๆถ้าสร้างอภิญญาได้ก็ลองไปสวรรค์แล้วถามพระท่านดูก็ได้ แต่ผมไม่มีอภิญญา ถ้าผมเจอคําตอบเมื่อไหร่ ผมก็เคียร์ปัญหาคาใจได้

    แต่ที่แน่ๆที่หลวงพ่อฤาษีลิงดําสอน คนที่จะไปนิพพานได้ ต้องมีศีลก่อน อย่างแรก ที่เหลือ ช่วยเติมกันหน่อย ผมไม่แน่ใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2012
  2. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    953
    ค่าพลัง:
    +3,165
    มองด้วยอัตตา ก็เห็นด้วยอัตตา
    มองด้วยอนัตตา ก็เห็นด้วยอนัตตา

    ศีลยิ่งบริสุทธิ์ยิ่งมาก ก็ยิ่งหมายถึงการละอัตตาได้มากขึ้นตามไปด้วย
     
  3. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ที่พี่เขียน ผมไม่ค่อยเข้าใจขยายหน่อยครับ

    มองอะไรเป็นอัตตา และอนัตตาครับ
     
  4. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    953
    ค่าพลัง:
    +3,165
    ถ้าเรายังมีอัตตายังใช้อัตตาของเรา ความเป็นปถุชนผู้มีอัตตาของเรา มานั่งนึกคิดปรุงแต่ง ถึงความไม่มีอัตตา เราก็จะได้แค่ความไม่มีอัตตาแบบมีอัตตาของเราครับ
    ตราบจนเมื่อเราไม่มีอัตตาจริงๆถึงแม้ไม่มีใครบอก แม้ไม่นึกไม่คิด เราก็กลับจะเข้าใจของเราเอง ชัดเจนของเราเอง ครับ

    ความร้อนก็ไม่ได้ไปไหน ไฟก็ไม่ได้ไปไหน รับรู้ได้ หรือรับรู้ไม่ได้ ถึงความเปลี่ยนแปลง
    ทำลายความหมายมั่นว่าต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้
    ไม่แบ่งแยก ทุกสิ่งเป็นเรา เราเป็นทุกสิ่ง ไม่มีเราที่ขวางกั้น สิ่งใดน่าชัง สิ่งใดไม่น่าชัง สิ่งใดน่าหลงไหล ก็ยังไม่มี

    อัตตา คืออนัตตาที่ประกอบด้วยกิเลส อวิชชา เหตุแห่งทุกข์ทั้งหลาย
    อัตตา คือความแบ่งแยกเราเขา เกิดเป็นตัวเราของเรา ตัวกูของกู

    อนัตตา คือความไม่มีตัวตนแบ่งแยกเราเขา ไม่มีความเป็นตัวกูของกู
    อนัตตา คือ อัตตาที่ปราศจากแล้ว ซึ่งกิเลส อวิชชาเหตุแห่งทุกข์ทั้งหลาย

    อัตตาและอนัตายังอาจเขียนอธิบายได้อีกหลายแบบ แต่แท้ที่จริงก็จะมีเพียงความเข้าใจเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2012
  5. ภัทรพงษ์

    ภัทรพงษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +64
    โมทนาสาธุครับ กดไลค์ .... "ปถุชนผู้มีอัตตาของเรา มานั่งนึกคิดปรุงแต่ง ถึงความไม่มีอัตตา เราก็จะได้แค่ความไม่มีอัตตาแบบมีอัตตาของเราครับ
    ตราบจนเมื่อเราไม่มีอัตตาจริงๆถึงแม้ไม่มีใครบอก แม้ไม่นึกไม่คิด เราก็กลับจะเข้าใจของเราเอง ชัดเจนของเราเอง ครับ"
    :cool:
     
  6. เข้าหาธรรม

    เข้าหาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +514
    อยากรู้ก็เท่านั้นนะคะ ปฏิบัติเพื่อเห็นเองดีกว่าค่ะ ถ้าคนที่ไม่ปฏิบัติ รู้ไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยถ้าไม่ทำ

    คนเราอยู่ในโลกใบนี้ล้วนมีแต่กิเลสปรุงแต่งจิตใจ อยู่ที่ว่าจิตจะไปเสพกิเลสตัวไหน แล้วพอจิตยึดติดมันเพราะไม่ทัน ก็จะเป็นทุกข์ หรือสุขก็อีกเรื่อง ซึ่งจริงๆแล้วสุขก็คือทุกข์ตัวหนึ่งเหมือนกัน แต่มันเข้ามาอย่างแนบเนียน เอาไว้ทำให้คนยึดและติดกับมัน พอความสุขหายไป ก็กลับมาทุกข์ เหมือนกับของรักของหวงหาย เราก็เป็นทุกข์อีก เพราะจิตยังยึดติดกับของสิ่งนั้นอยู่ ลองวางและปล่อยไป จะเห็นได้ว่าโปร่งและเบาสบายมากขึ้น

    จิตที่ไม่ยึดติดกับอะไร เป็นสุขที่แท้จริงนะคะ ถ้าอยากรู้ว่าสุขอย่างไร ก็ลองปฏิบัติให้เข้าถึงนะคะ

    ที่อยากรู้ถึงนิพพานนั้นก็เหมือนกัน เมื่อยังไม่ได้คำตอบก็เป็นทุกข์อีก และก็วนๆ เวียนๆอยู่แต่ตรงนี้ ไม่ไปไหนสักที

    คหสต.ค่ะ

    ดิฉันก็ยังไม่ใช่คนที่รู้อะไรมากมายนัก หากที่บอกไปนั้นมีความผิดพลาดประการใดหรือสื่อให้เข้าใจอะไรผิดก็ขออโหสิกรรมด้วยนะคะ
    รอผู้รู้มาตอบจะดีกว่าค่ะ^^
     
  7. ใต้ร่มอโศก

    ใต้ร่มอโศก สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    - คุณ รู้รู้ไป ตอบกระทู้นี้ ดีมากครับ แต่คงจะเข้าใจเฉพาะผู้ที่พอจะเข้าใจได้เท่านั้น เรื่องแบบนี้ เป็นธรรมดาครับ
    - ผมเห็นว่า เป็นเรื่องดี ทีมีคนถามว่า "นิพพาน คืออะไร?" คืออย่างน้อยก็มีคนถาม มีคนอยากรู้ มีคนเอ่ยคำว่า นิพพาน ในปีพ.ศ.นี้ ถือว่า เป็นเรื่องที่เยี่ยมยอดมาก ๆ เป็นเรื่องมงคลสำหรับทุกคนครับ
    - สำหรับผม เข้าใจว่า นิพพาน ก็คือ ใจของเรานี้เอง ไม่ใช่สถานที่แห่งใด ๆ ในสากลจักรวาลนี้
    - ท่านพุทธทาสภิกขุ สอนไว้ชัดเจน พอจับใจความได้ว่า นิพพานสำหรับคนธรรมดาทั่วไปเช่นปุถุชนอย่างพวกเรา เป็นนิพพานแบบชั่วครั้งชั่วคราว ยังไม่ยั่งยืนถาวรเหมือนนิพพานของพระอรหันต์ทั้งหลาย เมื่อใดหรือขณะใด ที่ใจของเรา ไม่ถูกอำนาจกิเลสคือโลก โกรธ หลง (โง่เขลา) ครอบงำ เมื่อนั้นหรือขณะนั้น ใจของเราก็เป็น นิพพาน นะครับ ไม่ทราบว่าจะถูกใจท่านผู้อ่านบ้างหรือเปล่า?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2012
  8. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    มีพระวจนะมาฝากเรื่อง นิพพาน พระวจนะ"ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงซึ่งนิพพาน แก่พวกเธอทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลาย จงฟังข้อความนั้น....ภิกษุทั้งหลาย นิพพานเป็นอย่างไรเล่า? ภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ อันใด ภิกษุทั้งหลาย อันนี้เราเรียกว่า นิพพาน---สฬา.สํ.18/452/741:cool:
     
  9. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ" เราจักแสดงซึ่งอสังขตะ แก่พวกเธอทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลายจงฟังข้อความนั้น....ภิกษุทั้งหลาย อสังขตะเป็นอย่างไรเล่า? ภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ อันใด ภิกษุทั้งหลาย อันนี้แล เราเรียกว่า อสังขตะ---สฬา.สํ.18/441/674.:cool:
     
  10. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
  11. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    นิพพาน เป็นปัจจัตตัง ต้องรู้เอง เห็นเอง สัมผัสด้วยตัวเอง ถึงจะเข้าใจ

    ถ้าจะให้อธิบายนิพพานให้คนที่ยังปฏิบัติไม่ถึงฟัง ก็เปรียบเหมือนเปิดหนังAVATARให้คนตาบอดดูนั่นแหละ ถึงแม้เค้าจะได้ยินเสียง แต่ก็ไม่สามารถเห็นภาพที่อลังการณ์งานสร้าง เหนือจินตนาการในหนังได้เลยแม้แต่เพียงภาพเดียว ฉันใดก็ฉันนั้นล่ะนะ

    เจริญในธรรมครับ
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เขตแดนที่เปี่ยมไปด้วยสุข สว่างแต่ไม่มีพระอาทิตย์..
     
  13. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    นิพพาน

    คือ

    การหลุดพ้น จากการ เกิด แก่ เจ็บตาย เวียน ว่าย ตาย เกิด



    พระพุทธเจ้า เห็น ทุกข์ เลย ออกค้นหาทางที่พ้นจาก ทุกข์ ตรัสรู้ เป็น พระพุทธเจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2012
  14. มนุสสเทโว

    มนุสสเทโว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +30
    ก็นิพพาน คือความไม่มีอะไร เวลาอธิบาย ก็จะต้องอธิบายสิ่งที่มีอะไร ไมหา ความไม่มีอะไร เพราะความไม่มีอะไร มันก็ไม่มีอะไรจะอธิบายไงครับ
     
  15. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
  16. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    นิพพาน คือ ความว่างเปล่าจากการปรุงแต่งโดยสิ้นเชิง

    ไม่มีสิ่งใดให้ยึดติดได้อีกต่อไป ไม่มีสิ่งใดที่จะเข้ามาได้อีกต่อไป

    เพราะไม่มีแล้วซึ่งการปรุงแต่ง เพียงแค่ยอมรับความตายด้วยใจจริง

    ก็จะได้รับรู้ถึงอารมณ์แห่งพระนิพพาน ด้วยใจจริง

    สาธุครับ
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ก็ใกล้เคียงแล้วนี่ แต่ เราต้องเข้าใจไว้อย่างหนึ่งว่า นิพพานสำหรับพุทธภูมินั้น
    จะเห็นอย่างหนึ่ง อาการแบบหนึ่ง จะไม่เหมือนกับ นิพพานสำหรับสาวกภูมิ

    ทีนี้ ในโลกนั้นมีแต่ นิพพานที่เป็นการบรรยายโดยสาวกภูมิ เวลาไปฟัง ก็จะ
    เกิดการสับสน หากผู้ฟังนั้น ยังคงมีจิตแล่นไปในพุทธภูมิค้างอยู่

    การจะเข้าใจพระนิพพาน เข้าถึงพระนิพพาน จึงต้อง ย้อนมาพิจารณาที่ตนก่อน
    ว่า ความปราถนาพุทธภูมินั้นค้างคาอยู่ไหม ถ้าค้างคาอยู่ ก็ให้เชื่อได้100%เลย
    ว่า ฟังเขาพรรณาถึงนิพพานมากเท่าไหร่ คุณ ก็จะ งง อยู่อย่างนั้น

    ทีนี้หากต้องการเข้าใจนิพพานจริงๆ เข้าถึงนิพพานจริงๆ มันก็ต้อง เอาความปราถนา
    พุทธภูมิออกไปก่อน ถอนเสีย หรือไม่ก็กำหนดรู้เป็นทุกขสัจจอย่างหนึ่ง คือ เห็น
    อารมณ์ปราถนาพุทธภูมินั้นเป็นทุกขสัจจอย่างหนึ่ง อันเกิดจากอำนาจของอวิชชา

    พอพิจารณาแบบนี้ เวลาฟัง พระท่านบรรยายถึงนิพพาน มันจะพอเข้าใจได้บ้าง
    และอาจจะเข้าถึงไปเลยด้วยซ้ำ หากถอน หรือ กำหนดรู้ทุกข์ได้ถูกต้องเพียงพอ

    กรณีที่กำหนดรู้ทุกข์ไม่พอ ก็ไม่มีอะไรเสียหาย เขาเรียกว่า ทรงอารมณ์นิพพาน
    ซึ่งเป็นกิจของ พุทธภูมิ ปรกติอยู่แล้ว

    ทีนี้ กลับมาที่ประโยคของคุณ ที่บอกว่า ใกล้เคียงอยู่แล้ว นั้นใกล้เคียงอย่างไร

    ก็อันนี้แหละ

    แต่ถ้าเรา เอาแตงโมมาหนึ่งลูก ผ่าออกเป็นสองซีก คือ "อวิชชา กิเลศ ตัณหา"
    คือ เมล็ดพันธ์ น้ำแตงโม แลเนื้อแตงโมส่วนสีแดง ไว้ซีกหนึ่ง ส่วนเปลือกหุ้มเขียวๆ
    ใสๆ ขาวๆ นั้นคือ "อุปทาน" เราก็จะเห็นเลยว่า สาวกภูมิพูดถึงนิพพานเหมือนคน
    ได้กินเนื้อแตงโมแล้วถุยเมล็ดแตงโมทิ้ง ส่วน พุทธภูมินั้นได้แต่แทะส่วนเปลือกนอก
    ไม่รู้รสข้างใน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักการกินแตงโม !!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2012
  18. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คำว่า "นิพพาน"เป็นชื่อชั้นของการปฏิบัติธรรมในทางพุทธศาสนา
    ผู้ที่สำเร็จ"นิพพาน"แล้วจะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้.-
    ๑. ผู้ที่ถึงหรือบรรลุหรือสำเร็จนิพพานแล้ว ก็จะมีการดับขันธ์เช่นมนุษย์ทั่วไป แต่ดวงจิตจะสูญสลายไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก คือสูญหายไปเลยตามกฎเกณฑ์แห่งจักรวาล
    ๒.ผู้ที่ถึงหรือบรรลุหรือสำเร็จนิพพานแล้ว ก็มีร่างกายโปร่งแสง เป็นอนูอากาศ มองทะลุเหมือนกับมองผ่านกระจก เมื่อสิ้นบุญแล้ว ยังเวียนว่ายตายเกิดได้ ตามต้องการ คือจะเกิดก็ได้ดับก็ได้ ไม่เกิดก็ได้ไม่ดับก็ได้ ก็จะไปสถิตอยู่ยังดินแดนหรือดวงดาวต่างๆนอกเหนือจากโลกมนุษย์นี้
    ที่ข้าพเจ้าเขียนไปทั้งหมดข้างต้น เป็นเรื่องจริงนะขอรับ ไม่ใช่การเพ้อฝันหรือปั้นแต่งขึ้นมา ดวงดาวอื่นๆมีดังนี้. ดวงอาทิตย์,ดวงจันทร์. และอีกหลายดวงดาว จนไปถึงสุดขอบจักรวาล ก็ยังมีอีกหนึ่งดินแดน ที่กล่าวถึงดวงดาว เอาเฉพาะที่เห็นที่รู้ขอรับ
     
  19. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ข้อสอง นี่จริงเหรอครับ ผมไม่ได้สนใจ อาศัยไปอยู่จักรวาลดวงอื่น แต่ถ้าเกิดแก่เจ็บตายยังมีอยู่เหรอครับแบบที่สอง
     
  20. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,962
    ค่าพลัง:
    +356
    พี่ พระศรีอาน ครับ ผมสงสัยตรงนี้เล็กน้อย น่ะครับ
    t
    เห้นพี่ว่า telwada สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Sep 2004
    สถานที่: Chiengrai
    ข้อความ: 1,822
    พลังการให้คะแนน: 411

    เเบบว่าสนใจ ว่า พี่ต้องไปเห็นมาเเล้วเป็นเเน่ จึงสามารถ ตอบ สภาวะของการนิพาน ได้เเตกฉาน ขนาดนี้

    ผมอยากทราบว่า บนนั้น เขายึดอะไร เป็น อารมณ์ ของนิพานนะครับ

    รบกวนด้วยครับ

    ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...